วันเวลาปัจจุบัน 30 มี.ค. 2024, 11:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 52 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2014, 01:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
การที่เรามาตั้งกระทู้ถามต่างๆ นี้ เป็นสิ่งปรุงแต่งล้วนๆ
เพราะเราตามความสงสัยที่เกิดขึ้นไม่ทัน จึงเกิดคำถามขึ้นมากมาย

และลงมือพิมพ์คำถามต่างๆ ลงมา

หากหมดการปรุงแต่ง ก็หมดซึ่งคำถามเอง

ถูกผิดโปรดชี้แนะ เพราะที่พิมพ์มานี้ ก็ตามสิ่งที่ปรุงแต่งไม่ทันเช่นกัน

s002 cry


แต่คำถามนี้ ถามเรื่องเบญจขันธ์? หรือถามเรื่องสามัญลักษณะ?

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2014, 06:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริงคำถามผมสั้นๆไม่ได้ยาว เพียงถามว่าอะไรเป็น"เหตุ"เท่านั้น
ก็ได้รับคำตอบว่า "สักกายทิฎฐิ มานะกับทิฎฐิ" เป็นเหตุ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2014, 14:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
ตอบเผื่อให้มีทางเลือกเพราะถามหาหลักฐานด้วยครับ
ถ้ายังมากไปก็ขออภัย
smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2014, 14:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


หัสพล พวงแก้ว เขียน:
ผมคิดว่าการปรุงแต่งจิตกับความสงสัยต่างกันนะครับ
การที่เรามาตั้งคำถามในเรื่องของธรรมนั้นก็เพื่อจะหาเหตุและผลของความจริงเท่านั้น
เพราะเราทั้งหลายล้วนมีอวิชชา(ความไม่รู้)มาเยอะซึ่งก็เหมือนในครั้งพุทธกาล
ที่มีพระสงฆ์ได้มีข้อสงสัยถามพระพุทธเจ้าพอได้ฟังพระองค์ตรัสตอบข้อสงสัยนั้น
ส่วนใหญ่ก็จะได้บรรลุธรรมกันทั้งนั้นครับ ส่วนเรื่องของการปรุงแต่งจิตเป็นกิเลสจากการ
ที่อายตนะภายใน(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ไปกระทบกับอายตนะภายนอก (รูป รส กลิ่น เสียง
สัมผัส โผฐัพพะ) แล้วเกิดการปรุงแต่งไปตามอารมณ์ของกิเลสแต่ละคนว่าจะมีมากน้อย
แค่ไหน ถ้าใครฝึกสติมาดีก็จะปรุงแต่งได้ไม่นาน เพราะฉะนั้นความสงสัยกับการปรุงแต่งจิต
น่าจะไม่เหมือนกันครับ

:b17:
การปรุงแต่ง เป็นธรรมกลางๆ เป็นงานของเจตสิก เป็นได้ทั้งกุศล อกุศลและอัพยากตาธรรมแล้วแต่เจตสิกที่มาประกอบ

ความสงสัยก็เป็นความปรุงแต่ง ชนิดหนึ่ง

การตรัสสอนและตอบปัญหาของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นอัพยากตา เป็นกิริยา เป็นสักแต่ว่า เกิดขึ้นมาทำงานตามหน้าที่แล้วดับไป เป็นอโหสิกรรม
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2014, 14:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 21:44
โพสต์: 173

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารค่ะ

:b15: :b15:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2014, 14:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


JIT TREE เขียน:
อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารค่ะ

:b15: :b15:

:b16:
แล้วอะไรเป็นเหตุให้เกิดอวิชชาล่ะครับ
s006
ต้องค้นจากนอกตำราไปอีกชั้นหนึ่งครับ
s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2014, 15:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
หัสพล พวงแก้ว เขียน:
ผมคิดว่าการปรุงแต่งจิตกับความสงสัยต่างกันนะครับ
การที่เรามาตั้งคำถามในเรื่องของธรรมนั้นก็เพื่อจะหาเหตุและผลของความจริงเท่านั้น
เพราะเราทั้งหลายล้วนมีอวิชชา(ความไม่รู้)มาเยอะซึ่งก็เหมือนในครั้งพุทธกาล
ที่มีพระสงฆ์ได้มีข้อสงสัยถามพระพุทธเจ้าพอได้ฟังพระองค์ตรัสตอบข้อสงสัยนั้น
ส่วนใหญ่ก็จะได้บรรลุธรรมกันทั้งนั้นครับ ส่วนเรื่องของการปรุงแต่งจิตเป็นกิเลสจากการ
ที่อายตนะภายใน(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ไปกระทบกับอายตนะภายนอก (รูป รส กลิ่น เสียง
สัมผัส โผฐัพพะ) แล้วเกิดการปรุงแต่งไปตามอารมณ์ของกิเลสแต่ละคนว่าจะมีมากน้อย
แค่ไหน ถ้าใครฝึกสติมาดีก็จะปรุงแต่งได้ไม่นาน เพราะฉะนั้นความสงสัยกับการปรุงแต่งจิต
น่าจะไม่เหมือนกันครับ

:b17:
การปรุงแต่ง เป็นธรรมกลางๆ เป็นงานของเจตสิก เป็นได้ทั้งกุศล อกุศลและอัพยากตาธรรมแล้วแต่เจตสิกที่มาประกอบ

ความสงสัยก็เป็นความปรุงแต่ง ชนิดหนึ่ง

การตรัสสอนและตอบปัญหาของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นอัพยากตา เป็นกิริยา เป็นสักแต่ว่า เกิดขึ้นมาทำงานตามหน้าที่แล้วดับไป เป็นอโหสิกรรม
onion


ความเห็นผม เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์นั้น เกิดขึ้นมาตามหน้าที่ แล้วดับไป เป็น"มรรค"ครับ

ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่อโหสิกรรม

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2014, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนอโหสิกรรม น่าจะเป็นสัมมาสังกัปปะ เป็นมรรคอยู่ดีครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2014, 15:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
JIT TREE เขียน:
อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารค่ะ

:b15: :b15:

:b16:
แล้วอะไรเป็นเหตุให้เกิดอวิชชาล่ะครับ
s006
ต้องค้นจากนอกตำราไปอีกชั้นหนึ่งครับ
s004


การไม่มีวิชชา เป็นเหตุให้เกิด อวิิชชา ป่าวครับ
s002 s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2014, 15:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
asoka เขียน:
JIT TREE เขียน:
อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารค่ะ

:b15: :b15:

:b16:
แล้วอะไรเป็นเหตุให้เกิดอวิชชาล่ะครับ
s006
ต้องค้นจากนอกตำราไปอีกชั้นหนึ่งครับ
s004


การไม่มีวิชชา เป็นเหตุให้เกิด อวิิชชา ป่าวครับ
s002 s002


เกือบถั่วต้วมครับ

ลองพิจารณาบทนี้ดูนะครับ

วิชชาจรณสัมปันโน แปลว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นพระนามพระพุทธเจ้าและเป็นบทพุทธคุณบทหนึ่งในจำนวน 9 บท

วิชชาจรณสัมปันโน หมายความว่าพระพุทธเจ้าทรงมีวิชชา 3 และวิชชา 8 และจรณะ 15 อย่างสมบูรณ์ บริบูรณ์

ในสองอย่างนั้น ความถึงพร้อมด้วยวิชชา สร้างความเป็นพระสัพพัญญูให้พระพุทธเจ้า ส่วนความถึงพร้อมด้วยจรณะสร้างความเป็นผู้กอปรด้วยพระมหกรุณาธิคุณแก่พระพุทธเจ้า คือเมื่อพระองค์ทรงรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ด้วยความเป็นสัพพัญญู แล้วทรงเว้นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ทรงชักนำแต่ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ด้วยความเป็นผู้กอปรไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณแก่สัตวโลกทั้งปวง


ส่วนอวิชชานั้นมันเกิดขึ้นด้วยตัวของมันเองโดยมีเหตุปัจจัยต่างๆซึ่งเกิดจากความไม่รู้หรือที่เราเรียกว่าอวิชชา ไม่ใช่เกิดจากวิชชาเป็นเหตุ

ส่วนวิชชานั้นเป็นความรู้ เป็นยาแก้อวิชชาหรือความไม่รู้ หากเราเปรียบอวิชชาเป็นโรคภัยไข้เจ็บ วิชชาก็เป็นยาต้าน ยารักษาโรค เมื่อเราป่วยเราก็ต้องกินยาเพื่อรักษาอาการป่วยให้หาย

ดั้งนั้น วิชชากับอวิชชาถึงแม้จะอยู่ในหมวดเดียวกัน เขาก็แยกหน้าที่กันนะครับ

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2014, 16:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
JIT TREE เขียน:
อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารค่ะ

:b15: :b15:

:b16:
แล้วอะไรเป็นเหตุให้เกิดอวิชชาล่ะครับ
s006
ต้องค้นจากนอกตำราไปอีกชั้นหนึ่งครับ
s004

ไม่มีสิ่งใดนอกตำรา.....
พระสูตรมีแสดงไว้ถ้วนทั่วแล้ว

Quote Tipitaka:
อวิชชาวาร
[๑๒๘] ดูกรท่านผู้มีอายุ จะพึงมีอยู่หรือ ปริยายแม้อย่างอื่น ... ท่านพระสารีบุตรตอบว่า
พึงมี ท่านผู้มีอายุ เมื่อใดแล อริยสาวกรู้ชัดซึ่งอวิชชา เหตุเกิดแห่งอวิชชา ความดับอวิชชา
และปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับอวิชชา แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อริยสาวกชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ ...
มาสู่พระสัทธรรมนี้ ก็อวิชชา เหตุเกิดแห่งอวิชชา ความดับอวิชชา และปฏิปทาที่จะให้ถึงความ
ดับอวิชชา เป็นไฉน? ความไม่รู้ในทุกข์ ในเหตุเกิดแห่งทุกข์ ในความดับทุกข์ ในปฏิปทาที่จะให้ถึง
ความดับทุกข์ อันนี้เรียกว่าอวิชชา เหตุเกิดแห่งอวิชชา ย่อมมีเพราะอาสวะเป็นเหตุให้เกิด
ความดับอวิชชา ย่อมมีเพราะอาสวะดับ
อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แหละ คือความเห็นชอบ
ความตั้งใจชอบ ชื่อว่าปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับอวิชชา ดูกรท่านผู้มีอายุ เมื่อใดแล อริยสาวก
รู้ชัดซึ่งอวิชชา เหตุเกิดแห่งอวิชชา ความดับอวิชชา ทางที่จะให้ถึงความดับอวิชชาอย่างนี้ๆ เมื่อ
นั้น ท่านละราคานุสัย ... แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อริยสาวกชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดำเนิน
ไปตรงแล้ว ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้.
[๑๒๙] ภิกษุเหล่านั้น ชื่นชม อนุโมทนาภาษิตของท่านพระสารีบุตรว่า สาธุ ท่านผู้มีอายุ
แล้วได้ถามปัญหากะท่านพระสารีบุตรต่อไปว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ จะพึงมีอยู่หรือปริยายแม้อย่างอื่น
ที่อริยสาวกซึ่งชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดำเนินไปตรงแล้ว ประกอบด้วยความเลื่อมใส
อันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้.
อาสววาร
[๑๓๐] ท่านพระสารีบุตรตอบว่า พึงมี ท่านผู้มีอายุ เมื่อใดแล อริยสาวกรู้ชัดซึ่งอาสวะ
อาสวสมุทัย อาสวนิโรธ อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อริยสาวกชื่อว่า
เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดำเนินไปตรงแล้ว ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม
มาสู่พระสัทธรรมนี้ ก็อาสวะ เหตุเกิดแห่งอาสวะ ความดับอาสวะ ทางที่จะให้ถึงความดับอาสวะ
เป็นไฉน? ได้แก่ อาสวะ ๓ เหล่านี้ คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ เหตุเกิดแห่งอาสวะ
ย่อมมีเพราะอวิชชาเป็นเหตุให้เกิด ความดับอาสวะ ย่อมมีเพราะอวิชชาดับ
อริยมรรคประกอบ
ด้วยองค์ ๘ นี้แหละ คือ ความเห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ
พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ ชื่อว่าปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับอาสวะ ดูกรท่านผู้มีอายุ
เมื่อใด อริยสาวกรู้ชัดซึ่งอาสวะ เหตุเกิดแห่งอาสวะ ความดับอาสวะ ปฏิปทาที่จะให้ถึงความ
ดับอาสวะ อย่างนี้ๆ เมื่อนั้นท่านละราคานุสัย บรรเทาปฏิฆานุสัย ถอนทิฏฐานุสัย และ
มานานุสัย โดยประการทั้งปวง ละอวิชชา ยังวิชชาให้เกิด ย่อมกระทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบัน
เทียว แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อริยสาวกชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดำเนินไปตรงแล้ว
ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้.
ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวคำนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น ชื่นชม ยินดีภาษิตของท่านพระสารี-
*บุตรแล้วแล.

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2014, 16:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
asoka เขียน:
JIT TREE เขียน:
อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารค่ะ

:b15: :b15:

:b16:
แล้วอะไรเป็นเหตุให้เกิดอวิชชาล่ะครับ
s006
ต้องค้นจากนอกตำราไปอีกชั้นหนึ่งครับ
s004


การไม่มีวิชชา เป็นเหตุให้เกิด อวิิชชา ป่าวครับ
s002 s002

:b12:
ใช่อยู่แต่ทุบดินไปนิดหนึ่งครับ

ไม่รู้ คือ อวิชชา เหตุไม่รู้ คือมิจฉาทิฏฐิ ..เห็นผิดและยึดผิด

เห็นผิดคือเห็นเป็นอัตตา ตัวตน ยึดผิด คือสำคัญว่าเป็นอัตตาตัวตน

เห็นถูกต้องคือ เห็นเป็นอนัตตา

เห็นถูกต้อง สัมมาทิฏฐิ เกิดปัญญา เกิดวิชชา เกิดแสงสว่าง
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2014, 16:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


JIT TREE เขียน:
อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารค่ะ

:b15: :b15:

เพราะ อวิชชา ปรุงแต่ง อวิชชา หรือ
ความไม่รู้ ปรุงแต่ง ความไม่รู้ จึงเกิดสังขารขึ้น
(อวิชชา ไม่ปรุงแต่ง อวิชชา สังขาร ก็ไม่เกิดขึ้น)
เพราะอะไร ก็เพราะการปรุงแต่ง คือ ตัวสังขาร (คงเข้าใจนะ)

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2014, 22:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2011, 23:47
โพสต์: 298


 ข้อมูลส่วนตัว


พ่อแม่ทำให้เกิดอวิชชาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2014, 22:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 21:44
โพสต์: 173

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
JIT TREE เขียน:
อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารค่ะ

:b15: :b15:

เพราะ อวิชชา ปรุงแต่ง อวิชชา หรือ
ความไม่รู้ ปรุงแต่ง ความไม่รู้ จึงเกิดสังขารขึ้น
(อวิชชา ไม่ปรุงแต่ง อวิชชา สังขาร ก็ไม่เกิดขึ้น)
เพราะอะไร ก็เพราะการปรุงแต่ง คือ ตัวสังขาร (คงเข้าใจนะ)[/




"ใช่ อาสวะ4 รึป่าวคะ ที่เป็นเหตุให้อวิชชาเกิด"

s002 s002


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 52 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 35 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร