วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 21:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2015, 11:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2011, 13:22
โพสต์: 79


 ข้อมูลส่วนตัว


ทางพระอภิธรรมถือว่าบุคคลนั้นไม่มี มีแต่สิ่งซึ่งเป็นที่ประชุมรวมกันของ จิต เจตสิก รูป เท่านั้น ส่วนที่เรียก ชื่อว่า นาย ก นาง ข นั้นเรียกโดยสมมุติโวหารเท่านั้น
อุปมาว่า สิ่งซึ่งมาประชุมกันว่า น้ำ รูปของน้ำคือของเหลว ของแข็ง หรือว่า ไอน้ำ อยู่บนฟ้าเรียกว่าเมฆ ส่วนรูปของคนประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประชุมรวมกันกับจิต ส่วนเจตสิก เป็นอาการของจิตที่แสดงสถานะอารมฌ์ ในขณะนั้น เช่นเดียวกับสถานะของน้ำนั้นเอง
จิต ประกอบด้วย เวทนา สัญญา สังขาร วิญาณ น้ำประกอบด้วย ไฮโดรเจน ไฮโดรเจน ออซิเจน ถ้าขาดธาตุใดธาตุหนึ่งก็ไม่เรียกว่า น้ำ คำว่าน้ำก็เป็นสมมุติเหมือน นาย ก นาง ข เรียกว่าสมมุติ
คนส่วนมากมองหา จิต เหมือนเรามองหา น้ำ 1 อะตอม นั้นแหละ จะมองเห็นด้วยตาเปล่าได้อย่างไรต้องมีเครื่องมือมาส่องดูขยายดู จึงจะมองเห็นอะตอมน้ำ เครื่องมึอส่องดูจิตคือ สมถะวิปปัสสนา กรรมฐาน นั้นเอง
ว่าด้วยเรื่องพลังงาน การจะแยกน้ำออกเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจน ต้องใช้พลังงานไฟฟ้า จะแยกจิตออกจากกาย ต้องใช้พลังงานจิตหรือพลังงานสติ เช่นกัน
ความเห็นส่วนตัวผมเอง ท่านอื่นเห็นอย่างไร ผิดถูกขออภัยท่านผู้รู้ด้วยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2015, 21:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


อมันตรา เขียน:
ทางพระอภิธรรมถือว่าบุคคลนั้นไม่มี มีแต่สิ่งซึ่งเป็นที่ประชุมรวมกันของ จิต เจตสิก รูป เท่านั้น ส่วนที่เรียก ชื่อว่า นาย ก นาง ข นั้นเรียกโดยสมมุติโวหารเท่านั้น
อุปมาว่า สิ่งซึ่งมาประชุมกันว่า น้ำ รูปของน้ำคือของเหลว ของแข็ง หรือว่า ไอน้ำ อยู่บนฟ้าเรียกว่าเมฆ ส่วนรูปของคนประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประชุมรวมกันกับจิต ส่วนเจตสิก เป็นอาการของจิตที่แสดงสถานะอารมฌ์ ในขณะนั้น เช่นเดียวกับสถานะของน้ำนั้นเอง
จิต ประกอบด้วย เวทนา สัญญา สังขาร วิญาณ น้ำประกอบด้วย ไฮโดรเจน ไฮโดรเจน ออซิเจน ถ้าขาดธาตุใดธาตุหนึ่งก็ไม่เรียกว่า น้ำ คำว่าน้ำก็เป็นสมมุติเหมือน นาย ก นาง ข เรียกว่าสมมุติ
คนส่วนมากมองหา จิต เหมือนเรามองหา น้ำ 1 อะตอม นั้นแหละ จะมองเห็นด้วยตาเปล่าได้อย่างไรต้องมีเครื่องมือมาส่องดูขยายดู จึงจะมองเห็นอะตอมน้ำ เครื่องมึอส่องดูจิตคือ สมถะวิปปัสสนา กรรมฐาน นั้นเอง
ว่าด้วยเรื่องพลังงาน การจะแยกน้ำออกเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจน ต้องใช้พลังงานไฟฟ้า จะแยกจิตออกจากกาย ต้องใช้พลังงานจิตหรือพลังงานสติ เช่นกัน
ความเห็นส่วนตัวผมเอง ท่านอื่นเห็นอย่างไร ผิดถูกขออภัยท่านผู้รู้ด้วยครับ


เวทนา..สัญญา..สังขาร..วิญญาณ...ที่มีอยู่..เป็นอยู่...ยังไม่ควรเรียกว่า..จิต..อันหมายถึง...เราที่ประภัสสร..ครับ
เพราะ...มันยังมีมลทินปนเปื่อนอยู่...เสมือน..น้ำแดง...ยังไม่ควรเรียกว่า..น้ำ...นะแหละครับ

ในทางอภิธรรม...จิต..คือผู้รู้...ในตัวนาน...เขาหมายเอาเฉพาะ..ตัววิญญาณ...ครับผม

อิอิ... :b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2015, 13:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b20:
อย่าเอาแค่พลังสติ

ให้เพิ่มและเน้นพลังปัญญา ควบคู่ไปกับสติให้มากๆนะครับ

อย่าลืมปัญญา

และกองหนุนสำคัญคือ. "ความเพียรทำจริง"

"วิริเยนะ ทุกขมัจเจติ.........คน ล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร"

ธรรมอย่างอื่นเขาจะมาประชุมช่วยกันเองโดยอัตโนมัติเมื่อพญามโนเจตราชเอาปัญญานำหน้า
:b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2015, 15:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b20:
อย่าเอาแค่พลังสติ

ให้เพิ่มและเน้นพลังปัญญา ควบคู่ไปกับสติให้มากๆนะครับ

อย่าลืมปัญญา

และกองหนุนสำคัญคือ. "ความเพียรทำจริง"

"วิริเยนะ ทุกขมัจเจติ.........คน ล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร"

ธรรมอย่างอื่นเขาจะมาประชุมช่วยกันเองโดยอัตโนมัติเมื่อพญามโนเจตราชเอาปัญญานำหน้า
:b39:


ก็ตัว "สติสัมปชัญญะ" นี่ไง
สติเหมือน ธง สัมปชัญญะ เหมือนคนถือธง (สัมปชัญญะคือตัวปัญญา)
บุคคลเมื่อเข้าถึงอิทธิบาท ๔ จะทำอะไรที่ไม่สำเร็จนั้นเป็นไม่มี

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2015, 01:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อมันตรา เขียน:
ทางพระอภิธรรมถือว่าบุคคลนั้นไม่มี มีแต่สิ่งซึ่งเป็นที่ประชุมรวมกันของ จิต เจตสิก รูป เท่านั้น ส่วนที่เรียก ชื่อว่า นาย ก นาง ข นั้นเรียกโดยสมมุติโวหารเท่านั้น
อุปมาว่า สิ่งซึ่งมาประชุมกันว่า น้ำ รูปของน้ำคือของเหลว ของแข็ง หรือว่า ไอน้ำ อยู่บนฟ้าเรียกว่าเมฆ ส่วนรูปของคนประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประชุมรวมกันกับจิต ส่วนเจตสิก เป็นอาการของจิตที่แสดงสถานะอารมฌ์ ในขณะนั้น เช่นเดียวกับสถานะของน้ำนั้นเอง
จิต ประกอบด้วย เวทนา สัญญา สังขาร วิญาณ น้ำประกอบด้วย ไฮโดรเจน ไฮโดรเจน ออซิเจน ถ้าขาดธาตุใดธาตุหนึ่งก็ไม่เรียกว่า น้ำ คำว่าน้ำก็เป็นสมมุติเหมือน นาย ก นาง ข เรียกว่าสมมุติ
คนส่วนมากมองหา จิต เหมือนเรามองหา น้ำ 1 อะตอม นั้นแหละ จะมองเห็นด้วยตาเปล่าได้อย่างไรต้องมีเครื่องมือมาส่องดูขยายดู จึงจะมองเห็นอะตอมน้ำ เครื่องมึอส่องดูจิตคือ สมถะวิปปัสสนา กรรมฐาน นั้นเอง
ว่าด้วยเรื่องพลังงาน การจะแยกน้ำออกเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจน ต้องใช้พลังงานไฟฟ้า จะแยกจิตออกจากกาย ต้องใช้พลังงานจิตหรือพลังงานสติ เช่นกัน
ความเห็นส่วนตัวผมเอง ท่านอื่นเห็นอย่างไร ผิดถูกขออภัยท่านผู้รู้ด้วยครับ


คุณเข้าใจน้ำกับธาตุน้ำผิดนะครับ
รูปประกอบด้วยมหาภูติ4คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ได้หมายถึง ดิน ขี้โคลน เม็ดทรายนะครับ

ธาติน้ำก็ไม่ได้หมายถึงน้ำ หรือสสารที่ทำให้เกิดน้ำนะครับ

ธาตุน้ำคือสภาวะเหลว ไหล เช่นดวงอาทิตย์ ประกอบด้วยธาตุน้ำ คือไหล เหลว ยืดหยุ่น
ธาตุดิน คือ สภาวะเป็นก้อน จับตัว

การดูสภาวะไม่ได้ดูที่อะตอม แต่ดูสภาวะเช่น จับแขนขารู้สึกแข็ง เป็นก้อน เรียกรับรู้สภาวะธาตุดิน

การรับรู้ธาตุน้ำ ไม่ได้หมายถึงเอามือไปคนน้ำหรืออาบน้ำหรือกินน้ำหรืออะไรก็ตามแต่ที่เกี่ยวกับน้ำ การรับรู้สภาวะน้ำคือการรับรู้สภาวะปรมัตถ์ของธาตุน้ำ เช่นลักษณะเหน็บชาที่เกิด การปวดตามตัว นั่นคือรับรู้สภาวะธาตุน้ำ

การรับรู้สภาวะธาตุลม ไม่ใช่เอาหน้าไปอังพัดลมแล้วรับรู้ลมที่พัดหน้า หรือลมตีหน้าอะไรแบบนั้น แต่รับรู้สภาวะธาตุลมโดยอาการไหว โคลงเคลง หน้ามืด ตาลาย นั่นคือรับรู้สภาวะธาตุลม

และธาตุไฟ คือ อุณหภูมิ จะหยิบจับอะไรลองสังเกตุดูธรรมชาติ มีอะไรในจักรวาลนี้ถ้าจับแล้วไม่บังเกิดอุณหภูมิ เป็นถานะที่เป็นไปไม่ได้ จับเหล็ก เหล็กก็มีอุณหภูมิ จับตัวตนก็มีอุณหภูมิ ไม่ใช่ธาตุไฟ แล้วเอาไม้ขีดมาจุดไฟให้บังเกิดไฟแล้วเรียกธาตุไฟนะครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2015, 01:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


การรับรู้สภาวะต่างๆก็ต้องอาศัยจิตนั่นเอง

คุณต้มน้ำร้อนเทใส่ถ้วย ทำไมไม่กล้าเอานิ้วจุ่มน้ำร้อนนั้น เพราะในน้ำร้อนประกอบด้วยธาตุทั้ง4 รวมทั้งธาตุไฟด้วย เอามือจุ่มน้ำเย็น คุณไม่ได้รับรู้สภาวะธาตุน้ำนะครับ เพราะความเย็นนั้นเป็นธาตุไฟที่แสดงสภาวะชัดแจ้งกว่า คุณรู้สึกเย็น นั่นเท่ากับคุณกำลังรับรู้สภาวะธาตุไฟอยู่ ไม่ใช่ธาตุน้ำ และถ้าเอามือคนน้ำแล้วรู้สึกหนืดกว่าแกว่งมือในอากาศ คุณกำลังรับรู้สภาวะธาตุดินอยู่ แล้วอาการแสบมือเพราะความเย็นของน้ำนั่นแหละคือสภาวะธาตุน้ำ

ซึ่งทั้งหมดก็ต้องอาศัยจิตเป็นผู้รู้

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2015, 07:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


จากความรู้หลายๆอย่าง...ทั้งทางโลกและทางธรรม

ผมมีความเห็นว่า...

มนุษย์เรา...รับรู้สิ่งภายนอกผ่านทาง เครื่องมือ..ผ่านทางอายตนะ 5..(อวัยวะซึ่งเป็นวัตถุ)...

ในอะตอม...ประกอบด้วย...นิวเคลียสอยู่ตรงกลางโดยมีอิเล็คตรอนวิ่งอยู่รอบๆ.....ในนิวเคลียสก็ยังประกอบด้วยโปรตอน.+.นิวตรอน...มาทุกวันนี้....ก็ยังค้นพบต่อไปอีกว่า...ในนิวเคลียสยังมีส่วนที่เล็กกว่าโปรตอนและนิวตรอน...ที่เชื่อมให้อนุภาคโปรตอนและนิวตรอนอยู่ด้วยกันได้...มีทั้งอนุภาคกลูซอน...ควาร์ก...เรื่อยไปจนถึงเล็กที่สุด(เท่าที่พบ...ณ...ปัจจุบัน)..คือ..อนุภาคฮิงก์

เรื่อง..ชื่อ...เป็นสิ่งสมมุติเรียก...ถ้าเป็นคนไทยเจอ..คงได้ชื่อต่างไปจากนี้..เช่น..ละมุมพันธ์...เป็นต้น

แต่..ให้เรารู้ว่า...สิ่งที่เล็กที่สุดคืออะตอม...ที่ประสาทสัมผัสเรารับรู้ไม่ได้..ก็ยังมีสิ่งที่เล็กไปกว่านั้นอีก...ทำนายว่าต่อไปก็จะพบส่วนประกอบที่เล็กลงไปเรื่อยๆ...จนถึงจุดหนึ่ง...คือจุด...ไม่มีอะไรแต่มี(จุด 0 1 จุดมีและไม่มี)...ภาษาคณิตศาสตร์เรียก...จุด..อินฟินิตี่..

จากที่มนุษยเรา...รับสัมผัสผ่านทางอวัยวะ(อายตนะ5)...รูปที่รับรู้ได้จึงเป็นเพียง...สภาวะ...คือ...เย็นร้อนอ่อนแข็ง....เรียกรูปปรมัตถ์...โดยเอาเกณท์ที่รับได้มาวัด

ในอะตอม...หนึ่งอะตอม...จะมีอนุภาคหยาบจึงแข็ง..ส่วนอนุภาคละเอียดลงมาที่เชื่อมประสาน..และพลังงานค้ำจุนทุกๆส่วนมี...
จะเห็นว่ามีธาตุ4 ครบ...คือ..ดินส่วนที่แข็ง...ส่วนของอ่อนคือน้ำ..ลม และส่วนของพลังงานคือไฟ......

ที่..สิ่งเหล่านี้...ละเอียดเกินจักษุวิญญาณจะเห็นได้...มีเพียงกายวิญญาณรู้โผฏฐัพพะ..ที่พอจะรับรู้ได้...แต่ก็รู้เพียงสภาวะ...ของมันเท่านั้น

แม้แต่ธาตุ4...เมื่อลงละเอียดไปแล้ว...ก็จะพบว่า...ธาตุดินก็ประกอบด้วย...สิ่งที่..มีกับว่าง..หรือ.. 0 1
ธาตุน้ำ..ลม..ก็มี...สิ่งที่..มีกับว่าง...ในธาตุไฟ..ก็มีสิ่งที่..มีกับว่าง..หรือ..0 1 เหมือนๆกันเป็นฐานของทุกสิ่ง

และก็ตามกฎไตรลักษณ์....สิ่งที่..มี(เกิด)...เมื่อไร...ก็ต้องมีสลายไปเมื่อนั้น...นี้งียครับ...ที่ทุกสิ่งในวัฏฏะสงสารนี้..จึงไม่นิ่ง...ไม่มีเสถียรภาพ..ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปที่สุด

ตัว 1 คือตัว...มี...ต้องสลาย...ซึ่งก็ทิ้งเหลืออีกตัวใว้เสมอ...คือ...0

ของ..0..ของว่าง...ของไม่มี....จุดอินฟินิตี่...จึงเป็นของที่มีอยู่จริง...ไม่เปลี่ยนแปลง...ไม่เกิด...ไม่สลาย...เป็นของเดิม

ที่เขาพูดว่า...พุทธะ..หรือ..นิพพานมีอยู่กับตัวเราอยู่แล้ว..ไม่ต้องหามาเพิ่มจากที่ไหน...นั้นจึงเป็นเรื่องจริง...วิทยาศาสตร์...พุทธะศาสตร์...มีความจริงเป็นจุดเดียวกัน...แต่วิทยาศาสตร์เข้าถึงจุดนั้นไม่ได้..เท่านั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2015, 11:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2011, 13:22
โพสต์: 79


 ข้อมูลส่วนตัว


อุปมาต่อ นะครับ ถ้าจิตประภัสสร (บริสุทธิ์) ถูกห่อหุุ้มด้วย อวิชชา(เป็นอิเล็คตรอน) มีกำลังคือความอยาก3 เป็นตัวยึด แสดงออกเป็นสีสัน คือ โทสะ โมหะ โลภะ เราต้องใช้กำลังในการปลดปล่อยอิเลคตรอนอวิชชาอย่างมหาศาล
ถ้าปลดปล่อยอวิชชาได้สำเร็จ เราจะเห็นจิตประภัสสร แต่ถ้าไม่ปล่อยคำว่า เรา ในสังโยช 8มานะ และ 9 คีอความฟุ้งซานในธรรม
เราจะเห็นแต่จิตประภัสสร เป็นอย่างไร
อุปมา นะครับไม่จริงจัง 55


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2015, 14:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
จากความรู้หลายๆอย่าง...ทั้งทางโลกและทางธรรม

ผมมีความเห็นว่า...

มนุษย์เรา...รับรู้สิ่งภายนอกผ่านทาง เครื่องมือ..ผ่านทางอายตนะ 5..(อวัยวะซึ่งเป็นวัตถุ)...

ในอะตอม...ประกอบด้วย...นิวเคลียสอยู่ตรงกลางโดยมีอิเล็คตรอนวิ่งอยู่รอบๆ.....ในนิวเคลียสก็ยังประกอบด้วยโปรตอน.+.นิวตรอน...มาทุกวันนี้....ก็ยังค้นพบต่อไปอีกว่า...ในนิวเคลียสยังมีส่วนที่เล็กกว่าโปรตอนและนิวตรอน...ที่เชื่อมให้อนุภาคโปรตอนและนิวตรอนอยู่ด้วยกันได้...มีทั้งอนุภาคกลูซอน...ควาร์ก...เรื่อยไปจนถึงเล็กที่สุด(เท่าที่พบ...ณ...ปัจจุบัน)..คือ..อนุภาคฮิงก์

เรื่อง..ชื่อ...เป็นสิ่งสมมุติเรียก...ถ้าเป็นคนไทยเจอ..คงได้ชื่อต่างไปจากนี้..เช่น..ละมุมพันธ์...เป็นต้น

แต่..ให้เรารู้ว่า...สิ่งที่เล็กที่สุดคืออะตอม...ที่ประสาทสัมผัสเรารับรู้ไม่ได้..ก็ยังมีสิ่งที่เล็กไปกว่านั้นอีก...ทำนายว่าต่อไปก็จะพบส่วนประกอบที่เล็กลงไปเรื่อยๆ...จนถึงจุดหนึ่ง...คือจุด...ไม่มีอะไรแต่มี(จุด 0 1 จุดมีและไม่มี)...ภาษาคณิตศาสตร์เรียก...จุด..อินฟินิตี่..

จากที่มนุษยเรา...รับสัมผัสผ่านทางอวัยวะ(อายตนะ5)...รูปที่รับรู้ได้จึงเป็นเพียง...สภาวะ...คือ...เย็นร้อนอ่อนแข็ง....เรียกรูปปรมัตถ์...โดยเอาเกณท์ที่รับได้มาวัด

ในอะตอม...หนึ่งอะตอม...จะมีอนุภาคหยาบจึงแข็ง..ส่วนอนุภาคละเอียดลงมาที่เชื่อมประสาน..และพลังงานค้ำจุนทุกๆส่วนมี...
จะเห็นว่ามีธาตุ4 ครบ...คือ..ดินส่วนที่แข็ง...ส่วนของอ่อนคือน้ำ..ลม และส่วนของพลังงานคือไฟ......

ที่..สิ่งเหล่านี้...ละเอียดเกินจักษุวิญญาณจะเห็นได้...มีเพียงกายวิญญาณรู้โผฏฐัพพะ..ที่พอจะรับรู้ได้...แต่ก็รู้เพียงสภาวะ...ของมันเท่านั้น

แม้แต่ธาตุ4...เมื่อลงละเอียดไปแล้ว...ก็จะพบว่า...ธาตุดินก็ประกอบด้วย...สิ่งที่..มีกับว่าง..หรือ.. 0 1
ธาตุน้ำ..ลม..ก็มี...สิ่งที่..มีกับว่าง...ในธาตุไฟ..ก็มีสิ่งที่..มีกับว่าง..หรือ..0 1 เหมือนๆกันเป็นฐานของทุกสิ่ง

และก็ตามกฎไตรลักษณ์....สิ่งที่..มี(เกิด)...เมื่อไร...ก็ต้องมีสลายไปเมื่อนั้น...นี้งียครับ...ที่ทุกสิ่งในวัฏฏะสงสารนี้..จึงไม่นิ่ง...ไม่มีเสถียรภาพ..ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปที่สุด

ตัว 1 คือตัว...มี...ต้องสลาย...ซึ่งก็ทิ้งเหลืออีกตัวใว้เสมอ...คือ...0

ของ..0..ของว่าง...ของไม่มี....จุดอินฟินิตี่...จึงเป็นของที่มีอยู่จริง...ไม่เปลี่ยนแปลง...ไม่เกิด...ไม่สลาย...เป็นของเดิม

ที่เขาพูดว่า...พุทธะ..หรือ..นิพพานมีอยู่กับตัวเราอยู่แล้ว..ไม่ต้องหามาเพิ่มจากที่ไหน...นั้นจึงเป็นเรื่องจริง...วิทยาศาสตร์...พุทธะศาสตร์...มีความจริงเป็นจุดเดียวกัน...แต่วิทยาศาสตร์เข้าถึงจุดนั้นไม่ได้..เท่านั้นเอง


ปัญหาของนักวิทยาศาสตร์คือ ต้องการพิสูจน์ธรรมชาติว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้มีอยู่จริง แม้จะเล็กหรือใหญ่แค่ไหนก็พร้อมที่จะหาทางพิสูจน์ให้ได้ด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ ก็คือความเห็นของคนที่ยึดมั่นว่านี่สัตว์สิ่งของบุคคลตัวเราตัวเขา สิ่งนั้นมี สิ่งนี้มี

ส่วนพุทธศาสนาก็ให้ความหมายของธรรมชาติว่า ไม่มี สัตว์ สิ่งของ บุคคล ตัวเรา ตัวเขา แต่ธรรมชาตินั้นล้วนอาศัยเหตุปัจจัยปรุงแต่ง หาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้

ความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ จึงสวนทางกับความเห็นของพุทธศาสนาอย่างเห็นได้ชัดเจน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2015, 14:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อมันตรา เขียน:
อุปมาต่อ นะครับ ถ้าจิตประภัสสร (บริสุทธิ์) ถูกห่อหุุ้มด้วย อวิชชา(เป็นอิเล็คตรอน) มีกำลังคือความอยาก3 เป็นตัวยึด แสดงออกเป็นสีสัน คือ โทสะ โมหะ โลภะ เราต้องใช้กำลังในการปลดปล่อยอิเลคตรอนอวิชชาอย่างมหาศาล
ถ้าปลดปล่อยอวิชชาได้สำเร็จ เราจะเห็นจิตประภัสสร แต่ถ้าไม่ปล่อยคำว่า เรา ในสังโยช 8มานะ และ 9 คีอความฟุ้งซานในธรรม
เราจะเห็นแต่จิตประภัสสร เป็นอย่างไร
อุปมา นะครับไม่จริงจัง 55


อุปมาอย่างนี้ก็มีความหมายถึงความมี ตัวตน อยู่ดีครับ

ต้องแสดงสถานะครับว่าความไม่มีเรามีเขาเป็นสภาวะอย่างไร

ต่อให้ยกตัวอย่างอะตอม อิเลคตรอน มันก็คือความเห็นของคนที่ยึดถือว่ามีตัวตนอยู่ดีครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2015, 20:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
asoka เขียน:
:b20:
อย่าเอาแค่พลังสติ

ให้เพิ่มและเน้นพลังปัญญา ควบคู่ไปกับสติให้มากๆนะครับ

อย่าลืมปัญญา

และกองหนุนสำคัญคือ. "ความเพียรทำจริง"

"วิริเยนะ ทุกขมัจเจติ.........คน ล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร"

ธรรมอย่างอื่นเขาจะมาประชุมช่วยกันเองโดยอัตโนมัติเมื่อพญามโนเจตราชเอาปัญญานำหน้า
:b39:


ก็ตัว "สติสัมปชัญญะ" นี่ไง
สติเหมือน ธง สัมปชัญญะ เหมือนคนถือธง (สัมปชัญญะคือตัวปัญญา)
บุคคลเมื่อเข้าถึงอิทธิบาท ๔ จะทำอะไรที่ไม่สำเร็จนั้นเป็นไม่มี

s004
คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าใจลำดับและความสำคัญของสัมปชัญญะ เพราะพากันเน้นสติเสียจนเกินพอดี

มรรคทั้ง 8 ต้องเดินควบคู่กันไป เป็นเหตุปัจจัย สนับสนุนกันไปอย่างเหมาะสมกลมกลืน อย่าไปเน้นอันใดเสียจนโด่ดังบังธรรมอื่นไม่ให้ทำงานได้เต็มที่

คนคนหนึ่งจะเดินทางไปให้ถึงวัดพระแก้วมรกต ต้องให้ความสำคัญกับอวัยวะทั้ง 32 ประการอย่างครบถ้วน ใช้งานมันให้ตรงตามหน้าที่ ยกตัวอย่างไปเน้น ตา แต่ถ้าแข้งขาไม่ยอมพาไปก็ยากจะถึงที่หมายได้ ดังนี้เป็นต้น

ต้องสมดุลย์ ธรรมทุกอย่างต้องมาประชุมช่วยกันอย่างได้สัดส่วนและสมดุลย์
onion
อนึ่ง ปัญญาเปรียบเหมือนพระราชา สติ สมาธิ และธรรมอื่นเปรียบเหมือนอำมาตย์ข้าราชบริพารที่มาห้อมล้อมอำนวยควมสะดวกนำพระราชากลับสู่พระราชวัง ต้องเปรียบเทียบตามระดับความสำคัญของงานอย่างนี้นะครับลุงหมาน
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2015, 07:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าใจลำดับและความสำคัญของสัมปชัญญะ เพราะพากันเน้นสติเสียจนเกินพอดี

มรรคทั้ง 8 ต้องเดินควบคู่กันไป เป็นเหตุปัจจัย สนับสนุนกันไปอย่างเหมาะสมกลมกลืน อย่าไปเน้นอันใดเสียจนโด่ดังบังธรรมอื่นไม่ให้ทำงานได้เต็มที่

คนคนหนึ่งจะเดินทางไปให้ถึงวัดพระแก้วมรกต ต้องให้ความสำคัญกับอวัยวะทั้ง 32 ประการอย่างครบถ้วน ใช้งานมันให้ตรงตามหน้าที่ ยกตัวอย่างไปเน้น ตา แต่ถ้าแข้งขาไม่ยอมพาไปก็ยากจะถึงที่หมายได้ ดังนี้เป็นต้น

ต้องสมดุลย์ ธรรมทุกอย่างต้องมาประชุมช่วยกันอย่างได้สัดส่วนและสมดุลย์

อนึ่ง ปัญญาเปรียบเหมือนพระราชา สติ สมาธิ และธรรมอื่นเปรียบเหมือนอำมาตย์ข้าราชบริพารที่มาห้อมล้อมอำนวยควมสะดวกนำพระราชากลับสู่พระราชวัง ต้องเปรียบเทียบตามระดับความสำคัญของงานอย่างนี้นะครับลุงหมาน



สตินั้นจะไม่มีคำว่าเกินมีแต่ว่าไม่พอ เจตสิก ๕๒ ดวงนั้นจะมีกับเราอยู่ครบ (ยกเว้นพระอริยะ)
เพียงแต่ว่าเจตสิกดวงไหนทำงานเด่นชัด ส่วนที่เหลือก็ลองๆลงไป หรืออาจไม่ได้นำขึ้นมาใช้เลย

ถ้าจะอุปมาเหมือนช่างซ่อมรถ ช่างจะตระเตรียมเครื่องมือสำหรับรถไว้พร้อม
ไว้ในกล่องเครื่องมือซ่อม (เหมือนเจตสิกทั้ง ๕๒ ดวง ) เมื่อสำรวจเห็นว่ารถนั้นจะต้องใช้
เครื่องมืออันใดก็จะหยิบเครื่องมือนั้นมาใช้

ส่วนที่เหลือยังไม่จำเป็นจะใช้ก็จะอยู่ในกล่องเครื่องมือ และก็พร้อมจะใช้ต่อไปในคราวต่อไป
เครื่องมือที่ใช้อันแรกหมดหน้าที่ก็ถูกวางลง อันไหนถูกนำมาใช้อันนั้นแหละจะเด่นทันที
มันจะไม่เด่นพร้อมกัน มันจะเป็นอย่างนี้นะอโสกะ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2015, 10:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2011, 13:22
โพสต์: 79


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณ ลุงหมานครับ ที่อุปมาได้ชัดเจน
ต่อนะครับ รูปที่ว่าแข็งที่สุด คือเพชร ประกอบด้วย อะตอม คาร์บอน 6 อะตอมมีโครงสร้างทางเคมีเป็นรูป
หกเหลี่ยม เหตุที่ทำให้เกิดเป็นเพชรนั้นต้องใช้แรงกดดันสูงและใช้เวลายาวนาน เปรียบเหมือนกับจิตที่เป็นธาตุคาร์บอน ถ้าจะทำให้ธาตุจิตเป็นเพชรหรือจิตประภัสสรได้ ต้องใช้เวลา และ แรงกดดันสูง บีบเอากิเลส ตัณหา อวิชชา ออกจากใจได้หมดจดเสียก่อน จึงจะรู้ว่าอ้อ นี้จิตประภัสสรมันเป็นอย่างนี้ ถ้าคนที่มี อวิชชา
กิเลส ตัณหา อย่างผมคงจะไม่เห็นจิตประภัสสรอย่างถูกต้อง ที่ทราบว่ามีจิตประภัสสรก็แต่ได้ศึกษามาเท่านั้นแล้วอุปมาให้เห็นเท่านั้น ผิดถูกขออภัยท่านผู้รู้ด้วยนะครับ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2015, 06:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


อมันตรา เขียน:
ขอบคุณ ลุงหมานครับ ที่อุปมาได้ชัดเจน
ต่อนะครับ รูปที่ว่าแข็งที่สุด คือเพชร ประกอบด้วย อะตอม คาร์บอน 6 อะตอมมีโครงสร้างทางเคมีเป็นรูป
หกเหลี่ยม เหตุที่ทำให้เกิดเป็นเพชรนั้นต้องใช้แรงกดดันสูงและใช้เวลายาวนาน เปรียบเหมือนกับจิตที่เป็นธาตุคาร์บอน ถ้าจะทำให้ธาตุจิตเป็นเพชรหรือจิตประภัสสรได้ ต้องใช้เวลา และ แรงกดดันสูง บีบเอากิเลส ตัณหา อวิชชา ออกจากใจได้หมดจดเสียก่อน จึงจะรู้ว่าอ้อ นี้จิตประภัสสรมันเป็นอย่างนี้ ถ้าคนที่มี อวิชชา
กิเลส ตัณหา อย่างผมคงจะไม่เห็นจิตประภัสสรอย่างถูกต้อง ที่ทราบว่ามีจิตประภัสสรก็แต่ได้ศึกษามาเท่านั้นแล้วอุปมาให้เห็นเท่านั้น ผิดถูกขออภัยท่านผู้รู้ด้วยนะครับ..


ถ้าถามทางด้านวิทยาศาสตร์ โทษทีครับหูไม่กระดิกเลย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2015, 11:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ม.ค. 2011, 09:13
โพสต์: 73


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อย่าเอาแค่พลังสติ

ให้เพิ่มและเน้นพลังปัญญา ควบคู่ไปกับสติให้มากๆนะครับ

อย่าลืมปัญญา

และกองหนุนสำคัญคือ. "ความเพียรทำจริง"

"วิริเยนะ ทุกขมัจเจติ.........คน ล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร"

ธรรมอย่างอื่นเขาจะมาประชุมช่วยกันเองโดยอัตโนมัติเมื่อพญามโนเจตราชเอาปัญญานำหน้า


:b8: :b8: :b8: :b8: :b8:
ความเห็นส่วนตัว สติเป็นเครื่องระลึก เพราะจิตมีดวงเดียวอารมย์เกิดได้ที่ละ 1 ดวง เมือ่มีสติแล้ว นิวรย์ก็หายไป แล้วก็เกิดตามเหตุปัจจัย วนเวียนอยู่ สำหรับผู้ไม่พ้นจากนิวรย์ ส่วนปัญญา เป็นส่วนทำให้จิตรู้เข้าถงว่า นิวรย์เป็นโจรร้าย ไม่ให้เข้า เมื่อมีปัญญาหนาแน่นเข้า ก็รู้ในจิตว่า นิวรย์เป็นความชั่วไม่สมควรไปเกลือกกลั้วด้วย จิตตั้งมั่นมากขึ้น เป็นโลกียฌาณ หรือ โลกุตระฌาณ อันนิวรย์นี้หากเปรียบท่านว่าเป็นส่วนหยาบ ยังไม่ละเอียด ทำไมจิตจึงมีนิวรย์ เพราะจิตมีกิเลสนอนเนื่องอยู่ในจิตประกอบกับเกิดอวิชชาไม่รู้ว่ามีกิเลสนอนเนื่องอยู่ในจิต(ส่วนนี้เป็นส่วนละเอียด) จึงมีนิวรย์แทรกเป็นขณะๆ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 48 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร