วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 22:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2015, 15:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


กรรมดีหรือชั่วถ้าได้ทำลงไปแล้ว ถึงแม้คนอื่นจะไม่รู้เรื่องที่เราทำ ตัวเรานั้นแหละรู้ตัวเองดีที่สุด ถึงจะโกหกคนทั้งโลกได้ แต่เราจะโกหกความจริงไม่ได้ ปากคนเราพูดจริงพูดเท็จได้ แต่จิตไม่เคยบอกเท็จในเรื่องกรรม พอตายไปแล้วยมบาลไม่ต้องถามให้ยาก จิตเราที่บันทึกกรรมดีชั่วจะอธิบายบอกเล่าให้ฟังเอง


...หลวงปู่ชอบ ฐานสโม...


อัมพชาดก
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
พระปรารภพระเทวทัต ได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อาหาสิ
เม อมฺพผลานิ ปุพฺเพ ดังนี้.

ความพิสดารว่า พระเทวทัตบอกคืนอาจารย์ว่า เราจักเป็นพระพุทธเจ้า
พระสมณโคดมมิใช่อาจารย์ มิใช่พระอุปัชฌาย์ของเราเลย เสื่อมจากฌาน ทำลาย
สงฆ์ กำลังมาสู่กรุงสาวัตถีโดยลำดับ เมื่อแผ่นดินให้ช่องเข้าไปอเวจีมหานรก
ภายนอกพระวิหารพระเชตวัน. ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรม
สภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัตบอกคืนอาจารย์เสียถึงความพินาศใหญ่
บังเกิดในอเวจีมหานรก. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้
ทรงทราบแล้วจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ใน
กาลก่อนพระเทวทัตก็บอกคืนอาจารย์เสีย ถึงความพินาศใหญ่แล้วเหมือนกัน
ดังนี้แล้วจึงทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาล ครั้งเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ กรุง
พาราณสี ตระกูลแห่งปุโรหิต ของพระเจ้าพรหมทัตพระองค์นั้น พินาศไป
ด้วยอหิวาตกโรค. บุตรชายคนหนึ่งทำลายฝาเรือนหนีไปได้ เขาไปกรุงตักกศิลา
เรียนไตรเพทและศิลปะที่เหลือ ในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ กราบลาอาจารย์
เมื่อจะออกไปคิดว่า เราต้องรู้จักขนบธรรมเนียมของประเทศ จึงเที่ยวไปถึง
เมืองชายแดนเมืองหนึ่ง. หมู่บ้านจัณฑาลหมู่ใหญ่ ได้อาศัยเมืองนั้นอยู่ ใน
กาลนั้น พระโพธิสัตว์อาศัยบ้านนั้นอยู่ เป็นบัณฑิตเฉลียวฉลาด รู้มนต์ที่จะ
ทำให้มะม่วงมีผลในเวลามิใช่ฤดูกาลได้. ท่านลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ คว้าหาบออกไป
จากบ้านนั้น เข้าไปใกล้ต้นมะม่วงต้นหนึ่งในป่า หยุดยืนอยู่ในระยะที่สุด ๗
ก้าวร่ายมนต์นั้น สาดต้นมะม่วงด้วยน้ำซองมือหนึ่ง. ในขณะนั้นนั่นเอง ใบ
แก่ ๆ ก็ร่วงหล่นลงจากต้น แตกใบอ่อน ออกดอกแล้วร่วงลง ผลมะม่วงก็มีขึ้น
โดยครู่เดียวเท่านั้นก็สุก มีโอชาหวานเช่นเดียวกับมะม่วงทิพย์ แล้วก็หล่นจาก
ต้น. พระมหาสัตว์เก็บผลเหล่านั้น เคี้ยวกินจนพอความต้องการ เก็บจนเต็ม
หาบ ไปสู่เรือนขายมะม่วงเหล่านั้นเลี้ยงลูกเมีย. พราหมณ์กุมารนั้นเห็นพระ-
มหาสัตว์ ผู้นำผลมะม่วงมาในเวลามิใช่ฤดูกาลมาขาย จึงคิดว่า ไม่ต้องสงสัยละ
อันผลมะม่วงเหล่านั้นต้องเกิดขึ้นด้วยกำลังของมนต์ อาศัยบุรุษนี้เราจักได้มนต์
อันหาค่ามิได้นี้ คอยกำหนดจับลู่ทางที่พระมหาสัตว์นำผลมะม่วงมา ก็รู้แน่นอน
เมื่อท่านยังไม่มาจากป่า ได้ไปสู่เรือนของท่าน เป็นเหมือนไม่รู้ ถามภรรยา
ของท่านว่า ท่านอาจารย์ไปไหน ครั้นภรรยาท่านตอบว่าไปป่า จึงยืนรอ
ท่านอยู่ พอเห็นท่านมาก็ต้อนรับ รับหาบจากมือนำมาวางไว้ในเรือน.

พระโพธิสัตว์มองดูเขา กล่าวกะภรรยาว่า นางผู้เจริญ มาณพนี้มา
เพื่อต้องการมนต์ แต่มนต์จะไม่ตั้งอยู่ในกำมือเขาได้ เพราะเขาเป็นอสัตบุรุษ
ฝ่ายมาณพคิดว่า เราต้องบำเพ็ญอุปการะแก่อาจารย์จึงจะได้มนต์นี้ ตั้งแต่นั้นมา
กระทำกิจทุกอย่างในเรือนของท่าน หาฟืน ซ้อมข้าว หุงข้าว ให้น้ำล้างหน้า
เป็นต้น ล้างเท้า. วันหนึ่งเมื่อพระมหาสัตว์กล่าวว่า พ่อมาณพ เธอจงให้เครื่อง
หนุนเท้าเตียงเถิด เขามองไม่เห็นสิ่งอื่น ก็เลยเอาเท้าเตียงวางบนขานั่งอยู่ตลอด
ราตรี. ครั้นกาลต่อมา ภรรยาของพระมหาสัตว์คลอดบุตร ได้กระทำบริกรรม
ในเวลาคลอดบุตรแก่นาง. วันหนึ่งนางจึงกล่าวแก่พระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่นาย
มาณพนี้แม้จะสมบูรณ์ด้วยชาติ ก็ยังยอมกระทำการช่วยเหลือเรา ด้วยต้องการ
มนต์ ขอมนต์จงตั้งอยู่ในกำมือของเขาหรืออย่าตั้งอยู่ก็ตามเถิด ท่านโปรดให้
มนต์แก่เขาเถิด. ท่านรับคำว่า ดีละ แล้วให้มนต์แก่เขา กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อเอ๋ย
มนต์หาค่ามิได้ ลาภสักการะอันใหญ่หลวงจักมีแก่เจ้าเพราะอาศัยมนต์นี้ ใน
เวลาที่เจ้าถูกพระราชาหรือมหาอำมาตย์ของพระราชาถามว่า ใครเป็นอาจารย์
ของเจ้า เจ้าอย่าข่มเราเสียนะ ถ้าหากเจ้าอดสูว่าคนจัณฑาลเป็นอาจารย์ของเรา
เราเรียนมนต์จากสำนักของคนจัณฑาลนั้น จักกล่าวเสียว่า พราหมณ์ผู้มหาศาล
เป็นอาจารย์ของเราไซร้ ผลของมนต์นี้จักไม่มีเลย เขากล่าวว่า เหตุไรผมจัก
ต้องข่มขี่เล่า ในเวลาที่ใคร ๆ ถาม ผมต้องบอกอ้างท่านเท่านั้น แล้วกราบลา
ท่านออกไปจากบ้านคนจัณฑาล ทดลองมนต์แล้ว บรรลุถึงกรุงพาราณสี
โดยลำดับ ขายมะม่วงได้ทรัพย์มาก.






"..เห็นความผิดของคนอื่น ให้หารด้วย 10
เห็นความผิดตัวเอง ให้คูณด้วย 10
จึงจะใกล้เคียงกับความจริง และยุติธรรม.."

หลวงปู่ชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี


เหนื่อยทางธรรมเพื่อหาทางออก ยังมีวันสิ้นสุด แต่เหนื่อยหาทางโลกไม่มีวันสิ้นสุด เกิดมาแล้วก็ตายไป ความสุขที่ได้เพียงเล็กน้อย บนโลกนี้ เมื่อเทียบกับทุกข์... ไม่คุ้มค่ากับที่ได้รับในแต่ละชาติ

...หลวงพ่อทูล ขิปปปัญโญ...




การพิจารณาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม..

พิจารณากายของเรามีอาการ ๓๒ กายนั่งก็เอาความรู้สึกมาไว้ที่กายนั่ง กายเดินก็เอาความรู้สึกมาไว้ที่ความเคลื่อนไหวก้าวไปก้าวมา กายนอนก็พิจารณาอาการนอนของกาย กายทำอะไรเราก็พิจารณา กายกิน กายเดิน กายนั่ง กายนอน เอาจิตจับไว้กับกาย ความรู้สึกก็ตามอยู่กับกายตลอดเวลา หลับตาลืมตาโยกโคลง จิตก็อยู่กับกาย จิตก็มีสติ เมื่อมีสติติดต่อไปนานๆ ก็เป็นสมาธิขึ้นมาทันที


ตรงที่เป็นสมาธินี่เราจึงรู้ว่า อานิสงส์ของการทำความรู้กับกายนี้ทำให้จิตของเราสงบ เมื่อเห็นกายมากๆ ขึ้นมาก็เห็นทุกข์ของกาย เห็นทุกข์ของใจ จิตก็เกิดขึ้น เวลาเราคิดอะไรเราก็ทันจิตตัวเอง เรียกว่า รู้จิตเห็นจิต

จิตมีเวทนา สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ รู้สุขรู้ทุกข์เขาเรียกว่า รู้เวทนา เวทนานี่มีทั้งภายในและภายนอก เวทนาภายนอก ก็คือ เวทนาทางกาย เช่น กายเป็นสุขเป็นทุกข์ กายร้อนกายหิวกายกระหาย กายปวดเมื่อย ส่วนเวทนาภายใน คือ เวทนาทางใจ จิตเป็นสุขก็สุขเวทนา จิตเป็นทุกข์ก็ทุกขเวทนา จิตวางเฉยก็เป็นอุเบกขาเวทนา พระพุทธองค์ท่านให้พิจารณาหมดเลย ถ้าเราจะศึกษาให้เกิดปัญญาก็พิจารณาอย่างนี้ปฏิบัติจึงจะเกิดปัญญา เห็นเวทนาภายในบ้าง เห็นเวทนาภายนอกบ้าง เกิดแล้วก็ดับ ไม่มีอะไรตั้งอยู่ได้สักอย่างเดียว เสียงก็ดี รูปก็ดี ความคิดนึกก็ดี ก็มีเรื่องเกิดๆ ดับๆ อยู่ในจิตของเรา

เมื่อพิจารณามากๆ ก็รู้จิตเห็นจิตมากขึ้น รู้ธรรมเห็นธรรมมากขึ้น จิตภายในคิดเรื่องปรุงแต่งคิดนึกต่างๆ เห็นจิตภายนอกก็ท่องเที่ยวไปในเรื่องราวต่างๆ เรียกว่า รู้ทันจิตตัวเอง คิดไปถึงไหนก็รู้ถึงนั่น ดับที่จิตเกิดที่จิตก็รู้จิตภายใน ก็เห็นธรรม ธรรมที่เสื่อมไปบ้าง ธรรมที่เจริญบ้าง เรียกว่าธรรมารมณ์ที่เกิดกระทบใจ ธรรมเทศนาที่เกิดขึ้นในใจก็เกิดขึ้น เห็นสุขเห็นทุกข์ เห็นบุญเห็นบาป เห็นความเปลี่ยนแปลงไม่แน่ไม่เที่ยง พิจารณาธรรมในจิตที่เกิดขึ้นได้รู้ได้เห็น

ปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ก็ทำให้เรารู้เรื่องมรรคองค์ ๘ รู้เรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้าว่ามีจริง พุทธศาสนานี่พอปฏิบัติแล้วจะเห็น อ๋อ...นี่เรื่องจริง พระพุทธเจ้าได้ผ่านพบสิ่งนี้จริงจึงได้สอนไว้ ถึงเราจะไม่เจอองค์พระพุทธเจ้า แต่เราก็เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง เพราะธรรมอันนี้ปฏิบัติแล้วก็พบธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ ทำแล้วก็เกิดเทศนาขึ้นในใจเรา ไม่ใช่นั่งไม่รู้อะไร นั่งแล้วกลับรู้ ยิ่งนั่งยิ่งรู้ ยิ่งนั่งยิ่งเห็น ยิ่งปฏิบัติยิ่งเพลิดเพลิน มีความสุขสงบ มันไม่ใช่เป็นคนเดิม พอเป็นอย่างนี้ก็เกิดความปีติพอใจที่ตนเองได้เข้ามาปฏิบัติ เห็นมรรคเห็นผลในใจเรา มีศรัทธาเชื่อมั่นแน่นอนไม่สงสัย การปฏิบัติธรรมก็ต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง จะไปให้ใครมาบอกเราว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ก็ไม่เหมือนเราเห็นเองรู้เอง..

หลวงพ่อสนอง กตปฺญโญ..




ปฏิบัติยาก ไม่ใช่ปฏิบัติไม่ได้
ถ้าค่อยทำ มันก็จะค่อยไป
เหมือนภาษิตที่ว่า
หนทางหมื่นลี้จะไปถึงได้
ก็ด้วยการเริ่มต้น
จากการก้าวทีละก้าว


ดังนั้นยากก็ทำไป ง่ายก็ทำไป แล้วจะสำเร็จเอง

หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย

ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2015, 13:59 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2943


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: rolleyes


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร