วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 11:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2015, 15:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


กำเนิดพระพุทธรูป
พระพุทธรูป หมายถึง รูปที่สร้างขึ้นแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อกราบไหว้บูชา อาจใช้การแกะสลักจากวัสดุต่างๆ เช่น ศิลา งา ไม้ หรือวัสดุอื่นๆ นอกจากนี้ยังอาจใช้การปั้นหรือหล่อด้วยโลหะก็ได้ โดยทั่วไป คำว่า พระพุทธรูปมักจะหมายถึง รูปขนาดใหญ่พอที่จะวางบูชาได้ สำหรับรูปขนาดเล็กมักจะเรียกว่า พระเครื่อง อย่างไรก็ตาม ทั้งสองแบบสามารถเรียกว่า พระพุทธรูป ได้เช่นกัน


“พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน”

พุทธโอวาทก่อนปรินิพพานนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ประทานแก่พระอานนท์ผู้เป็นพระอุปัฏฐากและพระภิกษุ
คราที่ทรงปรงพระชนมายุสังขารออกเดินทางด้วยพระบาท
เปล่าจากปาวาลเจดีย์ไปยังกรุงกุสินาราสถานที่ปรินิพพาน
ตลอดพระชนมชีพ พระพุทธเจ้าหาได้ทรงท้อแท้หรือเหน็ด
เหนื่อยต่อการเผยแพร่ธรรมไม่ยังทรงประกาศพระธรรมอัน
ประเสริฐที่ทรงค้นพบด้วยพระองค์เองแก่พุทธบริษัท4ด้วย
พระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้คราเมื่อพระพุทธองค์
เสด็จมาถึงปาวาลเจดีย์ ได้ประทับอยู่ใต้ต้นไม้ที่มีเงาครึ้ม
ต้นหนึ่งโดยมีพระอานนท์หมอบลงที่พระบาทมูลแล้วทูลว่า...

“ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์อาศัยความกรุณา
แก่ข้าและหมู่สัตว์จงดำรงพระชนมชีพต่อไปอีกเถิดอย่า
เพิ่งด่วนปรินิพพานเลย ”กราบทูลเท่านี้แล้วพระอานนท์
ก็ไม่ทูลอะไรต่อไปอีกเพราะโศกาดูรท่วมท้นหทัย“

อานนท์เอ๋ย ” พระศาสดาตรัสพร้อมทอดทัศนาการไป
เบื้องหน้าอย่างสุดไกลลีลาอันเด็ดเดี่ยวฉายออกมาทาง
พระเนตรและพระพักตร์ “เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ตถาคตกลับ
ใจตถาคตจะต้องปรินิพพานในวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ
อีกสามเดือนข้างหน้านี้ อานนท์เราได้แสดงนิมิตโอภาส
อย่างแจ่มแจ้งแก่เธอพอเป็นนัยมาไม่น้อยกว่า 16 ครั้ง
แล้วว่าคนอย่างเรานี้มีอิทธิบาทภาวนาที่ได้อบรมมาด้วย
ดีถ้าประสงค์จะอยู่ถึงหนึ่งกัปป์หรือมากกว่านั้นก็พออยู่ได้
แต่เธอหาเฉลียวใจไม่ได้ทูลอะไรเราเลยเราตั้งใจไว้ว่าใน
คราวก่อนๆนั้นถ้าเธอทูลให้เราอยู่ต่อไปเราจะห้ามเสียสอง
ครั้งพอเธอทูลครั้งที่สามเราจะรับอาราธนาของเธอแต่
บัดนี้ช้าเสียแล้ว เรามิอาจกลับใจได้อีก ”

“ อานนท์เอ๋ย ” บัดนี้สังขารอันเป็นเหมือนเกวียนชำรุดนี้
เราได้สละแล้วเรื่องที่จะดึงกลับมาอีกครั้งหนึ่งนั้นไม่ใช่
วิสัยแห่งตถาคต....บุคคลย่อมต้องพลัดพรากจากสิ่งที่
รักที่พึงใจเป็นธรรมดาหลีกเลี่ยงไม่ได้ อานนท์เอ๋ย ชีวิต
นี้มีความพลัดพรากเป็นที่สุดสิ่งทั้งหลายมีความแตกดับ
ไปสลายไปเป็นธรรมดาจะปรารถนามิให้เป็นอย่างที่มัน
ควรจะเป็นนั้นเป็นฐานะที่ไม่พึงหวังได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ดำเนินไปเคลื่อนไปสู่จุดสลายตัวทุกขณะ ”

“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ศีลเป็นพื้นฐานที่รองรับคุณอันยิ่ง
ใหญ่ประหนึ่งแผ่นดินเป็นสิ่งที่รองรับและตั้งลงแห่งสิ่ง
ทั้งหลาย เป็นต้นว่าพฤกษาลดาวัลย์มหาสิงขรและสัตว์
จตุบททวิบาทนานาชนิด บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้นใจย่อมอยู่
สบายมีความปลอดโปร่งเหมือนเรือนที่บุคคลปัดกวาด
เช็ดถูเรียบร้อย ปราศจากเรือดและฝุ่นเป็นที่รบกวน ”

“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ศีลนี้เองเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ
คือ ความสงบใจ สมาธิที่มีศีลเป็นเบื้องต้นเป็นสมาธิที่มี
ผลมาก มีอานิสงส์มาก บุคคลผู้มีสมาธิย่อมอยู่อย่างสงบ
เหมือนเรือนที่มีฝาผนังมีประตูหน้าต่างปิดเปิดเรียบร้อย
มีหลังคาป้องกันลม แดดและฝน ผู้อยู่ในเรือนเช่นนี้
ฝนตกก็ไม่เปียกแดดออกก็ไม่ร้อนฉันใด บุคคลผู้มีจิตเป็น
สมาธิก็ฉันนั้น ย่อมสงบอยู่ได้ไม่กระวนกระวายเมื่อลม
แดดและฝนกล่าวคือโลกธรรมแผดเผา กระพือพัดซัดสาด
เข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่าสมาธิอย่างนี้ย่อมก่อให้เกิดปัญญา
ในการฟาดฟันย่ำยี และเชือดเฉือนกิเลสอาสวะให้เบาบาง
และหมดสิ้นไป ”

“ อันว่าจิตนี้เป็นธรรมชาติที่ผ่องใสอยู่โดยปกติ
แต่เศร้าหมองไปเพราะคลุกเคล้าด้วยกิเลสนานาชนิด
ศีลสมาธิและปัญญา เป็นเครื่องฟอกจิตให้ขาวสะอาด
ดังเดิม จิตที่ฟอกด้วยศีล สมาธิและปัญญาย่อมหลุดพ้น
จากอาสวะทั้งปวง ”

“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาทางทั้งหลาย มรรคมีองค์ 8
ประเสริฐที่สุด บรรดาบททั้งหลายบท 4 คืออริยสัจประเสริฐ
ที่สุด บรรดาธรรมทั้งหลาย วิราคะ คือ การปราศจากความ
กำหนัดยินดี ประเสริฐที่สุดบรรดาสัตว์สองเท้า พระตถาคต
เจ้าผู้มีจักษุประเสริฐที่สุด มรรคมีองค์ 8นี่แลเป็นไปเพื่อ
ทัศนะอันบริสุทธิ์ หาใช่ทางอื่นไม่ เธอทั้งหลายจงเดินไป
ตามทางมรรคมีองค์ 8 นี้อันเป็นทางที่ทำมารให้หลงติด
ตามมิได้ เธอทั้งหลายจงตั้งใจปฏิบัติเพื่อทำทุกข์ให้สิ้นไป
ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น เมื่อปฏิบัติดังนี้พวกเธอ
จักพ้นจากมารและบ่วงแห่งมาร"

----------------------------------------------------------------------

“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจงมองดูโลกนี้โดยความเป็น
ของว่างเปล่า มีสติอยู่ทุกเมื่อ ถอนอัตตานุทิฐิ คือความ
ยึดมั่นเรื่องของตนเสีย ด้วยประการฉะนี้เธอจะเบาสบาย
คลายทุกข์คลายกังวลไม่มีความสุขใดยิ่งกว่าการปล่อย
วางและการสำรวมตนอยู่ในธรรม ”

“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่มีความสุขใดเสมอด้วย
ความสงบ ความสุขชนิดนี้สามารถหาได้ด้วยตัวเรานี้
เองตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่น
เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลยมนุษย์ได้สร้างสรรค์
สิ่งต่างๆขึ้นไว้เพื่อให้ตัวเองวิ่งตามแต่ก็ตามไม่เคยทัน
การแสวงหาความสุขโดยปล่อยใจให้ไหลเลื่อนไปตาม
อารมณ์ที่ปรารถนานั้นเป็นการลงทุนที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อย
เหมือนบุคคลลงทุนวิดน้ำในบึงใหญ่เพื่อต้องการปลาเล็กๆ
เพียงตัวเดียวมนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกาม
เรื่องกินและเรื่องเกียรติ จนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่งซึ่งสามารถ
ให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา สิ่งนั้นคือดวงจิตที่ผ่องแผ่ว
เรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรนเรื่องกินเป็นเรื่องที่ต้อง
แสวงหา เรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกไว้ภาระที่ต้อง
แบกเกียรติเป็นเรื่องที่ใหญ่ยิ่งของมนุษย์ผู้หลงตนว่าเจริญ
แล้วในหมู่ชนที่เพ่งแต่ความเจริญทางด้านวัตถุนั้น จิตใจ
ของเขาเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลาไม่เคยประสบความสงบ
เย็นเลย เขายินดีที่จะมอบตัวให้จมอยู่ในคาวของโลก
อย่างหลับหูหลับตาเขาพากันบ่นว่าหนักและเหน็ดเหนื่อย
พร้อมๆกันนั้นเขาได้แบกก้อนหินวิ่งไปบนถนนแห่งชีวิต
อย่างไม่รู้จักวาง”

“ ภายในอาคารมหึมาประดุจปราสาทแห่งกษัตริย์
มีลมพัดเย็นสบายแต่สถานที่เหล่านั้นมักบรรจุไปด้วย
คนที่มีจิตใจเร่าร้อนเป็นไฟอยู่เป็นอันมากภาวะอย่างนั้น
จะมีความสุขสู้ผู้มีใจสงบที่อยู่โคนไม้ได้อย่างไร ”

“ ความสุขนั้นอยู่ที่ความรู้สึกทางใจเป็นสำคัญ อย่างพวก
เธออยู่ที่นี่มีแต่ความพอใจแม้กระท่อมจะมุงด้วยใบไม้
ก็มีความสุขกว่าอยู่ในพระราชฐานอันโอ่อ่าแน่นอนทีเดียว
คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนี้มิใช่คนใหญ่คนโต แต่เป็น
คนที่รู้สึกว่าชีวิตของตนมีความสุขสงบเยือกเย็น ปราศจาก
ความเร่าร้อนกระวนกระวาย ”

“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลาภและยศนั้นเป็นเหยื่อของโลก
ที่น้อยคนนักจะสละละวางได้ จึงแย่งลาภและยศกันอยู่
เสมอเหมือนปลาที่แย่งเหยื่อกันกิน แต่หารู้ไม่ว่าเหยื่อ
นั้นมีเบ็ดเกี่ยวอยู่ด้วยหรือเหมือนไก่ที่แย่งไส้เดือนกัน
จิกตีกัน ทำลายกันจนพินาศกันทั้งสองฝ่าย น่าสังเวช
สลดจิตยิ่งนักถ้ามนุษย์ในโลกนี้ลดความโลภลง มีการ
เผื่อแผ่เจือจานโอบอ้อมอารี ถ้าเขาลดโทสะลง มีความ
เห็นอกเห็นใจกันมีเมตตากรุณาต่อกัน และลดโมหะลง
ไม่หลงงมงาย ใช้เหตุผลในการตัดสินปัญหาและดำเนิน
ชีวิตโลกนี้จะน่าอยู่อีกมาก แต่ช่างเขาเถิดหน้าที่โดยตรง
และเร่งด่วนของเธอ คือ ลดความโลภความโกรธและความ
หลงของเธอเองให้น้อยลง แล้วจะประสบความสุขเยือกเย็น
ขึ้นมาก เหมือนคนลดไข้ได้มากเท่าใดความสบายกายก็มี
มากขึ้นเท่านั้น ”

“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ยิ่งเจริญก็ดูเหมือน
จะมีเสรีภาพน้อยลงทั้งทางกายและทางใจดูแล้ว
ความสะดวกสบายและเสรีภาพของมนุษย์ยังสู้สัตว์
เดรัจฉานบางประเภทไม่ได้ที่มันมีเสรีภาพที่จะทำ
อะไรตามใจชอบอยู่เสมอ ดูอย่างเช่น ฝูงวิหกนกกา
มนุษย์เราเจริญกว่าสัตว์ตามที่มนุษย์เราเองชอบพูด
กันแต่ดูเหมือนพวกเราจะมีความสุขน้อยกว่าสัตว์
ภาระใหญ่จะที่ต้องแบกไว้ คือ เรื่องกาม เรื่องกิน
และเรื่องเกียรติ สัตว์เดรัจฉานตัดไปได้อย่างหนึ่ง
คือเรื่องเกียรติ คงเหลือแต่เรื่องกามและเรื่องกิน
นักพรตอย่างพวกเธอนี้ตัดไปได้อีกอย่างหนึ่งคือ
เรื่องกาม คงเหลือแต่เรื่องกินอย่างเดียวแต่การกิน
อย่างนักพรตกับการกินของผู้บริโภคกามก็ดูเหมือน
จะบริโภคแตกต่างกันอยู่ผู้บริโภคกามและยังหนา
แน่นอยู่ด้วยโลกียวิสัย บริโภคเพื่อยุกามให้กำเริบ
จะต้องกินให้มีเกียรติกินให้สมเกียรติ มิได้กินเพียง
เพื่อให้ร่างกายนี้ดำรงอยู่ได้อย่างสมณะความจริง
ร่างกายคนเราไม่ได้ต้องการอาหารอะไรมากนัก
เมื่อหิวก็ต้องการอาหารบำบัดความหิวเท่านั้นแต่
เมื่อมีเกียรติเข้ามาบวกด้วย จึงกลายเป็นเรื่องกิน
อย่างเกียรติยศ และแล้วก็มีภาระตามมาอย่างหนัก
หน่วงคนจำนวนมากเบื่อเรื่องนี้แต่จำเป็นต้องทำ
เหมือนโคหรือควายซึ่งเหนื่อยหน่ายต่อแอกและ
ไถแต่จำใจต้องลากมันไป อนิจจา ”

-----------------------------------------------------------

“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เครื่องจองจำที่ทำด้วยเชือก
เหล็กหรือโซ่ตรวนใดๆเราไม่กล่าวว่าเป็นเครื่องจองจำ
ที่แข็งแรงทนทานเลย แต่เครื่องจองจำ คือ บุตรภรรยา
และทรัพย์สมบัตินี่แลตรึงมัดรัดผูกสัตว์ให้ติดอยู่ในภพ
อันไม่มีที่สิ้นสุด เครื่องผูกที่ผูกหย่อนๆคือ บุตร ภรรยา
และทรัพย์สมบัตินี่เอง รูป เสียง กลิ่น รสและโผฏฐัพพะ
เป็นเหยื่อของโลกเมื่อบุคคลยังติดอยู่ในรูปเป็นต้นนั้น
เขาจะพ้นจากโลกมิได้เลย ”

“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กลิ่นดอกไม้กลิ่นจันทน์ไม่
สามารถหอมหวนทวนลมได้แต่กลิ่นแห่งเกียรติคุณ
ความดีงามของสัตบุรุษนั้นแล สามารถจะหอมไปได้
ทั้งตามลมและทวนลมคนดีย่อมมีเกียรติคุณฟุ้งขจร
ไปได้ทั่วทุกทิศ กลิ่นจันทน์แดง กลิ่นอุบล กลิ่นดอก
มะลิจัดว่าเป็นดอกไม้กลิ่นหอม แต่ยังสู้กลิ่นศีลไม่ได้
กลิ่นศีลยอดเยี่ยมกว่ากลิ่นทั้งมวลถ้าภิกษุหวังจะให้
เป็นที่รักที่เคารพ เป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหมจารี
แล้วพึงเป็นผู้ทำตนให้สมบูรณ์ด้วยศีลเถิด ”

“ สัตว์โลกเมื่อเกิดมาย่อมนำความทุกข์ติดตัวมาด้วย
ตราบใดที่เขายังไม่สลัดความพอใจในสังขารออกความ
ทุกข์ก็ย่อมติดตามไปเสมอ เหมือนโคที่ยังมีแอกเกวียน
ครอบคออยู่ ล้อเกวียนย่อมติดตามไปทุกฝีก้าว ”

“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติของจิตเป็นสิ่งดิ้นรน
กลับกลอกง่าย บางคราวปรากฏเหมือนช้างตกมันพวก
เธอจงเอาสติเป็นขอเหนียวรั้งช้าง คือจิตที่ดิ้นรนนี้ให้
อยู่ในอำนาจบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดและควรแก่การ
สรรเสริญนั้นคือผู้ที่สามารถเอาชนะตนของตนเองไว้ใน
อำนาจได้สามารถเอาชนะตนเองได้ ผู้ชนะตนได้ชื่อว่า
เป็นยอดนักรบในสงคราม เธอทั้งหลายจงเป็นยอดนักรบ
ในสงครามเถิดอย่าเป็นผู้แพ้เลย ”

“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูง
กว่าก็เพราะความกลัวอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอ
กันเพราะเห็นว่าพอสู้กันได้แต่ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกิน
ของผู้ซึ่งด้อยกว่าตนได้ เราเรียกความอดทนนั้นว่าสูงสุด
ผู้มีความอดทน มีเมตตาย่อมเป็นผู้มีลาภ มียศ อยู่เป็นสุข
เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ”

“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อลืมตาขึ้นดูโลกเป็นครั้งแรกเรา
ก็ร้องไห้พร้อมกำมือไว้แน่นเป็นสัญลักษณ์ว่าเกิดมาเพื่อ
จะหน่วงเหนี่ยวยึดถือ แต่เมื่อจะหลับตาลาโลกนั้นทุกคน
แบมือออกเหมือนจะเตือนให้ผู้อยู่เบื้องหลังสำนึกและเป็น
พยานว่าเขามิได้เอาอะไรไปด้วยเลย ”

“ เมื่อหัวใจยึดไว้ด้วยความรัก หัวใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้น
อย่างเจิดจ้า แต่ทุกครั้งที่เราหวังความผิดหวังก็จะรอเราอยู่ ”

“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาว่าไม้จันทน์แม้จะแห้ง
ก็ไม่ทิ้งกลิ่น อัศวินก้าวลงสู่สนามก็ไม่ทิ้งลีลาอ้อยแม้
เข้าสู่เครื่องยนต์แล้วก็ไม่ทิ้งรสหวาน บัณฑิตแม้ประสบ
ความทุกข์ก็ไม่ทิ้งธรรม ”

“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความตระหนี่ลาภเป็นความโง่เขลา
เหมือนชาวนาที่ตระหนี่ไม่ยอมหว่านพันธุ์ข้าวลงในนาข้าว
เปลือกที่หว่านลงแล้วหนึ่งเมล็ดย่อมให้ผลหนึ่งรวงฉันใด
ทานที่บุคคลทำแล้วก็ฉันนั้นย่อมมีผลมากผลไพศาล คนดี
มีทรัพย์แล้วย่อมบำรุงมารดา บิดา บุตร ภรรยา บ่าวไพร่ให้
เป็นสุขบำรุงสมณะพรหมาจารย์ให้เป็นสุข เปรียบเสมือนสระ
โบกขรณีอันอยู่ไม่ไกลจากบ้านหรือนิคม มีท่าลงเรียบร้อย
สะอาดเยือกเย็น น่ารื่นรมย์ มหาชนย่อมได้อาศัย นำไปอาบ
ดื่มและใช้สอยตามต้องการโภคทรัพย์ของคนดีย่อมเป็นดังนี้
หาอยู่โดยเปล่าประโยชน์ไม่ ”

“ การเสียสละนั้น คือการได้มาซึ่งผลอันเลิศในบั้นปลาย
ผู้ไม่ยอมเสียสละอะไรย่อมไม่ได้อะไร จงดูเถิดมนุษย์ทั้ง
หลายรดน้ำต้นไม้ที่โคนแต่ต้นไม้นั้นย่อมให้ผลที่ปลาย ”

“ บุคคลไม่ควรประมาทว่าบุญหรือบาปเพียงเล็กน้อยจะไม่ให้
ผลหยาดน้ำที่ไหลลงทีละหยดยังทำให้แม่น้ำเต็มได้ฉันใด
การสั่งสมบุญหรือบาปเพียงเล็กน้อยก็ฉันนั้นผู้สั่งสมบุญย่อม
เปี่ยมล้นไปด้วยบุญ ผู้สั่งสมบาปย่อมเพียบแปล้ไปด้วยบาป ”

“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันร่างกายนี้สะสมแต่ของ
สกปรกโสโครก มีสิ่งปฏิกูลไหลออกจากทวารทั้ง
เก้ามีช่องหูช่องจมูก เป็นต้น เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์
เล็กสัตว์น้อย เป็นป่าช้าแห่งซากสัตว์นานาชนิด
เป็นรังแห่งโรคเป็นที่เก็บโรค อุปมาเหมือนถุงหนัง
ซึ่งบรรจุเอาสิ่งโสโครกต่างๆเข้าไว้แล้วซึมออกมา
เสมอๆเจ้าของกายจึงต้องชำระล้าง ขัดถูวันละหลายๆครั้ง
เมื่อเว้นจากการชำระล้างแม้เพียงวันเดียวหรือสองวันกลิ่น
เหม็นก็ปรากฏเป็นที่น่ารังเกียจ เป็นของน่าขยะแขยง ”

“ ดูก่อนอานนท์ บิณฑบาตทานที่มีอานิสงส์มาก มีผล
ไพศาล คือ เมื่อนางสุชาดาถวายเราก่อนตรัสรู้ครั้งหนึ่ง
และอีกครั้งหนึ่งที่จุนทะถวายนี้ ครั้งแรกเสวยอาหารของ
สุชาดาแล้วตถาคตก็ถึงซึ่งกิเลสนิพพานครั้งหลังนี้เสวย
อาหารของจุนทะบุตรนายช่างทอง แล้วเราก็นิพพานด้วย
ขันธ-นิพพาน คือ ดับขันธ์อันเป็นวิบากที่ยังเหลืออยู่ ถ้า
ใครๆจะพึงตำหนิจุนทะ เธอพึงกล่าวให้เขาเข้าใจตามนี้ถ้า
จุนทะพึงจะเดือดร้อนใจ เธอพึงกล่าวปลอบให้เขาหายกังวล
ใจเสียอาหารของจุนทะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายสำหรับเรา ”

“ อานนท์เอ๋ย พึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าธรรม
วินัยอันใดที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้วขอให้ธรรมวินัย
อันนั้นจงเป็นศาสดาของพวกเธอแทนเราต่อไป ”

“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งเราแล้ว
เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายให้จำมั่นไว้ว่าสิ่งทั้งปวงมี
เสื่อมและสิ้นไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงอยู่ด้วย
ความไม่ประมาทเถิด ”

ย่างเข้าปัจฉิมยาม ณ ใต้ต้นสาละคู่แห่งกุสินารานครมี
พระผู้มีพระภาคเจ้าพึงปรินิพพานอยู่ในที่นั้นและพรั่ง
พร้อมด้วยพุทธบริษัทเนืองแน่นเป็นปริมณฑลทอด
ไกลสุดสายตา พระธรรมที่พระองค์ทรงพร่ำสอนมา
ตลอดพระชนมชีพว่าสัตว์ทั้งหลายมีความตายเป็น
ที่สุดนั้น เป็นสัจธรรมที่ไม่ยกเว้นแม้แต่พระองค์เอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2015, 05:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร