วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 10:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2015, 16:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 21:44
โพสต์: 173

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วัดท่ามะโอ

จนกาย ไม่จนใจ จนเงิน ไม่จนบุญ
ชายผู้ยากจนถามพระพุทธเจ้าว่า

"เหตุใดข้าพระองค์จึงยากจนยิ่งนัก?"
พระพุทธองค์ตรัสตอบ
"เธอไม่รู้จักการให้และวิธีให้"

ดังนั้นชายผู้ยากจนจึงพูดต่อว่า
"ทั้งๆที่ข้าพระองค์ไม่มีสิ่งใดให้นี่นะ?"
พระพุทธองค์ตรัสว่า
"เธอนั้นมีอยู่ไม่น้อยเลย"
ใบหน้า : ซึ่งสามารถให้รอยยิ้ม, ความสดใส, สดชื่น, เบิกบาน
ปาก : เธอสามารถชื่นชม, ให้กำลังใจ หรือปลอบประโลม
หัวใจ : มันสามารถเปิดอกกับผู้อื่น, ให้ความจริงใจ, ใสบริสุทธิ์, ให้ความเมตตา
ดวงตา : ที่สามารถมองดูผู้อื่นด้วย สายตาแห่งความหวังดี, ด้วยความโอบอ้อมอารี
ร่างกาย : ซึ่งสามารถใช้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
ฉะนั้น แท้จริงแล้วเธอมิได้ยากจนเลย
"ความยากจนในจิตใจ คือ ความยากจนอันแท้จริง"


Credit:วัดท่ามะโอ

:b8: :b8: :b8: :b8: อนุโมทนา สาธุค่ะ :b18: :b18:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2015, 17:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2015, 10:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 21:44
โพสต์: 173

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมมา เขียน:
:b8: :b8: :b8:



:b16: :b16: :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2015, 10:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 21:44
โพสต์: 173

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วัดท่ามะโอ

มงคลที่ ๒๓ (ตอน ๑) กตญฺญุตา (ความกตัญญู)

ความกตัญญู คือ การรู้จักบุญคุณที่ผู้อื่นกระทำต่อตนเอง เช่น การให้ทรัพย์ ให้วิชาความรู้
อบรมสั่งสอน หรือช่วยเหลือ :b39: :b39:

ความกตัญญูนี้ยังรวมไปถึงกตเวที คือ การตอบแทนบุญคุณอีกด้วย ดังนั้น การรู้จักบุญคุณแล้วไม่ได้ตอบแทน ไม่นับเป็นความกตัญญู เพราะทุกคนก็รู้จักบุญคุณที่ผู้อื่นกระทำต่อตนเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ตอบแทน ก็ไม่นับว่าเป็นความกตัญญู :b41: :b41:

ความกตัญญูเป็นมงคลที่สำคัญมาก ส่งผลให้เราเจริญรุ่งเรืองในชีวิตต่อไป เพราะการตอบแทนบุญคุณผู้อื่นจะทำให้เราพัฒนาศักยภาพทางจิตให้มีคุณธรรมสูงส่งยิ่งๆ ขึ้นไป
ชาวพุทธล้วนทราบว่าธรรมะแรกสุดของพระพุทธเจ้า คือ ธัมมจักัปปวัตนสูตร แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนชาวพุทธเป็นครั้งแรก คือ ความกตัญญู กล่าวคือ หลังจากตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์แล้ว ทรงประทับนั่งเสวยวิมุตติสุข ๗ วัน หลังจากนั้นจึงเสด็จลุกขึ้นจากต้นโพธิ์ แล้วทอดพระเนตรมองดูต้นโพธิ์และโพธิบัลลังก์ ๗ วันโดยไม่กระพริบพระเนตร ในขณะนั้นพระองค์ระลึกถึงบุญคุณของต้นโพธิ์และโพธิบัลลังก์ที่ให้ร่มเงาและที่ประทับนั่ง จึงมองด้วยจิตที่ประกอบด้วยปีติปราโมทย์ตลอด ๗ วัน

คนที่จะรู้จักบุญคุณและตอบแทนได้นั้น ต้องเป็นคนดีจริงๆ เพราะคนทั่วไปมักลืมบุญคุณของคนอื่น หรือแม้จะระลึกได้ก็ไม่ต้องการจะตอบแทน บางคนอาจตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นอีกด้วย เช่น ในสมัยหนึ่งพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นวานร พบพราหมณ์คนหนึ่งหลงทางในป่าแล้วตกเหว จึงช่วยขึ้นมาจากเหว แต่พราหมณ์กลับเอาก้อนหินทุบหัวเพื่อต้องการจะกินเนื้อและดื่มเลือดของลิง นี้คือตัวอย่างของการตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น ต่อมาพราหมณ์เกิดโรคเรื้อนจนเน่าไปทั้งตัว แล้วถูกสูบลงอเวจีมหานรก

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอังคุตตรนิกาย ทุกนิบาตว่า :b45: :b45: :b45:
"ภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่หาได้ยากมี ๒ จำพวก คือ
๑. คนที่ทำบุญคุณก่อน
๒. คนที่รู้จักและตอบแทนบุญคุณ

ในคัมภีร์อรรถกถาอธิบายว่า คนที่ทำบุญคุณก่อน เหมือนเจ้าหนี้ ส่วนคนที่รู้จักและตอบแทนบุญคุณ เหมือนลูกหนี้ หมายความว่า ถ้าเราได้รับบุญคุณจากผู้อื่น ไม่จำกัดเพียงเงินทองสิ่งของ แม้กระทั่งการเลี้ยงดูจากบิดามารดา หรือการอบรมสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ ก็ต้องรู้จักบุญคุณและตอบแทนในเวลาที่เหมาะสม จึงจะเป็นการปลดหนี้ของตัวเอง คนที่ยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณของผู้อื่น ก็เหมือนคนที่มีหนี้อยู่ ไม่อาจเป็นอิสระไปได้เลย :b48: :b48: :b48: :b53: :b53:

เครดิต:วัดท่ามะโอ
อนุโมทนาสาธุค่ะ :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2015, 11:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 21:44
โพสต์: 173

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วัดท่ามะโอ

มงคลที่๒๒ ตอนที่๑ ความสันโดษ

:b44: :b44: :b44: :b44: :b44: :b44: :b44:

มงคลที่ ๒๒ (ตอน ๑) สนฺตุฏฺฐิ (ความสันโดษ)
บางคนเข้าใจว่า ความพอเพียงหรือสันโดษคือการเฉื่อยชาไม่ขวนขวายหาวิชาความรู้
หรือทรัพย์ โดยรู้สึกยินดีกับสิ่งที่เรามีอยู่ ไม่ต้องพยายามหาเพิ่มให้มากขึ้น แต่ความเข้าใจเช่นนั้นยังไม่ถูกต้อง เพราะการเฉื่อยชานั้นเป็นความเกียจคร้าน ไม่ใช่ความพอเพียงหรือสันโดษ

ความพอเพียงเป็นการยินดีพอใจกับสิ่งที่เรามีอยู่และหาได้อย่างสุดความสามารถ
เมื่อเราแสวงหาอย่างเต็มกำลังแล้วได้รับเพียงใด ก็ใช้จ่ายเพียงนั้น ไม่แสวงหาจนเกินขอบเขต
หรือใช้จ่ายจนเกินกำลังทรัพย์ เพราะการแสวงหาหรือใช้จ่ายเกินกำลังนั้นไม่่ใช่ความพอเพียง :b24:

ชาวโลกทุกวันนี้เป็นทุกข์อยู่กับคำว่า ไม่พอ ถ้าเราพอ เราก็จะมีความสุขตามมีตามได้ คนสันโดษเป็นคนร่ำรวย คนไม่สันโดษเป็นคนจน ดังพระพุทธพจน์ว่า
สนฺตุฏฺฐิปรมํ ธนํ (ความสันโดษเป็นทรัพย์อันประเสริฐ) :b44: :b44: :b44: :b44:

คนละโมบแม้จะร่ำรวยเพียงใดก็เป็นคนจน เพราะเขาไม่รู้จักพอ จึงต้องเหน็ดเหนื่อยกับการแสวงหาและทำชั่วเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการด้วยการคดโกงหลอกลวงหรือข่มขู่ผู้อื่นที่ไม่มีทางสู้
แต่กรรมของเขาก็จะตามสนองในอีกไม่นาน เพราะเขาก็ต้องถูกคนอื่นหลอกลวงต่อไป
และมีอบายรออยู่ในภพหน้า :b47: :b47:

นิติศาสตร์กล่าวว่า สนฺโตสมูลํ หิ สุขํ (สุขมีความสันโดษเป็นมูลเหตุ) หมายความว่า คนไม่รู้จักพอชื่อว่าเป็นคนจน เพราะเขาต้องขวนขวายอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งในเวลากินดื่มก็ย่อมเป็นทุกข์ เช่น เมื่อพบอาหารรสจืด ก็บอกว่าอยากกินอาหารรสเค็ม หรือเปรี้ยว เป็นต้น ทำให้ต้องขวนขวายแสวงหาโดยไม่จำเป็น :b26: :b26:

ที่ประเทศพม่ามีพระเถระรูปหนึ่งชื่อว่า มัตตยาสยาดอ ท่านมีความสันโดษเป็นที่เลื่องลือ เมื่อโยมหุงอาหารรสเค็มมาถวาย ท่านบอกว่า อาหารเค็มก็ดี ทำให้ย่อยง่าย เมื่อพบอาหารจืด ก็บอกว่า อาหารจืดก็ดี ไม่ต้องดื่มน้ำบ่อย พอฉันข้าวแฉะ ก็บอกว่าข้าวแฉะก็ดี ย่อยง่าย หรือถ้าฉันข้าวแข็ง ท่านก็บอกว่า ข้าวแข็งก็ดี เคี้ยวกรอบ :b43: :b43: :b43: :b43:

ในคัมภีร์ชาดกมีเรื่องเล่าว่า มีพราหมณ์คนหนึ่งตายแล้วไปเกิดเป็นหงส์ทอง เขาทราบว่าลูกเมียลำบาก จึงมาหาแล้วสลัดขนทองให้วันละหนึ่งเส้น ทำให้ลูกเมียเขามีกินมีใช้ แต่ลูกเมียเขาไม่รู้จักพอ จึงจับหงส์ถอนขนจนหมด แต่ขนที่ถอนกลายเป็นขนนกธรรมดา แม้จะจับไว้เลี้ยงไว้ในสุ่ม ขนที่เกิดขึ้นก็กลายเป็นขนนกธรรมดา นี้คือตัวอย่างของคนโลภมากลาภหาย เป็นโทษของความไม่รู้จักพอเพียง
คนที่มีทรัพย์สามารถได้รับสมบัติทั้งหมดได้ แม้คนที่มีความสันโดษถึงจะยากจน ก็สามารถได้รับสมบัติทั้งหมดเช่นกัน เพราะเขารู้จักพอเพียงกับสิ่งที่มีอยู่และหาได้ จึงเห็นสิ่งอื่นว่าเหมือนกับสิ่งที่เขามีอยู่ ดัง
นิติศาสตร์กล่าวว่า
"จิตของผู้ใดรู้จักพอเพียง เขาชื่อว่ามีสมบัติทุกอย่าง บุคคลที่สวมรองเท้าไว้
ก็เหมือนกับแผ่นดินทั้งหมดถูกหนังห่อหุ้มไว้"
:b51:

นอกจากนั้น อริยทรัพย์เป็นสิ่งที่เกิดแก่คนสันโดษเท่านั้น ไม่เกิดแก่คนโลภมากไม่รู้จักพอที่ขวนขวายสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คนสันโดษจึงได้รับสมบัติที่คนโลภมากแม้จะร่ำรวยก็ไม่อาจมีได้ :b53: :b53:

เครดิต:วัดท่ามะโอ อนุโมทนาสาธุค่ะ :b8: :b8: :b8: :b8:

:b41: :b41: :b48: :b49: :b50: :b48: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2015, 06:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่จนใจเป็นคนที่จนจริงๆ
จนแม้กระทั้งที่จะคิดอะไรได้ คิดอะไรก็ไม่ออก

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 97 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร