ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ศีลเป็นที่มาของโภคทรัพย์ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=49491 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | muisun [ 19 ก.พ. 2015, 12:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | ศีลเป็นที่มาของโภคทรัพย์ |
ศีลเป็นที่มาของโภคทรัพย์ ดังนั้น เราต้องรักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัด เลิกฆ่าสัตว์ เลิกตบยุง เลิกเบียดเบียนสัตว์ เลิกฟังเพลง และรีบดับความคิด กำหนดจะคิดหนอๆๆ ตลอดเวลา แล้วเราจะมีบุญเหนือโลก เหนือจักรวาล จะทำธุรกิจการงานก็ประสบความสำเร็จ รายได้ก็เพิ่มพูน เงินทองก็เพิ่มพูน โชคลาภก็เข้ามา ตามกำลังที่ดับความคิด (ดับความคิดทันทีก็เห็นผลทันที..แต่ต้องทำต่อเนื่องนะ..) ถ้าเราปฏิบัติต่อเนื่อง รายได้ก็มีต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง แล้วรายได้ก็ไม่มีวันตกอีกเลย |
เจ้าของ: | ธรรมมา [ 19 ก.พ. 2015, 12:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ศีลเป็นที่ทาของโภคทรัพย์ |
ถ้าเป็นดังนั่นจริงคงจะต้องเกิดอาชีพใหม่นั่นคืออาชีพถือศีล จะได้ร่ำรวยเงินทองไหลมาเทมา |
เจ้าของ: | วิริยะ [ 19 ก.พ. 2015, 16:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ศีลเป็นที่มาของโภคทรัพย์ |
"สีเลนะ โภคะสัมปทา" ผู้มีศีล ย่อมถึงพร้อมด้วยทรัพย์ หมายถึง หาทรัพย์โดยสุจริต ไม่เบียดเบียน คดโกงผู้อื่น ไม่ใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เช่น ไม่ดื่มเหล้า ไม่เล่นการพนัน ไม่เล่นหวย ไม่แจกเงินนักร้อง .. เอ้ย ไม่สุรุ่ยสุร่าย เป็นต้น ความเห็นส่วนตัวนะครับ .. อิอิ ![]() |
เจ้าของ: | Hanako [ 19 ก.พ. 2015, 17:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ศีลเป็นที่มาของโภคทรัพย์ |
![]() ท่านแสดงพระธรรมเทศนา สรุปใจความก็คือ การรักษาศีลนั้นเป็นเหตุ สีเลนะ โภคะสัมปะทา เป็นเหตุให้สมบูรณ์พูนสุขด้วยโภคทรัพย์นานา ก็คือ เมื่อ "ทำเหตุให้ถึงพร้อม" เพียงพอ และไม่ถูกอกุศลกรรมในอดีตมาให้ผล ตัดรอนในปัจจุบัน ผลดีก็อาจส่งผลเห็นเร็วทันใจ การงานดีขึ้นทันตาเห็นก็ได้ แต่อดีตทำอะไรมาก็ดูปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร ปัจจุบันมีเท่านี้ก็แสดงว่าในอดีตก็ทำเหตุมาเพียงเท่านั้น ดังนั้น เมื่อได้ยินพระท่านว่าแบบนั้น แล้วจะมาทำเหตุเพียงเล็กๆน้อยๆ แล้วหวังผลมากๆก็เป็นไปไม่ได้ แต่ท่านแสดงธรรมเทศนาไว้ว่า หากปัจจุบันนี้มันลำบากเสียแล้ว ก็ให้ตั้งใจทำเหตุสะสมเอาใหม่ เมื่ออกุศลกรรมเล่นงานเราจนหมดวาระแล้ว ผลจากการรักษาศีลไว้ในชาตินี้ที่ตั้งใจทำก็ให้ผลแน่นอน ท่านรับรองอย่างนี้แล้ว......ตัสมา สีลัง วิโสทะเย ![]() เพราะฉะนั้นเรามาชำระศีลให้หมดจดกันเถิด ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 19 ก.พ. 2015, 20:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ศีลเป็นที่มาของโภคทรัพย์ |
พระองค์ท่าน...น่าจะหมายถึงอริยะทรัพย์..นะครับ |
เจ้าของ: | nongkong [ 19 ก.พ. 2015, 20:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ศีลเป็นที่ทาของโภคทรัพย์ |
ธรรมมา เขียน: ถ้าเป็นดังนั่นจริงคงจะต้องเกิดอาชีพใหม่นั่นคืออาชีพถือศีล จะได้ร่ำรวยเงินทองไหลมาเทมา ก็ดีนะค่ะถ้ามนุษย์คิดได้อย่างงั้น เผื่อโลกนีมันจะสูงขึ้น คอรัปชั่นไม่มี ขโมยไม่มี ฆ่าปล้นชิงทรัพย์ไม่มี เพราะยึดอาชีพถือศีล อย่างน้อยตายไปก็ไม่ต้องไปเที่ยวนรก ![]() |
เจ้าของ: | นายฏีกาน้อย [ 19 ก.พ. 2015, 22:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ศีลเป็นที่มาของโภคทรัพย์ |
สีลธนัง อริยทรัพย์ ๗ http://84000.org/tipitaka/read/?11/326/264 |
เจ้าของ: | student [ 19 ก.พ. 2015, 23:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ศีลเป็นที่มาของโภคทรัพย์ |
กบนอกกะลา เขียน: พระองค์ท่าน...น่าจะหมายถึงอริยะทรัพย์..นะครับ เห็นด้วยกับคุณกบครับ ทรัพย์ในที่นี้คือพรหมจรรย์ ต่อยอดให้ถึงซึ่งความเจริญทางมรรค มีผลคือนิโรค ส่วนทรัพย์สมบัติทางโลกนั้นหากเข้าไปยึดถือว่าเหตุที่เข้าถึงความร่ำรวยเพราะถือศีลนั้น ไม่เป็นไปเพื่อการละ ปล่อยวาง ยังยึดถือเอาสมบัติภายนอกเป็นที่พึ่งอยู่ดี |
เจ้าของ: | muisun [ 05 มี.ค. 2015, 12:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ศีลเป็นที่มาของโภคทรัพย์ |
[๘๘] ศีลไม่มีที่สุดนั้นเป็นไฉน ศีลไม่มีที่สุดเพราะลาภก็มี ศีลไม่มี ที่สุดเพราะยศก็มี ศีลไม่มีที่สุดเพราะญาติก็มี ศีลไม่มีที่สุดเพราะอวัยวะก็มี ศีลไม่มีที่สุดเพราะชีวิตก็มี ฯ ศีลไม่มีที่สุดเพราะลาภเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ แม้ความคิด ก็ไม่ให้เกิดขึ้นเพื่อจะล่วงสิกขาบทตามที่ตนสมาทานไว้ เพราะเหตุแห่งลาภ เพราะปัจจัยแห่งลาภ เพราะการณ์แห่งลาภ อย่างไรเขาจักล่วงสิกขาบทเล่า ศีลนี้เป็นศีลไม่มีที่สุดเพราะลาภ ฯ ศีลไม่มีที่สุดเพราะยศนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ... เพราะ เหตุแห่งยศ ... ศีลนี้เป็นศีลไม่มีที่สุดเพราะยศ ฯ ศีลไม่มีที่สุดเพราะญาตินั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ... เพราะ เหตุแห่งญาติ ... ศีลนี้เป็นศีลไม่มีที่สุดเพราะญาติ ฯ ศีลไม่มีที่สุดเพราะอวัยวะนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ... เพราะเหตุแห่งอวัยวะ ... ศีลนี้เป็นศีลไม่มีที่สุดเพราะอวัยวะ ฯ ศีลไม่มีที่สุดเพราะชีวิตนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ แม้ความ คิดก็ไม่ให้เกิดขึ้นเพื่อล่วงสิกขาบท ตามที่ตนสมาทานไว้ เพราะเหตุแห่งชีวิต เพราะปัจจัยแห่งชีวิต เพราะการณ์แห่งชีวิต อย่างไรเขาจักล่วงสิกขาบทเล่า ศีลนี้เป็นศีลไม่มีที่สุดเพราะชีวิต ศีลเห็นปานนี้เป็นศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไทย วิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาและทิฐิไม่จับต้อง เป็นไป เพื่อสมาธิ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเดือดร้อน เป็นที่ตั้งแห่งความปราโมทย์ เป็น ที่ตั้งแห่งปีติ เป็นที่ตั้งแห่งความระงับ เป็นที่ตั้งแห่งความสุข เป็นที่ตั้งแห่ง สมาธิ เป็นที่ตั้งแห่งยถาภูตญาณทัสนะ ย่อมเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อ ความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบระงับ เป็นที่ตั้งแห่งความสุข เป็นที่ตั้งแห่ง สมาธิ เป็นที่ตั้งแห่งยถาภูตญาณทัสนะ ย่อมเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อ ความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อ ความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน โดยส่วนเดียว ศีลนี้เป็นอปริยันตศีล ฯ http://www.84000.org/tipitaka/read/?31/87-88 การคิด แม้จะคิดฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดจาโกหก ดื่มสุราเมรัย คนรักษาศีลก็ไม่คิดถึง เพราะการไม่คิดจึงได้ลาภ ยศ อวัยวะ และชีวิต ดังนั้น การไม่คิด เราก็ต้องรู้ทันความคิด กำหนดจะคิดหนอๆๆ ตลอดเวลา ถ้าเรารู้ทัน เราก็จะหลุดจากโลกของความคิด..เวลาจะฝัน กำหนดจะฝันหนอๆๆ เราก็จะเลิกฝันทันที.. |
เจ้าของ: | muisun [ 01 เม.ย. 2015, 22:21 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ศีลเป็นที่มาของโภคทรัพย์ |
.สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา สิเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโสทะเย" ศีลนำมาซึ่งความสุข ศีลนำมาซึ่งโภคทรัพย์ ศีลนำมาซึ่งนิพพาน ดังนั้นเราจึงควรทำศีลให้ปริสุทธิ์(รักษาศีลนั้นเอง) ศีลเบื้องต้นมี 227 ท่ามกลาง 9 แสน 9 หมื่นโกฐิ ที่สุดหาประมาณมิได้ ศีลโดยที่สุด คือ แม้แต่ความคิดก็ไม่ให้เกิด ฉะนั้น จะปล่อยวางหรือไม่อยู่ที่ว่ารู้ทันหรือรู้ไม่ทัน ถ้ารู้ทันและและเห็นจิตแรกเกิด จิตแรกเกิด คือ ตัว "จะ" จะพูดหนอๆ จะทำหนอๆ จะคิดหนอๆ จะยึดถือหนอๆ จะอยากหนอๆ ได้ตลอดเวลาทั้งวันและทั้งคืน ก็รักษาศีลโดยที่สุดหาประมาณมิได้ ถ้าเรารู้ทันอยู่ เราก็ได้ทั้งความสุข ได้ทั้งญาติ ได้ทั้งทรัพย์ และได้ทั้งชีวิต เพราะเรารักษาศีลโดยที่สุดอยู่ ถ้าเรารักษาศีลถึงพร้อม ถึงเราไม่ได้ยึด แล้วเราไม่ได้ออกไปหามัน..ทรัพย์สินก็เข้ามาหาเราเอง.. มาได้ทุกรูปแบบด้วย.. ดูอย่างวัดธรรมกายซิ หลวงพ่อสดรักษาศีลดี หลวงพ่อก็ไม่ไดยึดแล้ว แต่มันมาเองอ่ะ มาทีเป็นสิบล้าน ร้อยล้าน... |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 02 เม.ย. 2015, 06:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ศีลเป็นที่มาของโภคทรัพย์ |
muisun เขียน: . ถ้าเรารักษาศีลถึงพร้อม ถึงเราไม่ได้ยึด แล้วเราไม่ได้ออกไปหามัน..ทรัพย์สินก็เข้ามาหาเราเอง.. มาได้ทุกรูปแบบด้วย.. ดูอย่างวัดธรรมกายซิ หลวงพ่อสดรักษาศีลดี หลวงพ่อก็ไม่ไดยึดแล้ว แต่มันมาเองอ่ะ มาทีเป็นสิบล้าน ร้อยล้าน... วัดธรรมกาย....ไม่ใช่วัดของหลวงพ่อสด..ครับ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 02 เม.ย. 2015, 07:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ศีลเป็นที่มาของโภคทรัพย์ |
เพราะ..มีเหตุ..มีปัจจัย...อะไรอะไร...ก็เกิดขึ้นได้ตามเหตุปัจจัย มาดูผู้มีศีลบริสุทธิ์...อดๆอยากๆ (กันคนไม่ให้ประมาท..รักษาศีล...ภาวนา...เพราะปรารถณาลาภ) http://www.dhammahome.com/audio/topic/4335 อ้างคำพูด: พระโลสกติสสเถระ
ข้อความในอรรถกถาชาดก เอกนิบาต อรรถกถาอัตถกามวรรคที่ ๕ อรรถกถา โลสกชาดกที่ ๑ ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระ โลสกติสสเถระ และได้ตรัสประวัติของท่าน ซึ่งประวัติโดยย่อของท่านมีว่า ท่านพระโลสกติสสเถระเป็นบุตรของชาวประมงคนหนึ่ง ในแคว้นโกศล เป็น ผู้ทำลายตระกูลวงศ์ของตน เพราะว่าตั้งแต่ท่านเกิดมาในครรภ์มารดานั้น ครอบครัวของ ท่านก็ประสบภัยพิบัติเรื่อยมา บ้านเรือนถูกไฟไหม้ถึง ๗ ครั้ง คนสมัยนี้มีไหมคะ อาจจะมีก็ได้ ก็เป็นชีวิตธรรมดา แล้วแต่กรรมของใครจะให้ผลอย่างไร เมื่อไร ถูกพระราชาปรับสินไหม ๗ ครั้ง ครั้งนั้น มารดาบิดาขอท่านเลี้ยงชีพมาโดยแร้นแค้น พอท้องแก่ก็คลอด ณ ที่ แห่งหนึ่ง แต่ธรรมดา ท่านผู้เป็นสัตว์เกิดมาในภพสุดท้าย คือผู้ที่จะเป็นพระอรหันต์นั้น ใครๆไม่อาจทำลายได้ เพราะมีอุปนิสัยแห่งอรหัตผล การสะสมคุณธรรมทั้งหลายที่จะเป็นพระอรหันต์ รุ่งเรืองอยู่ในใจเหมือนดวง ประทีปภายในหม้อ ฉะนั้น มารดาได้เลี้ยงท่านมาจนถึง ในเวลาที่ท่านวิ่งเที่ยวไปมาได้ ก็เอากะโล่ดิน เผาใบหนึ่งใส่มือให้ แล้วเสือกไส ด้วยคำว่า ลูกเอ๋ย เจ้าจงไปสู่เรือนหลังนั้นเถิด ดังนี้ แล้วหลบหนีไป ตั้งแต่นั้นมา ท่านก็อยู่อย่างเดียวดาย เที่ยวหากินไปตามประสา หลับนอน ณ ที่แห่งหนึ่ง ไม่ได้อาบน้ำ ไม่ได้ปรนนิบัติร่างกาย ดูเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น เลี้ยงชีวิตมา ด้วยความลำบาก ท่านเจริญเติบโตมาจนกระทั่งอายุครบ ๗ ขวบ โดยลำดับ เลือกเม็ด ข้าวกินทีละเม็ด เหมือนกา ในที่สำหรับเทน้ำล้างหม้อ ใกล้ประตูเรือนแห่งหนึ่ง ความทุกข์ยากจน เป็นผลของอกุศลกรรม ไม่ว่าในอดีตสมัย หรือในอนาคต หรือ แม้ในสมัยนี้ ก็มีผู้มีความยากลำบาก ถ้าจะเทียบกับท่านพระโลสกติสสเถระ จะเห็น ได้ว่า ตอนเป็นเด็กอายุ ๗ ขวบ ท่านถึงกับเลือกเม็ดข้าวกินทีละเม็ดเหมือนกาในที่ สำหรับเทน้ำล้างหม้อ ใกล้ประตูเรือนแห่งหนึ่ง ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในเมืองสาวัตถี เห็นท่านแล้วรำพึง ว่า เด็กคนนี้น่าสงสารนัก เป็นชาวบ้านไหนหนอ ท่านพระสารีบุตรแผ่เมตตาจิตไปใน ท่านเพิ่มยิ่งขึ้น แล้วเรียกให้มาหา ถามถึงพ่อแม่ เมื่อได้ทราบว่าพ่อแม่ทิ้งไป ก็ถาม ว่า ท่านจักบวชไหมท่านก็ตอบว่า อยากบวช ซึ่งท่านพระสารีบุตรก็ให้ของเคี้ยว ของบริโภคแก่ท่าน แล้วพาไปวิหาร อาบน้ำให้เอง ให้บรรพชา จนอายุครบ จึงให้ อุปสมบท ในตอนแก่ท่านมีชื่อว่า "โลสกติสสเถระ" เป็นพระไม่มีบุญ มีลาภน้อย เล่ากันว่า แม้ในคราวอสทิสทาน ท่านก็ไม่เคยได้ฉันเต็มท้อง ได้ขบฉันเพียง พอจะสืบต่อชีวิตไปได้เท่านั้น เพราะเมื่อใครใส่บาตรท่านเพียงข้าวต้มกระบวยเดียว บาตรก็ปรากฏเหมือนเต็มเสมอขอบแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นคนทั้งหลายก็สำคัญว่า บาตร ของภิกษุรูปนี้เต็มแล้ว เลยถวายองค์หลังๆ สำหรับอสทิสทาน คือ ทานที่ไม่มีใครเหมือน คือเป็นทานที่มโหฬารยิ่ง ในสมัยต่อมา ท่านเจริญวิปัสสนา แม้จะดำรงอยู่ในพระอรหันต์อันเป็นผลชั้นเลิส ก็ยัง คงมีลาภน้อย ครั้นเมื่ออายุสังขารของท่านล่วงโรยทรุดโทรมลง โดยลำดับ ก็ถึงวันที่ ปรินิพพาน. ท่านพระสารีบุตรคำนึงอยู่ ก็รู้ถึงการปรินิพพานของท่าน จึงดำริว่า วันนี้พระ- โลสกติสสเถระนี้จักปรินิพพานในวันนี้ เราควรให้อาหารแก่เธอจนพอ เมื่อท่านคิดอย่างนี้แล้ว ท่านก็ได้พาพระโลสกติสสเถระเข้าไปสู่เมืองสาวัตถี เพื่อบิณฑบาต เพราะเหตุว่าท่านพระสารีบุตรพาท่านพระโลสกติสสเถระไปด้วย ท่าน พระสารีบุตรเลยไม่ได้แม้เพียงการยกมือไหว้ ในเมืองสาวัตถีอันมีผู้คนมากมาย พระเถระจึงกล่าวว่า อาวุโส เธอจงไปนั่งคอยอยู่ที่โรงฉันเถิด ดังนี้แล้วก็ได้ส่ง ท่านกลับไป พอพระเถระมาจากที่นั้นเท่านั้น พวกมนุษย์ก็พูดกันว่า พระผู้เป็นเจ้ามาแล้ว แล้วก็ได้นิมนต์ให้ท่านพระสารีบุตรนั่งเหนืออาสนะ ให้ฉันภัตตาหาร พระเถระก็ส่งอาหารที่ได้แล้วนั้นให้คนเหล่านั้นไป โดยกล่าวกับคนเหล่านั้นว่า พวกเธอจงให้ภัตรนี้แก่พระโลสกติสสเถระ แต่ว่าคนที่รับภัตรนั้นไปก็ลืมพระโลสกติสส เถระ พากันกินเสียหมด ไม่มีทางที่จะบริโภคอาหารได้เต็มท้องเลย ซึ่งก็จะได้ทราบว่า ในอดีตชาติ ท่านได้ทำกรรมอะไรไว้ เมื่อท่านพระสารีบุตรเดินไปถึงวิหาร พระโลสกติสสเถระก็ไปนมัสการท่านพระ สารีบุตร ท่านพระสารีบุตรก็ถามว่า อาวุโส คุณได้อาหารแล้วหรือ? ท่านตอบว่า ไม่ได้ดอกครับ พระเถระถึงความสลดใจ เมื่อท่านดูเวลา ก็เห็นว่า ยังไม่ล่วงเลยกาลที่จะ บริโภค จึงให้พระโลสกติสสเถระนั่งรอในโรงฉันแล้วก็ไปสู่พระราชวังของพระเจ้าโกศล. พระราชารับสั่งให้รับบาตรของพระเถระ ทรงพิจารณาว่า มิใช่กาลแห่งภัตร จึงรับสั่งให้ ถวายของหวาน ๔ อย่างจนเต็มบาตร ท่านพระสารีบุตรรับบาตรกลับไปถึงวิหาร เรียก พระโลสกติสสเถระมาแล้วบอกว่า ให้ฉันของหวาน ๔ อย่างนี้โดยท่านถือบาตรยืนอยู่ แล้วให้ท่านพระโลสกติสสเถระนั่งฉัน พระโลสกติสสเถระมีความยำเกรงในท่านพระสารี บุตร เห็นว่าท่านจะลำบากในการยืนถือบาตรแล้วให้ท่านนั่งฉัน เพราะฉะนั้นท่านก็ไม่ฉัน แต่ท่านพระสารีบุตรกล่าวกะท่านว่า ท่านผู้มีอายุติสสะ ผมจะยืนถือบาตรไว้ คุณจงนั่งฉัน ถ้าผมปล่อยบาตรจากมือ บาตรต้องไม่มีอะไร ลำดับนั้น ท่านพระโลสกติสสเถระ เมื่อท่านพระสารีบุตรผู้เป็นอัครสาวกยืนถือ บาตรไว้ให้ จึงนั่งฉันของหวาน ๔ อย่าง ของหวาน ๔ อย่างนั้นไม่ถึงความหมดสิ้น ด้วย กำลังแห่งฤทธิ์ของพระเถระ พระโลสกติสสเถระฉันจนเต็มความต้องการ ในเวลานั้นใน วันนั้นเอง ท่านก็ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 02 เม.ย. 2015, 07:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ศีลเป็นที่มาของโภคทรัพย์ |
เป็นตัวอย่าง...ครับ เพื่อ..กันคนที่...กำลังน้อยใจ..ว่า..ตัวเองก็ปฏิบัติภาวนา..รักษาศีลครบถ้วนบริบูรณ์ดี...เหตุไฉนความยากลำบากจึงเกิดกับเรา..เหตุไฉนความไม่สมปรารถณาจึงเกิดกับเรา....ปานนี้ กรรมเก่า...ที่ทำไม่ดีใว้...เมื่อให้ผล...ก็ไม่ได้หมายความว่า..เราจะทำกรรมดีใหม่ๆไม่ได้ อย่างที่ตัวอย่างของพระโลสกติสสเถระ...กรรมเก่า..ทำให้อดอยาก..แต่กรรมใหม่..คือ..บำเพ็ญภาวนา..ทำให้พ้นทุกข์ทั้งปวงได้... ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |