ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
บุญจากการเจริญกรรมฐาน http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=49826 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | รสมน [ 04 เม.ย. 2015, 09:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | บุญจากการเจริญกรรมฐาน |
ระหว่างที่ท่านพักอบรมภาวนาด้วยบท พุทโธ อยู่ที่วัดเลียบ อุบลราชธานี ท่านได้ย้อนจิตเข้ามาอยู่ในวงแห่งกาย ไม่ส่งใจไปนอก พิจารณาอยู่รอบกาย ตามเบื้องบน เบื้องล่าง ด้านขวา สถานกลางโดยรอบ ด้วยความมีสติ โดยการเดินจงกรม ไป-มา มากกกว่าอิริยาบทอื่นๆ แม้เวลาน้่่งสมาธิภาวนา เพื่อพักผ่อนให้หายเหนื่อยบ้างเป็นบางเวลา ก็ไม่ยอมให้จิตรวมสงบลงดังที่เคยเป็นมา แต่ให้จิตพิจารณาและท่องเที่ยวอยู่ตามร่างกายส่วนต่างๆ เท่าน้ัน ถึงเวลาพักผ่อนนอนหลับ ก็หลับด้วยการพิจารณากายเป็นอารมณ์ ... จิตจึงรวมสงบตัวลงไป ปรากฎว่าร่างกายได้แตกออกเป็นสองภาค และรู้ขึ้นมาในขณะน้ันว่า "นี่เป็นวิธีที่ถูกต้องแน่นอนแล้ว ไม่ต้องสงสัย" ก็ถืออุบายนี้เป็นเครืองดำเนินไม่ลดละ จนสามารถทำความสงบใจได้ตามความต้องการ และมีความชำนิชำนาญขึ้นไปตามกำลังแห่งความเพียร ไม่ลดหย่อนอ่อนกำลัง หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หนังสือ "ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต "บุญจากการเจริญกรรมฐาน" (^/\^) การเจริญกรรมฐาน... เป็นการกระทำที่ทำให้จิตใจของท่านเป็นบุญ ท่านเจริญกรรมฐานได้จะเกิดบุญ ๑๐ ประการ ดังนี้ ๑. การบริจาคการให้ และการให้อภัย จะเกิดขึ้นในใจของนักกรรมฐาน คือเป็นบุญ ๒. การรักษาศีล คือ งดเว้นจากความชั่วต่างๆได้ ๓. การเจริญภาวนาเจริญสติปัฏฐาน ๔ เพื่ออบรมจิตใจให้มั่นคงในความดี ๔. การอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ บูชาต่อพระรัตนตรัย ไม่ถือผีถือเจ้า ไม่ไปไหว้ผีไหว้เจ้า แต่ผีปู่ย่าตายายไหว้ได้ เจ้าที่เป็นเจ้าของเรา เป็นผู้มีพระคุณก็ไหว้ได้ ๕. การช่วยขวนขวายในการทำความดี จะเกิดขึ้นจากนักกรรมฐาน จิตใจจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ผู้ที่ขวนขวายในการทำความดีของผู้อื่นได้ จะไม่มีอิจฉาใครแน่ ๖. การแผ่ส่วนบุญหรืออุทิศส่วนบุญแก่ผู้อื่นได้อย่างตรงใจ ไม่มีตะขิดตะขวงใจจแต่ประการใด ๗. การชื่นชมยินดีต่อการทำความดีของผู้อื่นได้อย่างจริงใจ มุทิตาจิตกับบุคคลที่สร้างความดี จะเป็นลูกหลานหรือไม่ใช่ก็ตาม ๘. การฟังเทศน์ ฟังสิ่งที่มีคติธรรม สิ่งที่ไร้สาระจะไม่อยากฟัง ฟังสิ่งที่มีประโยชน์เสมอไป ๙. การเทศน์ จะสอนชี้แจงให้ความดีเท่านั้น ๑๐. การตั้งความคิดเห็นให้ตรงตามหลักของกฏแห่งกรรม จะยอมรับ จะไม่ขี้เกียจ ไม่มีขี้โกง ไม่มีริษยา แต่ประการใด # พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) ให้พึ่งตน พึ่งธรรม อานนท์ ! เราได้กล่าวเตือนไว้ ก่อนแล้วมิใช่ หรือว่า “ความเป็นต่าง ๆ ความ พลัดพราก ความเป็นอย่างอื่น จากของรัก ของชอบใจ ทั้งสิ้น ย่อมมี; อานนท์ ! ข้อนั้น จักได้มาแต่ไหนเล่า : สิ่งใด เกิดขึ้นแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัย ปรุงแล้ว มีความชำรุดไป เป็นธรรมดา, สิ่งนั้น อย่าชำรุด ไปเลย ดังนี้; ข้อนั้น ย่อมเป็น ฐานะที่มีไม่ได้”. อานนท์ ! เปรียบเหมือน เมื่อต้นไม้ใหญ่ มีแก่น เหลืออยู่ ส่วนใดเก่าคร่ำ กว่าส่วนอื่น ส่วนนั้น พึงย่อยยับ ไปก่อน, ข้อนี้ ฉันใด; อานนท์ ! เมื่อภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่มี ธรรมเป็น แก่นสารเหลืออยู่, สารีบุตร ปรินิพพานไปแล้ว ฉันนั้นเหมือนกัน. อานนท์ ! ข้อนั้น จักได้มา แต่ไหนเล่า : สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยปรุงแล้ว มีความ ชำรุดไปเป็นธรรมดา สิ่งนั้นอย่าชำรุดไปเลย ดังนี้; ข้อนั้น ย่อมเป็นฐานะที่มีไม่ได้. อานนท์ ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลาย จงมีตน เป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอา สิ่งอื่น เป็นสรณะ; จงมีธรรม เป็นประทีป มีธรรม เป็นสรณะ ไม่เอา สิ่งอื่น เป็นสรณะ. อานนท์ ! ภิกษุ มีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่น เป็นสรณะ, มีธรรมเป็น ประทีป มีธรรมเป็น สรณะ ไม่เอาสิ่งอื่น เป็นสรณะนั้น เป็นอย่างไรเล่า ? อานนท์ ! ภิกษุใน ธรรมวินัยนี้ พิจารณา เห็นกาย ในกายเนือง ๆ อยู่, พิจารณา เห็นเวทนา ในเวทนา ทั้งหลายเนือง ๆ อยู่, พิจารณา เห็นจิต ในจิต เนือง ๆ อยู่, พิจารณา เห็นธรรม ในธรรม ทั้งหลายเนือง ๆ อยู่; มีเพียร เผากิเลส มีความรู้สึก ตัวทั่วพร้อม มีสติ พึงกำจัด อภิชฌา และ โทมนัส ในโลกเสียได้. อานนท์ ! ภิกษุ อย่างนี้แล ชื่อว่ามี ตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่น เป็นสรณะ; มีธรรมเป็น ประทีป มีธรรม เป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่น เป็นสรณะ เป็นอยู่. อานนท์ ! ในกาลบัดนี้ก็ดี ในกาลล่วงไป แห่งเราก็ดี ใครก็ตามจักต้อง มีตนเป็นประทีป มีตน เป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่น เป็นสรณะ; มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอา สิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นอยู่. อานนท์ ! ภิกษุพวกใด เป็นผู้ใคร่ในสิกขา, ภิกษุพวกนั้น จักเป็นผู้อยู่ ในสถานะอันเลิศที่สุด. มหาวาร .สํ. ๑๙/๒๑๖/๗๓๖ การบำรุงรักษาสิ่งสิ่งใดๆ ในโลก...การบำรุงรักษาตนคือใจ เป็นเยี่ยม จุดที่เยี่ยมยอดของโลกคือใจ ควรบำรุงรักษาด้วยดี ได้ใจแล้วคือได้ธรรม เห็นใจแล้วคือเห็นธรรม รู้ใจแล้วคือรู้ธรรมทั้งมวล ถึงใจตนแล้วคือถึงพระนิพพาน ใจนี้ คือสมบัติดันล้ำค่า จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมองข้ามไป คนพลาดใจคือคนไม่สนใจปฏิบัติต่อดวงใจดวงวิเศษในร่างนี้ แม้จะเกิดสักร้อยชาติพันชาติ ก็คือผู้เกิดพลาดอยู่นั่นเอง หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต "โกรธ ถ้าเป็นทุกข์ทำไมไม่ทิ้งมัน" " .. ใครเคยโกรธไหม เมื่อโกรธขึ้นมามันเป็นสุขหรือทุกข์ไหม ถ้าเป็นทุกข์ทำไมไม่ทิ้งมัน เอาไว้ทำไม นี่จะเข้าใจว่า เรารู้อย่างไรเล่า จะเข้าใจว่าเราฉลาดอย่างไรเล่า ตั้งแต่เราเกิดมานี้ มันโกรธเรากี่หนมาแล้ว บางวันมันทำให้ครอบครัวเราทะเลาะกันก็ได้ ร้องไห้ทั้งคืนก็ได้ ขนาดนั้นก็ยังเกิดความโกรธอีก ยังเก็บมันเอาไว้ในใจอีก ทุกข์อีกอยู่ตลอดเวลา ตลอดถึงบัดนี้ ตั้งแต่นี้ต่อไปถ้าโยมทุกคนไม่เห็นทุกข์ มันก็จะทุกข์เรื่อย ๆ ไป ถ้าเห็นทุกข์วันนี้ เอามันทิ้งเสีย เอามันทิ้ง ถ้าไม่ทิ้งมัน มันจะให้เราทุกข์จนตลอดวันตาย ไม่ได้หยุด .. " ...หลวงปู่ชา สุภัทโท... คนเฒ่าปรารถนาเป็นอัครสาวิกา แบบผู้เป็นเลิศทางปัญญา “นึกมาตอนนี้ วันนี้ไม่เสียทีหรอกที่ผู้ข้าฯ บวชปฏิบัติมา เพราะได้กลับมาบอกสอนอุบายภาวนาให้แก่ แม่ออก (โยมแม่) ได้เทศน์ธรรมชี้แจงแก้ไขให้คนเฒ่าก่อนที่คนเฒ่าจะขาดใจตาย เมื่อคนเฒ่า (โยมแม่ออก : คุณแม่ชีมะแง้ ผิวขำ) ป่วยหนักอยู่บ้านห้วยทราย เราอยู่ช่อแลแม่แตงเชียงใหม่ ก็เหมือนรู้ ไม่รู้ก็เหมือนรู้ ว่าคนเฒ่าไม่สบายหนักป่วยแน่นอน จึงได้มอบการดูแลวัดช่อแล ให้กับพระมหาสุทธิ์ เป็นผู้รักษาดูแลแทน แต่ออกพรรษาปี (๒)๕๐๙ ใกล้ปีใหม่ก็ลงมาอีสาน มาถึงบ้านเขาว่า... “แม่ออกนอนป่วยอยู่ เห็นท่าจะไม่รอด แต่พอผู้ข้าฯ มาอยู่ด้วยดูแล เทศน์ธรรมให้คนเฒ่าฟัง คนเฒ่าป่วยอยู่นั้นก็ได้แม่ชีบุญแยง (แสนโสม) กับ อ้ายเจ๊ก ช่วยในการดูแลอ้ายเจ๊กก็ลำบากเพราะเป็นผู้ชาย หากไม่จำเป็นแท้ๆ ก็ไม่ให้ถูกตัวคนเฒ่า ผู้ข้าฯ ก็ได้ในส่วนการซักผ้านุ่งผ้าห่มให้ ซักเสื้อซักผ้า ล้างกระโถนหนักเบาก็ดีใจอยู่ได้ทำให้คนเฒ่าจนเต็มที่ จนใกล้เข้าพรรษาแล้ว ทีแรกก็ว่าจะจำพรรษาอยู่วัดป่าช้าที่เก่าของท่านอาจารย์มหาบัว (ญาณสมฺปนฺโน) แต่ลำบากในการเดินทางไปหาแม่ออกเพราะต้องผ่านหมู่บ้าน จึงได้ไปอยู่จำพรรษาอยู่ดอนหนองน่อง พ่ออียิ้มไปทำร้านที่พักหลับนอนให้ ทำส้วม ทางจงกรมขุดน้ำบ่อให้ จึงเดินทางมาดูแลเทศน์โปรดคนเฒ่าให้ตั้งใจ รักษาใจตอนท้ายอายุได้ อ้ายเจ็กเล่าว่า... “อีแม่บ่นหา คิดถึงแต่ครูบา วันใดก็บ่นหา วันใดก็บ่นหาให้ผมฮ้องใส่ก้นหม้อนึ่งข้าวให้มาเด้อๆ จนครูบามาแล้วก็เลิกบ่นหา กินข้าวกินน้ำก็ได้ นอนก็หลับ อีแม่ต้องอาลัยครูบากว่าคนอื่นแน่นอน” ทีนี้พอเขาร้องบอกว่า... “คุณแม่ คุณแม่ ครูบาจามมาแล้ว” เขาร้องบอกเท่านี้ล่ะ คนเฒ่าก็ร้องไห้เลยทันที “ฮ้องเอ็ดผะเหล๋ออีแม่ มาก็มาฮอดแล้ว อย่าไปไห้ เลิกเสีย อายลูกอายหลาน ผู้ข้าฯ ลงมาแต่เชียงใหม่ก็ไม่ได้มาดูอีแม่ร้องไห้เน้อ”...(หลวงปู่จาม) เราว่าเท่านี้คนเฒ่าก็หยุดร้องไห้ ลุกขึ้นมากราบไหว้เรา ขอฟังเทศน์ธรรม ผู้ข้าฯ ก็คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้พอควรแล้วก็ไปพักรุกขมูลอยู่หนองน่อง ปีนั้นอายุได้ ๕๘ ปี พรรษาก็ ๒๙ – ๓๐ เข้า อยู่จำพรรษาหนองน่องคนเดียว อุโบสถสังฆกรรมก็ตั้งใจให้บริสุทธิ์อยู่เสมอภายนอกภายใน ปรนนิบัติดูแลคนเฒ่าอยู่ คนอื่นเขาก็มาช่วยเหลืออยู่ ช่วงเช้ากับช่วงแลง ตอนค่ำคืนเราก็เดินจงกรมอยู่ใกล้ จนดึกดื่นก็เดินไปหนองน่อง แม่ออกนี้มีเรื่องแปลกของคนเฒ่าอยู่หลายเรื่อง คนเฒ่าฝันไปว่า... “ได้บวชเหมือนพระนุ่งเหลือง ห่มเหลือง ผ้านุ่งผ้าเหลืองเหมือนผ้าย้อมเข ออกสีทองเหลืองงาม มีหมู่เพื่อนด้วยกันหลายคน นั่งภาวนานิ่งของใครของมันอยู่” กลางคืนนอนหลับฝันไป ก็จะเห็นอย่างนี้ทันที มาถามผู้ข้าฯ ว่า... “เป็นแนวเลอ ครูบาจึงเป็นแบบนี้”...(โยมแม่ออก) “ไม่ใช่คุณแม่ เคยบวชเป็นนางภิกษุณีหรือ แต่ก่อนแต่เก่า รู้เห็นใครบ้างในฝัน”...(หลวงปู่จาม) “เห็นหลายรูปหลายองค์ แต่นั่งนิ่งภาวนาของใครของมัน มีรัศมีเหลืองอร่ามเป็นสีทองเต็มไปหมดสุดสายหูสายตา”..(โยมแม่ออก) “ทีนี้ออกพรรษาแล้วคนเฒ่าก็อาการดีขึ้น อ้ายเจ๊กก็ไปช่วยเขาเกี่ยวข้าว ขาดผู้ชายอยู่เป็นเพื่อน จึงได้ไปขอตุ๊อินทร์ถวาย (สนฺตุสฺสโก) กับอาจารย์หล้าลาย (เขมปตฺโต) วัดภูจ้อก้อมาอยู่ไปมาเป็นเพื่อน พอดีตอนนั้นอาจารย์หล้า (เขมปตฺโต) ก็มีหมูลูกศิษย์มาอยู่จำพรรษา ๓ – ๔ รูป ออกพรรษาเดือน ๑๑ เดือน ๑๒ เดือนอ้าย เดือนยี่ เป็นเดือน ๒ เพ็ญ เอาตุ๊อินทร์ถวายมาอยู่ด้วย แม่ออกก็อายุเข้า ๘๐ ปีเต็มกับสามวัน เพราะคนเฒ่าจำวันเกิดได้อยู่ แต่ก่อนว่าเดือน ๒ ขึ้น ๑๒ ค่ำมา ไม่สูญเปล่าประโยชน์ในการแนะนำอุบายภาวนากำหนดใจรักษาใจให้กับคนเฒ่า เพราะคนเฒ่ารู้จักใจของตนพอสมควร อีกเรื่องหนึ่งที่คนเฒ่าติดอยู่ในใจตลอดมา คือ เรื่องที่คนเฒ่าเจริญภาวนาแล้วได้นิมิตเห็นแต่ตัวเองอ่านแต่พระไตรปิฎก เป็นตู้ๆ ทั้งคัมภีร์โบราณ ทั้งหลักศิลาจารึก ทั้งคัมภีร์ใบลาน ทั้งคัมภีร์กระดาษ และหลายภาษาที่บันทึก แม่ออกเล่าว่า อ่านได้หมดทุกภาษา แต่พอถอนจิตออกมาแล้วก็จำไม่ได้เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดมา คนเฒ่าก็ถามว่า... “มันเป็นอย่างใดหนอ ครูบา” “ผู้ข้าฯ ก็รู้จักคนเฒ่าอยู่ว่า คนเฒ่าปรารถนาต้องการอยากจะเป็นอัครสาวิกาแบบผู้เป็นเลิศทางปัญญาของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งต่อไปในภายภาคหน้า การอ่านศึกษาพระไตรปิฎกนั้นเป็นการสะสมปัญญา แต่ทว่าหากคนเฒ่าอ่านแล้ว ถอนจิตออกมาจดจำได้ นำไปแก้ไขตัวเองได้ แต่นี่เพราะติดอยู่ในความต้องการปรารถนาเดิมของตนอยู่จึงยังติดขัดอยู่ ยังค้างเวียนว่ายตายเกิดบำเพ็ญบารมีของตนอีกต่อไป” เวลาที่คนเฒ่าจะละสังขาร ผู้ข้าฯ ก็ได้บอกว่า... “ตั้งใจเน้อ คุณแม่ ให้นึกถึงความดีของตน ศีลของตน การบวชของตน การสะสมของตน จริตนิสสัยบารมีของตน อย่าให้จิตไปอื่น อย่าห่วงกังวลอันใด ทั้งหมด” พอถึงเวลาของคนเฒ่าจริงๆ แล้ว ก็นิ่งสงบ ค่อยๆ ผ่อนเบาไปได้อย่างสบาย เป็นเพราะการฝึกหัดอบรมตนของคนเฒ่านั่นเอง ธรรมะประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ "พระภูมิ" (^/\^) "หลวงพ่อคะ ดิฉันกับสามีทะเลาะกันเรื่อย ความเห็นไม่ตรงกัน ไปหาหมอดูวัดสุทัศน์ หมอดูบอกว่าไม่ได้ตั้งศาลพระภูมิ หมอดูเป็นเปรียญ ๖ ประโยค" พระหมอดูถามว่า... โยมตั้งศาลพระภูมิหรือเปล่า เขาบอก "ไม่ได้ตั้ง" ท่านเลยแนะนำให้ตั้ง เพราะท่านถนัดเรื่องพระภูมิ ตั้งเสร็จได้ ๒ เดือน กลับไปหาอาจารย์อีกบอกว่า "พระอาจารย์เจ้าขา ตั้งพระภูมิเสร็จแล้วยังทะเลาะกันอีก ทะเลาะหนักกว่าเก่าอีก" หมอดูวัดสุทัศน์บอก "โอ๊ย! พระภูมิไม่ขึ้นศาล" ต้องไปเรียกใหม่ เสียเงินอีกเป็นหมื่น เอาพราหมณ์วัดสุทัศน์ไปด้วย พอตั้งได้ ๓ เดือน ทะเลาะกันหนักอีก ตีศีรษะแตกเลย ก็มาหาองค์นี้ใหม่ ท่านก็นั่งอีกแล้วบอกว่า "โอ๊ย! ผิดทิศ ไม่ถูกทิศ ต้องทิศนี้ซิ ใครมาตั้งนะ" ท่านก็เลยให้ตั้งใหม่ เอาพราหมณ์ไปตั้งด้วย ตั้งเสีย ๔ ศาลแล้ว เกะกะไปหมด หาที่จอดรถไม่ได้ เพราะเขาบอกว่าตั้งแล้วรื้อไม่ได้ ก็ตั้งเข้าไป ต่อมา... ไม่แค่ทะเลาะกันนะ จะฟ้องหย่ากันเลย ก็ไปถามหมอดูอีก หมอดูกลับบอกว่า "โอ๊ย! เชิญอย่างไรก็ไม่ได้ผล ต้องเสียเงินอีกแล้ว ต้องทำพลีกรรม เพราะตรงนี้มีตอตะเคียน" ถ้าใต้ถุนบ้านมีตอตะเคียน มีผีไม่เป็นไร ตอตะเคียนใหญ่ หนักเข้าก็ผุไป เรือนเย้ไปนิดหน่อย ก็ยันมันขึ้นมา ถมดินใหม่ ไม่ต้องรื้อเรือน ถ้าสร้างใหม่หมดอีกเป็นล้าน ผีมีอยู่ตรงไหน ขุดดูซิ... คร่อมตอตะเคียนไม่เป็นไรนะ คร่อมผีก็ไม่เป็นไร แต่คร่อม ตอแหล นี่รื้อหนีเลย บ้านแตกสาแหรกขาดหมด มันยุให้แตก พวกตอแหลตายไปแล้ว... นำกะโหลกมาตักน้ำล้างเท้า ยังทำให้คนทะเลาะกันเลย นี่ต้องพูดให้เห็น เป็นเรื่องจริง สู้พระภูมิ ๓ ไม่ได้ ภูมิรู้ - ภูมิธรรม - ภูมิฐาน คนที่ทะเลาะกันเพราะไม่มีพระภูมิ ๓ นี่เอง อาตมาบอกให้มาเข้ากรรมฐาน เดี๋ยวจะบอกให้ อยู่กรุงเทพฯนี่เอง ถ้าคร่อมตอตะเคียนกี่ตอช่างมัน แก้ได้ ผีเข้าก็แก้ได้ คนขาดสติใช่ไหมละ ตรงนี้เอาไปสอนกันหน่อยนะ อย่าพลอยบ้าไปกับเขาเลย คนขาดสติผีเข้าสิงแน่ๆ มาที่นี่เยอะไปหมด ผีเข้าเจ้าทรง พอมีสติเข้าออกเอง ไล่ผีปีศาจผีสิงไล่ยาก ถ้าผีตายโหงตายห่ามาเข้า ไล่ยาก ปีศาจผีสิงอยู่ในจิตใจคนไล่ยาก ดีไม่ดีจะเตะเราเข้า ต้องให้ไล่เองด้วยการมาเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ผีออกเลย ขอฝากท่านไปคิดด้วย # พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ |
เจ้าของ: | ลูกหว้า [ 04 เม.ย. 2015, 11:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: บุญจากการเจริญกรรมฐาน |
![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |