วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 07:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2015, 21:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


s005 อย่าขำกันเลยนะ :b9: :b9:
นักภาวนา...ใครเคยอธิษฐาน...ให้ทรงสมาธิบ้าง
พอดีเพิ่งอ่านเจอ...ก็เลยลุกไปลองทำดูเลยเมื่อกี้ :b3: :b3:
ก็อธิษฐานว่า...ขอทรงปฐมฌาน 10นาที s007
( :b46: คือ..บอกก่อนนะว่า..ช่วงนี้การทำสมาธิ ไอเดียค่อนข้างมีปัญหา
เพราะนั่งไป..พอมันสงบเข้านิดหน่อย..ใจมันก็จะน้อมไปพิจารณา
เหมือนลำดับมันขึ้นๆลงๆ.... ไม่ไป...ไม่นิ่ง...และมีนิวรณ์ความคิด+ง่วงแทรกบ่อยๆ
มันเป็นปัญหานิดๆ ..ไม่หนัก..เพราะก็เพิ่งเริ่ม4วัน :b14:
ถ้าไม่ใช่ว่ารีบใจร้อนอยากจะแก้ให้ได้เร็วๆๆ :b14: :b54: อยากอีกละ :b12: :b9: :b9:
คือ..กำลังคิดว่าจะฝึกสมาธิในขั้นที่สูงยิ่งขึ้นไปหน่ะค่ะ..แต่เหมือนไม่ค่อยไป)
:b38: พออธิษฐานจบ...หลับตาภาวนาสักพัก(เสียงค่อนข้างดังค่ะ)...ตั้งเวลาแรกไว้30นาที
พอรู้สึกองค์ประกอบครบ คำถามนะ
1.มันภาวนาไม่หยุด.... :b46: มันทรงไว้ได้จริงๆเหรอ :b10:
2.ความคิดมีเข้ามานะ น่าจะ2-3ครั้ง
แต่มาแล้วผ่านออกไปเลย มันเห็นแวบเข้ามาแล้วออกไป.. :b46: อันนี้เรียกว่าทรงได้อยู่ใหม :b10:
:b43: ที่สงสัย..เพราะเห็น2ข้อนี่มันขัดกันอ่ะค่ะ
แต่เวลานั้น..มันก็พอใจที่จะภาวนาต่อไปเรื่อยๆ
3.จนรู้สึกจะออกนี่แหละค่ะ :b5: :b5: จะรู้สึกว่าใช่อีก
ก็มีความคิดอยากเกิดขึ้นมาก่อนอีกนะ..อยากออก :b9: :b5:
เพราะตอนมันขยับออก..กายมันไม่ค่อยจะยอมเคลื่อนไหวเลย มันหนักๆ..แข็งๆ
และก็ยังมีความพอใจที่จะภาวนาต่อ..แต่สักพัก ก็รวบรวมพลังทางใจ..ออกมา..ก็ไม่ยาก
ปรึกษาผู้มีประสบการณ์ทางนี้หน่อย :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2015, 00:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ให้กำลังใจ นะครับ :b12: ถือว่าสะสมหน่วยกิจ ไปทีละหน่อย จับสภาวะปัจจุบัน หรือ จะเป็น สมถะ หา คำบริกรรม อะไรก็ได้ เพื่อให้สมาธิตั้งมั่นก่อน ถนัดนั่ง ก็นั่ง หรือ เดิน และ ยกเข้า สู่ วิปัสสนา...รู้ตามความเป็น จริง พอนานๆ เข้า ถ้าเรามี ความเพียร ศรัทธา พร้อม อินทรีย์ บารมี..ของเก่า เดี๋ยวมันก็จะพบความสงบ และ รู้ด้วยตัวเอง..จงมีสติ อยู่กับ ปรมัตถธรรม อยู่กับ กาลปัจจุบันตลอดเวลา ขอเจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2015, 06:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว




:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2015, 06:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ให้กำลังใจ นะครับ  ถือว่าสะสมหน่วยกิจ ไปทีละหน่อย จับสภาวะปัจจุบัน หรือ จะเป็น สมถะ หา คำบริกรรม อะไรก็ได้ เพื่อให้สมาธิตั้งมั่นก่อน ถนัดนั่ง ก็นั่ง หรือ เดิน และ ยกเข้า สู่ วิปัสสนา...รู้ตามความเป็น จริง พอนานๆ เข้า ถ้าเรามี ความเพียร ศรัทธา พร้อม อินทรีย์ บารมี..ของเก่า เดี๋ยวมันก็จะพบความสงบ และ รู้ด้วยตัวเอง..จงมีสติ อยู่กับ ปรมัตถธรรม อยู่กับ กาลปัจจุบันตลอดเวลา ขอเจริญในธรรม 



:b8: :b8:
สาธุค่ะ...คุณศรีสมบัติ
:b44: ทั้งกำลังใจ,,คำแนะนำ,,และเตือนสติ
:b27: :b27:
:b3: บารมีคงยังไม่มากพอ
หลายครั้งคิดนะคะ...ว่า...ควรจะ...หยุดได้แล้ว
แต่มันก็ :b9: :b9: เหมือนเด็กซนๆ คอยจะแว๊บนั่น,,ลองนี่อยู่ได้ :b7:
แล้วก็เอามาสงสัย อยากรู้ต่ออีก :b34: :b34: :b23:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2015, 10:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


_/][\_กราบหลวงตา
:b8: สาธุในความเมตตาธรรมของคุณกบค่ะ
ได้อะไรมากมาย...นอกจากคำว่ากิเลส ที่เอาแต่ท่องจำมาเยอะเลย :b9: :b9:
ขอบคุนค่ะ :b16: :b16:
:b27: :b27: :b27: :b46: :b46: :b54: :b46: :b46:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2015, 02:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
อย่าขำกันเลยนะ :b9: :b9:
นักภาวนา...ใครเคยอธิษฐาน...ให้ทรงสมาธิบ้าง
พอดีเพิ่งอ่านเจอ...ก็เลยลุกไปลองทำดูเลยเมื่อกี้ :b3: :b3:
ก็อธิษฐานว่า...ขอทรงปฐมฌาน 10นาที s007
( :b46: คือ..บอกก่อนนะว่า..ช่วงนี้การทำสมาธิ ไอเดียค่อนข้างมีปัญหา
เพราะนั่งไป..พอมันสงบเข้านิดหน่อย..ใจมันก็จะน้อมไปพิจารณา
เหมือนลำดับมันขึ้นๆลงๆ.... ไม่ไป...ไม่นิ่ง...และมีนิวรณ์ความคิด+ง่วงแทรกบ่อยๆ
มันเป็นปัญหานิดๆ ..ไม่หนัก..เพราะก็เพิ่งเริ่ม4วัน :b14:
ถ้าไม่ใช่ว่ารีบใจร้อนอยากจะแก้ให้ได้เร็วๆๆ :b14: :b54: อยากอีกละ :b12: :b9: :b9:
คือ..กำลังคิดว่าจะฝึกสมาธิในขั้นที่สูงยิ่งขึ้นไปหน่ะค่ะ..แต่เหมือนไม่ค่อยไป)
:b38: พออธิษฐานจบ...หลับตาภาวนาสักพัก(เสียงค่อนข้างดังค่ะ)...ตั้งเวลาแรกไว้30นาที
พอรู้สึกองค์ประกอบครบ คำถามนะ
1.มันภาวนาไม่หยุด.... :b46: มันทรงไว้ได้จริงๆเหรอ :b10:
2.ความคิดมีเข้ามานะ น่าจะ2-3ครั้ง
แต่มาแล้วผ่านออกไปเลย มันเห็นแวบเข้ามาแล้วออกไป.. :b46: อันนี้เรียกว่าทรงได้อยู่ใหม :b10:
:b43: ที่สงสัย..เพราะเห็น2ข้อนี่มันขัดกันอ่ะค่ะ
แต่เวลานั้น..มันก็พอใจที่จะภาวนาต่อไปเรื่อยๆ
3.จนรู้สึกจะออกนี่แหละค่ะ :b5: :b5: จะรู้สึกว่าใช่อีก
ก็มีความคิดอยากเกิดขึ้นมาก่อนอีกนะ..อยากออก :b9: :b5:
เพราะตอนมันขยับออก..กายมันไม่ค่อยจะยอมเคลื่อนไหวเลย มันหนักๆ..แข็งๆ
และก็ยังมีความพอใจที่จะภาวนาต่อ..แต่สักพัก ก็รวบรวมพลังทางใจ..ออกมา..ก็ไม่ยาก
ปรึกษาผู้มีประสบการณ์ทางนี้หน่อย :b8:

ความเห็นผมนั้น เป็นอาการทางจิต

คือประสบการณ์ทางจิตมีกันทุกคน ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ รวมแล้วเรียกประสบการณ์ทางจิต

ตรงนี้คือเอาความเห็นเราไปพิจารณาครับ

ทำไมกายหนัก เพราะเราแบกความหนักไว้ทางความเห็น มันเลยหนัก เรายังปล่อยวางความหนักนั้นไม่ได้ เพราะความเห็นเรานั้นคือกายนั้นเป็นของเรา

เหมือนก้อนหินที่วางไว้ โดนแดดมันก็คลายความร้อน โดนลม มันก็คลายความเย็น ถามว่า ความร้อนกับความเย็นนั้นใครเป็นเจ้าของ ก้อนหินไม่มีชีวิตมันจึงไม่รับรู้ แต่เรามีชีวิต เราจึงรับรู้อาการต่างๆ แต่เราก็ไม่ใช่เจ้าของ

คือทำอย่างไรเราจึงจะเห็นว่าธรรมหรืออาการต่างๆไม่มีใครเป็นเจ้าของ

คือพอเรามีความเห็นว่าเราเป็นเจ้าของ ความหนักมันจึงเป็นของเรา ทั้งๆที่ไม่ใช่ของใคร

คือจิตเป็นสมาธิก็จริง แน่วแน่ก็จริง แต่ความเห็นเรานั้นยังเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2015, 06:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ความเห็นผมนั้น เป็นอาการทางจิต

คือประสบการณ์ทางจิตมีกันทุกคน ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ รวมแล้วเรียกประสบการณ์ทางจิต

ตรงนี้คือเอาความเห็นเราไปพิจารณาครับ

ทำไมกายหนัก เพราะเราแบกความหนักไว้ทางความเห็น มันเลยหนัก เรายังปล่อยวางความหนักนั้นไม่ได้ เพราะความเห็นเรานั้นคือกายนั้นเป็นของเรา

เหมือนก้อนหินที่วางไว้ โดนแดดมันก็คลายความร้อน โดนลม มันก็คลายความเย็น ถามว่า ความร้อนกับความเย็นนั้นใครเป็นเจ้าของ ก้อนหินไม่มีชีวิตมันจึงไม่รับรู้ แต่เรามีชีวิต เราจึงรับรู้อาการต่างๆ แต่เราก็ไม่ใช่เจ้าของ

คือทำอย่างไรเราจึงจะเห็นว่าธรรมหรืออาการต่างๆไม่มีใครเป็นเจ้าของ

คือพอเรามีความเห็นว่าเราเป็นเจ้าของ ความหนักมันจึงเป็นของเรา ทั้งๆที่ไม่ใช่ของใคร

คือจิตเป็นสมาธิก็จริง แน่วแน่ก็จริง แต่ความเห็นเรานั้นยังเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนครับ


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2015, 08:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
สาธุค่ะคุณ student...ขอบคุณค่ะ
Kiss ใช่ค่ะ...มันมัวตื่นเต้นกับประสบการณ์ใหม่...เลยไม่ได้พิจารณา :b9: :b9:
ปกติเวลานั่งสมาธิ..ก็เจอเป็นปกตินะ ตัวแข็ง หนัก แต่จะรู้แบบสงบภายใน
แต่ช่วงนี้มันเจอสภาวะที่...มันเหมือนยังรู้อยู่ทั้งภายนอกและภายใน ยังไม่สงบเต็มที่
มันมีความรู้สึกว่า.....ฉันจะลุก แต่เธอไม่ลุก :b14: เหมือนความรู้สึกมันตัดขาดกัน
ความนึกคิดกับกาย :b5: :b5: แต่ก็ยังรู้เหมือนมีอยู่ด้วยกันเนี่ยแหละ
มันเหมือนว่าสักวัน...ฉันจะลุก คือถอดจิตออกไปเลย cry
555 s002 ไปเที่ยวอนาคตอีกละ :b9: :b9:
มันอาจจะแค่อุปทานอ่ะค่ะ :b3: :b3: :b3: ไม่มีสติ^^ :b34: :b34:
:b39: :b43: :b39: :b43:
:b46: :b46: :b46:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2015, 15:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ม.ค. 2011, 09:13
โพสต์: 73


 ข้อมูลส่วนตัว


นิทาน ฟังพอขำๆ รูปฌาณ 1 มีความสุขขึ้นในจิต หลุดจากนิวรญ์ชั่วคราว จึงนั่งได้เรื่อยๆ ไม่เบื่อหน่าย สวดมนต์ได้ยาวๆ อารมย์มีอยู่ 5 อย่าง พัฒนาความละเอียดขึ้นไปตามลำดับ จนถึงรูปฌาณ4 จะมีอาการเหมือนหยุดหายใจเหมือนคนจมน้ำหายใจไม่ออก จะก้าวข้ามได้ ต้องร่างกายไม่สนใจพูดง่ายๆว่ายอมตายหากตัดไม่ได้ อารมญ์ฌาณก็ถอยออก มีอารมย์เป็น 1 การเข้าฌาณเมื่อจะออกจากฌาณอย่าพรวดพราดออก ให้ทำการถอยอารมณ์เป็นปกติเสียก่อนค่อยเลิก อาจใช้คำบริกรรม หากออกเลยทื่อๆ มันจะเป็นฌาณค้าง รู้-เห็น อารมณ์ได้ทุกอย่าง เหมือนมีรั้วกั้น หากนานวันคิดเข้าข้างตัวเองว่ามี มรรคผลแล้ว ในคำครูอาจารย์หลายๆท่านว่าอาจเสีย สติได้ ส่วนตัวผมเอง เคยปวดหัวเวียนศรีษะ เป็นเดือน แต่ใจเป็นสุขอย่างยิ่ง แต่อย่างว่าแหละครับ ไม่ลองไม่รู้ ธรรมะ ต้องปฏิบัติเองถึงจะเข้าใจ เหมือนคนกระโดดบันจี้จั้ม ที่เขาอธิบายเขียนไว้ในหนังสือว่าอาการเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอถามคนกระโดดจริงๆว่าเป็นอย่างไร ก็คล้ายๆที่อธิบายในหนังสือนั้นแหละ แต่คุณต้องลอง ถึงจะรู้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2015, 16:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
นิทาน ฟังพอขำๆ รูปฌาณ 1 มีความสุขขึ้นในจิต หลุดจากนิวรญ์ชั่วคราว จึงนั่งได้เรื่อยๆ ไม่เบื่อหน่าย สวดมนต์ได้ยาวๆ อารมย์มีอยู่ 5 อย่าง พัฒนาความละเอียดขึ้นไปตามลำดับ จนถึงรูปฌาณ4 จะมีอาการเหมือนหยุดหายใจเหมือนคนจมน้ำหายใจไม่ออก จะก้าวข้ามได้ ต้องร่างกายไม่สนใจพูดง่ายๆว่ายอมตายหากตัดไม่ได้ อารมญ์ฌาณก็ถอยออก มีอารมย์เป็น 1 การเข้าฌาณเมื่อจะออกจากฌาณอย่าพรวดพราดออก ให้ทำการถอยอารมณ์เป็นปกติเสียก่อนค่อยเลิก อาจใช้คำบริกรรม หากออกเลยทื่อๆ มันจะเป็นฌาณค้าง รู้-เห็น อารมณ์ได้ทุกอย่าง เหมือนมีรั้วกั้น หากนานวันคิดเข้าข้างตัวเองว่ามี มรรคผลแล้ว ในคำครูอาจารย์หลายๆท่านว่าอาจเสีย สติได้ ส่วนตัวผมเอง เคยปวดหัวเวียนศรีษะ เป็นเดือน แต่ใจเป็นสุขอย่างยิ่ง แต่อย่างว่าแหละครับ ไม่ลองไม่รู้ ธรรมะ ต้องปฏิบัติเองถึงจะเข้าใจ เหมือนคนกระโดดบันจี้จั้ม ที่เขาอธิบายเขียนไว้ในหนังสือว่าอาการเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอถามคนกระโดดจริงๆว่าเป็นอย่างไร ก็คล้ายๆที่อธิบายในหนังสือนั้นแหละ แต่คุณต้องลอง ถึงจะรู้



Kiss ขอบคุณค่ะ..คุณยังไม่พ้น
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2015, 16:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
หากนานวันคิดเข้าข้างตัวเองว่ามี มรรคผลแล้ว ในคำครูอาจารย์หลายๆท่านว่าอาจเสีย สติได้ ส่วนตัวผมเอง เคยปวดหัวเวียนศรีษะ เป็นเดือน แต่ใจเป็นสุขอย่างยิ่ง แต่อย่างว่าแหละครับ ไม่ลองไม่รู้ ธรรมะ ต้องปฏิบัติเองถึงจะเข้าใจ 



มีเรื่องเล่า :b3: :b3:
เมื่อก่อนเริ่มปฏิบัติ..แบบไม่รู้จักมรรคผล
รู้แค่ว่า..จุดหมายสูงสุดคือเข้านิพพาน บรรลุอรหันต์เลย :b9: :b9: ไม่ได้รู้ขั้นตอนอะไรเลย :b14:
จนถึงจุดหนึ่ง..สภาวะธรรมหนึ่ง..ก็เหมือนพาให้เราไปทำความเข้าใจ
กับการบรรลุ..แต่ละขั้น
มีเขว... :b5: :b5: ไปบ้างเหมือนกัน .... :b9: :b9: :b3: :b3: :b15: :b15:
เกือบหลง,,หรือหลงไปบ้างแล้วแหละ :b15: :b15:
แต่ก็เห็นว่า..มันยังไม่ใช่..เพราะมันยังไม่เที่ยง
และเรายังเหลือความไม่รู้ อีกเยอะเหลือเกิน s007
:b46: :b46: :b46: แต่ข้อดีของการได้เข้าไปรู้
:b44: ก็ทำให้เป้าหมายเปลี่ยน :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2015, 20:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
:b46: ถาม...คนบางคนบอกไม่ต้องสงสัย ปฏิบัติอย่างเดียวแล้วจะสิ้นสงสัย

:b46: ตอบ...(พระอ.สุชาติ อภิชาโต)
.....ห้ามไม่ให้สงสัย ไม่ได้
.....ถ้าสงสัยก็อย่าไปให้ความสำคัญ เพราะจะมีเรื่องให้สงสัยอยู่เรื่อย
.....ความสงสัย----เกิดจากความหลง----
.....ถ้าแก้ที่ต้นเหตุ คือ ความหลงได้ ก็จะหายสงสัยหมด
.....ให้สงสัยเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติ แต่อย่าไปสงสัยเกี่ยวกับผล ไม่เกิดประโยชน์อะไร
.....ถ้าไม่เข้าใจวิธีปฏิบัติ เจริญสติอย่างไร อย่างนี้ควรถาม นั่งสมาธิ รักษาศีลอย่างไร ถามได้
อย่าไปถามเรื่องผล ว่าเป็นอย่างไร ไม่เกิดประโยชน์อะไร
เหมือนกับกินข้าว กินแล้วอิ่มอย่างไร ก็กินเข้าไปสิ กินอิ่มแล้วจะรู้เอง
.....ให้สงสัยในมรรค แต่อย่าสงสัยในผล ในนิพพาน ว่าจะเป็นอย่างไร [/quote]
:b8: :b8: :b8:

:b9: :b9: เต็มๆ :b34: :b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2015, 13:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
อ้างคำพูด:
:b46: ถาม...คนบางคนบอกไม่ต้องสงสัย ปฏิบัติอย่างเดียวแล้วจะสิ้นสงสัย

:b46: ตอบ...(พระอ.สุชาติ อภิชาโต)
.....ห้ามไม่ให้สงสัย ไม่ได้
.....ถ้าสงสัยก็อย่าไปให้ความสำคัญ เพราะจะมีเรื่องให้สงสัยอยู่เรื่อย
.....ความสงสัย----เกิดจากความหลง----
.....ถ้าแก้ที่ต้นเหตุ คือ ความหลงได้ ก็จะหายสงสัยหมด
.....ให้สงสัยเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติ แต่อย่าไปสงสัยเกี่ยวกับผล ไม่เกิดประโยชน์อะไร
.....ถ้าไม่เข้าใจวิธีปฏิบัติ เจริญสติอย่างไร อย่างนี้ควรถาม นั่งสมาธิ รักษาศีลอย่างไร ถามได้
อย่าไปถามเรื่องผล ว่าเป็นอย่างไร ไม่เกิดประโยชน์อะไร
เหมือนกับกินข้าว กินแล้วอิ่มอย่างไร ก็กินเข้าไปสิ กินอิ่มแล้วจะรู้เอง
.....ให้สงสัยในมรรค แต่อย่าสงสัยในผล ในนิพพาน ว่าจะเป็นอย่างไร

:b8: :b8: :b8:

:b9: :b9: เต็มๆ :b34:

จริงๆไม่อยากจะออกความคิดเห็น แต่ไหนๆก็คิดไว้แล้วเกี่ยวกับ เหตุ---ผล. ผมเองจึงได้ความเห็นดังนี้ครับ

เหตุผล เป็นปัจจัยที่เอื้อหนุนกันและกัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะกลายเป็น ความเชื่อไป เช่น อย่างที่ข้อความข้างบนกล่าวไว้ว่า สงสัยเกี่ยวกับปฎิบัติ แต่อย่าสงสัยผล คือ สมมุติผมมีคำถามว่า อะไรเป็นเหตุเกิดของกุศลธรรม กุศลธรรมคือผล เหตุเกิดของกุศลธรรมเช่น ละเว้นการฆ่าสัตว์ ละเว้นการพูดปด หรือ ไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตพยาบาท

เหล่านี้คือการปฎิบัติครับ (ศีล สมาธิ ปัญญา) คือที่จะออกความเห็นก็คือ เหตุผล ไม่ได้ขัดแย้งกัน แต่ต้องพิจารณาไปด้วยกัน

คือผมไม่เข้าใจแนวการตอบของพระอาจารย์ ว่าพระอาจารย์หมายถึงอะไรกันแน่

เช่นท่านอุปมาว่า กินแล้วอิ่มอย่างไร แล้ว ถ้าถามว่าละความผูกโกรธเป็นกุศลธรรมอย่างไร ย่อมได้คำตอบว่า ได้ความเมตตา ได้สันติสุข ก็ไม่ได้ขัดแย้งอะไรเกี่ยวกับการปฎิบัติ แต่เป็นประโยชน์คือแรงหนุนหรือความจูงใจในการปฎิบัติครับ

นี่แหละครับที่ผมไม่เข้าใจว่าพระอาจารย์หมายถึงอะไร

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2015, 17:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเพิ่งจะ อธิษฐานไปเมื่อหลายวันก่อนว่าขอให้มีอายุยืนยาว เพื่อช่วยสืบทอดพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไป


แต่ลึกๆ กลับเป็นเพราะ กลัวตาย


ไม่รู้ว่าการอธิษฐานแบบนี้ มันจะได้เรื่องไหมนะ

ตอนนี้ก็พยายาม โพสต์ธรรมะของครูบาอาจารย์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2015, 21:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
:b46: ถาม...คนบางคนบอกไม่ต้องสงสัย ปฏิบัติอย่างเดียวแล้วจะสิ้นสงสัย

:b46: ตอบ...(พระอ.สุชาติ อภิชาโต)
.....ห้ามไม่ให้สงสัย ไม่ได้
.....ถ้าสงสัยก็อย่าไปให้ความสำคัญ เพราะจะมีเรื่องให้สงสัยอยู่เรื่อย
.....ความสงสัย----เกิดจากความหลง----
.....ถ้าแก้ที่ต้นเหตุ คือ ความหลงได้ ก็จะหายสงสัยหมด
.....ให้สงสัยเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติ แต่อย่าไปสงสัยเกี่ยวกับผล ไม่เกิดประโยชน์อะไร
.....ถ้าไม่เข้าใจวิธีปฏิบัติ เจริญสติอย่างไร อย่างนี้ควรถาม นั่งสมาธิ รักษาศีลอย่างไร ถามได้
อย่าไปถามเรื่องผล ว่าเป็นอย่างไร ไม่เกิดประโยชน์อะไร
เหมือนกับกินข้าว กินแล้วอิ่มอย่างไร ก็กินเข้าไปสิ กินอิ่มแล้วจะรู้เอง
.....ให้สงสัยในมรรค แต่อย่าสงสัยในผล ในนิพพาน ว่าจะเป็นอย่างไร[/quote]
:b44:
อ้างคำพูด:
จริงๆไม่อยากจะออกความคิดเห็น แต่ไหนๆก็คิดไว้แล้วเกี่ยวกับ เหตุ---ผล. ผมเองจึงได้ความเห็นดังนี้ครับ

เหตุผล เป็นปัจจัยที่เอื้อหนุนกันและกัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะกลายเป็น ความเชื่อไป เช่น อย่างที่ข้อความข้างบนกล่าวไว้ว่า สงสัยเกี่ยวกับปฎิบัติ แต่อย่าสงสัยผล คือ สมมุติผมมีคำถามว่า อะไรเป็นเหตุเกิดของกุศลธรรม กุศลธรรมคือผล เหตุเกิดของกุศลธรรมเช่น ละเว้นการฆ่าสัตว์ ละเว้นการพูดปด หรือ ไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตพยาบาท

เหล่านี้คือการปฎิบัติครับ (ศีล สมาธิ ปัญญา) คือที่จะออกความเห็นก็คือ เหตุผล ไม่ได้ขัดแย้งกัน แต่ต้องพิจารณาไปด้วยกัน

คือผมไม่เข้าใจแนวการตอบของพระอาจารย์ ว่าพระอาจารย์หมายถึงอะไรกันแน่ 

เช่นท่านอุปมาว่า กินแล้วอิ่มอย่างไร แล้ว ถ้าถามว่าละความผูกโกรธเป็นกุศลธรรมอย่างไร ย่อมได้คำตอบว่า ได้ความเมตตา ได้สันติสุข ก็ไม่ได้ขัดแย้งอะไรเกี่ยวกับการปฎิบัติ แต่เป็นประโยชน์คือแรงหนุนหรือความจูงใจในการปฎิบัติครับ

นี่แหละครับที่ผมไม่เข้าใจว่าพระอาจารย์หมายถึงอะไร


:b39: :b39:
อ่านดูแล้วก็ตรงตัวทุกอย่างนะคะ s006
ถ้าตามความเห็นของไอเดีย :b15:
สงสัยในที่นี้...ก็แบบไอเดียอะค่ะ :b9: :b9: สงสัยในสภาวะธรรม
:b8: ท่านเลยว่า..สงสัยได้..แต่อย่าไปให้ความสำคัญ..เพราะจะมีเรื่องให้สงสัยอยู่เรื่อย :b46: :b46: :b46:
:b8: ให้สงสัยเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติ แต่อย่าไปสงสัยเกี่ยวกับผล ไม่เกิดประโยชน์อะไร :b46: :b46: :b46:
เช่นนะ..ได้วิธีคือ กำหนดพุทโธ...นั่งๆไปเห็นนั่นเห็นนี่,,ฌานนั้นฌานนี้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ถ้าเราไปคอยสงสัยมันก็เป็นความหลงอ่ะค่ะ :b3: แต่เพราะเราไม่เคยเจอ..ท่านก็ว่าสงสัยได้
แต่อย่าไปให้ความสำคัญ เพราะจะมีเรื่องให้ต้องสงสัยอยู่เรื่อย....... :b9: :b9:



ให้สงสัยในมรรค อย่าสงสัยในผล ในนิพพาน :b3: :b3:
นี่แหละค่ะ...กินข้าว กินแล้วอิ่มอย่างไร ก็กินเข้าไปสิ กิ่นอิ่มแล้วจะรู้เอง :b44:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 154 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร