ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
การหากัลยาณมิตร http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=50292 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | รสมน [ 17 มิ.ย. 2015, 05:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | การหากัลยาณมิตร |
" กัลยาณมิตร หาได้ไม่ง่าย หาไม่ได้สำหรับคนทั่วไป ไม่ใช่ภริยาทุกคน เป็นกัลยาณมิตรของสามี ไม่ใช่สามีทุกคน เป็นกัลยาณมิตรของภรรยา ไม่ใช่เพื่อนทุกคน เป็นกัลยาณมิตรของกันและกัน . ผู้เป็นกัลยาณมิตรนั้น มีคุณสมบัติเป็นหลัก สำคัญที่สุด คือความดี มีคุณธรรมประจำใจ พร้อมด้วยสติและปัญญา . ภรรยาสามี บุตรธิดา และ มิตรสหาย หรือผู้หนึ่งผู้ใด ที่ไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวมาจึงไม่อาจ เป็นกัลยาณมิตรได้ " . --- พระคติธรรม สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก "อัฐิกลายเป็นพระธาตุ มีช้ามีเร็วต่างกัน ด้วยองค์ประกอบดังนี้คือ 1.องค์ใดท่านปฏิบัติรู้ธรรมแบบขิปปาภิญญา (รู้ บรรลุธรรมฉับพลัน)คือ รู้อย่างรวดเร็วแล้วก็นิพพานไปเสีย อัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุช้า การที่นิพพานเร็วนี่เอง เป็นเหตุให้อัฐิกลายเป็นพระธาตุช้า เพราะสาเหตุว่า จิตที่บริสุทธิ์มีเวลาฟอกธาตุขันธ์น้อย 2.องค์ใดบำเพ็ญตั้งแต่ศีล สมาธิ ปัญญา รู้ธรรมไปอย่างเชื่องช้า สม่ำเสมอ ถ้าใจบริสุทธิ์แล้วครองขันธ์อยู่นาน อันนี้พอท่านมรณภาพไป อัฐิของท่านจะกลายเป็นพระธาตุอย่างเร็ว การครองขันธ์นานนี่เอง เป็นเหตุให้จิตที่บริสุทธิ์มีเวลาที่จะทำหน้าที่ในการซักฟอกธาตุขันธ์ยาวนาน เพราะว่าจิตที่บริสุทธิ์นั้น เป็นฐานในการซักฟอกธาตุขันธ์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของจิตโดยหลักธรรมชาติ เพราะฉะนั้น อัฐิของท่านกับอัฐิของคนทั่วไป จึงต่างกัน ต่างกันที่จิตบริสุทธิ์ซักฟอกธาตุขันธ์ ให้เป็นธาตุขันธ์ที่บริสุทธิ์ไปตามส่วนของธาตุที่เป็นวัตถุ อัฐิที่จะกลายเป็นพระธาตุได้นั้น คือ อัฐิพระอรหันต์เท่านั้น...เวลาพระอรหันต์ท่านมีชีวิตอยู่จิตของท่านสง่างามจ้าครอบธาตุขันธ์ แล้วฟอกธาตุขันธ์ที่เป็นเรือนร่างของจิตที่บริสุทธิ์นั้น ฟอกมาโดยลำดับ กระแสของจิตที่บริสุทธิ์นี้กระจายออกทั่วสรรพางค์ร่างกาย เรียกว่าฟอกธาตุขันธ์ที่เป็นส่วนหยาบเหมือนคนทั่วๆไปนี้ ให้กลายเป็นส่วนละเอียดเข้าไปๆ จิตบริสุทธิ์แล้ว ย่อมฟอกธาตุขันธ์นี้เองโดยหลักธรรมชาติ ที่เด่นที่สุดก็คือ เวลาท่านเข้าสมาธิสมาบัติภาวนา ท่านมองดูธาตุขันธ์ของ ท่าน ถ้าพูดเทียบกับโลกนี้เรียกว่าเป็นทองคำทั้งแท่งอยู่ข้างใน" หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ไม่มีใครทำร้ายตัวเราได้เท่าตัวเราเอง (หลวงปู่หล้า เขมปัตโต) ไม่มีใครทำร้ายตัวเราได้เท่าตัวเรา ตัวเรานั่นแหละผู้ทำร้ายหรือทำดีให้กับตัวเราเองอย่าได้ไปเที่ยวโทษผู้อื่นเลย คนเราจะอับเฉาเศร้าหมองก็เพราะการกระทำของเรา และเป็นเพราะเราอดทนไม่ได้ไม่ใช่หรือ ที่ทำให้เราไม่ได้ดี และก็เพราะเรามักง่ายเกินไปมิใช่หรือ ที่ทำให้เราโชคร้าย อย่าได้มัวไปโทษดวงชะตาว่ามันไม่ดี ดวงชะตามันจะทำอะไรได้ ถ้าดวงชะตามันไม่ดี ทำไมมันจึงได้ทำเราให้เกิดมาเป็นคนก็บอกว่าวาสนาอาภัพนัก อับความเพียรต่างหาก ถ้าขยันหมั่นเพียรแล้ววาสนาก็จะมาเองวาสนา ดวงชะตาถ้าจะดีหรือร้าย ใครเล่าจะลิขิต ถ้าไม่ใช่ตัวเราไปขีดเขียนให้มันเป็นอย่างนั้น ให้รู้จักขยันหมั่นทำความดี เพื่อทำชีวิตเราให้ดีขึ้นกันเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้เถิด # อานิสงส์ของศีล คำสอนของครูบาศรีวิชัย # "...เครื่องประดับขัตติยะนารีทั้งหลาย มีแก้วแหวนเงินทองเป็นตัณหากามคุณ เหมือนดั่งน้ำผึ้งแช่ยาพิษ สำหรับนำความทุกข์มาใส่ตัว โดยบ่มีประโยชน์สิ่งใดเลย แม่น้ำคงคา ยมนา อิระวดี มหิ มหาสรพู ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ทั้ง ๕ แม่น้ำนี้ แม้นจักเอามาอาบให้หมดทั้ง ๕ แม่น้ำนี้ ก็บ่อาจจะล้างบาป คือความเดือดร้อนภายในให้หายได้ ลมฝนลูกเห็บแม้นจะตกลงมาหลายห่า เย็นและหนาวสักปานใด ก็บ่อาจเย็นเข้าไปถึงภายในให้หายจากความทุกขเวทนาได้ ศีล ๕ เป็นอริยทรัพย์ เป็นต้นเหตุแห่งความบริสุทธิ์ เป็นนำ้ทิพย์สำหรับล้างบาป คือความเดือดร้อนภายในให้หายได้ เมื่อศีลบริสุทธิ์แล้ว สมาธิ ความตั้งมั่นก็จะมีมาแล้วให้ปลุกปัญญา ปัญญาก็จักเกิดมีขึ้นได้ คือ ให้หมั่นรำลึกถึงตัวตนอยู่เสมอว่า บ่ใช่ตัว บ่ใช่ตน จนเห็นแจ้งด้วย ปัญญาของตน จึงเป็นสมุทะ ประหารกิเลสหมดแล้ว จิตเป็นวิมุติ หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งมวลได้..." |
เจ้าของ: | asoka [ 17 มิ.ย. 2015, 18:14 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: การหากัลยาณมิตร | ||
![]() สาธุกับคำสอนดีๆของครูบาอาจารย์ที่ยกมาแบ่งปันกันให้ได้รู้เห็น กัลยาณมิตรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงจิตใจของมนุษย์ ไปสู่ทางชั่ว หรือทางดี กัลยาณมิตรในทางโลกนั้นคือผู้ที่ชักพาเราไปให้ประสบความสำเร็จที่ดีในทางโลก กัลยาณมิตรในทางธรรมคือผู้ที่ชักนำทำให้เราเข้าถึง มรรค ผล นิพพาน ![]()
|
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 17 มิ.ย. 2015, 21:38 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การหากัลยาณมิตร |
![]() ![]() ![]() กัลยาณมิตร..นี้สำคัญต่อการบรรลุธรรม...มาก เรียกว่า...ในอายุพระศาสนา...ไม่มีใครบรรลุได้เองโดยปราศจากกัลยาณมิตรที่บรรลุไปก่อนแล้ว... ถ้าท่านยังไม่พบผู้ที่บำเพ็ญบุญมาด้วยกันที่มีฐานะจะเป็นกัลยาณมิตรของท่านได้แล้วละก้อ...ความพากเพียรของท่านที่ทำอยู่...ก็จะเป็นบารมีสะสมไว้เมื่อถึงคราวไปเจอกับกัลยาณมิตร..นั้นเอง |
เจ้าของ: | รสมน [ 18 มิ.ย. 2015, 06:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การหากัลยาณมิตร |
ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ |
เจ้าของ: | sirinpho [ 19 มิ.ย. 2015, 12:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การหากัลยาณมิตร |
![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 23 มิ.ย. 2015, 01:28 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: การหากัลยาณมิตร | ||
![]() ผู้รู้ธรรมแม้จะเป็นเพียงแค่ภาคทฤษฏี ที่เรียกว่า ปริยัติศาสนา ก็ถือว่าเป็นกัลยาณมิตรได้ .....แต่ ถ้าใครได้พบคบหากับผู้ที่รู้ปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรมจนถึงผลได้อย่างใดอย่างหนึ่งจนถึงได้ผลทั้ง 4 นั่นแสดงว่าเป็นโชคดีอย่างมหาศาลของบุคคลผู้นั้นที่ได้พบปะคบหาสมาคมกับ "มหากัลยาณมิตร" ขอให้ทุกๆท่านได้พบมหากัลยาณมิตรโดยเร็วพลันทุกท่านทุกคนเทอญ ![]()
|
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 23 มิ.ย. 2015, 06:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การหากัลยาณมิตร |
กัลยาณมิตร..นี้..ปุถุชนก็เป็นกัลยาณปุถุชนได้...คือเป็นแบบอย่างที่ทำให้เราอยากเป็นคนดีได้..อยากศึกษาพระธรรม...อันนี้ก็พอใช้ได้ในเบื้องต้น แต่กัลยาณมิตร..ในทางธรรมะนี้..หมายถึง..คนบรรลุธรรมแล้ว...เท่านั้น หย่อนให้ว่า..มรรค 4 ผล3...ก็พอๆได้..เอ้า..ดีที่สุดคือ..ผลอันที่4 ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 24 มิ.ย. 2015, 21:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การหากัลยาณมิตร |
![]() ถ้ายังไม่มีโอกาสได้พบอริยเจ้าทั้ง 4 จำพวก หากได้พบเพียง "มรรคอาจารอริยะ"คือผู้ที่กำลังเดินอยู่บนทางแห่งมรรค 8 เพื่อให้ถึงความเป็นอริยะ ก็พอใช้ได้เพราะจะได้ชักชวนกันเดินร่วมกันไปสู่มรรค ผล นิพพานด้วยกัน ![]() หาให้เจอนะครับ. มรรคอาจารอริยะ |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 24 มิ.ย. 2015, 21:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การหากัลยาณมิตร |
asoka เขียน: :b43: ถ้ายังไม่มีโอกาสได้พบอริยเจ้าทั้ง 4 จำพวก หากได้พบเพียง "มรรคอาจารอริยะ"คือผู้ที่กำลังเดินอยู่บนทางแห่งมรรค 8 เพื่อให้ถึงความเป็นอริยะ ก็พอใช้ได้เพราะจะได้ชักชวนกันเดินร่วมกันไปสู่มรรค ผล นิพพานด้วยกัน ![]() หาให้เจอนะครับ. มรรคอาจารอริยะ อะไรนะ.... หวังน้อยจ๊ะ.... ![]() ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 25 มิ.ย. 2015, 07:06 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: การหากัลยาณมิตร | ||
![]() พระอริยเจ้าทั้ง 4 หรือแม้เพียงชั้นต้นโสดาบันบุคคลนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ไม่ง่ายนักที่จะมารักเมตตากรุณามนุษย์เข้ามาดำผุดดำว่ายร่วมในลานธรรมทั้งหลายอันค่อนข้างจะมากมายด้วยบัญญัตอัตตามานะทิฏฐิ ถ้ามีปรากฏมาจึงเป็นเรื่องมหากุศลผลบุญของนักสนทนาธรรมและผู้ศึกษาธรรมทั้งหลายในยุคสมัย เป็นโชคดีหากท่านอยู่คู่ลานไป เพราะจะได้เป็นหลักชักผู้คนอยู่สายกลาง ส่วนมรรคอาจาระนั้นหาง่าย มีมากมายหลายท่านแสวงหาทั้งนอกลานในลานเป็นธรรมดา ต่างมุ่งหน้าสู่นิพพานสถานธรรม ทั้งความรู้ประสบการณ์อันมากมาย ทั้งจิตใจยังหนุกหนานมุ่งก้าวหน้า จึงคุยกันมันและเผือกทุกเวลาไปจนกว่าถึงธรรมจึงจากจร จึงบอกว่าถ้าพบมรรคอาจาระ เหมือนพบพระมาอวยพรและพร่ำสอน เพียงเท่านี้เหมือนมิตรดีมาอาทร มาร่วมกินร่วมนอนร่วมเดินทาง สู่มรรคาศาสดาทรงชี้พร่ำ คือทางธรรมทั้ง 8 ไม่มีถอน ขอให้ชาวชนในลานจงได้พรพบมิตรดีที่แน่นอนพาสู่ธรรม ![]()
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |