ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

ความหลงทำให้เกิดทุกข์
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=50404
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  รสมน [ 30 มิ.ย. 2015, 04:49 ]
หัวข้อกระทู้:  ความหลงทำให้เกิดทุกข์

พบอะไรก็ตามอย่าหลงติด ได้รับอะไรก็ตามอย่าหลงติด พบความทุกข์ก็อย่าหลงติด โดยหลงคิดว่าจะต้องพบความทุกข์นั้นตลอดไป พบความสุขก็อย่าหลงติดโดยหลงคิดว่าจะต้องพบความสุขนั้นตลอดไป นี้แหละที่เรียกว่า ทุกข์เพราะความคิดที่ผิด


ความคิดจะไม่ให้ความทุกข์ทรมานใจหนักหนาเกินกว่าจำเป็น แก่ผู้ที่ทุกขณะจิตได้ยินพระสุรเสียงในสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสเตือน “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับเป็นธรรมดา” ทุกข์แล้ว ทุกข์ก็จะดับ ไม่ใช่ทุกข์แล้วก็จะทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ ตลอดไป ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น และเช่นเดียวกัน สุขแล้ว สุขก็จะดับ ไม่ใช่สุขแล้วก็จะสุข สุข สุข ตลอดไป ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น..

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก



. ● คติธรรม ●
โยมสังเกตหรือไม่ว่า มีคนจำนวนไม่น้อย
ที่คิดว่าแฟนของคนอื่นสวย หล่อกว่าแฟน
ตัวเอง ลูกคนอื่นเก่งกว่าลูกตัวเอง
...ถ้าโยม...เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น...
ชีวิตโยมหาความสุขได้ยาก แต่เมื่อใดที่โยม
หันมาพอใจกับสิ่งที่ตนมี มองเห็นแง่ดีในสิ่ง
ที่มีอยู่ ความสุขจะเพิ่มพูนขึ้นมามากมายทัน
ที จิตใจจะเบาขึ้น และชีวิตจะหายเหนื่อย...
...เจริญพร...
♢พระมหาสมปอง ตาลปุตโต♢




มูลฐานสำหรับทำการปฏิบัติ

นโม นี้ เมื่อกล่าวเพียง ๒ ธาตุเท่านั้น ยังไม่สมประกอบหรือยังไม่เต็มส่วน ต้องพลิกสระพยัญชนะดังนี้ คือ เอาสระอะจากตัว น มาใส่ตัว ม เอาสระ โอ จากตัว ม มาใส่ตัว น แล้วกลับตัว มะ มาไว้หน้าตัว โน เป็น มโน แปลว่าใจ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้ทั้งกายทั้งใจเต็มตามส่วน สมควรแก่การใช้เป็นมูลฐานแห่งการปฏิบัติได้ มโน คือใจนี้เป็นดั้งเดิม เป็นมหาฐานใหญ่ จะทำจะพูดอะไรก็ย่อมเป็นไปจากใจนี้ทั้งหมด ได้ในพระพุทธพจน์ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัย ก็ทรงบัญญัติออกไปจาก ใจ คือมหาฐาน นี้ทั้งสิ้น เหตุนี้เมื่อพระสาวกผู้ได้มาพิจารณาตามจนถึงรู้จัก มโน แจ่มแจ้งแล้ว มโน ก็สุดบัญญัติ คือพ้นจากบัญญัติทั้งสิ้น สมมติทั้งหลายในโลกนี้ต้องออกไปจากมโนทั้งสิ้น ของใครก็ก้อนของใคร ต่างคนต่างถือเอาก้อนอันนี้ ถือเอาเป็นสมมติบัญญัติตามกระแสแห่งน้ำโอฆะจนเป็นอวิชชาตัวก่อภพก่อชาติด้วยการไม่รู้เท่า ด้วยการหลง หลงถือว่าเป็นตัวเรา เป็นของเราไปหมด




คืนหลวงปู่มั่น บรรลุอรหันต์

หลวงปู่ชอบ(ฐานสโม)ท่านพักภาวนาอยู่กับองค์ท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่ ถ้ำดอกคำ บ้านสหกรณ์ ตำบลน้ำแพร่ อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่..


คืนนั้นเวลาประมาณตีสามกว่า หลวงปู่ชอบท่านนั่งภาวนาอยู่ที่พักของท่าน จิตท่านในเวลานั้นสว่างไสวใสงามมาก แต่แล้วจู่ๆความสว่างไสวของจิตเกิดดับวูบลงไปอย่างกะทันหัน พร้อมกับมีเสียงกึกก้องกัมปนาทสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วขุนเขา..

ท่านเปรียบเทียบว่าเสียงนี้ไม่ต่างอะไรกับระเบิดปรมาณูมาระเบิดอยู่ข้างๆตัวเรา จนท่านเกิดอาการสั่นไหวในจิตคล้ายกับผืนแผ่นพสุธาจะแตกสลายกลายเป็นจุลอาการเหล่านี้เกิดขึ้นภายในจิตของท่านเท่านั้น แต่สิ่งต่างๆที่อยู่ภายนอกก็เป็นปรกติทุกอย่าง ตั้งแต่ท่านภาวนามาก็ไม่เคยประสบพบเจอกับอาการแบบนี้ของจิต ท่านจึงพิจารณาดูภายในว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิตของตน พิจารณาดูจิตก็ไม่เห็นผิดปรกติตรงไหน..

ท่านจึงพิจารณาดูภายนอกว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น พอดึงจิตออกมาดูข้างนอก จิตท่านก็พุ่งตรงไปที่องค์ท่านหลวงปู่มั่นทันที ท่านเห็นเทวดาพากันมาห้อมล้อมองค์ท่านหลวงปู่มั่นจำนวนมากเทวดาพากันมาจากทุกสวรรค์ชั้นภูมิ จนเต็มพื้นดินแผ่นฟ้านภากาศ ครั้งนั้นท่านว่าเทวดามาหาองค์ท่านหลวงปู่มั่นมากถึงสิบโกฏิ(หนึ่งโกฏิเท่ากับสิบล้าน) รัศมีบารมีเทวดาเปล่งประกายเจิดจ้าจนทำให้ทั่วบริเวณถ้ำดอกคำสว่างไสวด้วยรัศมีของเทพเจ้าเหล่าเทวดา..

แต่รัศมีของเทวดาทั้งหลายยังไม่เท่ากับรัศมีธรรมขององค์ท่านหลวงปู่มั่น รัศมีธรรมขององค์ท่านสว่างไสวกว่ารัศมีเทวดามากมายจนเกินประมาณ หลังจากชื่นชมรัศมีบารมีธรรมขององค์ท่านหลวงปู่มั่นแล้วท่านก็ถอนจิตออกมา ท่านรำพึงในใจว่า

“ เหตุการณ์นี้ต้องสำคัญกับท่านอาจารย์ใหญ่อย่างแน่นอน ”..

ข้ามอีกวัน เวลาประมาณสี่โมงเย็น หลวงปู่ชอบท่านเข้าไปเตรียมน้ำสำหรับสรงองค์ท่านหลวงปู่มั่น ขณะที่ท่านผลัดผ้าให้กับองค์ท่านหลวงปู่มั่นนั้น หลวงปู่มั่นถามท่านว่า ท่านชอบตอนนี้การภาวนาของท่านเป็นอย่างไรบ้าง..

ท่านกราบเรียนองค์ท่านหลวงปู่มั่นว่า การภาวนาของข้าน้อยตอนนี้เป็นปรกติดีขอรับ เพียงแต่เมื่อคืนวานมีเหตุการณ์หนึ่งทำให้จิตของข้าน้อยดับวูบลงไป มีเสียงดังกัมปนาทเหมือนระเบิดขนาดใหญ่มาแตกอยู่ข้างๆ ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ข้าน้อยก็ไม่เคยเป็นมาก่อนในขณะกำลังภาวนา..

องค์ท่านหลวงปู่มั่นถามว่า เรื่องนี้ท่านพิจารณาเห็นเป็นเช่นไร..

ท่านตอบว่า ข้าน้อยพิจารณาดูภายในจิตก็ไม่เห็นอะไรผิดปรกติ พอถอนจิตออกมาดูภายนอก เห็นพ่อแม่ครูอาจารย์มีรัศมีสว่างไสวสดใสงดงามมาก รัศมีของพ่อแม่ครูอาจารย์สว่างไสวกว่าทุกครั้งที่ข้าน้อยเคยเห็นมา

มีเทวดาจากทุกชั้นภูมิพากันมาหาพ่อแม่ครูอาจารย์มากที่สุดเท่าที่ข้าน้อยเคยพบเห็น แต่ข้าน้อยไม่ทราบว่าที่เทพเจ้าเหล่าเทวดาพากันมาหาพ่อแม่ครูอาจารย์จำนวนมากถึงขนาดนี้เพราะเหตุจากอะไร..

องค์ท่านหลวงปู่มั่นพูดขึ้นมาว่า ที่ท่านชอบเห็นเทวดามาหาเราจำนวนมากนั้น พวกเทพเทวดาเขาพากันมาร่วมอนุโมทนาที่เรา “ บรรลุธรรมธาตุ ” พ้นทุกข์แล้ว จากนี้ต่อไปการเกิดของเราจะไม่มีอีกแล้ว ทุกอย่างของเรามันขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว พระอรหันต์ท่านสิ้นกิเลสเช่นไร เราก็สิ้นกิเลสแล้วเช่นนั้น..

เสียงดังเหมือนเสียงระเบิดที่ท่านได้ยินนั้น เป็นเสียงอนุโมทนาของเทพเจ้าเหล่าเทวดา เสียงอนุโมทนาของเทวดาเป็นเสียงเทวะฤทธิ์ไปกระทบกับจิตของท่านในขณะนั้นพอดี จึงเป็นเหตุทำให้จิตของท่านสะเทือนจนถอนออกจากสมาธิอย่างกะทันหัน..

สิ้นคำพูดที่องค์ท่านหลวงปู่มั่น หลวงปู่ชอบท่านบอก

“ เราถึงกับขนลุกซู่ขึ้นมาทันที เราเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเรื่องราวแบบนี้ คำว่า “

ธรรมธาตุ ” ตั้งแต่เราเกิดมาพึ่งจะได้ยินคำนี้ในวันนั้นเอง จนเราเกิดปีติอย่างแรงกล้าน้ำตาไหลพรากออกมาอย่างไม่รู้ตัว”..

ท่านว่า ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำใดออกมาเพื่อให้สมกับฐานะธรรมของพ่อแม่ครูจารย์มั่น เรากราบลงแทบเท้าพ่อแม่ครูจารย์มั่นโดยห้ามการกระทำของตนเองไว้ไม่อยู่ ก้มมองดูเท้าของพ่อแม่ครูจารย์มั่นแล้วร้องไห้ออกมาเพราะตื้นตันใจที่องค์ท่าน

“ บรรลุธรรมธาตุ ” เป็น “ พระอรหันต์ ” อย่างสมภูมิ..

หลวงปู่ชอบ “ เราร้องไห้แบบไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของตนเองได้อย่างไรในตอนนั้น มันเป็นนามธรรมเกินที่จะอธิบายให้ทราบได้ ถึงตอนนั้นพ่อแม่ครูจารย์มั่นจะดุด่าอย่างไรเราก็ยอม แต่ท่านก็ไม่ว่าอะไรให้เรา

ท่านปล่อยให้เราแสดงความรู้สึกออกมา พอความรู้สึกผ่อนลงแล้วพ่อแม่ครูจารย์จึงว่าให้เรา ฮ่วย..มันเป็นถึงขนาดนี้หรือท่านชอบ ปีตีกระแทกจิตแรงจนบ่อน้ำตาแตกเลยหรือท่าน ”..

ท่านกราบเรียนองค์ท่านหลวงปู่มั่นว่า ข้าน้อยตื้นตันใจที่รู้ว่าพ่อแม่ครูอาจารย์จบกิจในพระพุทธศาสนาพ้นทุกข์แล้ว เหลือแต่ข้าน้อยเท่านั้นที่ยังต้องปฏิบัติกิจในพระศาสนาอีกต่อไป ชาตินี้ข้าน้อยขอปรารถนารู้เห็นธรรมเหมือนกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์..

องค์หลวงปู่มั่นบอกกับท่านว่า ถ้าท่านอยากสำเร็จมรรคผลนิพพานในชาตินี้ ท่านอย่าละความเพียรที่เคยบำเพ็ญมา ท่านอย่าท้อถอยเป็นอันขาด ให้ปฏิบัติตามที่เราอบรมสั่งสอนมา ถ้าท่านทำตามนี้แล้วเรารับรองให้เลยว่า ชาตินี้ท่านจะได้มรรคผลนิพพานสมใจอย่างแน่นอน



เลี้ยงชีพครองตนด้วยแบบของภิกษุ

“พระอุปัชฌาย์(พระธรรมเจดีย์จูม พันธุโล) เพิ่นสอนว่า “การเป็นนักบวชเป็นศีลเป็นธรรม เพราะเลี้ยงชีพครองตนด้วยแบบของภิกษุ นั่นคือได้ปัจจัยเครื่องเลี้ยงชีวิตด้วยความบริสุทธิ์ หาแบบภิกษุ, อยู่แบบภิกษุ, ฉันแบบภิกษุ ใช้สอยแบบภิกษุ สันโดษ มักน้อย รู้จักพอดี จะอดจะอิ่มก็ให้งาม ปากท้องอย่าให้บาป ชีวิตนักบวชอย่าให้เป็นบาป”


“เราเป็นนักบวชให้กินง่าย อยู่ง่าย ไม่วุ่นวายคลุกคลี อยู่เพื่อค้นหาศึกษาธรรม ตั้งใจของเจ้าของให้มาก ธรรมใดจะเป็นเหตุให้เฮาได้เสวยในความสุข ก็ให้สะสมในธรรมนั้น””

เพิ่นสอนหลายอันหลายอย่างเราก็จำได้ไม่หมด อกรณียกิจ อนุศาสน์ กรรมฐาน ๕ อโคจร และเรื่องปัจจัย ๔ เลี้ยงชีวิต

๒ ทุ่มตรงก็เริ่มขอบวช บวชเสร็จแล้วเพิ่นก็ให้โอวาทพระเณรต่อไปเลย แต่พระสงฆ์ที่มานั่งหัตถบาสให้นั้นทั้งหมด ๑๒ รูป พระอุปัชฌาย์เพิ่นบอกให้เอาแค่ ๑๒ รูป””

“ช่วงที่อยู่กับท่านเจ้าคุณฯ อยู่นั่นหล่ะ เรื่องของพวกกินเจ กำลังตื่นเต้นกัน มีโยมเข้ามาเรียนถามกับท่านเจ้าคุณฯ เรื่องการกินเจ

ท่านเจ้าคุณฯ เพิ่นก็อธิบายว่า..
“อาหารการขบฉันทุกอย่างหมู่เจ้ากินอย่างใด พระเณรก็กินอย่างนั้น แต่พระเณรนั้นบริโภคอย่างมีธรรมวินัย อาหารอย่างใดที่พระพุทธองค์ทรงห้ามเอาไว้ก็อย่าเอามาให้พระเณรได้ขบฉันเป็นอันขาด เช่น อาหารมังสัง ๑๐ อย่าง,
มังสังเจาะจงบอกชื่อ,
มังสังที่เห็นว่าเขาฆ่าหรือได้ยินว่าเขาฆ่าหรือนึกรังเกียจอย่างนี้.. พระเณรเพิ่นก็ไม่ฉันกันหรอกเพราะเว้นให้กับการพิจารณาอยู่แล้ว

..ส่วนหมู่ชาวโลกก็สุดแต่จะว่ากันสรรหามายัดปากยัดท้องให้มันเต็มให้มันอิ่มอยู่เสมอ ก็สุดแล้วจะกินเนื้อหรือกินหญ้าก็ตามใจชอบเท่านั้นเอง

หรือหมู่เจ้าเห็นกันว่าอย่างใด
กินเนื้อเป็นเสืออย่างนั้นหรือ
กินหญ้าเป็นควายอย่างนั้นหรือ
ระวังเน้อ....เสือมันจะกัดคอควายเด้อ””

ว่าจบแล้วก็พากันหัวเราะอย่างถูกใจของผู้มาถาม เพราะผู้มาถามนี้เป็นพวกไม่ชอบกินเจ แต่ก็กินทั้งเนื้อกินทั้งเจปนเปกันเต็มอยู่ในท้องไส้””

ธรรมะประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 30 มิ.ย. 2015, 07:36 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความหลงทำให้เกิดทุกข์

รสมน เขียน:
มูลฐานสำหรับทำการปฏิบัติ

นโม นี้ เมื่อกล่าวเพียง ๒ ธาตุเท่านั้น ยังไม่สมประกอบหรือยังไม่เต็มส่วน ต้องพลิกสระพยัญชนะดังนี้ คือ เอาสระอะจากตัว น มาใส่ตัว ม เอาสระ โอ จากตัว ม มาใส่ตัว น แล้วกลับตัว มะ มาไว้หน้าตัว โน เป็น มโน แปลว่าใจ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้ทั้งกายทั้งใจเต็มตามส่วน สมควรแก่การใช้เป็นมูลฐานแห่งการปฏิบัติได้ มโน คือใจนี้เป็นดั้งเดิม เป็นมหาฐานใหญ่ จะทำจะพูดอะไรก็ย่อมเป็นไปจากใจนี้ทั้งหมด ได้ในพระพุทธพจน์ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัย ก็ทรงบัญญัติออกไปจาก ใจ คือมหาฐาน นี้ทั้งสิ้น เหตุนี้เมื่อพระสาวกผู้ได้มาพิจารณาตามจนถึงรู้จัก มโน แจ่มแจ้งแล้ว มโน ก็สุดบัญญัติ คือพ้นจากบัญญัติทั้งสิ้น สมมติทั้งหลายในโลกนี้ต้องออกไปจากมโนทั้งสิ้น ของใครก็ก้อนของใคร ต่างคนต่างถือเอาก้อนอันนี้ ถือเอาเป็นสมมติบัญญัติตามกระแสแห่งน้ำโอฆะจนเป็นอวิชชาตัวก่อภพก่อชาติด้วยการไม่รู้เท่า ด้วยการหลง หลงถือว่าเป็นตัวเรา เป็นของเราไปหมดคืนหลวงปู่มั่น บรรลุอรหันต์

หลวงปู่ชอบ(ฐานสโม)ท่านพักภาวนาอยู่กับองค์ท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่ ถ้ำดอกคำ บ้านสหกรณ์ ตำบลน้ำแพร่ อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่..


คืนนั้นเวลาประมาณตีสามกว่า หลวงปู่ชอบท่านนั่งภาวนาอยู่ที่พักของท่าน จิตท่านในเวลานั้นสว่างไสวใสงามมาก แต่แล้วจู่ๆความสว่างไสวของจิตเกิดดับวูบลงไปอย่างกะทันหัน พร้อมกับมีเสียงกึกก้องกัมปนาทสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วขุนเขา..

ท่านเปรียบเทียบว่าเสียงนี้ไม่ต่างอะไรกับระเบิดปรมาณูมาระเบิดอยู่ข้างๆตัวเรา จนท่านเกิดอาการสั่นไหวในจิตคล้ายกับผืนแผ่นพสุธาจะแตกสลายกลายเป็นจุลอาการเหล่านี้เกิดขึ้นภายในจิตของท่านเท่านั้น แต่สิ่งต่างๆที่อยู่ภายนอกก็เป็นปรกติทุกอย่าง ตั้งแต่ท่านภาวนามาก็ไม่เคยประสบพบเจอกับอาการแบบนี้ของจิต ท่านจึงพิจารณาดูภายในว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิตของตน พิจารณาดูจิตก็ไม่เห็นผิดปรกติตรงไหน..

ท่านจึงพิจารณาดูภายนอกว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น พอดึงจิตออกมาดูข้างนอก จิตท่านก็พุ่งตรงไปที่องค์ท่านหลวงปู่มั่นทันที ท่านเห็นเทวดาพากันมาห้อมล้อมองค์ท่านหลวงปู่มั่นจำนวนมากเทวดาพากันมาจากทุกสวรรค์ชั้นภูมิ จนเต็มพื้นดินแผ่นฟ้านภากาศ ครั้งนั้นท่านว่าเทวดามาหาองค์ท่านหลวงปู่มั่นมากถึงสิบโกฏิ(หนึ่งโกฏิเท่ากับสิบล้าน) รัศมีบารมีเทวดาเปล่งประกายเจิดจ้าจนทำให้ทั่วบริเวณถ้ำดอกคำสว่างไสวด้วยรัศมีของเทพเจ้าเหล่าเทวดา..

แต่รัศมีของเทวดาทั้งหลายยังไม่เท่ากับรัศมีธรรมขององค์ท่านหลวงปู่มั่น รัศมีธรรมขององค์ท่านสว่างไสวกว่ารัศมีเทวดามากมายจนเกินประมาณ หลังจากชื่นชมรัศมีบารมีธรรมขององค์ท่านหลวงปู่มั่นแล้วท่านก็ถอนจิตออกมา ท่านรำพึงในใจว่า

“ เหตุการณ์นี้ต้องสำคัญกับท่านอาจารย์ใหญ่อย่างแน่นอน ”..

ข้ามอีกวัน เวลาประมาณสี่โมงเย็น หลวงปู่ชอบท่านเข้าไปเตรียมน้ำสำหรับสรงองค์ท่านหลวงปู่มั่น ขณะที่ท่านผลัดผ้าให้กับองค์ท่านหลวงปู่มั่นนั้น หลวงปู่มั่นถามท่านว่า ท่านชอบตอนนี้การภาวนาของท่านเป็นอย่างไรบ้าง..

ท่านกราบเรียนองค์ท่านหลวงปู่มั่นว่า การภาวนาของข้าน้อยตอนนี้เป็นปรกติดีขอรับ เพียงแต่เมื่อคืนวานมีเหตุการณ์หนึ่งทำให้จิตของข้าน้อยดับวูบลงไป มีเสียงดังกัมปนาทเหมือนระเบิดขนาดใหญ่มาแตกอยู่ข้างๆ ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ข้าน้อยก็ไม่เคยเป็นมาก่อนในขณะกำลังภาวนา..

องค์ท่านหลวงปู่มั่นถามว่า เรื่องนี้ท่านพิจารณาเห็นเป็นเช่นไร..

ท่านตอบว่า ข้าน้อยพิจารณาดูภายในจิตก็ไม่เห็นอะไรผิดปรกติ พอถอนจิตออกมาดูภายนอก เห็นพ่อแม่ครูอาจารย์มีรัศมีสว่างไสวสดใสงดงามมาก รัศมีของพ่อแม่ครูอาจารย์สว่างไสวกว่าทุกครั้งที่ข้าน้อยเคยเห็นมา

มีเทวดาจากทุกชั้นภูมิพากันมาหาพ่อแม่ครูอาจารย์มากที่สุดเท่าที่ข้าน้อยเคยพบเห็น แต่ข้าน้อยไม่ทราบว่าที่เทพเจ้าเหล่าเทวดาพากันมาหาพ่อแม่ครูอาจารย์จำนวนมากถึงขนาดนี้เพราะเหตุจากอะไร..

องค์ท่านหลวงปู่มั่นพูดขึ้นมาว่า ที่ท่านชอบเห็นเทวดามาหาเราจำนวนมากนั้น พวกเทพเทวดาเขาพากันมาร่วมอนุโมทนาที่เรา “ บรรลุธรรมธาตุ ” พ้นทุกข์แล้ว จากนี้ต่อไปการเกิดของเราจะไม่มีอีกแล้ว ทุกอย่างของเรามันขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว พระอรหันต์ท่านสิ้นกิเลสเช่นไร เราก็สิ้นกิเลสแล้วเช่นนั้น..

เสียงดังเหมือนเสียงระเบิดที่ท่านได้ยินนั้น เป็นเสียงอนุโมทนาของเทพเจ้าเหล่าเทวดา เสียงอนุโมทนาของเทวดาเป็นเสียงเทวะฤทธิ์ไปกระทบกับจิตของท่านในขณะนั้นพอดี จึงเป็นเหตุทำให้จิตของท่านสะเทือนจนถอนออกจากสมาธิอย่างกะทันหัน..

สิ้นคำพูดที่องค์ท่านหลวงปู่มั่น หลวงปู่ชอบท่านบอก

“ เราถึงกับขนลุกซู่ขึ้นมาทันที เราเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเรื่องราวแบบนี้ คำว่า “

ธรรมธาตุ ” ตั้งแต่เราเกิดมาพึ่งจะได้ยินคำนี้ในวันนั้นเอง จนเราเกิดปีติอย่างแรงกล้าน้ำตาไหลพรากออกมาอย่างไม่รู้ตัว”..

ท่านว่า ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำใดออกมาเพื่อให้สมกับฐานะธรรมของพ่อแม่ครูจารย์มั่น เรากราบลงแทบเท้าพ่อแม่ครูจารย์มั่นโดยห้ามการกระทำของตนเองไว้ไม่อยู่ ก้มมองดูเท้าของพ่อแม่ครูจารย์มั่นแล้วร้องไห้ออกมาเพราะตื้นตันใจที่องค์ท่าน

“ บรรลุธรรมธาตุ ” เป็น “ พระอรหันต์ ” อย่างสมภูมิ..

หลวงปู่ชอบ “ เราร้องไห้แบบไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของตนเองได้อย่างไรในตอนนั้น มันเป็นนามธรรมเกินที่จะอธิบายให้ทราบได้ ถึงตอนนั้นพ่อแม่ครูจารย์มั่นจะดุด่าอย่างไรเราก็ยอม แต่ท่านก็ไม่ว่าอะไรให้เรา

ท่านปล่อยให้เราแสดงความรู้สึกออกมา พอความรู้สึกผ่อนลงแล้วพ่อแม่ครูจารย์จึงว่าให้เรา ฮ่วย..มันเป็นถึงขนาดนี้หรือท่านชอบ ปีตีกระแทกจิตแรงจนบ่อน้ำตาแตกเลยหรือท่าน ”..

ท่านกราบเรียนองค์ท่านหลวงปู่มั่นว่า ข้าน้อยตื้นตันใจที่รู้ว่าพ่อแม่ครูอาจารย์จบกิจในพระพุทธศาสนาพ้นทุกข์แล้ว เหลือแต่ข้าน้อยเท่านั้นที่ยังต้องปฏิบัติกิจในพระศาสนาอีกต่อไป ชาตินี้ข้าน้อยขอปรารถนารู้เห็นธรรมเหมือนกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์..

องค์หลวงปู่มั่นบอกกับท่านว่า ถ้าท่านอยากสำเร็จมรรคผลนิพพานในชาตินี้ ท่านอย่าละความเพียรที่เคยบำเพ็ญมา ท่านอย่าท้อถอยเป็นอันขาด ให้ปฏิบัติตามที่เราอบรมสั่งสอนมา ถ้าท่านทำตามนี้แล้วเรารับรองให้เลยว่า ชาตินี้ท่านจะได้มรรคผลนิพพานสมใจอย่างแน่นอน



:b8: :b8: :b8:

จุดเริ่มแห่งปฏิจจสมุปบาท...ก็นี้แหละ...มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ

เจ้าของ:  eragon_joe [ 30 มิ.ย. 2015, 08:27 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความหลงทำให้เกิดทุกข์

โอยยยย เรื่องนี้ฟังแล้วขนลุกเลย ...

:b20: :b20: :b20:

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 05 ก.ค. 2015, 10:32 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความหลงทำให้เกิดทุกข์

จริงดิ...
:b12: :b12: :b12:

เจ้าของ:  Rosarin [ 16 ก.ค. 2015, 17:41 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความหลงทำให้เกิดทุกข์

Kiss
...ขออนุโมทนาธรรมทานที่คุณรสมนโพสต์ด้วยนะคะ...ขออนุญาตสนทนาเพื่อการคิดไตร่ตรองค่ะ...
รสมน เขียน:
พบอะไรก็ตามอย่าหลงติด ได้รับอะไรก็ตามอย่าหลงติด พบความทุกข์ก็อย่าหลงติด โดยหลงคิดว่าจะต้องพบความทุกข์นั้นตลอดไป พบความสุขก็อย่าหลงติดโดยหลงคิดว่าจะต้องพบความสุขนั้นตลอดไป นี้แหละที่เรียกว่า ทุกข์เพราะความคิดที่ผิด


ความคิดจะไม่ให้ความทุกข์ทรมานใจหนักหนาเกินกว่าจำเป็น แก่ผู้ที่ทุกขณะจิตได้ยินพระสุรเสียงในสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสเตือน “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับเป็นธรรมดา” ทุกข์แล้ว ทุกข์ก็จะดับ ไม่ใช่ทุกข์แล้วก็จะทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ ตลอดไป ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น และเช่นเดียวกัน สุขแล้ว สุขก็จะดับ ไม่ใช่สุขแล้วก็จะสุข สุข สุข ตลอดไป ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น..

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

...โดยส่วนใหญ่ทุกคนจะลืมคำสอนเป็นปกติด้วยความไม่รู้...เพราะคิดถึงแต่ภาระที่ทำในชีวิต...
...หลงตัวตนเป็นปกติ...เห็นคิดหยิบจับจำเป็นชื่อคน สัตว์ สิ่งของต่างๆ แต่ไม่เข้าใจสภาพธรรมจริง...
...อะไรก็ขาดตัวตนไม่ได้และลืมนึกถึงคำสอนเป็นปกติ...การฝึกจิตต้องฝึกคิดฝืนคิดตามคำสอน..
...ต้องเริ่มที่การสอนจิตตนบ่อยๆว่าทุกสิ่งทุกอย่างเพียงแค่ปรากฎให้รู้ได้ชั่วคราวกระพริบตาคือสิ่งใหม่...
...จะไป จะทำ จะหยิบ จะจับ จะไปพบคนนั้นคนนี้...คำว่าเราไม่มี...คิดอะไรได้ให้นึกสิ่งนั้นก่อน...
...เช่นเห็นก็ให้สอนจิตว่า...กระพริบตา1ครั้งก็เป็นจิตเห็นขณะใหม่ตลอดเวลา...อันเก่าดับไม่กลับมา...
...ไม่ใช่แค่เห็นที่หมด...แต่ที่ประชุมอยู่เดี๋ยวนี้เองรู้ไม่ทั่วเลย...เพราะจิตไม่รู้ทันการเกิดดับทั้ง6ทาง...
...คิดและจงใจบังคับจิตให้คิดไปทีละอย่าง...เราจะรู้ว่า...ที่ฝึกไปทีละ1เพราะจิตคิดตามได้ทีละ1...
...จะพร้อมกันทุกทางไม่ได้...เพราะที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เองทั้ง6ทาง...คิดทางไหนก่อนก็ให้รู้ว่าจริงทีละ1...
...กายกระทบสัมผัสอะไรก็ระลึกสิ่งนั้น...จะเย็น จะร้อน จะอ่อน จะแข็ง...ขณะิ่รู้มันแยกกันทีละ1ค่ะ...
...ค่อยๆฝึกไปทีละทาง...ทีละอย่าง...จะรู้ได้ว่าจะแยกแยะแต่ละทางได้เร็วขึ้น...รู้ทางไหนได้ให้รู้ก่อน...
...เพราะทรงแสดงว่าจิตเกิด-ดับทีละ1ขณะ...ทั้งเห็นได้ยินได้กลิ่นรู้รสรับสัมผัสเกิดไม่พร้อมกันเลย...
...แต่ละ1ทางจะต้องดับไม่เหลือเลยจึงจะเกิดอันใหม่...คือเห็นหมด ได้ยินหมด ได้กลิ่นหมด หมดทั้ง6ทาง...
...แม้สภาพเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปมีอยู่ตั้งแต่7ขณะจิตไปจนถึง 17ขณะจิตถึงจะดับไม่เหลืออะไรเลย...
...ทุกอย่างเร็วเสมือนไม่แยกกัน...ทรงแสดงว่าทีละ1ก็คือจริงไม่เปลี่ยน...แต่จิตยังไม่รู้วินาทีที่เกิด-ดับ...
...พร้อมยอมรับถึงความยากหรือไม่...แต่ถ้าทรงสอนว่ามนุษย์ฝึกคิดตามได้...ความยากคือไม่ฝึกคิดค่ะ...
...อย่าไปรอว่าว่างแล้ว...ถึงจะไปเข้าวัดเพื่อปฏิบัติ...มีกายกับจิตนี่แหละก็คือพระไตรปิฎกเคลื่อนที่...
...อยู่ที่ว่ารู้หรือยังว่าพระพุทธเจ้าทรงบอก ทรงเตือนและทรงสอนอะไร...ถ้าไม่รู้แต่ละทางทีละ1เกิดแน่ๆ...
...หมายถึง6ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...เรียงลำดับได้ว่าอะไรเกิดก่อนหลัง...จับวางได้หมดก็ไม่เกิด...
:b4: :b4:
:b22:

เจ้าของ:  รสมน [ 17 ก.ค. 2015, 04:38 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความหลงทำให้เกิดทุกข์

ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ

เจ้าของ:  asoka [ 17 ก.ค. 2015, 06:05 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความหลงทำให้เกิดทุกข์

:b12:
หยุดคิดได้ ก็หยุดทุกข์ได้
ใช้คิดเป็น ก็พาให้ถึงความหมดทุกข์

onion
พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า

"หยุดคิด ถึงรู้ แต่จะให้รู้ก็ต้องคิด"
:b4:

เจ้าของ:  bigtoo [ 17 ก.ค. 2015, 10:35 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความหลงทำให้เกิดทุกข์

รากเหง้าของความทุกข์ก็ความหลงนี้แหล่ะคร๊าบบบ!

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/