วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 03:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2015, 12:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
....

แม้ไม่น่าเข้าข่ายบิดเบือนพระธรรม...แต่..เข้าข่ายผิดข้อไหนดีครับ?
:b12:


:b14: :b14: :b14:

:b8: :b8: :b8:

:b10: :b10: :b10:

ใครช่วยแปลไทยเป็นไทยทีเถอะ...

:b6: ...ทำไมเอกอนจับใจความไม่ได้เลยแฮะ... :b32: :b32:

จริง จริ๊งงงงงง....

:b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2015, 16:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
....

แม้ไม่น่าเข้าข่ายบิดเบือนพระธรรม...แต่..เข้าข่ายผิดข้อไหนดีครับ?
:b12:


:b14: :b14: :b14:

:b8: :b8: :b8:

:b10: :b10: :b10:

ใครช่วยแปลไทยเป็นไทยทีเถอะ...

:b6: ...ทำไมเอกอนจับใจความไม่ได้เลยแฮะ... :b32: :b32:

จริง จริ๊งงงงงง....

:b9: :b9: :b9:

"บิดเบือน" คือรู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ แต่มีเจตนาหรือจงใจบอกว่า
เป็นอย่างนั้น เพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ หรือเพื่อหวังทำลาย ..

"เข้าใจผิด หลงผิด" คือไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร คิดเอา เดาเอา โมเมเอาว่า
เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่ออวดภูมิ อวดตนหรือเพื่อหวังลาภ ยศ สรรเสริญ ..

ความคิดเห็นส่วนตัวนะจ้ะ :b13: :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2015, 16:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1067

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จุดมุ่งหมายของสัจธรรม เพียงเพื่อกำจัดชอบ ชัง เฉย เท่านั้นเอง วิธีกำจัด ก็กำจัดที่ต้นเหตุ จะชอบดับ จะชังดับ จะเฉยดับ ให้หมดสิ้นไปดุจตาลยอดด้วนไม่เกิดขึ้นอีก จะไม่มีก็รู้ว่าไม่มี ก็ไม่ต้องไปนั่งเสียเวลาถกเถียงกับใคร ชอบ ชัง เฉย จะเกิด ก็เกิดที่ตา เมื่อจะดับก็ดับที่ตา เมื่อจะเกิดก็เกิดที่ใจ จะดับก็ดับที่ใจ

ขอถามหน่อยว่า รู้ทันดับทันแล้วหรือยัง

ผู้รู้ทันเค้าไม่ไปติดอยู่กับความถูกความผิดหรอก ผู้รู้ทันอยู่เหนือความถูกความผิดแล้ว..ส่วนใหญ่ความรู้อยู่ที่ความยึดถือเท่านั้น ไม่มีใครรู้ทันหรอก เพราะรู้ทันต้องรู้ทันตรงต้นเหตุ ตัวจะเฉย ตัวจะชอบ ตัวจะชัง เฉพาะผู้ที่ขยันระลึกรู้เท่านั้น จะได้รู้ชัดว่าเค้าเกิดดับเป็นธรรมดา ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีถูก ไม่มีผิด เหลือแค่แตะดับๆ เท่านั้น

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2015, 20:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมชอบคำนี้นะ...

"สายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2015, 21:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
....

แม้ไม่น่าเข้าข่ายบิดเบือนพระธรรม...แต่..เข้าข่ายผิดข้อไหนดีครับ?
:b12:


:b14: :b14: :b14:

:b8: :b8: :b8:

:b10: :b10: :b10:

ใครช่วยแปลไทยเป็นไทยทีเถอะ...

:b6: ...ทำไมเอกอนจับใจความไม่ได้เลยแฮะ... :b32: :b32:

จริง จริ๊งงงงงง....

:b9: :b9: :b9:


ไหน..ไหน....คราย..งง.... :b10: :b10:

:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2015, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ได้บิดเบือน ถ้าไม่รู้จริง และไม่รู้ตัว แล้วกระทำลงไป ด้วยความมั่นใจว่าเป็นอย่างนั้น
แต่ว่า เป็นการให้ความรู้ที่ไม่ตรงกับสภาพที่ควรจะเป็น จึงทำให้คนเข้าใจผิดได้ หรือรู้ผิดๆได้

อีกพวกหนึ่งก็รู้ทั้งรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอน แบบนี้ พระไตรปิฎกมีมากมายกล่าวอย่างนี้
ก็ยังจะไปพยายามเปลี่ยนแปลง ให้เป็นไปตามแบบที่ตนเข้าใจ แล้วบอกกล่าวสอนสั่งโดยไม่ใส่ใจ
ความจริงที่มีอยู่มากมายตามคำตรัส และตามหลักฐานทางปิฎก พวกนี้สมควรเรียกว่า บิดเบือน

แต่ทั้งสองประเภทก็ทำให้สัทธรรม แท้จริงต้องอันตรธานหายไปได้ ด้วยกันทั้งคู่

grin


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2015, 21:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โทษ...ก็หนักเหมือน ๆ กัน...ด้วยอะป้าว?
s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2015, 15:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1067

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า ไม่พึงเชื่อและไม่พึงคัดค้าน แต่พึงพิสูจน์ สิ่งใดเป็นความดีก็คือความดี สิ่งใดเป็นความชั่วก็คือความชั่ว แต่ถ้ารู้เห็นตามความเป็นจริงได้สิ่งนั้นก็ดี สิ่งใดไม่รู้เห็นตามความเป็นจริงสิ่งนั้นก็ชั่ว แต่ถ้ารู้ทันต้นเหตุสิ่งแรกเกิดได้มันก็เป็นความจริงที่ไม่มีใครกล้าคัดค้าน แต่ถ้าไม่รู้เห็นต้นเหตุแห่งความเป็นจริงได้ก็ถูกคัดค้านแน่นอน สมดั่งคำที่พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่าธรรมอันใดแลย่อมเกิดแต่เหตุ พระองค์ทรงสอนให้รู้จักเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น ให้รู้ความเกิดและความดับของธรรมเหล่านั้น ถ้าใครไม่รู้ตรงนี้ก็ยังสงสัยอยู่ร่ำไป ถ้าใครรู้ทันเกิดทันดับได้ก็จะไม่แพ้ต่อการซักไซร้ สอบสวน เพราะความจริงมี 1 เดียวเท่านั้น จะสอบกี่ครั้งก็มี 1 เดียว อย่างที่พระองค์ทรงตรัสว่า ต้นเหตุก็อยู่ที่ต้นคิดแห่งใจ อย่างที่พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นจากใจทั้งสิ้น จะคิดดับๆ

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์

Facebook รู้ทันรวย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2015, 09:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พอดีมีตัวอย่างจากกระทู้ข้างเคียง..

เห็นว่าเป็นตัวอย่าง..ที่ไม่ควรทำ...เพราะจะกลายเป็นการกล่าวตู่พระพุทธองค์..ไป

viewtopic.php?f=1&p=375128#p375128

bigtoo เขียน:
ครั้งหนึ่งภารทวาชเถระแสดงฤทธิ พระพุทธเจ้าได้กล่าวว่าความดีสิ้นแล้ว ผู้คนจะหันเหออกจากความดีไปสนใจแต่เรื่องฤทธิ์ละวังกันหน่อยนะ


กบนอกกะลา เขียน:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗
จุลวรรค ภาค ๒


เรื่องบาตรปุ่มไม้จันทน์


[๒๙] สมัยต่อมา ปุ่มไม้แก่นจันทน์มีราคามาก ได้บังเกิดแก่เศรษฐี
ชาวเมืองราชคฤห์ จึงราชคหเศรษฐีได้คิดว่า ถ้ากระไรเราจะให้กลึงบาตรด้วยปุ่มไม้
แก่นจันทน์นี้ ส่วนที่กลึงเหลือเราจักเก็บไว้ใช้ และเราจักให้บาตรเป็นทาน หลัง
จากนั้น ท่านราชคหเศรษฐีให้กลึงบาตรด้วยปุ่มไม้แก่นจันทน์นั้น แล้วใส่สาแหรก
แขวนไว้ที่ปลายไม้ไผ่ผูกต่อๆ กันขึ้นไป แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์
ผู้ใด เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ จงปลดบาตรที่เราให้แล้วไปเถิด ฯ

[๓๐] ขณะนั้น ปูรณะกัสสปเข้าไปหาท่านราชคหเศรษฐีแล้ว กล่าวว่า
ท่านคหบดี อาตมานี้แหละเป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ ขอท่านจงให้บาตรแก่
อาตมาเถิด ท่านเศรษฐีตอบว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าพระคุณเจ้าเป็นพระอรหันต์และ
มีฤทธิ์ ก็จงปลดบาตรที่ข้าพเจ้าให้แล้วนั่นแลไปเถิด
ต่อมา ท่านมักขลิโคสาล ท่านอชิตเกสกัมพล ท่านปกุธกัจจายนะ
ท่านสัญชัยเวลัฏฐบุตร ท่านนิครนถ์นาฏบุตร ได้เข้าไปหาท่านราชคหเศรษฐี
แล้วกล่าวว่า ท่านคหบดี อาตมานี้แหละเป็นพระอรหันต์ และมีฤทธิ์ ขอท่าน
จงให้บาตรแก่อาตมาเถิด ท่านเศรษฐีตอบว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าพระคุณเจ้าเป็นพระ
อรหันต์และมีฤทธิ์ ก็จงปลดบาตรที่ข้าพเจ้าให้แล้วนั่นแลไปเถิด ฯ
เรื่องพระปิณโฑลภารทวาชเถระ

[๓๑] สมัยต่อมา ท่านพระมหาโมคคัลลานะกับท่านพระปิณโฑลภาร-
*ทวาชะ ครองอันตรวาสกในเวลาเช้าแล้ว ถือบาตรจีวร เข้าไปบิณฑบาตในเมือง
ราชคฤห์ อันที่แท้ ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์
แม้ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ จึงท่านพระปิณโฑลภาร
ทวาชะ ได้กล่าวกะท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า ไปเถิด ท่านโมคคัลลานะ
จงปลดบาตรนั้นลง บาตรนั้นของท่าน แม้ท่านพระโมคคัลลานะก็กล่าวกะท่าน
พระปิณโฑลภารทวาชะว่า ไปเถิด ท่านภารทวาชะ จงปลดบาตรนั้นลง บาตรนั้น
ของท่าน จึงท่านพระปิณโฑลภารทวาชะเหาะขึ้นสู่เวหาส ถือบาตรนั้นเวียนไป
รอบเมืองราชคฤห์ ๓ รอบ ฯ

[๓๒] ครั้งนั้น ท่านราชคหเศรษฐีพร้อมกับบุตรภรรยา ยืนอยู่ในเรือน
ของตน ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวนิมนต์ว่า ท่านเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้า
ภารทวาชะ จงประดิษฐานในเรือนของข้าพเจ้านี้เถิด จึงท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ
ประดิษฐานในเรือนของท่านราชคหเศรษฐี ขณะนั้น ท่านราชคหเศรษฐีรับบาตร
จากมือของท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ แล้วได้จัดของเคี้ยวมีค่ามาก ถวายท่าน
พระปิณโฑลภารทวาชะ ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะได้รับบาตรนั้นไปสู่พระอาราม
ชาวบ้านได้ทราบข่าวว่า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะปลดบาตรของราชคหเศรษฐี
ไปแล้ว และชาวบ้านเหล่านั้นมีเสียงอึกทึกเกรียวกราว ติดตามพระปิณโฑลภาร-
*ทวาชะไปข้างหลังๆ พระผู้มีพระภาคได้ทรงสดับเสียงอึกทึกเกรียวกราว ครั้นแล้ว
ตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า อานนท์ นั่นเสียงอึกทึกเกรียวกราว เรื่องอะไรกัน
ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะปลดบาตร
ของท่านราชคหเศรษฐีลงแล้ว พวกชาวบ้านทราบข่าวว่า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ
ปลดบาตรของท่านราชคหเศรษฐีลง จึงพากันติดตามท่านพระปิณโฑลภารทวาชะมา
ข้างหลังๆ อย่างอึกทึกเกรียวกราว พระพุทธเจ้าข้า เสียงอึกทึกเกรียวกราวนี้
คือเสียงนั้น พระพุทธเจ้าข้า ฯ

[๓๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุ
เป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระปิณโฑลภาร-
*ทวาชะว่า ภารทวาชะ ข่าวว่า เธอปลดบาตรของราชคหเศรษฐีลง จริงหรือ
ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่าภารทวาชะ การกระทำของเธอนั่น
ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉน
เธอจึงได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์
เพราะเหตุแห่งบาตรไม้ ซึ่งเป็นดุจซากศพเล่า มาตุคามแสดงของลับ เพราะ
เหตุแห่งทรัพย์ซึ่งเป็นดุจซากศพแม้ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน ได้แสดงอิทธิ-
*ปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์ เพราะเหตุแห่งบาตร
ไม้ซึ่งเป็นดุจซากศพ การกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชน
ที่ยังไม่เลื่อมใส ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่
พวกคฤหัสถ์ รูปใดแสดง ต้องอาบัติทุกกฏ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงทำลายบาตรไม้นั่น บดให้ละเอียด ใช้เป็นยาหยอดตาของภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุไม่พึงใช้บาตรไม้ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ

.........................



กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
ครั้งหนึ่งภารทวาชเถระแสดงฤทธิ พระพุทธเจ้าได้กล่าวว่าความดีสิ้นแล้ว ผู้คนจะหันเหออกจากความดีไปสนใจแต่เรื่องฤทธิ์ละวังกันหน่อยนะ


ผมหาไม่เจอที่Bigtoo อ้างว่า..พระพุทธเจ้าได้กล่าวว่า..ความดีสิ้นแล้ว....หลังจากที่ภารทวาชเถระแสดงฤทธิ

ในฐานะที่ Bigtoo เป็นศิษย์ พุทธพจน์..กล่าวลอย ๆ ไม่มีหลักฐาน...ไม่ดีแน่...ช่วยหามายืนยันหน่อยนะครับ....เดียวเสียยี่ห้อหมด...

Thank you ล่วงหน้า..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2015, 09:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
พอดีมีตัวอย่างจากกระทู้ข้างเคียง..

เห็นว่าเป็นตัวอย่าง..ที่ไม่ควรทำ...เพราะจะกลายเป็นการกล่าวตู่พระพุทธองค์..ไป

viewtopic.php?f=1&p=375128#p375128

bigtoo เขียน:
ครั้งหนึ่งภารทวาชเถระแสดงฤทธิ พระพุทธเจ้าได้กล่าวว่าความดีสิ้นแล้ว ผู้คนจะหันเหออกจากความดีไปสนใจแต่เรื่องฤทธิ์ละวังกันหน่อยนะ


กบนอกกะลา เขียน:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗
จุลวรรค ภาค ๒


เรื่องบาตรปุ่มไม้จันทน์


[๒๙] สมัยต่อมา ปุ่มไม้แก่นจันทน์มีราคามาก ได้บังเกิดแก่เศรษฐี
ชาวเมืองราชคฤห์ จึงราชคหเศรษฐีได้คิดว่า ถ้ากระไรเราจะให้กลึงบาตรด้วยปุ่มไม้
แก่นจันทน์นี้ ส่วนที่กลึงเหลือเราจักเก็บไว้ใช้ และเราจักให้บาตรเป็นทาน หลัง
จากนั้น ท่านราชคหเศรษฐีให้กลึงบาตรด้วยปุ่มไม้แก่นจันทน์นั้น แล้วใส่สาแหรก
แขวนไว้ที่ปลายไม้ไผ่ผูกต่อๆ กันขึ้นไป แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์
ผู้ใด เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ จงปลดบาตรที่เราให้แล้วไปเถิด ฯ

[๓๐] ขณะนั้น ปูรณะกัสสปเข้าไปหาท่านราชคหเศรษฐีแล้ว กล่าวว่า
ท่านคหบดี อาตมานี้แหละเป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ ขอท่านจงให้บาตรแก่
อาตมาเถิด ท่านเศรษฐีตอบว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าพระคุณเจ้าเป็นพระอรหันต์และ
มีฤทธิ์ ก็จงปลดบาตรที่ข้าพเจ้าให้แล้วนั่นแลไปเถิด
ต่อมา ท่านมักขลิโคสาล ท่านอชิตเกสกัมพล ท่านปกุธกัจจายนะ
ท่านสัญชัยเวลัฏฐบุตร ท่านนิครนถ์นาฏบุตร ได้เข้าไปหาท่านราชคหเศรษฐี
แล้วกล่าวว่า ท่านคหบดี อาตมานี้แหละเป็นพระอรหันต์ และมีฤทธิ์ ขอท่าน
จงให้บาตรแก่อาตมาเถิด ท่านเศรษฐีตอบว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าพระคุณเจ้าเป็นพระ
อรหันต์และมีฤทธิ์ ก็จงปลดบาตรที่ข้าพเจ้าให้แล้วนั่นแลไปเถิด ฯ
เรื่องพระปิณโฑลภารทวาชเถระ

[๓๑] สมัยต่อมา ท่านพระมหาโมคคัลลานะกับท่านพระปิณโฑลภาร-
*ทวาชะ ครองอันตรวาสกในเวลาเช้าแล้ว ถือบาตรจีวร เข้าไปบิณฑบาตในเมือง
ราชคฤห์ อันที่แท้ ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์
แม้ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ จึงท่านพระปิณโฑลภาร
ทวาชะ ได้กล่าวกะท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า ไปเถิด ท่านโมคคัลลานะ
จงปลดบาตรนั้นลง บาตรนั้นของท่าน แม้ท่านพระโมคคัลลานะก็กล่าวกะท่าน
พระปิณโฑลภารทวาชะว่า ไปเถิด ท่านภารทวาชะ จงปลดบาตรนั้นลง บาตรนั้น
ของท่าน จึงท่านพระปิณโฑลภารทวาชะเหาะขึ้นสู่เวหาส ถือบาตรนั้นเวียนไป
รอบเมืองราชคฤห์ ๓ รอบ ฯ

[๓๒] ครั้งนั้น ท่านราชคหเศรษฐีพร้อมกับบุตรภรรยา ยืนอยู่ในเรือน
ของตน ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวนิมนต์ว่า ท่านเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้า
ภารทวาชะ จงประดิษฐานในเรือนของข้าพเจ้านี้เถิด จึงท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ
ประดิษฐานในเรือนของท่านราชคหเศรษฐี ขณะนั้น ท่านราชคหเศรษฐีรับบาตร
จากมือของท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ แล้วได้จัดของเคี้ยวมีค่ามาก ถวายท่าน
พระปิณโฑลภารทวาชะ ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะได้รับบาตรนั้นไปสู่พระอาราม
ชาวบ้านได้ทราบข่าวว่า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะปลดบาตรของราชคหเศรษฐี
ไปแล้ว และชาวบ้านเหล่านั้นมีเสียงอึกทึกเกรียวกราว ติดตามพระปิณโฑลภาร-
*ทวาชะไปข้างหลังๆ พระผู้มีพระภาคได้ทรงสดับเสียงอึกทึกเกรียวกราว ครั้นแล้ว
ตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า อานนท์ นั่นเสียงอึกทึกเกรียวกราว เรื่องอะไรกัน
ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะปลดบาตร
ของท่านราชคหเศรษฐีลงแล้ว พวกชาวบ้านทราบข่าวว่า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ
ปลดบาตรของท่านราชคหเศรษฐีลง จึงพากันติดตามท่านพระปิณโฑลภารทวาชะมา
ข้างหลังๆ อย่างอึกทึกเกรียวกราว พระพุทธเจ้าข้า เสียงอึกทึกเกรียวกราวนี้
คือเสียงนั้น พระพุทธเจ้าข้า ฯ

[๓๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุ
เป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระปิณโฑลภาร-
*ทวาชะว่า ภารทวาชะ ข่าวว่า เธอปลดบาตรของราชคหเศรษฐีลง จริงหรือ
ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่าภารทวาชะ การกระทำของเธอนั่น
ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉน
เธอจึงได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์
เพราะเหตุแห่งบาตรไม้ ซึ่งเป็นดุจซากศพเล่า มาตุคามแสดงของลับ เพราะ
เหตุแห่งทรัพย์ซึ่งเป็นดุจซากศพแม้ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน ได้แสดงอิทธิ-
*ปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์ เพราะเหตุแห่งบาตร
ไม้ซึ่งเป็นดุจซากศพ การกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชน
ที่ยังไม่เลื่อมใส ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่
พวกคฤหัสถ์ รูปใดแสดง ต้องอาบัติทุกกฏ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงทำลายบาตรไม้นั่น บดให้ละเอียด ใช้เป็นยาหยอดตาของภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุไม่พึงใช้บาตรไม้ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ

.........................



กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
ครั้งหนึ่งภารทวาชเถระแสดงฤทธิ พระพุทธเจ้าได้กล่าวว่าความดีสิ้นแล้ว ผู้คนจะหันเหออกจากความดีไปสนใจแต่เรื่องฤทธิ์ละวังกันหน่อยนะ


ผมหาไม่เจอที่Bigtoo อ้างว่า..พระพุทธเจ้าได้กล่าวว่า..ความดีสิ้นแล้ว....หลังจากที่ภารทวาชเถระแสดงฤทธิ

ในฐานะที่ Bigtoo เป็นศิษย์ พุทธพจน์..กล่าวลอย ๆ ไม่มีหลักฐาน...ไม่ดีแน่...ช่วยหามายืนยันหน่อยนะครับ....เดียวเสียยี่ห้อหมด...

Thank you ล่วงหน้า..
กบเอ๋ยกบน้อย แค่นั้นยังไม่เพียงพออีกเหรอกับคำว่าความดีสิ้นแล้ว. กบถึงไปไม่ถึงไหนไง

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2015, 10:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ครั้งหนึ่งภารทวาชเถระแสดงฤทธิ พระพุทธเจ้าได้กล่าวว่าความดีสิ้นแล้ว ผู้คนจะหันเหออกจากความดีไปสนใจแต่เรื่องฤทธิ์ละวังกันหน่อยนะ


กบนอกกะลา เขียน:
พอดีมีตัวอย่างจากกระทู้ข้างเคียง..

เห็นว่าเป็นตัวอย่าง..ที่ไม่ควรทำ...เพราะจะกลายเป็นการกล่าวตู่พระพุทธองค์..ไป

viewtopic.php?f=1&p=375128#p375128




bigtoo เขียน:

กบเอ๋ยกบน้อย แค่นั้นยังไม่เพียงพออีกเหรอกับคำว่าความดีสิ้นแล้ว. กบถึงไปไม่ถึงไหนไง


ถ้าเป็น Bigtoo เป็นคนกล่าว...ก็บอกว่าตัวเองเป็นคนกล่าว...ซิครับ...ไม่ใช่บอกว่า..."ครั้งหนึ่งภารทวาชเถระแสดงฤทธิ พระพุทธเจ้าได้กล่าวว่าความดีสิ้นแล้ว "

ไหน...Bigtoo ผู้เป็นศิษย์พุทธพจน์...ถึงกล่าวคำตู่ใส่พระโอษฐ์ของพระพุทธองค์ละคับ?

เลิกกระทำนิสัยอย่างนี้ได้แล้วนะครับ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2015, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


กบนอกกะลา เขียน:
สมมุติ...สมมุติ...

หากเรายกพระธรรมคำสอน..มา...แต่...นำมาสื่อในความหมายที่ผิด...เอามาเฉพาะบางส่วน...เอามาเพื่อยืนยันความคิดเฉพาะตน..เป็นการนำมาเพื่อสื่อความหมายที่ผิดไปจากธรรมของพระองค์

อย่างนี้...จะเข้าข่ายบิดเบือนพระธรรมคำสอนของพระองค์หรือไม่?

ครับ..


ต้องทำความเข้าใจครับว่าธรรมของพระพุทธเจ้ามีไว้วัตถุประสงค์เพื่ออะไร
หากผิดวัตถุประสงค์ถือว่าบิดเบือน อาจมีทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ทำไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เข้าใจผิด หรือไม่เข้าใจในคำสอน แม้กระทั่งพระไตรปิฎกก็มีไว้เพื่อเป็นแนวทางให้คนรุ่นหลังน้อมนำมาศึกษา พระไตรปิฎกบางทีก็อาจบันทึกคลาดเคลื่อนได้ ไม่ใช่ว่าเห็นเป็นพระไตรปิฎกแล้วเราก็ไปยึดมั่นถือมั่นเอาว่าถูกต้องล้านเปอร์เซ็นต์โดยไม่มีที่ติเลย สมบูรณ์แบบไปหมด หรือผู้ศึกษาเข้าใจคลาดเคลื่อนได้เหมือนกัน เพราะฉนั้นเรายึดกับอะไรไม่ได้เลยครับ นอกจากจะปฏิบัติเองทำความเข้าใจเองอย่างค่อยเป็นค่อยไป รู้ได้ด้วยตนเอง พระไตรปิฎกมีไว้แค่เป็นแนวทางเท่านั้นครับ ส่วนจะเข้าใจได้มากน้อยก็อยู่ที่การวิเคราะห์การศึกษา การปฏิบัติของเรานั่นแหล่ะครับ

ธรรมมะเป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตน เราจะเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน ปฏิบัติได้มากน้อยแค่ไหน อันนี้ก็เป็นเรื่องเฉพาะตน ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดหรือบันทึกเป็นตัวอักษรได้หมด

ธรรมมะของพระพุทธเจ้า มีมากกว่าในพระไตรปิฎกมาก หากใช้กระดาษหมดทั้งโลกนี้มาบันทึกก็คงไม่พอ พระไตรปิฎกมีไว้เป็นแนวทาง ไม่ได้มีไว้เพื่อให้เรายึดมั่นถือมั่น

เพราะฉนั้นผิดหรือไม่ผิดวัตถุประสงค์จึงขึ้นอยู่กับความเข้าใจและเจตนาของแต่ละบุคคลครับ

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2015, 20:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Bigtoo เผ่นไม่มา..อีกกระทู้แระ..หลังจากกระทู้ลุงหมาน..ก็ไม่กล้าเข้าไปอีก

viewtopic.php?f=1&t=50558&start=30

:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2015, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Bigtoo เผ่นไม่มา..อีกกระทู้แระ..หลังจากกระทู้ลุงหมาน..ก็ไม่กล้าเข้าไปอีก

viewtopic.php?f=1&t=50558&start=30

:b32:
โธๆๆๆกบน้อย. ความดีไม่สิ้นได้อย่างไร. คนหันเหไปสนใจแต่ฤทธิ์.

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2015, 12:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่เอาคำพูดตัวเองไปยัดเหยียดใส่พระโอษฐของพระพุทธเจ้า...นั้นนะ...เป็นตาลยอดด้วน..ซะแล้ว..

ยัง...ยังไม่สำนึก..อีก
:b11:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 81 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร