ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
รบกวนขยายคำ"ฐีติภูตัง"ค่ะ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=50496 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | idea [ 11 ก.ค. 2015, 12:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | รบกวนขยายคำ"ฐีติภูตัง"ค่ะ |
ขอคำอธิบาย,,ความหมาย,,สมมุติ ของคำว่า....ฐีติภูตัง ในแง่มุมต่างๆหน่อยค่ะ ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 11 ก.ค. 2015, 14:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: รบกวนขยายคำ"ฐีติภูตัง"ค่ะ |
อ้างคำพูด: มูลการของสังสารวัฏฏ์ ฐีติภูตํ อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา อุปาทานํ ภโว ชาติ คนเราทุกรูปนามที่ได้กำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ล้วนแล้วแต่มีที่เกิดทั้งสิ้น กล่าวคือมีบิดามารดาเป็นแดนเกิด ก็แลเหตุใดท่านจึงบัญญัติปัจจยาการแต่เพียงว่า อวิชฺชา ปจฺจยา ฯลฯ เท่านั้น อวิชชา เกิดมาจากอะไรฯ ท่านหาได้บัญญัติไว้ไม่ พวกเราก็ยังมีบิดามารดาอวิชชาก็ต้องมีพ่อแม่เหมือนกัน ได้ความตามบาทพระคาถาเบื้องต้นว่า ฐีติภูตํ นั่นเองเป็นพ่อแม่ของอวิชชา ฐีติภูตํ ได้แก่ จิตดั้งเดิม เมื่อฐีติภูตํ ประกอบไปด้วยความหลง จึงมีเครื่องต่อ กล่าวคือ อาการของอวิชชาเกิดขึ้น เมื่อมีอวิชชาแล้วจึงเป็นปัจจัยให้ปรุงแต่งเป็นสังขารพร้อมกับความเข้าไปยึดถือ จึงเป็นภพชาติคือต้องเกิดก่อต่อกันไป ท่านเรียก ปัจจยาการ เพราะเป็นอาการสืบต่อกัน วิชชาและอวิชชาก็ต้องมาจากฐีติภูตํเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อฐีติภูตํกอปรด้วยวิชชาจึงรู้เท่าอาการทั้งหลายตามความเป็นจริง นี่พิจารณาด้วยวุฏฐานคามินี วิปัสสนา รวมใจความว่า ฐีติภูตํ เป็นตัวการดั้งเดิมของสังสารวัฏฏ์ (การเวียนว่ายตายเกิด) ท่านจึงเรียกชื่อว่า "มูลตันไตร" (หมายถึงไตรลักษณ์) เพราะฉะนั้นเมื่อจะตัดสังสารวัฏฏ์ให้ขาดสูญ จึงต้องอบรมบ่มตัวการดั้งเดิมให้มีวิชชารู้เท่าทันอาการทั้งหลายตามความเป็นจริง ก็จะหายหลงแล้วไม่ก่ออาการทั้งหลายใดๆ อีก ฐีติภูตํ อันเป็นมูลการก็หยุดหมุน หมดการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ด้วยประการฉะนี้ -- มุตโตทัย -- http://larndham.org/index.php?/topic/43 ... %E0%B8%A1/ เอาต่อมาอีกที...นะครับ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 11 ก.ค. 2015, 15:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: รบกวนขยายคำ"ฐีติภูตัง"ค่ะ |
การตอบ"ฐิติภูตัง"เป็นไปได้ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ฐีติภูตัง นั้นควรต้องแยกคำทั้งสองออกจากกัน เพื่อสะดวกแก่การอธิบาย คำว่า ฐิติ แปลว่า ตั้งอยู่ (อุปาทะ+ฐีติ+ภังคะ) เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป (คำว่าตั้งอยู่จะอยู่ในระหว่างกลาง) เปรียบพระอาทิตย์โผล่ขึ้นจากขอบฟ้า ได้แก่ (อุปาทะ) เมื่อต่อจากนั้นพระอาทิตย์ ก็เคลื่อนไปเรื่อยๆแต่ยังไม่ตก ได้แก่(ฐีติ) และเมื่อพระอาทิตย์ตกคือมืด ได้แก่ (ภังคะ) ที่ยกมาให้ดูก็เพื่อจะให้เห็นว่าฐีติตั้งอยู่ตรงไหน ที่นี้ก็มาว่าถึงคำว่า "ภูตัง" ก็คือ ภูต หรือ มหาภูตรูปทั้ง ๔ ไแก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งเป็นฐานเป็นที่ตั้งของอุปาทายรูป ๒๔ ฉะนั้นคำว่า "ฐีติภูตัง" มหาภูตรูปตั้งขึ้น ก็มีอุปาทายรูป ตั้งขึ้นด้วยตามสมควรแก่เหตุ แต่ก็ไม่ได้ตั้งขึ้นแล้วตั้งโด่เด่อย่างนั้น ย่อมมีการเปลียนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตามความสามารถของ มหาภูตรูป หรือตามความสามารถของ ดิน น้ำ ไฟ ลม คือเปลี่ยนเป็นร้อนบ้าง เปลี่ยนเป็นเย็นบ้าง เปลี่ยนเป็นแข็งบ้าง เป็นอ่อนบ้างดังนี้ คือจะไม่อยู่นิ่งเฉย จนกว่าจะถึงภังคะคือ ดับ สรุปความตรงนี้ได้แก่การตั้งขึ้นของมหาภูตรูป ๔ นั่นเอง อันนี้ไม่ได้อธิบายไปในทางนามธรรม |
เจ้าของ: | jojam [ 11 ก.ค. 2015, 22:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: รบกวนขยายคำ"ฐีติภูตัง"ค่ะ |
เหมือน แก่น กะลา ... ไม่มีเปลือก ชั้นนอก สีเขียว ชั้นใน ที่เป็นขุยขาว ไม่มี เป็น เงาวาว ... เวทนาใดๆ ก็ไม่มีข้องใน จิต |
เจ้าของ: | idea [ 12 ก.ค. 2015, 12:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: รบกวนขยายคำ"ฐีติภูตัง"ค่ะ |
![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |