ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
คำถาม..ความต่างของฌานค่ะ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=50501 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 3 |
เจ้าของ: | idea [ 12 ก.ค. 2015, 12:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | คำถาม..ความต่างของฌานค่ะ |
เพิ่งได้ยินคำว่า ![]() ฌานสมาบัติ กับ ฌานอริยมรรค ถ้าดำเนิน สมาธิใน....ฌานอริยมรรค..... จะขึ้นถึงอรูปฌานได้หรือไม่คะ ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 12 ก.ค. 2015, 13:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำถาม..ความต่างของฌานค่ะ |
idea เขียน: เพิ่งได้ยินคำว่า ![]() ฌานสมาบัติ กับ ฌานอริยมรรค ถ้าดำเนิน สมาธิใน....ฌานอริยมรรค..... จะขึ้นถึงอรูปฌานได้หรือไม่คะ ![]() ได้... ![]() ![]() ![]() ![]() ตอบทดไว้ก่อน วันนี้เครื่องไม่ค่อยจะดี แล้วจะมาขยายความต่อในภายหลัง ![]() ![]() ![]() หรือใครมีความเข้าใจที่จะตอบได้ชัดเจน ก็ตอบได้เลยน๊ะจ๊ะ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | student [ 12 ก.ค. 2015, 13:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำถาม..ความต่างของฌานค่ะ |
idea เขียน: เพิ่งได้ยินคำว่า ![]() ฌานสมาบัติ กับ ฌานอริยมรรค ถ้าดำเนิน สมาธิใน....ฌานอริยมรรค..... จะขึ้นถึงอรูปฌานได้หรือไม่คะ ![]() ขึ้นอยู่กับจริตของผู้ปฎิบัติครับ เจโตวิมุติ หรือ ปัญญาวิมุติ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 12 ก.ค. 2015, 14:29 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: คำถาม..ความต่างของฌานค่ะ | ||
![]() ![]() ![]()
|
เจ้าของ: | eragon_joe [ 12 ก.ค. 2015, 19:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำถาม..ความต่างของฌานค่ะ |
![]() มาทดไว้อีกหนึ่ง ... รออีกแป๊ปนะ เพิ่งเสร็จจากงาน เดี๋ยวกลับบ้านแระ ... ![]() ![]() http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... agebreak=0 |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 12 ก.ค. 2015, 19:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำถาม..ความต่างของฌานค่ะ |
eragon_joe เขียน: ... มาทดไว้อีกหนึ่ง ... รออีกแป๊ปนะ เพิ่งเสร็จจากงาน เดี๋ยวกลับบ้านแระ ... ![]() ![]() http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... agebreak=0 เร็ว ๆ เข้า... ![]() |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 12 ก.ค. 2015, 19:28 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: คำถาม..ความต่างของฌานค่ะ | ||
![]()
|
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 12 ก.ค. 2015, 20:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำถาม..ความต่างของฌานค่ะ |
![]() |
เจ้าของ: | idea [ 12 ก.ค. 2015, 20:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำถาม..ความต่างของฌานค่ะ |
อ้างคำพูด: มาทดไว้อีกหนึ่ง ... รออีกแป๊ปนะ เพิ่งเสร็จจากงาน เดี๋ยวกลับบ้านแระ ... ![]() ![]() ![]() รอ..ค่ะ..รอ ![]() ![]() ![]() ![]() อยู่ในทางที่ทำอยู่...ลองผิดลองถูก...ได้แต่พึ่งตัวเองไปวันๆ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 12 ก.ค. 2015, 20:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำถาม..ความต่างของฌานค่ะ |
![]() ![]() ![]() นี่...ไม่มีใครคิดจะแอบมาตอบปาดหน้าเอกอนสักหน่อยเลยหร๋า... ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 12 ก.ค. 2015, 20:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำถาม..ความต่างของฌานค่ะ |
![]() ![]() ![]() idea เขียน: เพิ่งได้ยินคำว่า ![]() ฌานสมาบัติ กับ ฌานอริยมรรค ถ้าดำเนิน สมาธิใน....ฌานอริยมรรค..... จะขึ้นถึงอรูปฌานได้หรือไม่คะ ![]() ครืออออ...จริง ๆ แล้วเอกอนก็เพิ่งได้ยินคำว่า ฌานอริยมรรค เหมี๋ยนกานนนน ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 12 ก.ค. 2015, 21:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำถาม..ความต่างของฌานค่ะ |
แต่เอาแบบดับเครื่องชนเลยเน๊อะ อิอิ ถ้าจะให้ลำดับความ ฌาณสมาบัติ ก็น่าจะคือ สมาบัติ 8 เน๊อะ ซึ่ง สมาบัติ 8 อาฬารดาบสและอุทกดาบส ก็ถึง สมาบัติ 8 แต่ ไฉนถึงไม่ ตรัสรู้ อย่างพระพุทธเจ้า ด้วย ความเข้าใจในทาง อุปนิษัท / พระเวท คือ วิชาในช่วงยุคนั้น ที่มีความเห็นในเรื่อง พรหมัน อาตมัน ตรงนี้ ด่านที่ละเอียดสุด คือ เนวสัญญานาสัญญา ซึ่งตอนนั้น อริยสัจ และ มรรค ยังไม่ปรากฎเป็นความรู้ให้ได้รับรู้ พระพุทธเจ้าครั้นศึกษากับอาจารย์ทั้งสองท่าน ก็เข้าถึงสมาบัติ เช่นกัน และก็ถึงแค่นั้น ...และพระพุทธองค์ก็ออกมาค้นหา สิ่งที่จะยิ่งไปกว่านั้น จวบจนพระองค์ทรงตรัสรู้ และ ทบทวนสิ่งที่ผ่านมา และก็ทรงประกาศ อริยสัจ ... และ มรรค คือ ทางเพื่อให้ถึงซึ่งนิโรธ - นิพพาน ต้องลำดับให้ดีว่า การที่เข้าถึงสมาบัติ 8 เรื่อง ญาณ-วิชา ไม่ต้องห่วง ต้องมีแน่ แต่ ญาณ(วิชา)ที่เป็นตัวเฉือนกันในเรื่อง ตรัสรู้/หลุดพ้น คือ อาสวักขญาณ ซึ่ง สมาบัติที่ปราศจากมรรค หรือประกอบด้วยมรรคที่ยังพร่อง สามารถทำถึง 8 ได้ แต่ก็จะติดตรง พรหมมัน อาตมัน (จิตที่มีทิฐิติดอยู่) แต่ สมาบัติที่ประกอบด้วย อริยมรรค เข้าถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ ได้ ![]() ซึ่ง การเดินมรรค ในลักษณะนี้ จะเป็นการเดินมรรคจิต คือมรรคจะต้องเป็นอุปนิสัยของจิต เป็นพื้นจิต จิตคือมรรค มรรคคือจิต ประมาณนั้น ซึ่งเมื่อเข้าฌาน จิตก็จะเดินมรรคโดยอัตโนมัติ ด้วยเป็นอุปนิสัย/พื้นจิต ซึ่งจิตก็จะ ละองค์ฌาน ไปโดยลำดับ ๆ ด้วย จนกระทั่ง เนวสัญญานาสัญญายตนะ ตรงนั้นเป็น นัดตัดเชือก พรหมัน/อาตมัน ที่ละเอียดสุดเลย ไม่ใช่ตัดได้ด้วยเราคิดเอา หมายเอา แต่เป็นด้วยจิตที่ประกอบด้วยมรรค จิตที่ประกอบด้วยเจตสิกที่เป็นมรรค ตรงนี้เอกอนได้หยิบยกพระสูตรที่กล่าวโดยพระสารีบุตรมา ซึ่งผู้ปฏิบัติลองค่อย ๆ อ่านดี ๆ การใช้คำ วาทะ เพื่อแสดงวิหารธรรมที่ตั้งอยู่ แสดงนัยยะ ละไปสู่ ... ละไปสู่ ปราศจากอหังการ มมังการ มานานุสัย Quote Tipitaka: ๗. สารีปุตตสังยุต ๑. วิเวกสูตร ว่าด้วยปฐมฌาน [๕๐๘] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถ- *บิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น เป็นเวลาเช้า ท่านพระสารีบุตรนุ่งแล้ว ถือบาตร และจีวร เข้าไปสู่พระนครสาวัตถีเพื่อบิณฑบาต ครั้นเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถีแล้ว กลับจากบิณฑบาตภายหลังภัต เข้าไปยังป่าอันธวัน เพื่อพักกลางวัน ถึงป่าอันธวันแล้ว นั่ง พักกลางวัน ณ โคนไม้แห่งหนึ่ง. ครั้งนั้นเป็นเวลาเย็น ท่านพระสารีบุตรออกจากที่พักผ่อนแล้ว เข้าไปยังพระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี. ท่านพระอานนท์ได้เห็นท่านพระ สารีบุตรว่า อาวุโสสารีบุตร อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก สีหน้าของท่านหมดจด ผ่องใส วันนี้ ท่านพระสารีบุตรอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร? ท่านพระสารีบุตรตอบว่า อาวุโส ดังเราจะบอก เราสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่. อาวุโส เรานั้นไม่ได้คิดอย่างนี้ว่า เรา เข้าปฐมฌานอยู่ หรือว่าเข้าปฐมฌานแล้ว หรือว่าออกจากปฐมฌานแล้ว. แท้จริง ท่านพระสารี- *บุตรถอนทิฏฐิคืออหังการ ตัณหาคือมมังการ และอนุสัยคือมานะออกได้นานแล้ว ฉะนั้น ท่าน พระสารีบุตรจึงไม่คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าปฐมฌานอยู่ หรือว่าเข้าปฐมฌานแล้ว หรือว่าออกจาก ปฐมฌานแล้ว. จบ สูตรที่ ๑. ๒. อวิตักกสูตร ว่าด้วยทุติยฌาน [๕๐๙] พระนครสาวัตถี. ท่านพระอานนท์ได้เห็นพระสารีบุตรมาแต่ไกล จึงกล่าวกะ ท่านพระสารีบุตรว่า อาวุโสสารีบุตร อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก สีหน้าของท่านหมดจด ผ่องใส วันนี้ ท่านพระสารีบุตรอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร? ท่านพระสารีบุตรตอบว่า อาวุโส ดังเราจะบอก เราเข้าทุติยฌานอันมีความผ่องใสแห่ง จิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุข เกิดแต่สมาธิอยู่. อาวุโส เรานั้นมิได้คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าทุติยฌานอยู่ หรือว่าเข้าทุติยฌานแล้ว หรือว่าออกจากทุติยฌานแล้ว ฯลฯ จบ สูตรที่ ๒. ๓. ปีติสูตร ว่าด้วยตติยฌาน [๕๑๐] พระนครสาวัตถี. ท่านพระอานนท์ได้เห็นท่านพระสารีบุตรมาแต่ไกล จึงกล่าว กะท่านพระสารีบุตรว่า อาวุโสสารีบุตร อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก สีหน้าของท่านหมดจด ผ่องใส วันนี้ ท่านพระสารีบุตรอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร? ท่านพระสารีบุตรตอบว่า อาวุโสดังเราจะบอก เรามีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุข ด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป เข้าตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็น ผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข ดังนี้ อยู่. อาวุโส เรานั้นมิได้คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าตติยฌานอยู่ หรือว่าเข้าตติยฌานแล้ว หรือว่าออกจากตติยฌานแล้ว ฯลฯ จบ สูตรที่ ๓. ๔. อุเปกขาสูตร ว่าด้วยจตุตถฌาน [๕๑๑] พระนครสาวัตถี. ท่านพระอานนท์ได้เห็นท่านพระสารีบุตรมาแต่ไกล จึงกล่าว กะท่านพระสารีบุตรว่า อาวุโสสารีบุตร อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก สีหน้าของท่านหมดจด ผ่องใส วันนี้ ท่านพระสารีบุตรอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร? ท่านพระสารีบุตรตอบว่า อาวุโส ดังเราจะบอก เราเข้าจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่. อาวุโส เรามิได้คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าจตุตถฌานอยู่ หรือว่าเข้าจตุตถฌานแล้ว หรือว่าออกจากจตุตถฌาน แล้ว ฯลฯ จบ สูตรที่ ๔. ๕. อากาสสูตร ว่าด้วยอากาสานัญจายตนฌาน [๕๑๒] พระนครสาวัตถี. ท่านพระอานนท์ได้เห็นท่านพระสารีบุตรมาแต่ไกล จึงกล่าว กะท่านพระสารีบุตรว่า อาวุโสสารีบุตร อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก สีหน้าของท่านหมดจด ผ่องใส วันนี้ ท่านพระสารีบุตรอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร? ท่านพระสารีบุตรตอบว่า อาวุโส ดังเราจะบอก เราเข้าอากาสานัญจายตนฌานด้วย คำนึงว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญาเสียได้ เพราะดับปฏิฆสัญญาเสียได้ เพราะไม่ กระทำไว้ในใจซึ่งนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวงอยู่. อาวุโส เรามิได้คิดอย่างนี้ว่า เราเข้า อากาสานัญจายตนฌานอยู่ หรือว่าเข้าอากาสานัญจายตนฌานแล้ว หรือว่าออกจากอากาสานัญจาย- *ตนฌานแล้ว ฯลฯ จบ สูตรที่ ๕. ๖. วิญญาณสูตร ว่าด้วยวิญญาณัญจายตนฌาน [๕๑๓] พระนครสาวัตถี. ท่านพระอานนท์ได้เห็นท่านพระสารีบุตรมาแต่ไกล จึง กล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า อาวุโสสารีบุตร อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก สีหน้าของท่านหมดจด ผ่องใส วันนี้ ท่านพระสารีบุตรอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร? ท่านพระสารีบุตรตอบว่า อาวุโส ดังเราจะบอก เราเข้าวิญญาณัญจายตนฌานด้วยคำนึง ว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนฌานเสียได้โดยประการทั้งปวงอยู่. อาวุโส เรานั้นมิได้คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าวิญญาณัญจายตนฌานอยู่ หรือว่าเข้าวิญญาณัญจายตนฌานแล้ว หรือว่าออกจากวิญญาณัญจายตนฌานแล้ว ฯลฯ จบ สูตรที่ ๖ ๗. อากิญจัญญายตนสูตร ว่าด้วยอากิญจัญญายตนฌาน [๕๑๔] พระนครสาวัตถี. ท่านพระอานนท์ได้เห็นท่านพระสารีบุตรมาแต่ไกล จึงกล่าว กะท่านพระสารีบุตรว่า อาวุโสสารีบุตร อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก สีหน้าของท่านหมดจด ผ่องใส วันนี้ ท่านพระสารีบุตรอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร? ท่านพระสารีบุตรตอบว่า อาวุโส ดังเราจะบอก เราเข้าอากิญจัญญายตนฌานด้วยคำนึงว่า ว่า สิ่งอะไรหน่อยหนึ่งไม่มี เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนฌานเสียได้โดยประการทั้งปวงอยู่. อาวุโส เรานั้นมิได้คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าอากิญจัญญายตนฌานอยู่ หรือว่าเข้าอากิญจัญญายตนฌาน แล้ว หรือว่าออกจากอากิญจัญญายตนฌานแล้ว ฯลฯ จบ สูตรที่ ๗. ๘. เนวสัญญานาสัญญายตนสูตร ว่าด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน [๕๑๕] พระนครสาวัตถี. ท่านพระอานนท์ได้เห็นท่านพระสารีบุตรมาแต่ไกล จึงกล่าว กะท่านพระสารีบุตรว่า อาวุโสสารีบุตร อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก สีหน้าของท่าน ผ่องใส วันนี้ ท่านพระสารีบุตรอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร? ท่านพระสารีบุตรตอบว่า อาวุโส ดังเราจะบอก เราเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เพราะล่วงอากิญจัญญายตนฌานเสียได้โดยประการทั้งปวงอยู่. อาวุโส เรานั้นมิได้คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌานอยู่ หรือว่าเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌานแล้ว หรือว่าออก จากเนวสัญญานาสัญญายตนฌานแล้ว ฯลฯ จบ สูตรที่ ๘. ๙. นิโรธสูตร ว่าด้วยสัญญาเวทยิตนิโรธ [๕๑๖] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิก- *เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า ท่านพระสารีบุตรนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ครั้นเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถีแล้ว กลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัต เข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพักกลางวัน ถึงป่าอันธวันแล้ว นั่งพักกลางวันอยู่ที่โคนไม้ แห่งหนึ่ง. ครั้งนั้นเป็นเวลาเย็น ท่านพระสารีบุตรออกจากที่พักผ่อนแล้ว เข้าไปยังพระวิหาร เชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี. ท่านพระอานนท์ได้เห็นท่านพระสารีบุตรมาแต่ไกล จึงกล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า อาวุโสสารีบุตร อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก สีหน้าของท่านหมด จด ผ่องใส วันนี้ ท่านพระสารีบุตรอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร? ท่านพระสารีบุตรตอบว่า อาวุโส ดังเราจะบอก เราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะ ล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานเสียได้โดยประการทั้งปวงอยู่. อาวุโส เรามิได้คิดอย่างนี้ว่า เรา เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ หรือว่าเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว หรือว่าออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธ แล้ว. แท้จริง ท่านพระสารีบุตร ถอนอหังการ มมังการ และมานานุสัยออกได้นานแล้ว ฉะนั้น ท่านพระสารีบุตรจึงมิได้คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ หรือว่าเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ แล้ว หรือว่าออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว. จบ สูตรที่ ๙. ![]() ![]() ![]() ถ้ามีใครพอจะลำดับได้ดีกว่านี้ ก็...ลุยเลยนะ แบบว่าเอกอนเข้าใจว่าประมาณนี้น่ะ แต่การใช้วาทะในการอธิบายอาจจะไม่ค่อยเก่ง... ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | suttiyan [ 12 ก.ค. 2015, 21:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำถาม..ความต่างของฌานค่ะ |
สมถกรรมฐานมีพัฒนาการ คือ ขณิก อุปจาร อัปนาและฌานสมาบัติ วิปัสนากรรมฐานมีพัฒนาการ คือ นามรูปปริเฉทญาณถึงปฏิสังขารญาณ=ขณิก สังขารุเบกขาญาณ=อุปจาร และตั้งแต่อนุโลมญาณถึงผลญาณ=อัปนา สิ่งที่กล่าวโดยประมาณจริงแล้วนำมาเปรียบเทียบลักษณะนี้ไม่ได้ เพราะมีลักษณะจิตที่แตกต่างกัน |
เจ้าของ: | suttiyan [ 12 ก.ค. 2015, 22:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำถาม..ความต่างของฌานค่ะ |
พื้นฐานของฌานสมถมาจากการเพ่งอารมณ์ ลักษณะสมาธิมีอุปทานเป็นเครื่องผูก มีวิตก วิจารปิติ สุขและเอกคตาเป็นองค์ฌาน และลดองค์ฌานเมื่อเลื่อนระดับฌาน พื้นฐานลักขณูณิปฌานมาจากการรู้รูปนามที่เห็นจริงความสัมพันธ์เชื่อมต่อกัน(เหตุ ผล) ตั้งแต่อนิจจัง ทุกขังจนถึงอนัตตาทั้งอย่างหยาบ กลางและละเอียด ซึ่งก็จะมีองค์ฌานปรากฏเช่นเดียวกับฌานสมถะ ต่างกันที่ความแนบแน่น เพราะลักขณูณิปฌานองค์ฌานจะเกิดดับตลอดเวลา และสามารถเห็นช่วงต่อของการเลื่อนระดับฌานที่ชัดเจน เช่น ขณะเกิดปฐมฌาน ตัวรู้เสพอารมณ์ฌาน แต่ขณะเดียวกันก็พบว่าที่หทัยว้ตถุหรือที่หัวใจมีแรงครอบงำอยุ่ แรงนี้ทำให้จิตดำรงปฐมฌาน เมื่อรู้ถึงแรงดังกล่าว แรงที่ครอบงำที่หัวใจดับลง จิตก็เคลื่อน สุ่ทุติยฌาน จึงกล่าวได้ว่าแต่ละฌานมีเหตุของมันคือแรงที่ครอบงำเมื่อแรงดับลง จิตจึงเคลื่อนไปสู่ระดับฌานที่สูงขึ้น ซ๊่งผู้เข้าถีงจะพบสภาวะที่ชัดเจนมาก เห็นรอยต่อที่ชัดเจนเช่นเดียวกันเป็นการเห็นวิถีจิต |
เจ้าของ: | student [ 13 ก.ค. 2015, 00:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คำถาม..ความต่างของฌานค่ะ |
suttiyan เขียน: สมถกรรมฐานมีพัฒนาการ คือ ขณิก อุปจาร อัปนาและฌานสมาบัติ วิปัสนากรรมฐานมีพัฒนาการ คือ นามรูปปริเฉทญาณถึงปฏิสังขารญาณ=ขณิก สังขารุเบกขาญาณ=อุปจาร และตั้งแต่อนุโลมญาณถึงผลญาณ=อัปนา สิ่งที่กล่าวโดยประมาณจริงแล้วนำมาเปรียบเทียบลักษณะนี้ไม่ได้ เพราะมีลักษณะจิตที่แตกต่างกัน ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 3 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |