ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

ตัณหากับฉันทะ
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=51091
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  วิริยะ [ 27 ก.ย. 2015, 16:29 ]
หัวข้อกระทู้:  ตัณหากับฉันทะ


"ตัณหากับฉันทะ"

"ตัณหา" ความดิ้นรน ทะยานอยาก มักใช้ในทางไม่ดี เช่น ..
ดิ้นรนทะยานอยาก ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข โดยไม่คำนึงความถูกต้อง ไม่คำนึงถึงศีลธรรม

"ฉันทะ" ก็เป็นตัณหา เรียกว่า "ตัณหาอย่างละเอียด" ใช้ในทางที่ดี เช่น ..
อยากสิ้นทุกข์ อยากบรรลุมรรคผลนิพพาน อยากให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
"ฉันทะ" เป็น ๑ ในอธิบาท ๔ คือความพอใจ ความชอบใจ ใคร่ที่จะปฏิบัติ

"ฉันทะ" นี่ต้องอบรมให้เกิดให้มีขึ้น ไม่เหมือนกับ "ตัณหา" ที่มีมากมายทับถมหัวใจสัตว์โลก
ไม่ให้พบกับความสุขสงบได้

"อาศัยตัณหาเพื่อละตัณหา อาศัยฉันทะเพื่อละฉันทะ"

พระอานนท์ได้แสดงอุปมาว่า ..

"การที่จะมาสู่อารามนี้ ผู้มา ก็ต้องมีฉันทะที่จะมา ต้องมีความเพียรที่จะมา ต้องมีจิตตะที่จะมา
ต้องมีความใคร่ครวญที่จะมา

ครั้นมาถึงอารามนี้แล้ว ฉันทะนั้นก็สงบ ความเพียรก็สงบ จิตใจที่มาก็สงบ วิมังสาคือความใคร่
ครวญพิจารณาที่จะมาก็สงบ ฉะนั้นจึงละฉันทะอย่างนี้"

"การละตัณหา" ก็เช่นเดียวกัน อาศัยตัณหา คือความอยากที่จะทำ กิจที่ควรทำ ครั้นทำเสร็จแล้ว
ละตัณหานั้นแล้ว ก็จะพบกับความสงบ ซึ่งหมายถึงความสิ้นสุดกิจที่จะพึงทำนั้นได้

เหมือนกับผู้ปฏิบัติใน "มรรค" เพื่อ "พระนิพพาน" ..
เมื่อถึง "พระนิพพานแล้ว" ก็ไม่ต้องขนขวายปฏิบัติใน "มรรค" อีก


:b1:

เจ้าของ:  เช่นนั้น [ 27 ก.ย. 2015, 23:48 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตัณหากับฉันทะ

ฉันทะ เป็นกุศลธรรม เป็นองค์ประกอบในอิทธิบาท 4 อันเป็นส่วนหนึ่งของโพธิปักขิยธรรม
ตัณหา เป็นอกุศลธรรม เป็นอาสวะธรรม

กุศลธรรม ย่อมไกล จากอกุศลธรรม การแสดงว่า ฉันทะเป็นตัณหาละเอียดย่อมไม่ควร

ในพระสูตร พราหมณสูตร ว่าด้วยปฏิปทาเพื่อละฉันทะ
เป็นการแสดงปฏิปทา เมื่อผลจิตอุบัติขึ้น มรรคจิตก็ดับไป เพราะมรรคจิตเป็นปัจจัยแก่ผลจิต ฉันทะจึงดับไป
Quote Tipitaka:

พระสูตรนี้ ไม่ได้แสดงเกี่ยวกับ ตัณหาเพื่อละตัณหา

ส่วน อาศัยตัณหาเพื่อละตัณหา ก็มีแสดงไว้ในพระสูตรอื่น ซึ่งมีแสดงไว้ เช่นในอินทรียวรรคที่ ๑ ข้อที่ 159 เป็นต้น
Quote Tipitaka:
อินทรียวรรคที่ ๑ ข้อที่ 159 http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=21&A=3884&Z=4082&pagebreak=0

พระสูตรนั้นจะแสดงเพราะอกุศลเป็นปัจจัย กุศลจึงเกิดขึ้น กล่าวคือสัตวโลกมีตัณหาเป็นสมุทัย จึงอาศัยสมุทัยเป็นตัวพิจารณาในการละสมุทัย อย่างนี้ จึงเรียกว่า อาศัยตัณหาละตัณหา

หวังว่าน่าจะลองพิจารณาดู

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 28 ก.ย. 2015, 06:21 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตัณหากับฉันทะ

ตัณหา คือ ความอยากได้ จะเกิดกับจิตที่เป็นอกุศลฝ่ายเดียว
ฉันทะ คือ ความพอใจ จะเกิดกับจิตทั้งที่เป็นอกุศลและกุศล

จิตที่มีความอยากได้จะเกิดพร้อมกับความยินดีพอใจเสมอ
จิตที่มีพอใจจะไม่เกิดกับอกุศลก็ได้ เช่น มีของอยู่สิ่งเดียวแต่มีผู้จะต้องรับมี ๒ คน
เราพอใจจะให้ใครคนไหนเป็นต้น

เจ้าของ:  เช่นนั้น [ 28 ก.ย. 2015, 14:56 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตัณหากับฉันทะ

ลุงหมาน เขียน:
ตัณหา คือ ความอยากได้ จะเกิดกับจิตที่เป็นอกุศลฝ่ายเดียว
ฉันทะ คือ ความพอใจ จะเกิดกับจิตทั้งที่เป็นอกุศลและกุศล

จิตที่มีความอยากได้จะเกิดพร้อมกับความยินดีพอใจเสมอ
จิตที่มีพอใจจะไม่เกิดกับอกุศลก็ได้ เช่น มีของอยู่สิ่งเดียวแต่มีผู้จะต้องรับมี ๒ คน
เราพอใจจะให้ใครคนไหนเป็นต้น

ลุงๆ
สนทนากันเรื่อง ฉันทะใน อิทธิบาทสี่ ลุงมาบอกอะไร....
อ้างคำพูด:
"ฉันทะ" ก็เป็นตัณหา เรียกว่า "ตัณหาอย่างละเอียด" ใช้ในทางที่ดี เช่น ..
อยากสิ้นทุกข์ อยากบรรลุมรรคผลนิพพาน อยากให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
"ฉันทะ" เป็น ๑ ในอธิบาท ๔ คือความพอใจ ความชอบใจ ใคร่ที่จะปฏิบัติ


ถามลุง...ฉันทะในอิทธิบาทสี่ อันเป็นส่วนในโพธิปักขิยธรรม เป็นกุศล หรือ อกุศล

เจ้าของ:  วิริยะ [ 28 ก.ย. 2015, 18:18 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตัณหากับฉันทะ


ผู้ปฏิบัติธรรมหรือผู้ที่ประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงาน มักจะมีอธิบาท ๔
"ธรรมที่เป็นเหตุให้บรรลุถึงความสำเร็จ" เป็นธรรมประจำใจเสมอ

"ฉันทะ" ๑ ใน อธิบาท ๔ บ้างครั้งก็เรียก "ธรรมฉันทะ" ผู้ใคร่ปฏิบัติในธรรม
ผู้ใคร่คันหาความจริง อยากรู้หรือใฝ่รู้ในธรรม เป็นต้น ฯลฯ

ท่านแบ่ง "ฉันทะ" เป็น ๓ ประเภท คือ ..

๑. กัตตุกัมยตาฉันทะ ความพอใจ เป็นผู้ใคร่ที่จะทำ มีความต้องการที่จะทำ
ได้แก่ ฉันทะ ที่เป็นกลาง ๆ ดีก็ได้ ชั่วก็ได้

๒. กามฉันทะ ความพอใจรักใคร่ ในกามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ คือ นิวรณ์ ๕ นั่นเอง ซึ่งเป็นฝ่ายอกุศล บ้างครั้งเรียก ตัณหาฉันทะ

๓. ฉันทะ ความพอใจ ความชอบใจ ความยินดี ความรักใคร่สิ่งนั้น ๆ โดยทั่วไป
หมายถึง "กุศลฉันทะ" หรือ "ธรรมฉันทะ" ซึ่งตรงข้ามกับ "ตัณหาฉันทะ" คืออยากได้
อยากมี อยากเสพเพื่อตัวเอง ที่เป็นฝ่ายอกุศล ..

:b1:

เจ้าของ:  เช่นนั้น [ 28 ก.ย. 2015, 23:50 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตัณหากับฉันทะ

วิริยะ เขียน:

ผู้ปฏิบัติธรรมหรือผู้ที่ประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงาน มักจะมีอธิบาท ๔
"ธรรมที่เป็นเหตุให้บรรลุถึงความสำเร็จ" เป็นธรรมประจำใจเสมอ

"ฉันทะ" ๑ ใน อธิบาท ๔ บ้างครั้งก็เรียก "ธรรมฉันทะ" ผู้ใคร่ปฏิบัติในธรรม
ผู้ใคร่คันหาความจริง อยากรู้หรือใฝ่รู้ในธรรม เป็นต้น ฯลฯ

ท่านแบ่ง "ฉันทะ" เป็น ๓ ประเภท คือ ..

๑. กัตตุกัมยตาฉันทะ ความพอใจ เป็นผู้ใคร่ที่จะทำ มีความต้องการที่จะทำ
ได้แก่ ฉันทะ ที่เป็นกลาง ๆ ดีก็ได้ ชั่วก็ได้

๒. กามฉันทะ ความพอใจรักใคร่ ในกามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ คือ นิวรณ์ ๕ นั่นเอง ซึ่งเป็นฝ่ายอกุศล บ้างครั้งเรียก ตัณหาฉันทะ

๓. ฉันทะ ความพอใจ ความชอบใจ ความยินดี ความรักใคร่สิ่งนั้น ๆ โดยทั่วไป
หมายถึง "กุศลฉันทะ" หรือ "ธรรมฉันทะ" ซึ่งตรงข้ามกับ "ตัณหาฉันทะ" คืออยากได้
อยากมี อยากเสพเพื่อตัวเอง ที่เป็นฝ่ายอกุศล ..

:b1:

ท่าน คือใคร
ใครเป็นคนแบ่ง
พระศาสดาแบ่งเอง หรือไม่ครับ

เจ้าของ:  บ้านสวนสุขใจ [ 29 ก.ย. 2015, 09:24 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตัณหากับฉันทะ

ขอถามเป็นความรู้หน่อยครับ

ปกติผมก็รู้ว่าตัณหาเป็นอกุศล แต่เคยสงสัยว่าคนที่ไม่เคยสวดมนต์ แต่อยากสวดมนต์ ความอยาก ความต้องการนี้ เป็นตัณหาหรือไม่ครับ ถ้าไม่เป็นตัณหาแล้วจะเป็นอะไรครับ

ส่วนคนที่เคยสวดมนต์อยู่ ต่อมาก็เลิกสวด แสดงว่าฉันทะเขาน้อยลงไปใช่ไหมครับ แล้วจะมีวิธีการ หรืออุบายอย่างไรที่ช่วยให้มีฉันทะเพิ่มมากขึ้นครับ

ขอบคุณมากครับ

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 29 ก.ย. 2015, 09:43 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตัณหากับฉันทะ

บ้านสวนสุขใจ เขียน:
ขอถามเป็นความรู้หน่อยครับ

ปกติผมก็รู้ว่าตัณหาเป็นอกุศล แต่เคยสงสัยว่าคนที่ไม่เคยสวดมนต์ แต่อยากสวดมนต์ ความอยาก ความต้องการนี้ เป็นตัณหาหรือไม่ครับ ถ้าไม่เป็นตัณหาแล้วจะเป็นอะไรครับ

ส่วนคนที่เคยสวดมนต์อยู่ ต่อมาก็เลิกสวด แสดงว่าฉันทะเขาน้อยลงไปใช่ไหมครับ แล้วจะมีวิธีการ หรืออุบายอย่างไรที่ช่วยให้มีฉันทะเพิ่มมากขึ้นครับ

ขอบคุณมากครับ


ความอยากคือตัณหาครับเป็นอกุศล
อกุศลเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลก็ได้ครับ มันเป็นคนละขณะจิตกัน
ขณะที่อยากคุณก็ยังไม่ได้สวด และขณะที่สวดคุณก็ไม่ได้อยาก

ไม่ว่าจะทำอะไรมันก็ต้องมีที่สิ้นสุด ตามกาลเวลาของมัน มันไม่เกี่ยวกับฉันทะที่ลดน้อยลงไป
หรือแม้แต่ตัวฉันทะเองก็ต้องมีที่สิ้นสุด เพราะธรรมทั้งหลายเหล่านี้ตกอยู่ในสภาพของไตรลักษณ์

เจ้าของ:  วิริยะ [ 29 ก.ย. 2015, 15:11 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตัณหากับฉันทะ

บ้านสวนสุขใจ เขียน:
ขอถามเป็นความรู้หน่อยครับ

ปกติผมก็รู้ว่าตัณหาเป็นอกุศล แต่เคยสงสัยว่าคนที่ไม่เคยสวดมนต์ แต่อยากสวดมนต์ ความอยาก ความต้องการนี้ เป็นตัณหาหรือไม่ครับ ถ้าไม่เป็นตัณหาแล้วจะเป็นอะไรครับ

อย่างนี้เรียกว่า "ฉันทะ" คืออยากปฏิบัติในธรรม ความใคร่ในธรรม "ธรรมฉันทะ" ก็เรียก
ความหมายของตัณหา คือ ความยากได้ใคร่มี เพื่อตน
- ตัณหา มักใช้กับจิตที่เป็นอกุศล
- ฉันทะ นั้นใช้กับจิตที่เป็นกุศล

บ้านสวนสุขใจ เขียน:
ส่วนคนที่เคยสวดมนต์อยู่ ต่อมาก็เลิกสวด แสดงว่าฉันทะเขาน้อยลงไปใช่ไหมครับ แล้วจะมีวิธีการ หรืออุบายอย่างไรที่ช่วยให้มีฉันทะเพิ่มมากขึ้นครับ

ขอบคุณมากครับ

"ฉันทะ" นั้นต้องทำให้เกิดให้มี ตรงข้ามกับตัณหา ฉันทะ มี ๔ ข้อ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
ผู้เจริญอธิบาทต้องปฏิบัติทั้ง ๔ ข้อ ให้เสมอกัน มีข้อหนึ่งข้อใดหย่อน "อธิบาท" ก็ไม่สมบูรณ์

อุุบายหรือวิธีการ แล้วแต่บุคคล แต่ที่ใช้อยู่คือ สร้างศรัทธาความเชื่อ ในเรื่องของกรรมให้มาก ๆ


:b1:

เจ้าของ:  sirinpho [ 19 ก.พ. 2016, 19:47 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตัณหากับฉันทะ

:b8: :b8: :b8:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/