วันเวลาปัจจุบัน 04 ส.ค. 2025, 05:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2015, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5364


 ข้อมูลส่วนตัว


ความอดทนมาจากคำว่า" ขันติ "
หมายถึง การรักษาปกติภาวะของตนไว้ได้ ไม่ว่าจะถูกกระทบกระทั่งด้วยสิ่งอันเป็นที่พึงปรารถนาหรือไม่พึงปรารถนาก็ตาม
ลักษณะที่สำคัญยิ่งของขันติ คือ ตลอดเวลาที่อดทนอยู่นั้น จะต้องมีใจผ่องใส ไม่เศร้าหมองต้องคำนึงถึงหิริโอตตัปปะให้มาก เมื่อมีความละอายและเกรงกลัวต่อบาปอย่างเต็มที่ ความอดทนย่อมจะเกิดขึ้นต้องรู้จักยกจิตให้พ้นจากอารมณ์ที่มากระทบนั้นให้พ้น หมั่นฝึกสมาธิให้มากเพราะขันติและสมาธิเป็นคุณธรรมที่เกื้อหนุนกัน หากใจไม่เป็นสมาธิ ขาดสติอันมั่นคงขันติย่อมเกิดขึ้นได้โดยยาก
**อดทนต่อความลำบากตรากตรำ เป็นการอดทนต่อสภาพธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศ ความหนาว ความร้อน ฝนตก แดดออก ฯลฯ
**อดทนต่อทุกขเวทนา เป็นการอดทนต่อความเจ็บไข้ได้ป่วยความไม่สบายกายของตน
**อดทนต่อความเจ็บใจ เป็นการอดทนต่อความโกรธ ความไม่พอใจ ความขัดใจ การบีบคั้น ทั้งผู้บังคับบัญชาและลูกน้อง ความอยุติธรรมต่างๆ
**อดทนต่ออำนาจกิเลส เป็นการอดทนต่ออารมณ์อันพึงพอใจน่าเพลิดเพลินใจ
อรรถกถาแปล
"เขาด่าแล้วไม่โกรธว่ายากแล้ว เขาชมแล้วไม่ยิ้มยากยิ่งกว่า"




ธรรมโอวาท ของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ เรื่อง การพิจารณากาย

พระบรมศาสดาจารย์เจ้าทรงตั้งมหาสติปัฐานเป็นชัยภูมิก็โดยที่ผู้จะเข้าสู่สงครามรบข้าศึก คือ กิเลส ต้องพิจารณากายานุปัสนาสติปัฏฐานเป็นต้นก่อน เพราะคนเราที่เกิดกามราคะก็เกิดที่กายและใจ เพราะตาแลเห็นกายทำให้ใจกำเริบ เหตุนั้น จึงได้ความว่า กายเป็นเครื่องก่อเหตุ จึงต้องพิจารณาที่กายนี้ก่อน จะได้เป็นเครื่องดับนิวรณ์ทำให้ใจสงบได้

การพิจารณากายนี้เป็นของสำคัญ ผู้ที่จะพ้นทุกข์ล้วนแต่ต้องพิจารณากายนี้ทั้งสิ้น สิ่งสกปรกน่าเกลียดนั้นก็คือตัวเรานี้เอง ร่างกายนี้เป็นที่ประชุมแห่งของโสครก เป็นอสุภะ ปฏิกูล น่าเกลียด เพราะฉะนั้นจงพิจารณากายนี้ให้ชำนิชำนาญ ให้มีสติพิจารณาในที่ทุกสถาน ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ คิด พูด ก็ให้มีสติรอบคอบในกายอยู่เสมอ ณ ที่นี้พึงทำให้มาก เจริญให้มาก คือพิจารณาไม่ต้องถอยเลยทีเดียว

ขณะเมื่อยังเห็นไม่ทันชัดเจนก็พิจารณาส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งกายอันเป็นที่สบายแก่จริตจนกระทั่งปรากฏเป็นอุคคหนิมิต คือ ปรากฏส่วนแห่งร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วก็กำหนดส่วนนั้นให้มาก เจริญให้มาก ทำให้มาก

พระโยคาวจรเจ้าเมื่อพิจารณาในที่นี้ พึงเจริญให้มาก ทำให้มาก อย่าพิจารณาครั้งเดียวแล้วปล่อยทิ้งตั้งครึ่งเดือน ตั้งเดือน ให้พิจารณาก้าวเข้าไป ถอยออกมาเป็น อนุโลม ปฏิโลม คือเข้าไปสงบในจิตแล้วถอยออกมาพิจารณากาย อย่าพิจารณากายอย่างเดียวหรือสงบที่จิตแต่อย่างเดียว พระโยคาวจรเจ้าพิจารณาอย่างนี้ชำนาญแล้ว หรือชำนาญอย่างยิ่งแล้ว คราวนี้แลเป็นส่วนที่จะเป็นเอง คือ จิต ย่อมจะรวมใหญ่ เมื่อรวมพรึบลง ย่อมปรากฏว่าทุกสิ่งรวมลงเป็นอันเดียวกันคือหมดทั้งโลกย่อมเป็นธาตุทั้งสิ้น นิมิตจะปรากฎขึ้นพร้อมกันว่าโลกนี้ราบเหมือนหน้ากลอง เพราะมีสภาพเป็นอันเดียวกัน ไม่ว่า ป่าไม้ ภูเขา มนุษย์ สัตว์ แม้ที่สุดตัวของเราก็ต้องลบราบเป็นที่สุดอย่างเดียวกันพร้อมกับ ญาณสัมปยุตต์ คือรู้ขึ้นมาพร้อมกัน ในที่นี้ตัดความสนเท่ห์ในใจได้เลย จึงชื่อว่า ยถาภูตญาณทัสสนวิปัสสนา คือทั้งเห็นทั้งรู้ตามความจริง

กรพิจารณากายนี้มีที่อ้างมาก ดั่งในการบวชทุกวันนี้ เบื้องต้นต้องบอกกรรมฐาน ๕ ก็คือ กายนี้เองก่อนอื่นหมดเพราะเป็นของสำคัญ ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์พระธรรมบทขุทฺทกนิกายว่า อาจารย์ผู้ไม่ฉลาดไม่บอกซึ่งการพิจารณากาย อาจทำลายอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์ของกุลบุตรได้ เพราะฉะนั้นในทุกวันนี้จึงต้องบอกกรรมฐาน๕ ก่อน

เหตุนั้นการพิจารณากายจึงเป็นของสำคัญ ผู้ที่จะพ้นทุกข์หมดล้วนแต่ต้องพิจารณากายนี้ทั้งสิ้นจะรวบรวมกำลังใหญ่ได้ต้องรวบรวมด้วยการพิจารณากาย แม้พระพุทธองค์เจ้าจะได้ตรัสรู้ทีแรกก็ทรงพิจารณาลม ลมจะไม่ใช่กายอย่างไร? เพราะฉะนั้นมหาสติปัฏฐาน มีกายานุปัสสนาเป้นต้น จึงชื่อว่า “ ชัยภูมิ” เมื่อเราได้ชัยภูมิ ดีแล้ว กล่าวคือปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐานจนชำนาญแล้ว ก็จงพิจารณาความเป็นจริงตามสภาพแห่งธาตุทั้งหลาย

ที่มา: หนังสือกายคตาสติ _(หลวงตามหาบัว)




"..เมื่อกล่าวโดยกรรม ในศาสนาพุทธ ความบังเอิญไม่มี การกระทำทุกอย่างย่อมมีผล เราเรียก
ผลนั้นว่า "วิบาก"
สิ่งใดจะเกิดได้ ต้องมีเหตุปัจจัยประชุมพร้อม กรรมจึงสามารถส่งผลหรือให้วิบากได้ ไม่มีโชคลาภเกิดขึ้นได้โดยไม่อาศัยบุญ-กรรม โชคลาภ ไม่สามารถจะเกิดขึ้นลอย ๆ หรือบังเอิญ โดยไม่มีเหตุปัจจัย ทุกปัญหาเกิดขึ้นอย่างมีสาเหตุทั้งนั้น

กิ่งไม้ตกใส่หัว ฟ้าผ่าหัวหมา ล้วนเกิดจากกรรม
เหมือนใครกินคนนั้นก็อิ่ม คนอื่นอื่มแทนไม่ได้

เกลือ เค็มเหมือนกันหมด
ไทย ฝรั่ง ลาว แขก กินในที่ลับ ที่แจ้งก็เค็ม ดุจกัน เกลืออย่างไร กรรมก็อย่างนั้น ทุกชาติศาสนา "

โอวาทธรรม
หลวงปู่หลุย จันทสาโร





"...บุญกุศลนี้จึงเป็นแก้วสารพัดนึกหรือเป็นแก้วอันวิเศษสูงสุดในโลกไม่มีอันใดที่จะเทียมเท่า สามารถที่จะปรับปรุงบุคคลผู้มีคุณงามความดี แม้จะอยู่ในภพในชาติก็ให้เป็นผู้มีความสมบูรณ์พูนสุข แม้จะเกิดขึ้นมาเป็นรูป เป็นกาย เป็นหญิงเป็นชาย ก็มีความสง่าราศี มีบุญญาภินิหารหรือบุญญาภิสมภาร มีความเฉลียวฉลาด มีอุปนิสัยฝังอยู่ที่จิตใจของบุคคลนั้น หากได้รับความทุกข์บ้างเป็นบางคราว เพราะอำนาจแห่งกรรมที่ตนทำไว้เป็นลุ่มๆ ดอนๆ ก็ตาม บุญกุศลอันนั้นยังจะตามสนับสนุนผู้นั้น ให้พ้นจากอุปสรรคนั้นๆ ไปได้โดยลำดับ

ขอให้บรรดาท่านทั้งหลายโปรดได้ทราบไว้ อย่าได้มีความประมาทในชีวิตของเรา ชีวิตอันนี้ไม่มีเครื่องหมาย อาจจะอันตรธานหรือล้มตายไปในวันใดก็ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเด็ก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเป็นหนุ่มเป็นสาว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเป็นเฒ่าเป็นแก่ แต่ขึ้นอยู่กับลมหายใจเท่านั้น หากว่าลมหายใจหมดแล้วไซร้ คนนั้นเขาก็เรียกว่าคนตาย จะเป็นเด็กก็คนตาย เป็นหนุ่มเป็นสาวก็เรียกว่าคนตาย เป็นเฒ่าเป็นแก่หมดราคาทั้งนั้น ที่จะสร้างคุณงามความดีต่อไปอีก หรือจะสร้างบาปกรรมอันใดต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ชีวิตจิตใจจึงเป็นของมีคุณค่าสำหรับเราทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่ ณ บัดนี้ จงพยายามบำเพ็ญคุณงามความดีใส่ตัวของเรา..."

เทศนาธรรมคำสอน..
องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์ในงานทำบุญข้าวเปลือก ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๐๕


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร