วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 04:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2015, 17:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


คือมีเหตุให้คุนน้องมาตั้งกระทู้ถาม เพราะคุนน้อง
ไปเจอศึกหนัก มีปมาทะ กับสาวกลูกศิษย์ของท่าน พุทธทาส.แล้วกลุ่มนี่เขาต่อต้านเรื่องงมงายต่างๆ
คุนน้องเลยไปให้ความรู้เรื่อง มิจฉาทิฏฐิ กับ สัมมาทิฏฐิ..แล้วพวกเขากล่าว่า เรื่อง นรก สวรรค์ ภพภูมิต่างๆ สาวกรุ่นหลังของพระพุทธเจ้าแต่งเติมขึ้น
เพื่อสร้างความศรัทรา แม้จริงแล้วพุทธเจ้าเป็นคนธรรมดา แบบเราๆ ที่มีปัญญาหาทางหลุดพ้นทุกข์ ไม่ได้มี นรก สวรรค์ เทวดา อะไรทั้งนั้น คุนน้องเกิดความสงสัยมาก คุนน้องเข้าใจไรผิดไป แล้วทำไมลูกศิษย์ ท่านพุทธทาสถึงปฏิเสธเรื่องเหล่านี้ บอกว่างมงาย ท่านพุทธทาส ปฏิเสธเรื่อง นรก สวรรค์ หรอค่ะ? แล้วสาวกเหล่านั้นบอกว่า พระไตรปิฎก คำสอนต่างๆ ถูกต่อเติมภายหลัง คุนน้องเลยอยากเรียนถามว่า แท้จริงแล้ว พระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้จริงไหมค่ะ เป็นคำพูดของพระองค์เอง มีในพระสูตรไหนบ้างมั้ยค่ะ?
คุนน้องไปค้นหาข้อมูลมา
http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 50994.html


แก้ไขล่าสุดโดย nongkong เมื่อ 18 พ.ย. 2015, 17:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2015, 17:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเห็นนี้น่าสนใจนะค่ะ ทำไมพระป่าไม่เคยมาค้านคำสอนในพระไตรปิฎกเรื่อง ภพภูมิ เลยอ่ะ
ติดต่อทีมงาน
ความคิดเห็นที่ 11
ไม่ว่าท่านพุทธทาสจะเชื่ออย่างไรก็ตาม

เราก็ต้องยอมรับไปตามความเป็นจริง ว่า มีคนมากมายที่ได้อ่านงานเขียนของท่าน แล้วเกิดแนวคิดว่า นรก-สวรรค์ที่เป็นภพภูมิไม่มีจริง



และการจะให้ความสำคัญหรือไม่ให้ความสำคัญต่อนรก-สวรรค์ นั่นไม่ใช่สาระสำคัญแต่อย่างใด

สาระสำคัญมันอยู่ที่นรก-สวรรค์ที่เป็นภพภูมิมันมีอยู่จริง

บุคคลผู้นั้นจะให้หรือไม่ให้ความสำคัญก็ตาม เขาก็ต้องมีทิฏฐิที่ถูกต้องนี้เสียก่อน

ผู้เดินตามมรรค หากขาดสัมมาทิฎฐิในเรื่องนี้เสียแล้ว ย่อมไปไม่ถึงฝั่งพระนิพพาน



การกล่าวว่า พระพุทธองค์เอออวยตามความเชื่อของพราหมณ์ที่มีอยู่เดิมนั้นเป็นเรื่องที่ผิดถนัด

เพราะจะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ทรงจำแนกภพภูมิออกได้ละเอียดกว่าศาสนาพราหมณ์มาก

๓๑ ภพภูมิมีเฉพาะในพระพุทธศาสนา เหคุปัจจัย ชนกกรรมก็แจกแจงไว้ในพระพุทธศาสนา

วิธีการเข้าสู่ความเป็นสหายแห่งพรหม คือ การได้ฌานนั้น ก็มีเพียงในพระไตรปิฎก ดังพระสูตรที่พระพุทธตรัสสอนพราหมณ์



อันที่จริง เมื่อปฏิบัติธรรมไปซักพัก ผู้ปฏิบัติก็จะเห็นแจ้งนรก-สวรรค์ด้วยตนเองอยู่แล้ว

และก็ตรงกับที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกทุกประการ

เราจึงไม่เห็นพระป่านักปฏิบัติ ผู้เข้าออกฌานจนชำนาญรูปใด ออกมาค้านขัดพระไตรปิฎกแม้แต่รูปเดียว
จากคุณ : ฮิมาวาริซซัง FriendFlock Bloggang
เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 54 09:08:09


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2015, 18:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


คุนน้องลองอ่านความเห็นท่านพุทธทาสแล้ว
ท่านอธิบายในเชิง สภาวะปรมัตถ์ธรรม แต่ท่านก็ไม่ได้ บอกว่าค้านว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสในพระไตรปิฎก ไม่ใช่เรื่องจริงนี่ แตก็มีคำพูดแปลกๆที่ สื่อให้เขาใจผิด ที่บอกพระพุทธเจ้าเอออวย กับพรามณ์..พระพุทธองค์เป็นสัมพัญญู รู้แจ้งทุกสรรพสิ่ง ทำไมใช้คำว่า เอออวย อ่ะ..แล้วลูกศิษที่ชื่นชมผลงานท่านพุทธทาส ก็วิปลาศ ปฏิเสธเรื่อง เวรกรรม ปฏิเสธเรื่องภพภูมิ ทั้งที่พระพุทธองค์ หรือแม้แต่ หลวงปู่ หลวงตา ก็สอนเราในเรื่องนี้
ไม่น่าเชื่อเลย..ว่าลูกศิษเหล่านั้น จะเป็นมิจฉาทิฏฐิไปได้ กล่าวว่า พระไตรปิฎกโดนแต่งเติมขึ้นมา เรื่อง นรก สวรรค์ ภพภูมิอีกแนะ.. แถมคุนน้องโดนด่าว่า บ้า :b14:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2015, 18:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
เชื่อพระพุทธเจ้า ก็ต้องเชื่อเรื่อง 31 ภพภูมิ

ลูกศิษย์หลวงพ่อพุทธทาสน่าจะไปสนใจและประกาศเรื่องที่เป็นจุดเด่นของหลวงพ่อพุทธทาส คือเรื่องอัตตา อนัตตา ซึ่งตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่นั้นพิสูจน์กันได้ยาก ต้องอาศัยความเชื่อตามคำสอนของศาสดาแต่ละศาสนาซึ่งมีความคล้ายเหมือนกันทุกศาสนาว่ามีสวรรค์ชั้นพรหม
คนจะไปรู้ไปเห็นนรกสวรรค์นั้นต้องได้สมาธิได้ฌาณได้อภิญญา ซึ่งหาพบตัวได้ยากในโลกปัจจุบัน


ดังนั้นถ้าจะส่งเสริมเผยแพร่ธรรมกันควรเลี่ยงการไปชี้เน้นเรื่องนี้ เปลี่ยนไปเอาเรื่องที่พิสูจน์ได้ในสายตามนุษย์โลกธรรมดาๆ อย่างเช่นเรื่อง
อริยสัจ 4
มรรค 8
อนัตตา
สติปัฏฐาน 4
ปัจจุบันอารมณ์
โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ
ดังนี้เป็นต้น

:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2015, 18:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่คุนน้องสงสัยว่า ถ้าพวกเขาไม่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ พวกเขาจะเจริญตามมรรคได้อย่างไรค่ะ
มรรคตัวแรก ก็สัมมาทิฏฐิ ถ้าพวกเค้ามีทิฏฐิวิปลาศ
จาบจ้วงธรรมในพระไตรปิฎก ที่พระพุทธองค์ตรัส สัมมาทิฏฐิ แถมยังต่อต้านกับคน ที่เชื่อเรื่องเล่านี้ สร้างวาทกรรม บิดเบือนคำสอนพระพุทธองค์อีก
มิจจาทิฏฐิ มีโทษมากมิใช่หรือค่ะ..ต่อให้ศึกษาธรรมมะ พวกเขาก็ใช้แค่ตรรกะ นึกคิด แต่ไม่ใช่ลงมือปฏิบัติจริง..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2015, 19:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


คุยน้องไปเจอความเห็นท่านพุทธทาส พูดในลักษณะนี้
ปาฏิหาริย์เกี่ยวกับอภิธรรมปิฏกที่สำคัญก็คือเรื่องว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วแสดงอภิธรรมที่นั่น โปรดเทวดาที่เคยเป็นพระมารดาของท่าน นี่คือพระมหาปาฏิหาริย์ แล้วก็มีปาฏิหาริย์ที่เนื่องกัน เช่นต้องแสดงยมกปาฏิหาริย์ก่อน แล้วขึ้นไปอย่างไร แล้วลงมาอย่างไร แต่เรื่องสำคัญมันว่าขึ้นไปบนเทวโลกแสดงอภิธรรม ซึ่งชาวบ้านหรือนักปราชญ์ในเมืองมนุษย์ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ไปแสดงแก่เทวดาให้รู้เรื่องได้ เทวดาซึ่งเอาแต่เล่นแต่กินแต่สบายนั้นน่ะเรื่องนี้ขอให้ทนฟังอาตมาเล่านิดหน่อย เรื่องว่า พระพุทธเจ้าขึ้นไปบนเทวโลกนั้นนะ มันเป็นเรื่องจำ

เป็นที่ต้องมีในพุทธศาสนาของเรา เพราะว่าในศาสนาอื่นๆหรือแม้ว่าไม่เกี่ยวกับศาสนาเป็นลัทธิอื่นนั้น

เขาจะมีว่าศาสดาของเขา หรือบุคคลสำคัญของเขาต้องเคยขึ้นไปบนเทวโลกทั้งนั้น แล้วในฝ่ายพุทธ

ศาสนาถ้าพูดว่าเราไม่มีมันก็แย่ เพราะฉะนั้นมันต้องมีกับเขาบ้างให้จนได้
ทีนี้มันจะมีได้โดยฝีมือของใคร นี้มันเป็นเรื่องที่จะต้องมี เพื่อสร้างสถาบันที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่นเราจะต้องพูด

ว่า พระพุทธเจ้าท่านมาเหยียบรอยพระบาทไว้ที่สระบุรี นั้น ถ้าไม่พูดว่าพระพุทธเจ้ามาเหยียบไว้แล้ว

ไม่มีใครสนใจหรอก ทีนี้เราจะต้องมีอะไรที่ทำให้สนใจให้เป็นสถาบันเสียก่อน พอมันเป็นสถาบันแน่น

แฟ้นในจิตใจของประชาชนแล้ว มันใช้ได้แล้ว มันจะจริงหรือไม่จริงก็ช่างมันเถอะ เพราะเขาต้องการ

สถาบันอันแน่นแฟ้นในจิตใจของประชาชน ที่ประเทศอินเดียครั้งกระโน้นก็เหมือนกัน ต้องการสถาบัน

อันนี้ให้เชื่อว่าพระพุทธเจ้าของเราเก่งไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง

คุนน้องเชื่อแล้วว่า ทำไมส่วนใหญ่ลูกศิษลูกหาท่านพุทธทาส มีทิฏฐิวิปลาศ นี่เป็นเรื่องของ กรรมวิบาก ใช่ไหม คนเราจะนับถือถูกจริตกับอาจารย์ท่านใด ก็มักจะเคยสร้างเหตุปัจจัยต่อกัน..มิน่าหละบางคนถึงกล้าพูดว่า พระพุทธเจ้าก็เป็นคนธรรมดา อย่างเราๆ แต่มีปัญญามาก แค่นั้น และเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาร ในพระไตรปิฎก ถูกแต่งขึ้นมาภายหลัง..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2015, 20:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรรม..ของท่านพุทธทาส..ก็ของท่าน..แต่ท่านจะรับกรรมของท่านหรือไม่...นั้น..กรรมอาจตามท่านไม่ทันก็ได้

ในสมัยพุทธกาล....พราหมณ์หลายต่อหลายท่าน....ตำนิ..ด่าพระพุทธเจ้าก็มี....แต่พอทำลายกิเลสอวิชชาจากการฟังเทศน์ของพระองค์ได้...กรรมที่ด่าว่าตำนิพระพุทธเจ้าก็ตามไม่ทัน..ก็เยอะ

ลูกศิษย์ของท่านพุทธทาส..ก็เช่นกัน....ตอนนี้เห็นอย่างนี้...ตอนเห็นจริงก็เปลี่ยนเอง..แหละคับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2015, 21:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรรม..ของท่านพุทธทาส..ก็ของท่าน..แต่ท่านจะรับกรรมของท่านหรือไม่...นั้น..กรรมอาจตามท่านไม่ทันก็ได้

ในสมัยพุทธกาล....พราหมณ์หลายต่อหลายท่าน....ตำนิ..ด่าพระพุทธเจ้าก็มี....แต่พอทำลายกิเลสอวิชชาจากการฟังเทศน์ของพระองค์ได้...กรรมที่ด่าว่าตำนิพระพุทธเจ้าก็ตามไม่ทัน..ก็เยอะ

ลูกศิษย์ของท่านพุทธทาส..ก็เช่นกัน....ตอนนี้เห็นอย่างนี้...ตอนเห็นจริงก็เปลี่ยนเอง..แหละคับ

แสดงว่า ตอนที่ท่านพุทธทาส กล่าววิจารย์พระพุทธองค์ ท่านยังไม่ได้บรรลุธรรม แต่หลังจากท่าน บรรลุธรรมแล้ว ท่านก็มีงานเขียนมากมาย ที่ได้รับการยอมรับ..แต่ว่าเรืองของกรรมวิบาก นี่สิเจ้าค่ะ ตราบใดที่ผลงานของท่านในเรื่องการแสดงทิฏฐิแบบนี้มีอยู่ เหล่าลูกศิษลูกหาที่มีจริตแบบนี้ก็ต้องมีทิฏฐิเช่นนี้ แล้วเราก็ต้องเอาคำสอนพระไตรปิฎก มาค้านได้ใช่ไหม เพราะถ้ามีการเผยแพร่ธรรมโดยใช้ตรรกะคิดเอา นรก สวรรค์ไม่มี เราห็สามารถแสดงความเห็นที่เป็นสัมมาทิฏฐิ แทรกเข้าไปด้วยได้ รึบัณฑิต อย่างเราๆท่านๆ จะยืนดูพุทธบริษัท ทำตัวเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2015, 22:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

พี่เอกอนก็ไม่เชื่อว่ามี นรก สวรรค์ ภพภูมิต่าง ๆ ในแบบ ถาวรสถานจริง ๆ นะ

เพราะพี่เอกอนเห็นมันเป็นสิ่งที่ ไม่ได้ปรากฎต่อเราอย่างถาวร

เหมือนกับ กาย-ใจ ก็ไม่ได้ปรากฎรับรู้ต่อเราอย่างถาวร

:b1:

ดังนั้น ภพต่าง ๆ ที่เป็นไป ย่อมเป็นสิ่งที่ ปรากฎได้
เมื่อจิตยังคงมีวิถีที่ท่องไปในภพ

ซึ่ง พระพุทธองค์ย่อมไม่สอน ภพภูมิต่าง ๆ นั้นไม่มี
และ พระพุทธองค์ย่อมสอนถึงหนทางแห่งการดับซึ่งภพ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2015, 23:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ค. 2009, 15:30
โพสต์: 36

งานอดิเรก: เล่นแมว
สิ่งที่ชื่นชอบ: นอน
ชื่อเล่น: มู่
อายุ: 24

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากถามท่านสาวกของพระพุทธธาตุจัง. นรกสวรรค์ไม่มี คนตายแล้วจะไปไหน บุญบาปไม่มีผลอะไรทำบาปไม่มีนรกให้ตก ทำดีไม่มัสวรรค์ให้ขึ้น ไม่มีภพภูมิให้ต้องหลุดพ้น อย่างนั้นหรือ???

.....................................................
ใช้ดาบฟาดน้ำน้ำยิ่งไหลโชก ยกแก้วกับโศกโศกยิ่งทุกข์หนัก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2015, 06:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b1:

พี่เอกอนก็ไม่เชื่อว่ามี นรก สวรรค์ ภพภูมิต่าง ๆ ในแบบ ถาวรสถานจริง ๆ นะ

เพราะพี่เอกอนเห็นมันเป็นสิ่งที่ ไม่ได้ปรากฎต่อเราอย่างถาวร

เหมือนกับ กาย-ใจ ก็ไม่ได้ปรากฎรับรู้ต่อเราอย่างถาวร

:b1:


:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2015, 07:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมเองก็ไม่เคยอ่านฉบับเต็มซะที..ว่าท่านพระพุทธทาส..ว่าใว้อย่างไร

ก็เลยลองหามาดู

รูปภาพ


อ้างคำพูด:
เทวดามีจริงหรือ?

ปัญหามีอยู่ว่า: ตามบาลีมีอยู่ว่า

เทวดาที่ปรารถนาสุคติ ปรารถนามาเกิดในโลกมนุษย์นั้น
ย่อมเป็นการรับรองว่า เทวดามีตัวจริง และ สวรรค์ก็มีตัวจริง.

ถ้าเชื่อว่ามีจริงเช่นนี้ จะไม่เป็นเรื่องเหลวไหล
ตามคติในยุคปัจจุบันไปหรือ?

ปัญหานี้ ผู้ถามได้ยึดเอาหลักที่อาตมาได้บรรยายไปในวันก่อนๆ
ถึงตอนที่กล่าวว่า เทวดาที่ปรารถนาสุคติ หาที่อื่นไม่ได้ ไม่พบ
ต้องมาหาในมนุษยโลก ซึ่งมีพระรัตนตรัย;

เลยยึดเอาว่า ถ้าอย่างนั้น บาลีก็ยืนยันว่า
ตัวเทวดามีจริง สวรรค์มีจริง?
อาตมาอยากจะขอตอบว่า ในบาลี มีกล่าวเช่นนั้นจริง
และมีในรูปพระพุทธภาษิตจริง;

แต่ความหมายนั้น หมายถึง เทวดาเป็นตัวบุคคลาธิษฐาน
เช่นนั้นจริงหรือไม่ เป็นอีกปัญหาหนึ่ง.

เรื่องเทวดานี้ ก็อยู่ในหลักเกณฑ์เดียวกันที่ว่า
พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า ถ้าไม่ "มองเห็น" ได้ด้วยตนเองแล้ว
อย่าไปเชื่อตามดีกว่า เพราะฉะนั้น ส่วนที่พูดถึงตัวเทวดา
หรือ สวรรค์นั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ.

ประเด็นสำคัญ มันอยู่ที่ว่า คนที่มัวเมาอยู่ด้วยกามคุณอย่างเทวดา
และ จะเป็นเทวดาอยู่ที่ไหนก็ตาม ผู้ที่มัวเมาอยู่แล้ว
ยากที่จะมีจิตใจที่โปร่งหรือแจ่มใสเพียงพอ
ที่จะเข้าใจเรื่องดับทุกข์ หรือ เรื่องนิพพาน

เพราะฉะนั้น เทวดาเมื่อสำนึกถึงความที่ตนมัวเมาอยู่ในกามคุณ
หรือในสวรรค์ได้ ก็เกิดความสลดสังเวชตัวเอง
ว่าที่นี่ ไม่ใช่ที่เอาตัวรอดเสียแล้ว;

ควรจะเป็นในที่ที่ไม่มัวเมา ในกามคุณมากถึงเช่นนั้น;
ควรจะเป็นที่ที่จะหาเรื่องราวของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
หรือเรื่องดับทุกข์นั้นได้โดยง่าย.

เพราะฉะนั้น โลกที่ดีที่น่าเกิด ก็ควรจะเป็นมนุษยโลก
แทนที่จะเป็นเทวโลก.

เพราะฉะนั้น ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า
ควรจะอยู่ในที่ที่หาพบพระรัตนตรัยได้ง่าย
หรือ ทำการดับทุกข์ได้ง่าย;

เลิกพูดถึงมนุษยโลกหรือเทวโลก ซึ่งไม่ใช่ประเด็นสำคัญ.


ทีนี้ อาตมา อยากจะชี้แจงต่อ ถึงข้อที่ว่า

ทำไม คำว่า เทวดา หรือ คำว่า สวรรค์นี้ มามีอยู่ในพระพุทธภาษิต
และอยู่ในพระไตรปิฎก โดยตรง
.

ทั้งนี้ ก็เพราะว่า ในประเทศอินเดีย สมัยนั้น มีความเชื่อเรื่องเทวดา
เรื่อง นรก เรื่องสวรรค์ นี้อยู่โดยสมบูรณ์แล้ว
มีรายละเอียดชัดเจน เหมือนที่กล่าวนี้ ทุกอย่างมาแล้ว
ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น

พอพระพุทธเจ้า มีขึ้นในโลก เรื่องเหล่านี้ มันมีอยู่แล้ว
จะไปเสียเวลาหักล้าง ก็ไม่ไหว พิสูจน์ให้คนโง่ เห็นไม่ได้

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย
ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ แต่แล้ว ก็ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่า
ให้เขาเลิกละ ความสนใจหรือ ติดแน่นในสิ่งนั้นเสีย
ให้เลิกละ ความติดแน่น ในนรก ในสวรรค์ ในเทวโลก
พรหมโลก เหล่านั้นเสีย โดยมาเอา สิ่งที่ดีกว่า
คือ เรื่องโลกุตตระ หรือ นิพพาน;
ทั้งๆ ที่ไม่ต้อง เสียเวลา พิสูจน์
เรื่องเทวดา เรื่องนรกสวรรค์ ชนิดนั้น
ว่ามันมี ข้อเท็จจริง โดยแท้จริงอย่างไร.

มีอยู่ในพระไตรปิฎก บางแห่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า
เรื่องเทวดานี้ เขาพูดกันอย่าง เอิกเกริก ทั่วไปอยู่แล้ว
เสียเวลา ที่จะไปฝืน ความรู้สึกของเขา;
แล้วเราเอง ก็ต้องการ อีกอย่างหนึ่ง ต่างหาก
สิ่งที่ต้องการ ไม่ได้เป็นอันเดียวกับ
ที่ต้องการให้เขาหลงใหลในสวรรค์

ไม่จำเป็นที่จะต้อง อธิบายเรื่อง นรก สวรรค์
ซึ่งเป็นสิ่งที่จะ พิสูจน์กัน เดี๋ยวนั้น ไม่ได้.

ถ้าหากว่า ผู้นั้นจะมีปาฏิหาริย์มาก ถึงกับบังคับจิตผู้คน
หรือกลุ่มประชาชน ให้เห็นนรกเห็นสวรรค์ด้วยอำนาจจิต
ได้อย่างแท้จริง;

ซึ่งสวรรค์และนรก จะจริงไม่จริงไม่ทราบ;
แต่ว่า สามารถบังคับด้วยปาฏิหาริย์
ให้พากันเห็นชัดเจนแท้จริง
จนมีความเชื่ออย่างนี้ก็ทำได้;


พระพุทธเจ้า ท่านก็ทำได้ เป็นของง่ายๆ
แต่ท่านก็ไม่ประสงค์ จะทำอย่างนั้น;
กลับเอออวย ไปในบางส่วนว่า
ให้ทาน รักษาศีล นี่แหละ จะเป็นทางให้ได้สวรรค์
แล้วเมื่อได้สวรรค์ มาแล้ว เป็นอย่างไร ท่านก็ชี้ให้เห็นว่า
สวรรค์นั้น มันเต็มไปด้วยโทษ คือ ความหลงใหลอย่างไร
แล้วจึง ทรงแสดงโทษของสวรรค์
ผู้นั้นก็พร้อมที่จะรู้เรื่องโลกุตตระ


เขาเห็นจริง เชื่อจริง มาตามลำดับ ว่า ทาน ศีล ให้เกิดสวรรค์,
สวรรค์ มีลักษณะ อย่างนั้นๆ ประกอบไปด้วย อาทีนพ-คือโทษ
ทำให้โง่ ให้หลง ให้วนเวียน ในวัฏฏสงสาร อย่างนั้นๆ
จึงมีจิตใจ พร้อมที่จะรู้เรื่อง อริยสัจจ์ หรือ เรื่องของ โลกุตตระ.


อุบายวิธี ทางธรรม เช่นนี้ เราจะเรียกว่า
พระพุทธเจ้า ท่านฉลาดในการสวมรอย หรือ อะไรก็ตามเถิด
แต่ว่า ความจำเป็น มันบังคับให้ทำได้เพียงเท่านั้น
จะไปพิสูจน์ เรื่องนรก สวรรค์ กันมากกว่านั้น ก็ไม่มีเวลา
ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น ทั้งไม่ได้ประโยชน์อะไร;


เพราะเรื่องที่สำคัญนั้น ต้องการจะสอน ให้เห็น ความทุกข์ เดี๋ยวนี้
ให้เห็น เหตุให้เกิดทุกข์ เดี๋ยวนี้ กล่าวคือ เรื่องอริยสัจจ์สี่ นั่นเอง


เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า จึงทรงมีอุบาย ลัดๆ สั้นๆ
ชำระของเกรอะกรัง ในจิตใจของประชาชน เรื่องนรก สวรรค์
เสียพอสมควรก่อน ได้แก่ ทรงแสดงเรื่อง ทาน เรื่องศีล
แล้วเรื่องสวรรค์ แล้วย้ำเรื่อง โทษของสวรรค์ แล้วจึงถึง
เรื่องการออกไปเสีย จากสวรรค์ ที่เรียกว่า เนกขัมมะ
การออกไปเสียจาก กามคุณ ว่าจะมีผลดีอย่างนั้นๆ


พอมาถึงขั้นนี้แล้ว คนนั้นที่เรียกได้ว่า มีหัวใจเคยเกรอะกรัง
ไปด้วย ตะกอนต่างๆ มาแต่กาลก่อนๆ ถูกชำระล้างหมดสิ้นดีแล้ว
ก็พร้อมที่จะรู้ อริยสัจจ์สี่ คือ ทุกข์ มูลเหตุให้เกิดทุกข์ สภาพที่
ไม่มีความทุกข์ เลย และวิธีปฏิบัติ ที่จะให้ลุถึงสภาพชนิดนั้น
พระพุทธเจ้า ท่านก็สอนเรื่องของท่านโดยตรงเอาตอนนี้เอง.

ส่วนตอนเรื่อง นรกสวรรค์อะไรนั้น
เป็นตอนที่ไม่ใช่ใจความของพุทธศาสนา

เขาเชื่อกัน อยู่อย่างนั้นแล้ว เขาทำกัน อยู่อย่างนั้นแล้ว
ก่อนพระองค์เกิด

ถ้าไปตู่เรื่องนี้ มาว่าเป็นพุทธศาสนา ก็เรียกว่า ไม่ยุติธรรม

พระพุทธเจ้า ท่านไม่ขี้ตู่ อย่างนั้น เรื่องของท่าน จึงมีแต่เรื่อง โลกุตตระ คือ อริยสัจจ์ เป็นพื้น.

เพราะฉะนั้น จึงเห็นได้ว่า เรื่องสวรรค์หรือนรก นี้
ไม่ใช่ประเด็นของพุทธศาสนา
แต่มันพลัดมาอยู่ใน คำของ พระพุทธเจ้าได้
เพราะความจำเป็นอย่างนี้;

ฉะนั้น เราไปสนใจกับ ตัวพุทธศาสนา โดยตรงเสีย
ปัญหาเรื่องนรกสวรรค์ ก็จะหมดสิ้นไปในตัวเอง
หมดความจำเป็นไปในตัวเอง

เพราะ ถ้าขืนเชื่อ งมงายไปตามผู้อื่นว่า
มีจริง เป็นจริง อย่างนั้น ก็เป็นการถูกหลอก;

หรือ แม้แต่ เขาจะบังคับกระแสจิตให้เห็นได้ทางปาฏิหาริย์
ก็ยังเป็นการ ถูกหลอกอย่างลึกซึ้งอยู่นั่นเอง.

พุทธบริษัท ไม่ทำอย่างนี้
จึงพิสูจน์เรื่อง ความทุกข์ และ เรื่องความดับทุกข์ โดยตรง
เป็นเรื่องของ พุทธศาสนาแท้.

ตุลา-๑ ๑๖/๕๙๐-๕๙๓


นี้เป็นความเห็นของท่านพระพุทธทาส....

ซึ่งเมื่อท้ายที่สุดมาลงที่อริยสัจ 4 มรรคมีองค์ 8 ได้..ก็ไม่น่าจะเรียกว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ..นะครับ

ส่วนจะถูกทั้งหมดมั้ย....มีด่างพร่อยไปมั้ย....เด้วเรา ๆ ท่าน ๆ ที่เข้าถึงความจริงแล้ว..ก็จะรู้ได้เอง..แหละคับ

ซึ่งตอนนั้น..คงรู้แต่ไม่โทษใคร..รึโทษอะไร...แล้วค่อยไปถามท่านเองเลยว่า..ทำไมถึงพูดอย่างนั้น

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2015, 07:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
คือมีเหตุให้คุนน้องมาตั้งกระทู้ถาม เพราะคุนน้อง
ไปเจอศึกหนัก มีปมาทะ กับสาวกลูกศิษย์ของท่าน พุทธทาส.แล้วกลุ่มนี่เขาต่อต้านเรื่องงมงายต่างๆ
คุนน้องเลยไปให้ความรู้เรื่อง มิจฉาทิฏฐิ กับ สัมมาทิฏฐิ..แล้วพวกเขากล่าว่า เรื่อง นรก สวรรค์ ภพภูมิต่างๆ สาวกรุ่นหลังของพระพุทธเจ้าแต่งเติมขึ้น
เพื่อสร้างความศรัทรา แม้จริงแล้วพุทธเจ้าเป็นคนธรรมดา แบบเราๆ ที่มีปัญญาหาทางหลุดพ้นทุกข์ ไม่ได้มี นรก สวรรค์ เทวดา อะไรทั้งนั้น คุนน้องเกิดความสงสัยมาก คุนน้องเข้าใจไรผิดไป แล้วทำไมลูกศิษย์ ท่านพุทธทาสถึงปฏิเสธเรื่องเหล่านี้ บอกว่างมงาย ท่านพุทธทาส ปฏิเสธเรื่อง นรก สวรรค์ หรอค่ะ? แล้วสาวกเหล่านั้นบอกว่า พระไตรปิฎก คำสอนต่างๆ ถูกต่อเติมภายหลัง คุนน้องเลยอยากเรียนถามว่า แท้จริงแล้ว พระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้จริงไหมค่ะ เป็นคำพูดของพระองค์เอง มีในพระสูตรไหนบ้างมั้ยค่ะ?
คุนน้องไปค้นหาข้อมูลมา
http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 50994.html


การปฎิเสธภพชาติ ขัดกับหลักปฎิจจสมุปบาท เป็นมิจฉาทิฎฐิ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2015, 07:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตเข้าแทรกความเห็นในกระทู้นี้ด้วยนะครับ
คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ว่าจะเป็นบทไหน หรือสูตรไหน ก็เป็นไปเพื่อทำลายกิเลสทั้งสิ้น
ฉะนั้นหนทางเข้าโจมตีข้าศึกคือกิเลสจึงมีหลายทาง เปรียบนักรบย่อมมี พลช้าง พลม้า
พลรถ พลเรือ พลเดินเท้า พลทั้งหลายเหล่านี้ย่อมมีจุดมุ่งหมายอันเดียวกันคือก็เพื่อทำลายข้าศึก
ผลของการรบย่อมถึงที่หมายเท่ากันคือชัยชนะ

การทำลายข้าศึกเมื่อเรามีม้าก็ต้องใช้ม้า มีช้างก็ต้องใช้ช้าง มีเรือก็ต้องใช้เรือ
ถ้าเราจะเอามาเปรียบพลไหนดีกว่ากันคงไม่ได้ เพราะนักรบบางถนัดพลม้า บางคนถนัดพลช้าง
บางคนถนัดพลรถเป็นต้น รอเลือกพลที่ไม่ถนัด หรือในสิ่งที่ยังไม่มีก็คงไม่ต้องออกรบกัน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2015, 10:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


s002


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 37 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร