ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
เรื่องของจิต! http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=51962 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 21 ก.พ. 2016, 18:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | เรื่องของจิต! |
มีตำราบางตำราไปยกเอาจิตมาเป็นตัวตนแล้วก็บอกว่า จิตเป็นดวงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังบอกอีกว่า จิตมี๑๒๑ดวง แบบนี้ผมว่าถ้าจะมโนเลอะเทอะไปกันใหญ่ นี่แสดงให่เห็นว่า ผู้ยกเอาคำว่าจิตขึ้นมากล่าว ไม่ได้มีความเข้าใจในความเป็นพระอภิธรรมเลย ถ้าเราจะศึกษาเรื่องของจิต เราต้องเอาพระอภิธรรมปิฎกเป็นหลัก ถ้าตำราเล่มใดกล่าวขัดแย้ง กับพระอภิธรรมปิฎกให้ถือว่า ตำรานั้นกล่าวิดเพี้ยนจากธรรม(อภิธรรม) ในอภิธรรมปิฎกกล่าวบัญญัติเรื่องจิตไว้ดังนี้....... ......................พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๔ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๑ ..............................ธรรมสังคณีปกรณ์ [๗๖๗] ธรรมเป็นจิต เป็นไฉน? จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นจิต. พิจารณาจากพระอภิธรรมปิฎกแล้วจะเห็นได้ว่า อะไรคือจิตและจิตมีองค์ธรรมจำนวนเท่าไร หาใช่๑๒๑ตามตำราบางเล่มไม่ |
เจ้าของ: | student [ 22 ก.พ. 2016, 01:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องของจิต! |
คงจะรวมเอาจิตเจตสิกเข้ามานับด้วยหรือปล่าวครับ แต่แนวทางในการเรียนการตั้งอยู่ของจิต อย่างคุณโฮฮับอธิบาย ก็ชัดเจนและง่ายต่อการศึกษาด้วยครับผมว่า |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 22 ก.พ. 2016, 03:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องของจิต! |
student เขียน: คงจะรวมเอาจิตเจตสิกเข้ามานับด้วยหรือปล่าวครับ แต่แนวทางในการเรียนการตั้งอยู่ของจิต อย่างคุณโฮฮับอธิบาย ก็ชัดเจนและง่ายต่อการศึกษาด้วยครับผมว่า จะนับวนไปมาสองสามรอบ อย่างไรก็ไม่ถึง๑๒๑หรอกครับ และในความเป็นจริงนั้น ความเป็นเจตสิกที่บัญญัติไว้ในพระอภิธรรมปิฎกมีดังนี้.... [๗๖๘] ธรรมเป็นเจตสิก เป็นไฉน? เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นเจตสิก. ธรรมไม่เป็นเจตสิก เป็นไฉน? จิต รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่เป็นเจตสิก. ธรรมหรือสภาวธรรมที่เป็นเจตสิกมีแค่ เวทนาขันธ์ ๑ สัญญาขันธ์๑ สังขารขันธ์๑ การที่จะบอกว่าเอาจิตเจตสิกไปนับรวมกัน....ทำไม่ได้ครับ เพราะในอรรถของพระอภิธรรมท่านบอกว่า จิตไม่ใช่เจตสิก |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 22 ก.พ. 2016, 04:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องของจิต! |
คนที่ศึกษาพระธรรมจากตำราโดยเข้าใจไปเองว่า สามารถเรียนรู้กันได้หรือจะเกิดปัญญาได้เพราะตำรา เช่นนี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก การจะเข้าใจธรรมะได้นั้นตนจะต้องมีปัญญาเสียก่อน ปัญญาที่ว่าก็ไม่ได้แปลกประหลาดเกินความสามารถของเรา แต่ทิฐิมานะทำให้เกิดความหยิ่งยโส ไม่ยอมรับความเห็นของคนที่เขาเข้ามาชี้แนะ นี่ไม่เป็นไร เพียงแต่ไอ้เรื่องย้อนไปดูถูกดูแคลนพูดจาประชดประชดเขานี่ซิ แบบนี้ไม่มีทางเข้าใจธรรมะที่แท้จริงหรอกครับ ปัญญาเบื้องตนที่ผมอยากจะนำมากล่าวเพื่อให้เรารู้...สภาพที่แท้จริงของธรรมที่เรากำลังกล่าวถึง ในสภาพความเป็นจริงของธรรมนั้น มันเป็นไตรลักษณ์ สภาพธรรมหรือสภาวธรรมในกายใจของบุคคล.....มันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปในทันทีทันใด มันไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ฉะนั้นการมาบอกว่า จิตมี๑๒๑ดวงนั้นมันเป็นเรื่องของความยึดมั่นถือมั่น จนเกิดการปรุงแต่งจิต ซึ่งการจะกล่าวถึงจิตจะต้องกล่าวแต่ในความเป็นขันธ์ห้าเท่านั้น และเจตสิกก็เช่นกัน ล้วนอยู่ในกระบวนการขันธ์ห้า ผมไม่ได้ว่าครูบาอาจารย์ู้แต่งตำราหรอกนะครับ เพียงแต่ผมเห็นว่าผู้ศึกษาตำรา ขาดความเข้าใจในสิ่งที่ผู้แต่งตำราต้องการจะสื่อ ก็ด้วยเหตุนี้การเอาเนื้อหาของตำรา มากล่าวต่อจึงเกิดการเข้าใจผิดต่อครูบาอาจารย์ผู้แต่งตำรา |
เจ้าของ: | asoka [ 22 ก.พ. 2016, 05:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องของจิต! |
![]() ผมว่าคุณโฮฮับไปยกธรรมในคัมภีร์มาเฉพาะส่วนที่คุณโฮฮับรู้และเข้าใจเท่านั้น เรื่องอภิธรรมที่เขาแยกจิต เจตสิกเป็นดวงๆนั้นเป็นรายละเอียดที่ลึกซึ้งลงไปอีกยากที่คุณโฮหรือผู้คนธรรมดาทั่วไปจะเข้าใจ ต้องนักเรียนอภิธรรมทั้งหลายที่จะสามารถเข้าใจได้ โดยหลักทฤษฎี และพระอริยเจ้าผู้ประกอบด้วยปฏิสัมภิทาญาณจึงจะเข้าใจได้ด้วยการพบเห็นอภิธรรมจริงๆ พระอภิธรรมปิฎกนี้มีมากที่สุดคือ 42,000 พระธรรมขันธ์เชียวนะครับ อย่าเอาแค่มุมใดมุมหนึ่งมาตีความแล้วตีขลุมเอาให้คนเห็นตามที่เราเห็นนะครับ มันจะผิดธรรม เรื่องนี้คงต้องเชิญลุงหมานผู้เชี่ยวชาญด้านอภิธรรมมาแสดงความเห็นและร่วมสนทนาชี้แจงให้คุณโฮอับคลายความเห็นผิดยึดผิดในเรื่องพระอภิธรรมนี้นะครับ ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 22 ก.พ. 2016, 05:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องของจิต! |
อ้างคำพูด: อุเปกฺขาสหคตํ จกฺขุวิญฺญาณํ จิตที่อาศัยจักขุวัตถุ เห็นรูปารมณ์ที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ อุเปกขาสหคตํ โสตวิญฺญาณํ จิตที่อาศัยโสตวัตถุ ได้ยินเสียงที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ ............ฯลฯ ข้อความข้างบนผมอ้างอิงเอามาเป็นตัวอย่างครับว่านักศึกษาท่านนี้ ขาดความเข้าใจในธรรมที่ตน กำลังศึกษาตรงไหนอย่างไร บาลีท่านว่า............"อุเปกฺขาสหคตํ จกฺขุวิญฺญาณํ" แต่นักศึกษาท่านนี้กลับเอาไปแปลเป็นอีกอย่าง ซึ่งมันผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากเนื้อหาของบาลี ในความหมายของบาลีไม่ได้แปลว่า..."จิตที่อาศัยจักขุวัตถุ เห็นรูปารมณ์ที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ" ความหมายที่แท้จริงของบาลีที่ว่า....อุเปกฺขาสหคตํ จกฺขุวิญฺญาณํ ถ้าจะแปลชนิดตรงตัวยังไม่อธิบายความนั้นก็คือ.....อุเบกขาอันเกิดร่วมกับจักขุวิญญาน อธิบายความ คำพูดนี้เป็นคำที่ครูบาอาจารย์ใช้สื่อเพื่อให้รู้ว่า การนำเอาองค์มรรคในโพชฌงค์มาเจริญ นั้นก็คือ...อุเบกขา มาเจริญเมื่อเกิดการกระทบขึ้นที่ตาหรือจักขุ เพื่อให้ปล่อยวางในสิ่งที่ที่ตาไปรู้เห็น พูดใหตรงธรรมก็คือปล่อยวาง ความเป็นจักขุวิญญานเพื่อไม่ได้เกิดวิญญานขันธ์ในขันธ์ห้า |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 22 ก.พ. 2016, 05:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องของจิต! |
asoka เขียน: s004 ผมว่าคุณโฮฮับไปยกธรรมในคัมภีร์มาเฉพาะส่วนที่คุณโฮฮับรู้และเข้าใจเท่านั้น เรื่องอภิธรรมที่เขาแยกจิต เจตสิกเป็นดวงๆนั้นเป็นรายละเอียดที่ลึกซึ้งลงไปอีกยากที่คุณโฮหรือผู้คนธรรมดาทั่วไปจะเข้าใจ ต้องนักเรียนอภิธรรมทั้งหลายที่จะสามารถเข้าใจได้ โดยหลักทฤษฎี และพระอริยเจ้าผู้ประกอบด้วยปฏิสัมภิทาญาณจึงจะเข้าใจได้ด้วยการพบเห็นอภิธรรมจริงๆ พระอภิธรรมปิฎกนี้มีมากที่สุดคือ 42,000 พระธรรมขันธ์เชียวนะครับ อย่าเอาแค่มุมใดมุมหนึ่งมาตีความแล้วตีขลุมเอาให้คนเห็นตามที่เราเห็นนะครับ มันจะผิดธรรม เรื่องนี้คงต้องเชิญลุงหมานผู้เชี่ยวชาญด้านอภิธรรมมาแสดงความเห็นและร่วมสนทนาชี้แจงให้คุณโฮอับคลายความเห็นผิดยึดผิดในเรื่องพระอภิธรรมนี้นะครับ ![]() ผมยินดีจะคุยกับลุงหมานครับ แต่มีเงื้อนไข ห้ามใช้อำนาจบาตรใหญ่หรือเอาความเป็นอาวุโส มาข่มขู่มด้วยคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องกับสาระธรรมที่กำลังคุย ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 22 ก.พ. 2016, 07:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องของจิต! |
อ้างคำพูด: อุเปกขาสหคตํ โสตวิญฺญาณํ จิตที่อาศัยโสตวัตถุ ได้ยินเสียงที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ ริจะอ้างบาลีต้องรู้และเข้าใจความหมายของบาลี....เช่นนั้นการแปลบาลีเป็นไทยจึงจะสอดคล้องกัน การเข้าใจธรรมะย่อมจะต้องไม่ผิดเพี้ยน ตรงข้ามแม้บาลียังไม่เข้าใจ แปลบาลีด้วยความสับสน ธรรมะที่ได้ย่อมิดเพี้ยนลงเหว อย่างเช่น บาลีประโยคนี้ ผู้อ้างอิงแปลด้วยความิดเพี้ยน ถ้าจะแปลให้ตรงความหมายของบาลีก็คือ อุเปกขาสหคตํ โสตวิญฺญาณํ อุเปกขา(อุเปกฺขา) แปลเป็นไทยได้ว่า...........ความวางเฉยหรือวางใจเป็นกลาง สหคตํ(สหคต) แปลเป็นไทยได้ว่า........เกิดพร้อมกันหรือประกอบกันอยู่ โสต(โสตายตน) แปลเป็นไทยได้ว่า.......อายตนะคือหู วิญฺญาณํ(วิญญาน)แปลเป็นไทยว่า.........ความรู้แจ้งหรือรู้สึกตัว แปลทั้งประโยคได้ง่ายๆว่า ...."การทำใจเป็นกลางต่อเสียงที่ได้ยินหรือรู้สึกต่อเสียงนั้น" แล้วจะเข้ามาบอกว่า ผู้แปลไม่รู้ไม่มีความเข้าใจพระอภิธรรมตรงไหนอย่างไร ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงบาลี ...แต่เป็นผู้ที่แปลบาลี |
เจ้าของ: | student [ 23 ก.พ. 2016, 02:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องของจิต! |
โฮฮับ เขียน: อ้างคำพูด: อุเปกฺขาสหคตํ จกฺขุวิญฺญาณํ จิตที่อาศัยจักขุวัตถุ เห็นรูปารมณ์ที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ อุเปกขาสหคตํ โสตวิญฺญาณํ จิตที่อาศัยโสตวัตถุ ได้ยินเสียงที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ ............ฯลฯ ข้อความข้างบนผมอ้างอิงเอามาเป็นตัวอย่างครับว่านักศึกษาท่านนี้ ขาดความเข้าใจในธรรมที่ตน กำลังศึกษาตรงไหนอย่างไร บาลีท่านว่า............"อุเปกฺขาสหคตํ จกฺขุวิญฺญาณํ" แต่นักศึกษาท่านนี้กลับเอาไปแปลเป็นอีกอย่าง ซึ่งมันผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากเนื้อหาของบาลี ในความหมายของบาลีไม่ได้แปลว่า..."จิตที่อาศัยจักขุวัตถุ เห็นรูปารมณ์ที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ" ความหมายที่แท้จริงของบาลีที่ว่า....อุเปกฺขาสหคตํ จกฺขุวิญฺญาณํ ถ้าจะแปลชนิดตรงตัวยังไม่อธิบายความนั้นก็คือ.....อุเบกขาอันเกิดร่วมกับจักขุวิญญาน อธิบายความ คำพูดนี้เป็นคำที่ครูบาอาจารย์ใช้สื่อเพื่อให้รู้ว่า การนำเอาองค์มรรคในโพชฌงค์มาเจริญ นั้นก็คือ...อุเบกขา มาเจริญเมื่อเกิดการกระทบขึ้นที่ตาหรือจักขุ เพื่อให้ปล่อยวางในสิ่งที่ที่ตาไปรู้เห็น พูดใหตรงธรรมก็คือปล่อยวาง ความเป็นจักขุวิญญานเพื่อไม่ได้เกิดวิญญานขันธ์ในขันธ์ห้า ผมว่า เพื่อไม่ได้เกิดวิญญาณในขันธ์5นั้น ดูแปลกๆไปครับ ผมว่าน่าจะเกี่ยวกับปฎิจจสมุปบาท คือ เพื่อ ดับ เวทนา |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 23 ก.พ. 2016, 04:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องของจิต! |
student เขียน: โฮฮับ เขียน: อ้างคำพูด: อุเปกฺขาสหคตํ จกฺขุวิญฺญาณํ จิตที่อาศัยจักขุวัตถุ เห็นรูปารมณ์ที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ อุเปกขาสหคตํ โสตวิญฺญาณํ จิตที่อาศัยโสตวัตถุ ได้ยินเสียงที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ ............ฯลฯ ข้อความข้างบนผมอ้างอิงเอามาเป็นตัวอย่างครับว่านักศึกษาท่านนี้ ขาดความเข้าใจในธรรมที่ตน กำลังศึกษาตรงไหนอย่างไร บาลีท่านว่า............"อุเปกฺขาสหคตํ จกฺขุวิญฺญาณํ" แต่นักศึกษาท่านนี้กลับเอาไปแปลเป็นอีกอย่าง ซึ่งมันผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากเนื้อหาของบาลี ในความหมายของบาลีไม่ได้แปลว่า..."จิตที่อาศัยจักขุวัตถุ เห็นรูปารมณ์ที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ" ความหมายที่แท้จริงของบาลีที่ว่า....อุเปกฺขาสหคตํ จกฺขุวิญฺญาณํ ถ้าจะแปลชนิดตรงตัวยังไม่อธิบายความนั้นก็คือ.....อุเบกขาอันเกิดร่วมกับจักขุวิญญาน อธิบายความ คำพูดนี้เป็นคำที่ครูบาอาจารย์ใช้สื่อเพื่อให้รู้ว่า การนำเอาองค์มรรคในโพชฌงค์มาเจริญ นั้นก็คือ...อุเบกขา มาเจริญเมื่อเกิดการกระทบขึ้นที่ตาหรือจักขุ เพื่อให้ปล่อยวางในสิ่งที่ที่ตาไปรู้เห็น พูดใหตรงธรรมก็คือปล่อยวาง ความเป็นจักขุวิญญานเพื่อไม่ได้เกิดวิญญานขันธ์ในขันธ์ห้า ผมว่า เพื่อไม่ได้เกิดวิญญาณในขันธ์5นั้น ดูแปลกๆไปครับ ผมว่าน่าจะเกี่ยวกับปฎิจจสมุปบาท คือ เพื่อ ดับ เวทนา ไม่แปลกหรอกครับ! เมื่อเกิดการกระทบขึ้นที่จักขุทวาร จะเกิดเป็นจักขุวิญญานขึ้น((วิญญาน) เมื่อเกิดแล้วเรารู้แล้วด้วยอุเบกขา กายใจก็จะปล่อยวางตัวจักขุวิญญานนั้น(วิญญาน) ไม่ยึดมั่นจนเกิดเป็นขันธ์ตามมา ส่วนเรื่องเวทนาในปฏิจจสมุปบาทที่คุณว่า อย่าลืมว่า ปฏิจจฯเป็น.....อัญญมัญญปัจจัย องค์ธรรมในปฏิจจฯทั้งหมดต่างอาศัยซึ่งกันและกันอยู่ (จะขาดตัวหนึ่งตัวใดไม่ได้) วิญญานก็เป็นองค์ธรรมหนึ่งในปฏิจจฯ การดับเวทนานั้นวิญญานย่อมดับไปด้วย หรือดับวิญญาน เวทนาย่อมดับตาม |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 24 ก.พ. 2016, 21:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องของจิต! |
คันปากอีก จิตมีรูปวิเคราะห์ดังนี้ ธรรมชาติใด ย่อมคิดซึ่งอารมณ์ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อว่าจิต จิตก็ดี มโนก็ดี มนะ เป็นต้นก็ดี เป็นไวพจน์ คือ ใช้แทนกันได้ ใช้ศัพท์ไหนก็ได้ บางทีเรียกซ้ำว่า จิตใจ ก็อันเดียวกัน |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 25 ก.พ. 2016, 04:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องของจิต! |
กรัชกาย เขียน: คันปากอีก จิตมีรูปวิเคราะห์ดังนี้ อย่าตลกจะพูดอะไรคิดก่อนหรือเปล่า พูดมาได้ "จิตมีรูปวิเคราะ" จิตมันเป็นนามธรรม และในอภิธัมมัตถฯท่า่นก็แยกแยะจิตกับรูปออกจากกันต่างหาก ดันบอกมาได้ว่า จิตมีรูปวิเคราะ กรัชกาย เขียน: ธรรมชาติใด ย่อมคิดซึ่งอารมณ์ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อว่าจิต จิตก็ดี มโนก็ดี มนะ เป็นต้นก็ดี เป็นไวพจน์ คือ ใช้แทนกันได้ ใช้ศัพท์ไหนก็ได้ บางทีเรียกซ้ำว่า จิตใจ ก็อันเดียวกัน ธรรมชาติใด ย่อมคิดซึ่งอารมณ์ .......... [๗๖๖] ธรรมมีอารมณ์ เป็นไฉน? เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมี อารมณ์. ธรรมไม่มีอารมณ์ เป็นไฉน? รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่มีอารมณ์. [๗๖๗] ธรรมเป็นจิต เป็นไฉน? จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นจิต. ธรรมไม่เป็นจิต เป็นไฉน? เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ สภาวธรรม เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่เป็นจิต. กรัชกาย เขียน: จิตก็ดี มโนก็ดี มนะ เป็นต้นก็ดี เป็นไวพจน์ คือ ใช้แทนกันได้ ใช้ศัพท์ไหนก็ได้ บางทีเรียกซ้ำว่า จิตใจ ก็อันเดียวกัน ใช้แทนกันไม่ได้ เพราะในพระอภิธรรมปิฎกแยกแยะธรรมไว้เป็นลักษณะเฉพาะด้วยเหตุปัจจัย จิตก็คือ....จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุ มโนก็คือ.....มโนทวาร มนะก็คือ.....มโนทวารที่เกิดความคิดปรุงแต่งแล้ว |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 25 ก.พ. 2016, 08:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องของจิต! |
โฮฮับ เขียน: กรัชกาย เขียน: คันปากอีก จิตมีรูปวิเคราะห์ดังนี้ อย่าตลกจะพูดอะไรคิดก่อนหรือเปล่า พูดมาได้ "จิตมีรูปวิเคราะ" จิตมันเป็นนามธรรม และในอภิธัมมัตถฯท่า่นก็แยกแยะจิตกับรูปออกจากกันต่างหาก ดันบอกมาได้ว่า จิตมีรูปวิเคราะ กรัชกาย เขียน: ธรรมชาติใด ย่อมคิดซึ่งอารมณ์ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อว่าจิต จิตก็ดี มโนก็ดี มนะ เป็นต้นก็ดี เป็นไวพจน์ คือ ใช้แทนกันได้ ใช้ศัพท์ไหนก็ได้ บางทีเรียกซ้ำว่า จิตใจ ก็อันเดียวกัน ธรรมชาติใด ย่อมคิดซึ่งอารมณ์ .......... [๗๖๖] ธรรมมีอารมณ์ เป็นไฉน? เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมี อารมณ์. ธรรมไม่มีอารมณ์ เป็นไฉน? รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่มีอารมณ์. [๗๖๗] ธรรมเป็นจิต เป็นไฉน? จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นจิต. ธรรมไม่เป็นจิต เป็นไฉน? เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ สภาวธรรม เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่เป็นจิต. กรัชกาย เขียน: จิตก็ดี มโนก็ดี มนะ เป็นต้นก็ดี เป็นไวพจน์ คือ ใช้แทนกันได้ ใช้ศัพท์ไหนก็ได้ บางทีเรียกซ้ำว่า จิตใจ ก็อันเดียวกัน ใช้แทนกันไม่ได้ เพราะในพระอภิธรรมปิฎกแยกแยะธรรมไว้เป็นลักษณะเฉพาะด้วยเหตุปัจจัย จิตก็คือ....จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุ มโนก็คือ.....มโนทวาร มนะก็คือ.....มโนทวารที่เกิดความคิดปรุงแต่งแล้ว จิต ใจ มโน มานัส มนะ วิญญาณ เป็นไวพจน์กัน ตา+รูป+จักขุวิญญาณ หู + เสียง +โสตวิญญาณ จมูก+กลิ่น+ฆานวิญญาณ ลิ้น+รส+ชิวหาวิญญาณ กาย+สัมผัส+กายวิญญาณ ใจ+ธัมมารมณ์+มโนวิญญาณ ธรรมะ ธรรมชาติ ก็ทิ่มหูทิ่มตา ลั๊นล้าๆแอ่นแอ๊นอยู่ทุกวัน เวลา นาที วินาที เสี้ยววินาที ทุกๆขณะที่เห็นได้ยินเป็นต้น |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 25 ก.พ. 2016, 09:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องของจิต! |
กรัชกาย เขียน: จิต ใจ มโน มานัส มนะ วิญญาณ เป็นไวพจน์กัน ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 25 ก.พ. 2016, 11:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องของจิต! |
ล่องเรือหารัก จอดไม่ต้องแจว คิกๆๆ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |