ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
แก้กรรมทำแท้ง....ทำได้มั๊ย! http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=52925 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | tongka [ 25 ก.ค. 2016, 17:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | แก้กรรมทำแท้ง....ทำได้มั๊ย! |
หลายที่มีการหารายได้จากคนทำแท้งโดยมีชาวบ้านหัวใสร่วมใจกับพระบ้างฤาษีบ้างทำพิธีแก้กรรมทำแท้งได้เงินเป็นล้าน แล้วความจริงน่ะมันแก้ได้มั๊ย! |
เจ้าของ: | tongka [ 25 ก.ค. 2016, 17:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แก้กรรมทำแท้ง....ทำได้มั๊ย! |
ครั้งหนึ่งเคยเจอผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกชายสองคนคนเล็กขาหักเข้าเผือกอยู่ เราถามเค้าว่า..ลูกเป็นอะไร ไปทำอะไรมา ทำไมขาหัก เค้าจึงเล่าเรื่องลูกชายขาหักให้ฟังว่า.... วันเกิดเหตุนั้นเค้าทำงานบ้านอยู่ชั้นล่างของบ้านลูกสองคนก็เล่นกันอยูชั้นบนของบ้านอย่างสนุกสนาน อยู่ๆก็เห็นลูกคนเล็กตกลงมาจากบ้านชั้นบน ก็รีบวิ่งเข้าไปดูลูกที่ร้องให้อย่างเจ็บปวดทรมานปลอบใจเขาพร้อมกับน้ำตาพร้อมกับด่าลูกที่กระโดดลงมาจากชั้นบน(ตอนแรกเข้าใจว่าลูกกระโดดลงมา) ลูกก็ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้กระโดดลงมาพร้อมกับฟ้องว่าที่เค้าตกลงมาเพราะพี่เค้าถีบตกลงมา ทันทีแม่ก็คว้าไม้เรียวไปตีลูกคนพี่พร้อมกับด่าว่าที่ทำร้ายน้องชายตัวเอง ลูกคนพี่ก็ร้องให้พร้อมทั้งปฏิเสธว่าตนไม่ได้ทำไปตีเค้าทำไมแม่ไม่ยุติธรรม พอย้อนถามลูกคนเล็กเพื่อให้ยืนยันความจริง ลูกชายคนเล็กที่ยังคงร้องให้ก็บอกว่าพี่เค้าไม่ได้ถีบหนูแม่ไปตีพี่เค้าทำไม พี่คนโน้นเค้าถีบ....... ขณะที่งงไก่ตาแตกอยู่นั้นพ่อบ้านเข้ามาทันอุ้มลูกคนเล็กขึ้นมาดูจึงรู้ว่าลูกขาหักจึงรีบนำส่งโรงพยาบาล หลังจากนั้นจึงสอบถามลูกๆ ก็ได้รู้ความจริงว่าลูกเค้าเล่นกันอยูสามคนไม่ใช่สองคน ทำให้ตนได้หวลระลึกถึงลูกคนหนึ่งที่ตนไปทำแท้งเมื่อสมัยก่อน ก่อนที่จะมีลูกสองคนนี้ เพราะเมื่อก่อนยังยากจน กลัวว่าจะเป็นภาระไม่สามารถเลี้ยงดูเค้าได้ ลูกคนเล็กบอกว่า คนที่ถีบน้องเป็นพี่อีกคนหนึ่ง เค้าบอกว่าเค้าเป็นพี่ของเราทั้งสองคน แม่มีลูกสามคนเค้าอิจฉาที่พ่อแม่คอยแต่เอาใจเราสองตน แต่ไม่เคยเอาใจใส่เค้าเลยฯ อันนี้เป็นเรื่องเล่าจากผู้หนึ่งคนหนึ่งอยูที่อำเภอชุมพวง นครราชสีมา |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 27 ก.ค. 2016, 04:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แก้กรรมทำแท้ง....ทำได้มั๊ย! |
โลก...มีอะไรมากมาย..ซับซ้อน แต่หากเข้าใจ..จิตอวิชชา..แล้ว ก็ไม่มีอะไรให้แปลกประหลาด..เลย 3 ภพ 31 ภูมิ...ก็อวิชชา..ตัวเดียว... อวิชชาตัวเดียว...เป็นทุกข์ได้ทุกเรื่อง... พบเห็นเรื่องอะไร....ก็ให้เห็นทุกข์ในเรื่องนั้น เห็นทุกข์ในเรื่องไหน..ก็ให้เห็นอวิชชาในจิตนั้น.. เห็นอวิชชาในจิตใคร..ก็ให้เห็นอวิชชาในใจเราด้วย... เขา..และ..เรา..ทุกดวงใจ...เสมอกัน...ด้วยจิตอวิชชา พรหมวิหาร...ก็เกิดเอง.. อารมณ์จะไปโกรธอะไร..ไปโทษอะไร...มันไม่มีไปเอง... ความเบื่อหน่าย..ในวัฏฏสงสาร..ก็เกิดเอง หน่ายที่จะเกิด..ก็เกิดเอง... |
เจ้าของ: | student [ 27 ก.ค. 2016, 04:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แก้กรรมทำแท้ง....ทำได้มั๊ย! |
เจ้าของ: | tongka [ 27 ก.ค. 2016, 07:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แก้กรรมทำแท้ง....ทำได้มั๊ย! |
ในเปตวัตถุ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับวิบากกรรมของการทำแท้งลูกของเมียน้อยเมียหลวงแล้วต้องไปเสวยวิบากกรรมเป็นเปรตกินลูกตนเองอยู่สองสามเรื่อง |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 27 ก.ค. 2016, 08:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แก้กรรมทำแท้ง....ทำได้มั๊ย! |
ดูหนังเรื่องพิภพมัจจุราชแล้วเก็บเอาคิด ฆ่ามดที่มาทำรังบนที่นอน ก็กลัววิญญานมดมาล้างแค้น ให้ลูกกินยาถ่ายพยาธิก็กลัว วิญญานพยาธิมาล้างแค้น รับรองชีวิตของคนพวกนี้ไปจบที่โรงพยาบาลบ้าแน่นอน |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 27 ก.ค. 2016, 08:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แก้กรรมทำแท้ง....ทำได้มั๊ย! |
ถ้าเราคิดว่าสิ่งใดไม่ดี ก็ไม่ควรทำแต่ต้น ไม่ใช่ทำไปแล้วก็มาย้ำคิดย้ำทำ อะไรที่ทำไปแล้ว เรื่องก็แล้วไปแล้วหยุดคิดแล้วมาเริ่มต้นใหม่ องคุลีมาลฆ่าคนมาเป็นร้อย ท่านยังเริ่มต้นใหม่ได้เล้ย มีแต่พวกมารเท่านั้นแหล่ะที่เอาเรื่องนรกสวรรค์วิบากกรรมมาคอยเป่าหู ให้ชาวพุทธจมอยู่กับความวุ่นวายใจ แบบนี้มันปิดหนทางบรรลุมรรคผลหมด |
เจ้าของ: | tongka [ 27 ก.ค. 2016, 23:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แก้กรรมทำแท้ง....ทำได้มั๊ย! |
โฮฮับ เขียน: ถ้าเราคิดว่าสิ่งใดไม่ดี ก็ไม่ควรทำแต่ต้น ไม่ใช่ทำไปแล้วก็มาย้ำคิดย้ำทำ อะไรที่ทำไปแล้ว เรื่องก็แล้วไปแล้วหยุดคิดแล้วมาเริ่มต้นใหม่ องคุลีมาลฆ่าคนมาเป็นร้อย ท่านยังเริ่มต้นใหม่ได้เล้ย มีแต่พวกมารเท่านั้นแหล่ะที่เอาเรื่องนรกสวรรค์วิบากกรรมมาคอยเป่าหู ให้ชาวพุทธจมอยู่กับความวุ่นวายใจ แบบนี้มันปิดหนทางบรรลุมรรคผลหมด ไม่มีชาวพุทธที่ไหนเขาจมอยู่กับความวุ่นวายใจหรอก เพราะเค้าเป็นชาวพุทธ รู้วิบากกรรมแล้วทำให้อายชั่วกลัวบาป พึงทราบด้วยและก็ช่วยให้เข้าถึงมรรคผลได้ง่าย เอางี้ ในญาณสามอะไรขึ้นก่อน โฮฮับคนเก่ง |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 28 ก.ค. 2016, 06:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แก้กรรมทำแท้ง....ทำได้มั๊ย! |
tongka เขียน: โฮฮับ เขียน: ถ้าเราคิดว่าสิ่งใดไม่ดี ก็ไม่ควรทำแต่ต้น ไม่ใช่ทำไปแล้วก็มาย้ำคิดย้ำทำ อะไรที่ทำไปแล้ว เรื่องก็แล้วไปแล้วหยุดคิดแล้วมาเริ่มต้นใหม่ องคุลีมาลฆ่าคนมาเป็นร้อย ท่านยังเริ่มต้นใหม่ได้เล้ย มีแต่พวกมารเท่านั้นแหล่ะที่เอาเรื่องนรกสวรรค์วิบากกรรมมาคอยเป่าหู ให้ชาวพุทธจมอยู่กับความวุ่นวายใจ แบบนี้มันปิดหนทางบรรลุมรรคผลหมด ไม่มีชาวพุทธที่ไหนเขาจมอยู่กับความวุ่นวายใจหรอก เพราะเค้าเป็นชาวพุทธ รู้วิบากกรรมแล้วทำให้อายชั่วกลัวบาป พึงทราบด้วยและก็ช่วยให้เข้าถึงมรรคผลได้ง่าย ไอ้ที่คุณพูดมาทั้งหมดมันไม่ใช่เรื่องของชาวพุทธ......แต่มันเป็นลัทธิผี ตงก้า ที่บอกว่า "ให้ละอายชั่วกลัวบาป" ถามจริงไม่แถไปหน่อยหรือ หัวกระทู้ก็บอกอยู่โทงๆว่า..."แก้กรรมทำแท้ง....ทำได้มั๊ย!" เห็นๆอยู่ว่ามันทำไปแล้ว ก่อนที่จะทำมันกลัวบาปหรือเปล่า มันไม่กลัวถึงได้ทำ tongka เขียน: เอางี้ ในญาณสามอะไรขึ้นก่อน โฮฮับคนเก่ง ก่อนถามคนอื่นน่ะ ตัวเองรู้หรือเปล่าว่า ญาน๓คืออะไร ไหนบอกมาซิญาน๓ของคุณชื่ออะไร จะได้อธิบายถูกไม่เสียเวลา ปล. จะบอกให้ว่า อย่าเอาพระธรรมของพุทธองค์ไปมั่วกับลัทธิผีบ้า พระธรรมไม่ใช่คัมภีร์อภินิหารย์หรือนิยายเทวดานรกสวรรค์ |
เจ้าของ: | tongka [ 28 ก.ค. 2016, 08:52 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แก้กรรมทำแท้ง....ทำได้มั๊ย! |
เออเรื่องหนึ่งที่น่าใส่ใจน่ะ คือตอนที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้น ในปฐมยาม ทรงบรรลุถึง บุพเพวาสานุสสติญาณก่อน จึงทรงทราบชัดถึงเหตุต้นผลกรรมต่างๆของตนตลอดว่าทำกรรมเช่นไร แล้วส่งผลเช่นไร ในยามกลาง ทรงบรรลุ จุตูปปาตญาณ ทรงทราบชัดถึงเหตุแห่งการเกิดการตาย เมื่อทรงทราบชัดถึงทุกข์โทษมารเวรภัยแล้ว จึงเกิดความสลดสังเวช เบื่อหน่ายคลายกำหนัดยินดีพอใจ และแล้ว ในยามสุดท้ายพระองค์ก็ทรงบรรลุถึงอาสวักขยญาณได้ในที่สุด |
เจ้าของ: | tongka [ 28 ก.ค. 2016, 08:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แก้กรรมทำแท้ง....ทำได้มั๊ย! |
โฮฮับ เขียน: tongka เขียน: โฮฮับ เขียน: ถ้าเราคิดว่าสิ่งใดไม่ดี ก็ไม่ควรทำแต่ต้น ไม่ใช่ทำไปแล้วก็มาย้ำคิดย้ำทำ อะไรที่ทำไปแล้ว เรื่องก็แล้วไปแล้วหยุดคิดแล้วมาเริ่มต้นใหม่ องคุลีมาลฆ่าคนมาเป็นร้อย ท่านยังเริ่มต้นใหม่ได้เล้ย มีแต่พวกมารเท่านั้นแหล่ะที่เอาเรื่องนรกสวรรค์วิบากกรรมมาคอยเป่าหู ให้ชาวพุทธจมอยู่กับความวุ่นวายใจ แบบนี้มันปิดหนทางบรรลุมรรคผลหมด ไม่มีชาวพุทธที่ไหนเขาจมอยู่กับความวุ่นวายใจหรอก เพราะเค้าเป็นชาวพุทธ รู้วิบากกรรมแล้วทำให้อายชั่วกลัวบาป พึงทราบด้วยและก็ช่วยให้เข้าถึงมรรคผลได้ง่าย ไอ้ที่คุณพูดมาทั้งหมดมันไม่ใช่เรื่องของชาวพุทธ......แต่มันเป็นลัทธิผี ตงก้า ที่บอกว่า "ให้ละอายชั่วกลัวบาป" ถามจริงไม่แถไปหน่อยหรือ หัวกระทู้ก็บอกอยู่โทงๆว่า..."แก้กรรมทำแท้ง....ทำได้มั๊ย!" เห็นๆอยู่ว่ามันทำไปแล้ว ก่อนที่จะทำมันกลัวบาปหรือเปล่า มันไม่กลัวถึงได้ทำ tongka เขียน: เอางี้ ในญาณสามอะไรขึ้นก่อน โฮฮับคนเก่ง ก่อนถามคนอื่นน่ะ ตัวเองรู้หรือเปล่าว่า ญาน๓คืออะไร ไหนบอกมาซิญาน๓ของคุณชื่ออะไร จะได้อธิบายถูกไม่เสียเวลา ปล. จะบอกให้ว่า อย่าเอาพระธรรมของพุทธองค์ไปมั่วกับลัทธิผีบ้า พระธรรมไม่ใช่คัมภีร์อภินิหารย์หรือนิยายเทวดานรกสวรรค์ คูณโฮก็น่าจะสาธยายไปเลยน่ะว่าทำได้มั๊ย จะได้ตั้งใจอ่านด้วยความเคารพ นี่ นึกไม่ออกละซีท่า อย่างคุณโฮคงรู้ไปทุกอย่างแล้วล่ะ(เว้นแต่...) พอนึกไม่ออกก็ใช้วิธีย้อนถาม พอเค้าตอบให้ ก็จะใด้ทีสับให้เละล่ะซีท่า (ชักเริ่มจะระแวงซะแล้ว55555) |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 28 ก.ค. 2016, 10:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แก้กรรมทำแท้ง....ทำได้มั๊ย! |
tongka เขียน: onion เออเรื่องหนึ่งที่น่าใส่ใจน่ะ คือตอนที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้น ในปฐมยาม ทรงบรรลุถึง บุพเพวาสานุสสติญาณก่อน จึงทรงทราบชัดถึงเหตุต้นผลกรรมต่างๆของตนตลอดว่าทำกรรมเช่นไร แล้วส่งผลเช่นไร ในยามกลาง ทรงบรรลุ จุตูปปาตญาณ ทรงทราบชัดถึงเหตุแห่งการเกิดการตาย เมื่อทรงทราบชัดถึงทุกข์โทษมารเวรภัยแล้ว จึงเกิดความสลดสังเวช เบื่อหน่ายคลายกำหนัดยินดีพอใจ และแล้ว ในยามสุดท้ายพระองค์ก็ทรงบรรลุถึงอาสวักขยญาณได้ในที่สุด อ่านโวหารสอดไส้พระไตรปิฎกแล้วจำมาพูดเป็นนกแก้วนกขุนทองก็เอา... คำว่า ญาณ๓ หมายถึงความรู้แจ้งในสภาพธรรม๓ประการ ธรรมทั้ง๓ประการ คือ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ....ความรู้ถึงเหตุแห่งวัฏฏสงสาร ก็คือปฏิจจสมุปบาทในอดีต จุตูปปาตญาณ ..............ความรู้ถึงการเกิดขึ้นแห่งวัฏฏสงสาร ก็คือปฏิจจสมุปบาทปัจจุบัน อาสวักขยญาณ ..............ความรู้ในการละวัฏฏสงสาร ก็คือการละวางปฏิจจที่จะเกิดในอนาคต ญาน๓เกิดขึ้นพร้อมกันในลักษณะของ ความรู้ในปฏิจจสมุปบาท มันไม่ใช่อย่างที่ตงก้าพร่ามครับ |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 28 ก.ค. 2016, 10:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แก้กรรมทำแท้ง....ทำได้มั๊ย! |
tongka เขียน: โฮฮับ เขียน: tongka เขียน: โฮฮับ เขียน: ถ้าเราคิดว่าสิ่งใดไม่ดี ก็ไม่ควรทำแต่ต้น ไม่ใช่ทำไปแล้วก็มาย้ำคิดย้ำทำ อะไรที่ทำไปแล้ว เรื่องก็แล้วไปแล้วหยุดคิดแล้วมาเริ่มต้นใหม่ องคุลีมาลฆ่าคนมาเป็นร้อย ท่านยังเริ่มต้นใหม่ได้เล้ย มีแต่พวกมารเท่านั้นแหล่ะที่เอาเรื่องนรกสวรรค์วิบากกรรมมาคอยเป่าหู ให้ชาวพุทธจมอยู่กับความวุ่นวายใจ แบบนี้มันปิดหนทางบรรลุมรรคผลหมด ไม่มีชาวพุทธที่ไหนเขาจมอยู่กับความวุ่นวายใจหรอก เพราะเค้าเป็นชาวพุทธ รู้วิบากกรรมแล้วทำให้อายชั่วกลัวบาป พึงทราบด้วยและก็ช่วยให้เข้าถึงมรรคผลได้ง่าย ไอ้ที่คุณพูดมาทั้งหมดมันไม่ใช่เรื่องของชาวพุทธ......แต่มันเป็นลัทธิผี ตงก้า ที่บอกว่า "ให้ละอายชั่วกลัวบาป" ถามจริงไม่แถไปหน่อยหรือ หัวกระทู้ก็บอกอยู่โทงๆว่า..."แก้กรรมทำแท้ง....ทำได้มั๊ย!" เห็นๆอยู่ว่ามันทำไปแล้ว ก่อนที่จะทำมันกลัวบาปหรือเปล่า มันไม่กลัวถึงได้ทำ tongka เขียน: เอางี้ ในญาณสามอะไรขึ้นก่อน โฮฮับคนเก่ง ก่อนถามคนอื่นน่ะ ตัวเองรู้หรือเปล่าว่า ญาน๓คืออะไร ไหนบอกมาซิญาน๓ของคุณชื่ออะไร จะได้อธิบายถูกไม่เสียเวลา ปล. จะบอกให้ว่า อย่าเอาพระธรรมของพุทธองค์ไปมั่วกับลัทธิผีบ้า พระธรรมไม่ใช่คัมภีร์อภินิหารย์หรือนิยายเทวดานรกสวรรค์ คูณโฮก็น่าจะสาธยายไปเลยน่ะว่าทำได้มั๊ย จะได้ตั้งใจอ่านด้วยความเคารพ นี่ นึกไม่ออกละซีท่า อย่างคุณโฮคงรู้ไปทุกอย่างแล้วล่ะ(เว้นแต่...) พอนึกไม่ออกก็ใช้วิธีย้อนถาม พอเค้าตอบให้ ก็จะใด้ทีสับให้เละล่ะซีท่า (ชักเริ่มจะระแวงซะแล้ว55555) ที่ต้องถามก็เพราะกลัวว่า ตงก้าจะเอา"ยานโตงเตง"มามั่วแบบลุงเช่นนั้น ลุงเช่นนั้นแกว่า ญานมีหลายอย่าง นี่คือ ยานโตงเตง มันไม่ใช่ญาน |
เจ้าของ: | เช่นนั้น [ 29 ก.ค. 2016, 04:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แก้กรรมทำแท้ง....ทำได้มั๊ย! |
โฮฮับ เขียน: ที่ต้องถามก็เพราะกลัวว่า ตงก้าจะเอา"ยานโตงเตง"มามั่วแบบลุงเช่นนั้น ลุงเช่นนั้นแกว่า ญานมีหลายอย่าง นี่คือ ยานโตงเตง มันไม่ใช่ญาน Quote Tipitaka: ปัญญาในการทรงจำธรรมที่ได้ฟังมาแล้ว เป็นสุตมยญาณ [ญาณอันสำเร็จ มาแต่การฟัง] ๑ ปัญญาในการฟังธรรมแล้ว สังวรไว้ เป็นสีลมยญาณ [ญาณ อันสำเร็จมาแต่ศีล] ๑ ปัญญาในการสำรวมแล้วตั้งไว้ดี เป็นภาวนามยญาณ [ญาณอันสำเร็จมาแต่การเจริญสมาธิ] ๑ ปัญญาในการกำหนดปัจจัย เป็นธรรม ฐิติญาณ [ญาณในเหตุธรรม] ๑ ปัญญาในการย่อธรรมทั้งหลาย ทั้งส่วนอดีต ส่วนอนาคตและส่วนปัจจุบันแล้วกำหนดไว้ เป็นสัมมสนญาณ [ญาณในการ พิจารณา] ๑ ปัญญาในการพิจารณาเห็นความแปรปรวนแห่งธรรมส่วนปัจจุบัน เป็นอุทยัพพยานุปัสนาญาณ [ญาณในการพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อม] ๑ ปัญญาในการพิจารณาอารมณ์แล้วพิจารณาเห็นความแตกไป เป็นวิปัสสนาญาณ [ญาณในความเห็นแจ้ง] ๑ ปัญญาในการปรากฏโดยความเป็นภัย เป็นอาทีนวญาณ [ญาณในการเห็นโทษ] ๑ ปัญญาในความปรารถนาจะพ้นไปทั้งพิจารณาและวางเฉย อยู่ เป็นสังขารุเบกขาญาณ ๑ ปัญญาในการออกและหลีกไปจากสังขารนิมิต ภายนอก เป็นโคตรภูญาณ ๑ ปัญญาในการออกและหลีกไปจากกิเลส ขันธ์ และสังขารนิมิตภายนอกทั้งสอง เป็นมรรคญาณ ๑ ปัญญาในการระงับประโยค เป็นผลญาณ ๑ ปัญญาในการพิจารณาเห็นอุปกิเลสนั้นๆ อันอริยมรรคนั้นๆ ตัดเสียแล้ว เป็นวิมุติญาณ ๑ ปัญญาในการพิจารณาเห็นธรรมที่เข้ามาประชุม ในขณะนั้น เป็นปัจจเวกขณญาณ ๑ ปัญญาในการกำหนดธรรมภายใน เป็น วัตถุนานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งวัตถุ] ๑ ปัญญาในการกำหนดธรรม ภายนอก เป็นโคจรนานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งโคจร] ๑ ปัญญาในการ กำหนดจริยา เป็นจริยานานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งจริยา] ๑ ปัญญา ในการกำหนดธรรม ๔ เป็นภูมินานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งภูมิ] ๑ ปัญญาในการกำหนดธรรม ๙ เป็นธรรมนานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งธรรม] ๑ ปัญญาที่รู้ยิ่ง เป็นญาตัฏฐญาณ [ญาณในความว่ารู้] ๑ ปัญญาเครื่องกำหนดรู้ เป็นตีรณัฏฐญาณ [ญาณในความว่าพิจารณา] ๑ ปัญญาในการละ เป็น ปริจจาคัฏฐญาณ [ญาณในความว่าสละ] ๑ ปัญญาเครื่องเจริญ เป็นเอกรสัฏฐญาณ [ญาณในความว่ามีกิจเป็นอันเดียว] ๑ ปัญญาเครื่องทำให้แจ้ง เป็นผัสสนัฏฐญาณ [ญาณในความว่าถูกต้อง] ๑ ปัญญาในความต่างแห่งอรรถ เป็นอัตถปฏิสัมภิทา- *ญาณ ๑ ปัญญาในความต่างแห่งธรรม เป็นธรรมปฏิสัมภิทาญาณ ๑ ปัญญา ในความต่างแห่งนิรุติ เป็นนิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ ๑ ปัญญาในความต่างแห่ง ปฏิภาณ เป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ ๑ ปัญญาในความต่างแห่งวิหารธรรม เป็น วิหารัฏฐญาณ [ญาณในความว่าธรรมเครื่องอยู่] ๑ ปัญญาในความต่างแห่งสมาบัติ เป็นสมาปัตตัฏฐญาณ [ญาณในความว่าสมาบัติ] ๑ ปัญญาในความต่างแห่งวิหาร สมาบัติ เป็นวิหารสมาปัตตัฏฐญาณ [ญาณในความว่าวิหารสมาบัติ] ๑ ปัญญา ในการตัดอาสวะขาด เพราะความบริสุทธิ์แห่งสมาธิอันเป็นเหตุไม่ให้ฟุ้งซ่าน เป็น อานันตริกสมาธิญาณ [ญาณในสมาธิอันมีในลำดับ] ๑ ทัสนาธิปไตย ทัสนะมี ความเป็นอธิบดี วิหาราธิคม คุณเครื่องบรรลุ คือวิหารธรรมอันสงบ และปัญญา ในความที่จิตเป็นธรรมชาติน้อมไปในผลสมาบัติอันประณีต เป็นอรณวิหารญาณ [ญาณในวิหารธรรมอันไม่มีกิเลสเป็นข้าศึก] ๑ ปัญญาในความเป็นผู้มีความชำนาญ ด้วยความเป็นผู้ประกอบด้วยพละ ๒ ด้วยความระงับสังขาร ๓ ด้วยญาณจริยา ๑๖ และด้วยสมาธิจริยา ๙ เป็นนิโรธสมาปัตติญาณ [ญาณในนิโรธสมาบัติ] ๑ ปัญญา ในความสิ้นไปแห่งความเป็นไปแห่งกิเลสและขันธ์ของบุคคลผู้รู้สึกตัว เป็น ปรินิพพานญาณ ๑ ปัญญาในความไม่ปรากฏแห่งธรรมทั้งปวง ในการตัดขาด โดยชอบและในนิโรธ เป็นสมสีสัฏฐญาณ [ญาณในความว่าธรรมอันสงบและธรรม อันเป็นประธาน] ๑ ปัญญาในความสิ้นไปแห่งกิเลสอันหนา สภาพต่างๆ และเดช เป็นสัลเลขัฏฐญาณ [ญาณในความว่าธรรมเครื่องขัดเกลา] ๑ ปัญญาในความ ประคองไว้ซึ่งจิตอันไม่หดหู่และจิตที่ส่งไป เป็นวิริยารัมภญาณ ๑ ปัญญาในการ ประกาศธรรมต่างๆ เป็นอรรถสันทัสนญาณ [ญาณในการเห็นชัดซึ่งอรรถธรรม] ๑ ปัญญาในการสงเคราะห์ธรรมทั้งปวงเป็นหมวดเดียวกันในการแทงตลอดธรรมต่างกัน และธรรมเป็นอันเดียวกัน เป็นทัสนวิสุทธิญาณ ๑ ปัญญาในความที่ธรรมปรากฏ โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น เป็นขันติญาณ ๑ ปัญญาในความถูกต้องธรรม เป็นปริโยคาหนญาณ [ญาณในความย่างเข้าไป] ๑ ปัญญาในการรวมธรรม เป็นปเทสวิหารญาณ [ญาณในวิหารธรรมส่วนหนึ่ง] ๑ ปัญญาในความมีกุศลธรรม เป็นอธิบดีเป็นสัญญาวิวัฏฏญาณ [ญาณในความหลีกไปด้วยปัญญาที่รู้ดี] ๑ ปัญญา ในธรรมเป็นเหตุละความเป็นต่างๆ เป็นเจโตวิวัฏฏญาณ [ญาณในการหลีกออก จากนิวรณ์ด้วยใจ] ๑ ปัญญาในการอธิษฐาน เป็นจิตตวิวัฏฏญาณ [ญาณในความ หลีกไปแห่งจิต] ๑ ปัญญาในธรรมอันว่างเปล่า เป็นญาณวิวัฏฏญาณ [ญาณใน ความหลีกไปด้วยญาณ] ๑ ปัญญาในความสลัดออก เป็นวิโมกขวิวัฏฏญาณ [ญาณในความหลีกไปแห่งจิตด้วยวิโมกข์] ๑ ปัญญาในความว่าธรรมจริง เป็นสัจจวิวัฏฏญาณ [ญาณในความหลีกไปด้วยสัจจะ] ๑ ปัญญาในความ สำเร็จด้วยการกำหนดกาย [รูปกายของตน] และจิต [จิตมีญาณเป็นบาท] เข้าด้วยกัน และด้วยสามารถแห่งความตั้งไว้ซึ่งสุขสัญญา [สัญญาประกอบด้วย อุเบกขาในจตุตถฌานเป็นสุขละเอียด] และลหุสัญญา [สัญญาเบาเพราะพ้นจาก นิวรณ์และปฏิปักขธรรม] เป็นอิทธิวิธญาณ [ญาณในการแสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ] ๑ ปัญญาในการกำหนดเสียงเป็นนิมิตหลายอย่างหรืออย่างเดียวด้วยสามารถการ แผ่วิตกไป เป็นโสตธาตุวิสุทธิญาณ [ญาณอันหมดจดแห่งโสตธาตุ] ๑ ปัญญา ในการกำหนดจริยาคือ วิญญาณหลายอย่างหรืออย่างเดียว ด้วยความแผ่ไปแห่งจิต ๓ ประเภท และด้วยสามารถแห่งความผ่องใสแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย เป็น เจโตปริยญาณ [ญาณในความกำหนดรู้จิตผู้อื่นด้วยจิตของตน] ๑ ปัญญาในการ กำหนดธรรมทั้งหลายอันเป็นไปตามปัจจัย ด้วยสามารถความแผ่ไปแห่งกรรม หลายอย่างหรืออย่างเดียว เป็นบุพเพนิวาสานุสสติญาณ [ญาณเป็นเครื่อง ระลึกถึงชาติก่อนๆ ได้] ๑ ปัญญาในความเห็นรูปเป็นนิมิตหลายอย่าง หรืออย่างเดียว ด้วยสามารถแสงสว่าง เป็นทิพจักขุญาณ ๑ ปัญญาในความ เป็นผู้มีความชำนาญในอินทรีย์ ๓ ประการ โดยอาการ ๖๔ เป็นอาสวักขยญาณ [ญาณในความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย] ๑ ปัญญาในความกำหนดรู้ เป็น- *ทุกขญาณ ๑ ปัญญาในความละ เป็นสมุทยญาณ ๑ ปัญญาในความทำให้แจ้ง เป็น นิโรธญาณ ๑ ปัญญาในความเจริญ เป็นมรรคญาณ ๑ ทุกขญาณ [ญาณ ในทุกข์] ๑ ทุกขสมุทยญาณ [ญาณในเหตุให้เกิดทุกข์] ๑ ทุกขนิโรธญาณ [ญาณในความดับทุกข์] ๑ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาญาณ [ญาณในข้อปฏิบัติ เครื่องให้ถึงความดับทุกข์] ๑ อรรถปฏิสัมภิทาญาณ ๑ ธรรมปฏิสัมภิทาญาณ ๑ นิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ ๑ ปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ ๑ อินทริยปโรปริยัติญาณ [ญาณในความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย] ๑ อาสยานุสยญาณ [ญาณในฉันทะเป็นที่มานอนและกิเลสอันนอนเนื่องของสัตว์ทั้งหลาย] ๑ ยมก ปาฏิหิรญาณ [ญาณในยมกปาฏิหาริย์] ๑ มหากรุณาสมาปัตติญาณ ๑ สัพพัญญุตญาณ ๑ อนาวรณญาณ ๑ ญาณเหล่านี้รวมเป็น ๗๓ ญาณ ในญาณทั้ง ๗๓ นี้ ญาณ ๖๗ [ข้างต้น] ทั่วไปแก่พระสาวก ญาณ ๖ [ในที่สุด] ไม่ทั่วไปด้วยพระสาวก เป็นญาณเฉพาะพระตถาคตเท่านั้น ฉะนี้แล ฯ ปัญญามีหลายสิ่ง ญาณจึงมีหลายสิ่ง |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 29 ก.ค. 2016, 07:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แก้กรรมทำแท้ง....ทำได้มั๊ย! |
เช่นนั้น เขียน: โฮฮับ เขียน: ที่ต้องถามก็เพราะกลัวว่า ตงก้าจะเอา"ยานโตงเตง"มามั่วแบบลุงเช่นนั้น ลุงเช่นนั้นแกว่า ญานมีหลายอย่าง นี่คือ ยานโตงเตง มันไม่ใช่ญาน Quote Tipitaka: ปัญญาในการทรงจำธรรมที่ได้ฟังมาแล้ว เป็นสุตมยญาณ [ญาณอันสำเร็จ มาแต่การฟัง] ๑ ปัญญาในการฟังธรรมแล้ว สังวรไว้ เป็นสีลมยญาณ [ญาณ อันสำเร็จมาแต่ศีล] ๑ ปัญญาในการสำรวมแล้วตั้งไว้ดี เป็นภาวนามยญาณ [ญาณอันสำเร็จมาแต่การเจริญสมาธิ] ๑ ปัญญาในการกำหนดปัจจัย เป็นธรรม ฐิติญาณ [ญาณในเหตุธรรม] ๑ ปัญญาในการย่อธรรมทั้งหลาย ทั้งส่วนอดีต ส่วนอนาคตและส่วนปัจจุบันแล้วกำหนดไว้ เป็นสัมมสนญาณ [ญาณในการ พิจารณา] ๑ ปัญญาในการพิจารณาเห็นความแปรปรวนแห่งธรรมส่วนปัจจุบัน เป็นอุทยัพพยานุปัสนาญาณ [ญาณในการพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อม] ๑ ปัญญาในการพิจารณาอารมณ์แล้วพิจารณาเห็นความแตกไป เป็นวิปัสสนาญาณ [ญาณในความเห็นแจ้ง] ๑ ปัญญาในการปรากฏโดยความเป็นภัย เป็นอาทีนวญาณ [ญาณในการเห็นโทษ] ๑ ปัญญาในความปรารถนาจะพ้นไปทั้งพิจารณาและวางเฉย อยู่ เป็นสังขารุเบกขาญาณ ๑ ปัญญาในการออกและหลีกไปจากสังขารนิมิต ภายนอก เป็นโคตรภูญาณ ๑ ปัญญาในการออกและหลีกไปจากกิเลส ขันธ์ และสังขารนิมิตภายนอกทั้งสอง เป็นมรรคญาณ ๑ ปัญญาในการระงับประโยค เป็นผลญาณ ๑ ปัญญาในการพิจารณาเห็นอุปกิเลสนั้นๆ อันอริยมรรคนั้นๆ ตัดเสียแล้ว เป็นวิมุติญาณ ๑ ปัญญาในการพิจารณาเห็นธรรมที่เข้ามาประชุม ในขณะนั้น เป็นปัจจเวกขณญาณ ๑ ปัญญาในการกำหนดธรรมภายใน เป็น วัตถุนานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งวัตถุ] ๑ ปัญญาในการกำหนดธรรม ภายนอก เป็นโคจรนานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งโคจร] ๑ ปัญญาในการ กำหนดจริยา เป็นจริยานานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งจริยา] ๑ ปัญญา ในการกำหนดธรรม ๔ เป็นภูมินานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งภูมิ] ๑ ปัญญาในการกำหนดธรรม ๙ เป็นธรรมนานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งธรรม] ๑ ปัญญาที่รู้ยิ่ง เป็นญาตัฏฐญาณ [ญาณในความว่ารู้] ๑ ปัญญาเครื่องกำหนดรู้ เป็นตีรณัฏฐญาณ [ญาณในความว่าพิจารณา] ๑ ปัญญาในการละ เป็น ปริจจาคัฏฐญาณ [ญาณในความว่าสละ] ๑ ปัญญาเครื่องเจริญ เป็นเอกรสัฏฐญาณ [ญาณในความว่ามีกิจเป็นอันเดียว] ๑ ปัญญาเครื่องทำให้แจ้ง เป็นผัสสนัฏฐญาณ [ญาณในความว่าถูกต้อง] ๑ ปัญญาในความต่างแห่งอรรถ เป็นอัตถปฏิสัมภิทา- *ญาณ ๑ ปัญญาในความต่างแห่งธรรม เป็นธรรมปฏิสัมภิทาญาณ ๑ ปัญญา ในความต่างแห่งนิรุติ เป็นนิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ ๑ ปัญญาในความต่างแห่ง ปฏิภาณ เป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ ๑ ปัญญาในความต่างแห่งวิหารธรรม เป็น วิหารัฏฐญาณ [ญาณในความว่าธรรมเครื่องอยู่] ๑ ปัญญาในความต่างแห่งสมาบัติ เป็นสมาปัตตัฏฐญาณ [ญาณในความว่าสมาบัติ] ๑ ปัญญาในความต่างแห่งวิหาร สมาบัติ เป็นวิหารสมาปัตตัฏฐญาณ [ญาณในความว่าวิหารสมาบัติ] ๑ ปัญญา ในการตัดอาสวะขาด เพราะความบริสุทธิ์แห่งสมาธิอันเป็นเหตุไม่ให้ฟุ้งซ่าน เป็น อานันตริกสมาธิญาณ [ญาณในสมาธิอันมีในลำดับ] ๑ ทัสนาธิปไตย ทัสนะมี ความเป็นอธิบดี วิหาราธิคม คุณเครื่องบรรลุ คือวิหารธรรมอันสงบ และปัญญา ในความที่จิตเป็นธรรมชาติน้อมไปในผลสมาบัติอันประณีต เป็นอรณวิหารญาณ [ญาณในวิหารธรรมอันไม่มีกิเลสเป็นข้าศึก] ๑ ปัญญาในความเป็นผู้มีความชำนาญ ด้วยความเป็นผู้ประกอบด้วยพละ ๒ ด้วยความระงับสังขาร ๓ ด้วยญาณจริยา ๑๖ และด้วยสมาธิจริยา ๙ เป็นนิโรธสมาปัตติญาณ [ญาณในนิโรธสมาบัติ] ๑ ปัญญา ในความสิ้นไปแห่งความเป็นไปแห่งกิเลสและขันธ์ของบุคคลผู้รู้สึกตัว เป็น ปรินิพพานญาณ ๑ ปัญญาในความไม่ปรากฏแห่งธรรมทั้งปวง ในการตัดขาด โดยชอบและในนิโรธ เป็นสมสีสัฏฐญาณ [ญาณในความว่าธรรมอันสงบและธรรม อันเป็นประธาน] ๑ ปัญญาในความสิ้นไปแห่งกิเลสอันหนา สภาพต่างๆ และเดช เป็นสัลเลขัฏฐญาณ [ญาณในความว่าธรรมเครื่องขัดเกลา] ๑ ปัญญาในความ ประคองไว้ซึ่งจิตอันไม่หดหู่และจิตที่ส่งไป เป็นวิริยารัมภญาณ ๑ ปัญญาในการ ประกาศธรรมต่างๆ เป็นอรรถสันทัสนญาณ [ญาณในการเห็นชัดซึ่งอรรถธรรม] ๑ ปัญญาในการสงเคราะห์ธรรมทั้งปวงเป็นหมวดเดียวกันในการแทงตลอดธรรมต่างกัน และธรรมเป็นอันเดียวกัน เป็นทัสนวิสุทธิญาณ ๑ ปัญญาในความที่ธรรมปรากฏ โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น เป็นขันติญาณ ๑ ปัญญาในความถูกต้องธรรม เป็นปริโยคาหนญาณ [ญาณในความย่างเข้าไป] ๑ ปัญญาในการรวมธรรม เป็นปเทสวิหารญาณ [ญาณในวิหารธรรมส่วนหนึ่ง] ๑ ปัญญาในความมีกุศลธรรม เป็นอธิบดีเป็นสัญญาวิวัฏฏญาณ [ญาณในความหลีกไปด้วยปัญญาที่รู้ดี] ๑ ปัญญา ในธรรมเป็นเหตุละความเป็นต่างๆ เป็นเจโตวิวัฏฏญาณ [ญาณในการหลีกออก จากนิวรณ์ด้วยใจ] ๑ ปัญญาในการอธิษฐาน เป็นจิตตวิวัฏฏญาณ [ญาณในความ หลีกไปแห่งจิต] ๑ ปัญญาในธรรมอันว่างเปล่า เป็นญาณวิวัฏฏญาณ [ญาณใน ความหลีกไปด้วยญาณ] ๑ ปัญญาในความสลัดออก เป็นวิโมกขวิวัฏฏญาณ [ญาณในความหลีกไปแห่งจิตด้วยวิโมกข์] ๑ ปัญญาในความว่าธรรมจริง เป็นสัจจวิวัฏฏญาณ [ญาณในความหลีกไปด้วยสัจจะ] ๑ ปัญญาในความ สำเร็จด้วยการกำหนดกาย [รูปกายของตน] และจิต [จิตมีญาณเป็นบาท] เข้าด้วยกัน และด้วยสามารถแห่งความตั้งไว้ซึ่งสุขสัญญา [สัญญาประกอบด้วย อุเบกขาในจตุตถฌานเป็นสุขละเอียด] และลหุสัญญา [สัญญาเบาเพราะพ้นจาก นิวรณ์และปฏิปักขธรรม] เป็นอิทธิวิธญาณ [ญาณในการแสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ] ๑ ปัญญาในการกำหนดเสียงเป็นนิมิตหลายอย่างหรืออย่างเดียวด้วยสามารถการ แผ่วิตกไป เป็นโสตธาตุวิสุทธิญาณ [ญาณอันหมดจดแห่งโสตธาตุ] ๑ ปัญญา ในการกำหนดจริยาคือ วิญญาณหลายอย่างหรืออย่างเดียว ด้วยความแผ่ไปแห่งจิต ๓ ประเภท และด้วยสามารถแห่งความผ่องใสแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย เป็น เจโตปริยญาณ [ญาณในความกำหนดรู้จิตผู้อื่นด้วยจิตของตน] ๑ ปัญญาในการ กำหนดธรรมทั้งหลายอันเป็นไปตามปัจจัย ด้วยสามารถความแผ่ไปแห่งกรรม หลายอย่างหรืออย่างเดียว เป็นบุพเพนิวาสานุสสติญาณ [ญาณเป็นเครื่อง ระลึกถึงชาติก่อนๆ ได้] ๑ ปัญญาในความเห็นรูปเป็นนิมิตหลายอย่าง หรืออย่างเดียว ด้วยสามารถแสงสว่าง เป็นทิพจักขุญาณ ๑ ปัญญาในความ เป็นผู้มีความชำนาญในอินทรีย์ ๓ ประการ โดยอาการ ๖๔ เป็นอาสวักขยญาณ [ญาณในความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย] ๑ ปัญญาในความกำหนดรู้ เป็น- *ทุกขญาณ ๑ ปัญญาในความละ เป็นสมุทยญาณ ๑ ปัญญาในความทำให้แจ้ง เป็น นิโรธญาณ ๑ ปัญญาในความเจริญ เป็นมรรคญาณ ๑ ทุกขญาณ [ญาณ ในทุกข์] ๑ ทุกขสมุทยญาณ [ญาณในเหตุให้เกิดทุกข์] ๑ ทุกขนิโรธญาณ [ญาณในความดับทุกข์] ๑ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาญาณ [ญาณในข้อปฏิบัติ เครื่องให้ถึงความดับทุกข์] ๑ อรรถปฏิสัมภิทาญาณ ๑ ธรรมปฏิสัมภิทาญาณ ๑ นิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ ๑ ปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ ๑ อินทริยปโรปริยัติญาณ [ญาณในความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย] ๑ อาสยานุสยญาณ [ญาณในฉันทะเป็นที่มานอนและกิเลสอันนอนเนื่องของสัตว์ทั้งหลาย] ๑ ยมก ปาฏิหิรญาณ [ญาณในยมกปาฏิหาริย์] ๑ มหากรุณาสมาปัตติญาณ ๑ สัพพัญญุตญาณ ๑ อนาวรณญาณ ๑ ญาณเหล่านี้รวมเป็น ๗๓ ญาณ ในญาณทั้ง ๗๓ นี้ ญาณ ๖๗ [ข้างต้น] ทั่วไปแก่พระสาวก ญาณ ๖ [ในที่สุด] ไม่ทั่วไปด้วยพระสาวก เป็นญาณเฉพาะพระตถาคตเท่านั้น ฉะนี้แล ฯ ปัญญามีหลายสิ่ง ญาณจึงมีหลายสิ่ง ไม่มีปัญญาอันเป็นเครื่องมือปล่อยวางบัญญัติ อ่านอะไรแล้วยึดไปตามบัญญัติที่อ่าน ลุงนกแก้วรู้หรือไม่ว่า .....ปรมัตถ์บัญญัติ มันไม่ใช่ตัวตน ดันบอกมาได้ว่ามีหลายสิ่ง |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |