วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 13:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2016, 04:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อจิตเกาะอยู่กับอารมณ์ภายนอก ก็รู้อารมณ์ภายนอกนั้น เมื่อจิตปล่อยอารมณ์ภายนอก เข้ามาตั้งอยู่ในลมหายใจเข้าลมหายใจออก ก็ย่อมรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกได้ นี้เป็นความรู้ขั้นแรก

แล้วก็หัดทำความรู้เพิ่มเติมว่า หายใจเข้าออกยาว หายใจเข้าออกสั้น อันที่จริงยาวหรือสั้นนั้นอยู่ที่ระยะทางของลมหายใจ และระยะทางของลมหายใจนั้น สำหรับในทางปฏิบัติกรรมฐาน ย่อมกำหนดได้ที่ปลายจมูก หรือที่ริมฝีปากเบื้องบน เมื่อลมเข้าก็กระทบที่นี่เมื่อขาเข้า ลมออกก็กระทบที่นี่เมื่อขาออก คราวนี้เมื่อหายใจเข้าลมหายใจเข้านั้นเดินทางไปถึงไหน ตามหลักสรีรวิทยาปัจจุบันนั้น ย่อมไม่อาจกำหนดได้ แต่ว่าอาจกำหนดได้ในอาการเคลื่อนไหวของร่างกาย ที่ปรากฏอยู่ในขณะที่ทุกคนหายใจ ดังหายใจเข้านาภีก็พอง หายใจออกก็ยุบ.


ธรรมะก่อนนิทรา : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช





คนที่ประกอบกรรมชั่วทางกาย วาจา ใจ ส่วนใหญ่
เป็นคนที่ไม่เชื่อในเรื่องกรรม ไม่เชื่อในเรื่องบุญหรือบาป
ไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิด คนพวกนี้เกิดมาจึงมุ่งแสวงหา
ทรัพย์และความสุขสบายให้กับตัวโดยไม่คำนึงนึกถึงว่า
ทรัพย์สมบัติหรือความสนุกสนานที่ตนได้มาถูกหรือผิด
และทำให้คนอื่นได้รับความเดือดร้อนหรือไม่ สัตว์ทั้ง
หลายมีกรรมเป็นของตน ในสมัยพุทธกาลได้มีผู้กราบทูล
ถามพระพุทธองค์ว่า อะไรเป็นเหตุให้มนุษย์เป็นไปแตก
ต่างกัน

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า " มานพเอ๋ย..สัตว์
ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลของกรรม
มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลาย
ให้เลวและประณีต " พระพุทธวัจนะนี้หมายความว่า
เมื่อเราทำกรรมใดลงไป กรรมนั้นย่อมเป็นของเรา
โดยเฉพาะและเราย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น จะ
โยนให้คนอื่นไม่ได้ เช่นเราทำกรรมชั่วอย่างหนึ่งเรา
จะต้องรับผลของกรรมชั่วนั้น จะลบล้างหรือโยนให้
ผู้อื่นไม่ได้ แม้ผู้อื่นจะยินดีรับโอนกรรมชั่วของเราหรือ
ไม่ก็ตาม

การฆ่าสัตว์บูชายัญด้วยคิดว่าเป็นการโยนบาปที่ทำไปให้
สัตว์ที่ถูกฆ่า จึงเป็นการกระทำที่โง่เขลาไร้เหตุผล และ
แทนที่จะเป็นการล้างบาปกลับเป็นการสร้างบาปให้เพิ่มขึ้นอีก
สำหรับกรรมดีก็เช่นเดียวกัน ผู้ใดทำกรรมดี กรรมดีย่อมเป็น
ของผู้กระทำโดยเฉพาะ จะจ้างวานหรือให้ทำแทนกันหาได้ไม่
เพราะฉะนั้น ที่เรียกว่ากรรมดีกรรมชั่วอยู่ที่ตัวของเราเอง
อยู่ที่การกระทำและขอให้โอนกรรมดีหรือกรรมชั่วไปให้คนอื่น
ก็ไม่ได้

หากเราต้องการกรรมดีเป็นของเรา เราต้องประกอบ
กรรมดีเอง ยกตัวอย่างง่ายๆ เหมือนอย่างเช่นการรับประทาน
อาหาร ผู้ใดรับประทานอาหารผู้นั้นย่อมอิ่มเอง เราจะเอา
เงินไปให้คนอื่นซื้ออาหารรับประทาน แล้วโอนความอิ่มมา
ให้แก่เรานั้น ไม่ได้แน่นอน หากเราต้องการความอิ่มเราก็ต้อง
รับประทานอาหารด้วยตนเอง

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2016, 10:27 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2876


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 178 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร