วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 01:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 77 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2016, 21:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
ปัญหาของคนที่ 2 ที่น้ำตาไหล ให้เอาสติไปกำหนดรู้อาการที่น้ำตาไหลว่า รู้หนอๆๆๆๆๆ รู้ที่สัมผัสของน้ำตากับผิวแก้ม ไม่ใช่น้ำตาไหลหนอ

แล้วสังเกตให้ดีๆมันจะมีลูกโซ่ของอารมณ์เกิดตามหลังอาการน้ำตาไหล เช่นสงสัย ก็ให้กำหนดว่าสงสัยหนอ
กลัวก็ให้กำหนดว่ากลัวหนอ
อยากให้หาย ก็ให้กำหนดว่า อยากหายหนอ
เอาสติไล่ตามให้ทันทุกอารมณ์ลูก ไม่ช้าอารมณ์ลูกทั้งหลายและอาการน้ำตาไหลจะพากันดับไปหมดทั้งกรุ เป็นอันผ่านด่านน้ำตาไหล ซึ่งอาจจะเป็นปีติ หรือวิบากของอกุศลกรรมบางประการ
onion
เมื่อไหร่หนอชำนาญทันปัจจุบันอารมณ์ได้ดีแล้ว ให้ฝึกทิ้งหรือวางหนอเอาสติและปัญญามารู้ทันปัจจุบันอารมณ์โดยไม่มีคำว่า หนอ ประสิทธิภาพในการขุดถอนวิบากกรรมที่มาปรากฏเป็นอารมณ์และความรู้สึกทั้งหลายจะถอนได้เร็ว ผ่านด่านได้เร็วมากกว่าการใช้คำบริกรรม
smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2016, 21:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b38:
ปัญหาของคนที่ 2 ที่น้ำตาไหล ให้เอาสติไปกำหนดรู้อาการที่น้ำตาไหลว่า รู้หนอๆๆๆๆๆ รู้ที่สัมผัสของน้ำตากับผิวแก้ม ไม่ใช่น้ำตาไหลหนอ

แล้วสังเกตให้ดีๆมันจะมีลูกโซ่ของอารมณ์เกิดตามหลังอาการน้ำตาไหล เช่นสงสัย ก็ให้กำหนดว่าสงสัยหนอ
กลัวก็ให้กำหนดว่ากลัวหนอ
อยากให้หาย ก็ให้กำหนดว่า อยากหายหนอ
เอาสติไล่ตามให้ทันทุกอารมณ์ลูก ไม่ช้าอารมณ์ลูกทั้งหลายและอาการน้ำตาไหลจะพากันดับไปหมดทั้งกรุ เป็นอันผ่านด่านน้ำตาไหล ซึ่งอาจจะเป็นปีติ หรือวิบากของอกุศลกรรมบางประการ
onion
เมื่อไหร่หนอชำนาญทันปัจจุบันอารมณ์ได้ดีแล้ว ให้ฝึกทิ้งหรือวางหนอเอาสติและปัญญามารู้ทันปัจจุบันอารมณ์โดยไม่มีคำว่า หนอ ประสิทธิภาพในการขุดถอนวิบากกรรมที่มาปรากฏเป็นอารมณ์และความรู้สึกทั้งหลายจะถอนได้เร็ว ผ่านด่านได้เร็วมากกว่าการใช้คำบริกรรม


อ้าวมีอารมณลูกมาอีก เดี๋ยวก็เกิดอารมณ์หลาน จะไปสร้างอารมณ์ลูกอารมณ์หลานให้หลุดจากปัจจุบันขณะแต่ละขณะๆทำไม เออ

บอกไม่จำ เป็นยังไง รู้สึกยังไง ก็ว่ายังงั้น

หนอไม่ต้องไปตั้งใจทิ้งตั้งใจวางมันหรอก เดี๋ยวทำไปๆ หายเกลื้องทั้งกาย ทั้งความรู้สึก ทั้งคำภาวนา เออ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2016, 08:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b13:
ช้าไปต๋อย ไม่ทันกินหรอก
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2016, 08:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b13:
ช้าไปต๋อย ไม่ทันกินหรอก


ไปไม่เป็น :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2016, 21:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b13:
ช้าไปต๋อย ไม่ทันกินหรอก


ไปไม่เป็น :b32:

huh
ขี้เกียจคุยกับคนที่ด้อยสติ ปัญญา ประสบการณ์ในการปฏิบัติไม่มี
คุยกันไม่รู้เรื่องหรอกถ้ากรัชกายไม่เคยมีประสบการณ์จริงในเรื่องของอารมณ์ธรรมที่เกิดเนื่องกัน
grin


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2016, 06:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b13:
ช้าไปต๋อย ไม่ทันกินหรอก


ไปไม่เป็น


ขี้เกียจคุยกับคนที่ด้อยสติ ปัญญา ประสบการณ์ในการปฏิบัติไม่มี
คุยกันไม่รู้เรื่องหรอกถ้ากรัชกายไม่เคยมีประสบการณ์จริงในเรื่องของอารมณ์ธรรมที่เกิดเนื่องกัน


อิอิ ประสบการณ์อะไรของท่านอโศกนะ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2016, 06:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b38:

เมื่อไหร่หนอชำนาญทันปัจจุบันอารมณ์ได้ดีแล้ว ให้ฝึกทิ้งหรือวางหนอเอาสติและปัญญามารู้ทันปัจจุบันอารมณ์โดยไม่มีคำว่า หนอ ประสิทธิภาพในการขุดถอนวิบากกรรมที่มาปรากฏเป็นอารมณ์และความรู้สึกทั้งหลายจะถอนได้เร็ว ผ่านด่านได้เร็วมากกว่าการใช้คำบริกรรม
smiley


แสดงให้เห็นชัดเลยว่า....อยากได้อยากเป็น..อย่างแรง..จนต้องมาฝึกทิ้ง..ฝึกวาง

ไม่ต้องฝึกทิ้ง....ฝึกวา่ง..อะไรหรอกครับ..อโสกะ...เพราะนี้เป็นการฝึกสติ..ไม่ได้ฝึกปัญญา...ก็ทำเป็นปกตินั้นแหละ..กำหนดหนอไป..เมื่อถึงจุดอิ่มตัวของเขา..เขาจะวางก็วางเอง...ส่วนจิตหากเขาจะประหวัดไปทางปัญญาเขาก็จะโยนิโสของเขาเอง...เมื่อเขาเห็นธรรมข้อใดข้อหนึ่ง...ปีติเขาก็เกิดเอง...เป็นต้น

ซึ่งต่างกับการฝึกทางปัญญาด้วยการโยนิโสในข้อธรรมใดธรรมหนึ่ง..ฝึกถามจิตให้จิตตอบ...ว่าใช่มั้ย..จริงมั้ย..ถ้ามันตอบว่าใช่ก็ถามต่อว่า..ใช่อย่างไร..ทำไมจึงใช่...ถามตอบ...ถามตอบ...ไล่ต้อนจิตไปเรื่อยๆ...อย่าได้สนใจว่าจิตมันตอบด้วยปัญญาหรือสัญญา...จะอะไรก็ให้มันตอบไป....เพราะนี้คือฝึก...ยามที่จิตเขาเห็นธรรมตามจริงขึ้นมา...ปีติเขาก็เกิดเอง...ความสงบก็เกิดเอง...จิตจะเดินไปตามญาณต่างๆเขาก็เดินไปเอง...

ไม่ใช่....อยากวางเลยฝึกวาง....อยากทิ้งเลยฝึกทิ้ง...อันนี้ตกเข้าตัณหา..มีตัณหาของตนเป็นภพ..ไป

ดังนั้น..จะฝึกอะไรก็ไปให้สุดทางของเขา..จะหนอ..จะพทโธ..จะอะไรก็แล้วแต่...ไปให้สุดทางของเขา...เขาก็ไปเอง...ไม่ใช่อยากวางก็ฝึกวาง...อย่างนี้ไม่เป็นท่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2016, 18:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b13:
ช้าไปต๋อย ไม่ทันกินหรอก


ไปไม่เป็น :b32:


ขี้เกียจคุยกับคนที่ด้อยสติ ปัญญา ประสบการณ์ในการปฏิบัติไม่มี
คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก ถ้ากรัชกายไม่เคยมีประสบการณ์จริงในเรื่องของอารมณ์ธรรมที่เกิดเนื่องกัน



นำมาให้ท่านอโศก ซึ่งว่าว่าตนมีประสบการณ์ในการปฏิบัติปวดหัวเล่น :b1:

อ้างคำพูด:
เมื่อคืนนี้ ในระหว่างที่นั่งสมาธิ หนูนั่งสมาธิแบบยุบหนอ-พองหนอค่ะ รู้สึกว่ามีอาการตัวโยกเอน(เป็นอยู่บ่อยๆค่ะ) ตัวหมุน ตัวพองออกจนรู้สึกว่ามือมันคลี่ออกจากกัน แล้วสักครู่ก้อลอยขึ้น หนูตกใจก้อเลยลืมตา

แล้วก้อตัดสินใจนั่งต่อค่ะ เกิดอาการเดิมๆ สลับกัน หมุนบ้าง คอผงกบ้าง ส่ายหน้าบ้าง ในบางช่วงเกิดอาการเหมือนหน้าหายไปแทบหนึ่ง ปากแน่น ตึงเหมือนจะพูดไม่ได้ แล้วมือที่ซ้ายทับขวาไว้ ก้อเลื่อนออกจากกัน เลื่อนออก แล้วก้อเลื่อนเข้า มีความรู้สึกว่านิ้วถูกกดให้เล็กลง ตัวแยกออก (คือมันเป็นความรู้สึกค่ะ บอกไม่ถุก แต่ไม่ได้เห็นเป็นภาพว่าตัวเองแยกถูกฉีกอ่ะค่ะ แต่จะว่าเห็นก้อไม่เชิง มันเหมือนคิดนะค่ะ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน -*-) ต่อมาก้อมีอาการปากเหมือนดูดลม เบ้ปาก บีบปาก รู้สึกว่าฟันงอก สกปรก (ไม่รู้คิดไปเองหรือยังไง สับสนเหมือนกันค่ะ เพราะช่วงนี้อ่านอาการพวก อสุภะบ้าง ตอนที่คิดว่าเหมือนคนแก่ เลยท่องๆในใจว่า ไม่เที่ยง แต่รู้สึกว่าตัวเองทำมั่วๆอ่ะค่ะแล้วก้อหยุด อาการเหล่านี้เป็นติดต่อกันบ้าง สลับกับพองยุบบ้าง นั่งนิ่งๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จนสุดท้าย มีเวทนาเกิดขึ้นที่ขาและเอว กำหนดปวดหนอแล้วก้อยังไม่หาย (ปกติกำหนดแปปเดียวก้อหาย แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยเกิดเวทนาค่ะ) ก้อเลยออกจากสมาธิในที่สุด

ขอเพิ่มเติมนะค่ะ คืนก่อนๆหน้านี้ค่ะ จิตมีอาการดิ่งวูบ แล้วก้อสว่าง แต่ว่าแปปเดียวค่ะ ทำยังไงถึงจะทรงไว้ได้นาน หรือว่าควรทำยังไงค่ะ แล้วหนูก็ไม่เข้าใจอีกเรื่อง คือเวลานอนหลับไปแล้ว หรือระหว่างกึ่งหลับกึ่งตื่น เคยมีอาการตัวลอย หรือไม่ก้อเกิดอาการ ชาๆ วูบๆทั่วตัว บ้างก้อเหมือนจะคลื่นไส้ บางทีที่เกิดหนูก้อไม่ได้ภาวนาแบบนอนนะค่ะ ก็หลับไปเฉยนี่แหละค่ะ

หนูสับสนมาก ว่าต้องทำยังไงต่อ อาการเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าค่ะ รบกวนท่านผู้รู้แนะนำด้วยนะค่ะ หนูฝึกเองอยู่บ้านค่ะ ก่อนหน้านี้ไปฝึกที่คุณแม่สิริค่ะ รบกวนด้วยค่ะ

จาก
http://board.palungjit.org/f126/%E0%B9% ... 13332.html

แต่กรัชกายว่าท่านอโศกต่างหากไม่มีประสบการณ์จริง คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2016, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใช้ลมเข้า-ออกแล้วใช้คำกำกับจิตพุท-โธ ก็ดี ผู้ใช้พอง-ยุบใช้คำภาวนา หรือคำบริกรรม ก็ดี หรือจะเรียกอะไรสุดแล้วแต่

เมื่อประสบกับสภาวะ เช่นตัวอย่างนั่น ตัวโยก ตัวเอน ตัวพอง ฯลฯ หรือตัวอย่างไหนๆก็ตาม กำหนดจิตตรงๆสภาวะนั้นทุกๆขณะ ไม่หลบไม่หนีความจริง มันยังไงก็ยังงั้น รู้สึกว่าตัวโยก ก็ตัวโยกหนอๆๆ ตัวเอนหนอๆๆ ตัวพองหนอๆๆ เป็นต้น เมื่อกำหนดจิตตามที่มันเป็นแล้ว ตามพองกับยุบ พองหนอ ยุบหนอ ต่อไป

แต่ผู้ที่ใช้พุท-โธ หายใจเข้าว่าพุท หายใจออกว่าโธ นำไปประยุกต์ใช้ได้ มิใช่พุท-โธๆๆๆๆ อย่างเดียว ถ้าพุทโธๆๆๆๆๆลูกเดียวเป็นสมถะล้วน (สมาธิล้วน) พึงเทียบหลักสติปัฏฐาน 4 ดังนั้น เพื่อจะให้เป็นสมถะกับวิปัสสนาคู่กัน ต้องกำหนดให้ครบ 4 ฐาน คือ กาย เวทนา จิต ธรรม

ตัวอย่าง

-ลมหายใจเข้า-ออกก็ดี อาการท้องพอง-ยุบลงก็ดี เดินจงกรม ซ้าย ย่าง หนอ ขวา ย่าง หนอ เป็นต้นก็ดี เป็นกายานุปัสสนา

-ขณะนั้นรู้สึกเป็นสุข, ทุกข์, หรือเฉยๆ กำหนดตามที่รู้สึก สุขหนอ ทุกข์หนอ เฉยๆหนอ เป็นเวทนานุปัสสนา

-จิตคิดนั่นนี่พล่านไปไม่เกาะกรรมฐาน (คือพอง-ยุบ หรือลมเข้า-ออก) กำหนดตรงๆ คิดหนอๆๆ เป็นจิตตานุปัสสนา

-รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน เบื่อ เซ็ง ขี้เกียจ เป็นต้น กำหนดตามอาการ ง่วงหนอๆๆ ฯลฯ เป็นธัมมานุปัสสนา

ถ้ากำหนดได้ 4 ฐานอย่างนั้น ก็เข้าหลักสติปัฏฐาน 4 (ฐานใดไม่เกิด เช่น เวทนา ไม่เกิด ก็ไม่ต้องไปทำให้มันเกิด)

เมื่อกำหนดทุกๆสภาวะตามที่มันเป็นอย่างนั้นแล้ว กุศลธรรมเช่นสติ สัมปชัญญะ สมาธิ เป็นต้น เข้าหมด โดยไม่ต้องไปร่ำร้องเรียกหาธรรมๆๆๆ หรือไปตั้งชื่ออารมณ์ลูก อารมณ์หลาน อารมณ์เหลน อารมณ์โหลน อย่างท่านอโศก ไม่เอาๆ ถ้าอย่างนี้ภาคปฏิบัติเขาเรียกฟุ้งซ่าน คิกๆๆ คิดฟุ้งซ่านแบบนี้ ถ้าไปเดินไต่ไม้ข้ามท้องร่องตกน้ำตกท่าเปียกปอนเปล่าๆ :b32:


คนฝึกจิตเหมือนคนฝึกลิง ต้องใจเย็นๆใจร้อนไม่ได้ ฝึกไปสังเกตไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2016, 09:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านอโศกทิ้งหนอไปแล้ว :b1: สุดท้ายท่านคงทิ้งหมดแม้กุงเกงในก็จะไม่เหลือ ยิ่งกว่าสุรพล ซึ่งยังเหลือกางเกงในติดกาย ไม่เชื่อก็ฟัง :b1:

https://www.youtube.com/watch?v=9sVsuYILhH8

พอๆเข้าเรื่องได้ เด๋วจะว่ากรัชกายฟุ้งซ่านอีก :b13:

เอ้านำภาคปฏิบัติที่เขาใช้คำพุท กับ โธกำกับจิตให้แนบอยู่กับลมเข้า-ลมออก (พูดให้เคลีย) ให้ท่านอโศกได้ศึกษาเรียนรู้ นอกจากใยแมงมุมทั้งนั้นบ้าง เช่นที่ว่า



ข้าพเจ้าได้นั่งสมาธิแบบสมถกัมมัฏฐาน (ภาวนา พุท-โธ) ดูลมหายใจเข้า-ออก ซึ่งปรากฏอาการดังต่อไปนี้

1.เมื่อคำภาวนาหายไป ลมหายใจจะละเอียดอ่อนมากเหมือนไม่ได้หายใจ ช่วงนี้จะรู้สึกผ่อนคลายสบายตัวมาก ตัวเบาหวิวเหมือนปุยฝ้าย

2.ตัวข้าพเจ้าเริ่มใหญ่ขึ้นๆๆ จนรู้สึกได้ว่ามันใหญ่ๆๆๆกว่าโลกใบนี้อีก มันขยายๆๆออกเหมือนไม่สิ้นสุด

3.ตัวโยกโคลงไปมาเอง (รู้สึกได้) บังคับมันไม่ได้เป็นแบบนี้ราว 10 กว่านาที

4.จุดนี้แหละที่สำคัญมากๆ...หลังจากตัวโยกเสร็จจิตมันเริ่มดิ่งลงๆ (เหมือนเราตกเหวตกจากที่สูงมากๆ) เหงื่อออกเต็มตัวทั้งๆทีอากาศเย็น ใจเต้นแบบรุนแรงมากๆจนข้าพเจ้ากลัวแต่ก็ฝืนมันต่อ..

5.จิตมันดิ่งลงๆๆจนลึกๆๆๆมากๆๆจนลึกถึงขั้นระดับอะตอมคือเล็กมากๆ ช่วงนี้รู้เลยว่าดิ่งลงในกายของตัวเอง ไม่มีข้างล่าง ไม่มีข้างบน ไม่มีซ้าย ไม่มีขวา ไม่มีขอบเขตที่สิ้นสุดเหมือนเป็นอนันตกาล (เหมือนลอยเคว้งในจักรวาล) ลมหายใจเหมือนหยุดไปเลยคือเหมือนมันจะหมดสติคือวิ้ง/วูบ ไปเลย ไม่ได้ยินเสียงข้างนอก ไม่รับรู้สภาวะข้างนอกใดๆทั้งสีน ดิ่งๆลงๆๆอยู่แบบนั้นจนเล็กๆๆๆๆจนเล็กกว่าระดับอะตอม ข้างในนั้นมืดสนิท ไม่ร้อน ไม่หนาว ดิ่งอยู่แบบนั้นแต่รู้สึกปลอดภัย เป็นอยู่แบบนั้นน่าจะราวๆครึ่งชั่วโมง

6. เมื่อดิ่งลงจนไม่รู้ว่าลึกขนาดไหน..ทีนี่จิตมันถอนขึ้นมาเอง เหมือนเรากำลังจะโผล่ขึ้นจากน้ำมาหายใจยังไงยังนั้น..พอขึ้นมาถึงที่นั่งภาวนาปุ๊บมัน..อ้าาา..สบายสุดๆนี่มันสวรรค์ชัดๆความสบายผ่อนคลายแบบพระท่านว่ามันเป็นอย่างนี้นี่เอง

7.เมื่อออกจากสมาธิแล้วยิ้มทั้งวันโดยไม่มีเหตุผล ใครด่าใครว่าใครนินทาก็ไม่รู้สึกโกรธ เย็นสบายอยู่อย่างนั้นทั้งวัน รู้สึกเอิบอิ่มโดยที่ไม่ต้องทานข้าวทั้งวันเลย..สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมอีกอย่างคือ ใบหน้าผิวพรรณตอนนั้นของข้าพเจ้าขาวขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนจนเพื่อนๆถามว่าไปทำอะไรมาหน้าและผิวถึงขาวสว่างไสวแบบนี้...

ถามท่านผู้รู้ที่มีจิตเมตตาหน่อยครับว่าอาการแบบนี้เขาเรียกว่าอะไร ข้าพเจ้าเป็นบ้าจากการนั่งสมาธิหรือเปล่าและข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไรต่อไป...ขอบคุณทุกท่านที่ตอบและแนะนำล่วงหน้าครับ

http://pantip.com/topic/35951596

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2016, 10:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตำราดั่งเดิม (+ภาคปฏิบัติของตน) จะเข้ากันกับประสบการณ์ภาคปฏิบัติทางจิต อ่านแล้วเทียบกับสภาวะของโยคี คคห. บนก็เห็นว่า ถึงไหน ยังขาดตกตรงไหน

(ตัดเอาแค่นี้ก่อน พุทธธรรมหน้า 441)

ฯลฯ
ตามปกติ พระพุทธศาสนาชอบพูดอย่างง่ายๆตรงๆ เมื่อกล่าวถึงนิพพานก็ว่า เป็นภาวะดับกิเลสได้ หายร้อน จิตหลุดพ้น เป็นอิสระ ไร้ทุกข์ ผ่องใส เบิกบาน ไม่ติดข้อง ไม่ถูกครอบงำรัดรึง พูดทำนองนี้จบแล้ว ก็พอกัน ไม่ต้องไปรวมไปกลืนหายเข้าในอะไรๆอีก

พระอรหันต์ท่านหลุดโล่งโปร่งสบาย จิตใจไร้เขตแดน เป็นอิสรเสรีโดยสมบูรณ์แล้ว ไม่ปรากฏว่าท่านเคยคิดจะรวมเข้ากับอะไรๆอีก หรือว่าได้เข้ารวมกลมกลืนไปในอะไรๆแล้ว มีแต่ปุถุชนพยายามจะคิดให้ท่าน ซึ่งน่าจะเป็นเพียงเครื่องแสดงถึงเยื่อใยความอยากมีอยู่คงอยู่ และความกลัวสิ้นสูญ ตลอดจนความขัดแย้งในจิตใจที่ดิ้นรนแสดงตัวออกมาเท่านั้นเอง

โดยเฉพาะที่ต้องรีบปฏิเสธเสียแต่ต้น ไม่ให้เอามาปนกับนิพพาน ก็คือภาวะน้อมดิ่งดื่มด่ำเข้าไปรวมหรือกลมกลืนเข้ากับบรมสภาวะอย่างหนึ่งอย่างใดนั้น ชนิดที่กลายเป็นว่าจิตเลิกกำหนดอารมณ์ ปล่อยความรู้สึกให้หลุดหายไป เกิดเป็นประสบการณ์แห่งความเคลิบเคลิ้มเลือนลืมตัวตน กลืนหายเข้าไปในภาวะเคลิบเคลิ้มดื่มด่ำนั้น ทั้งนี้เพราะว่า แม้เพียงในภาวะแห่งฌานที่ปฏิบัติถูกต้อง เมื่อจิตเป็นสมาธิแน่วแน่แล้ว จิตแนบสนิทกับอารมณ์หนึ่งเดียว สติยิ่งจับอารมณ์ชัดเจน ทำให้จิตเหมาะที่จะใช้งานได้ดียิ่งขึ้น ไม่ใช่เป็นจิตที่เคลิบเคลิ้มเลือนหายหมดความรู้สึก ไม่ใช่อย่างที่ฝรั่งเรียก Trance

เฉพาะอย่างยิ่ง ฌานที่ ๔ มีคำแสดงลักษณะที่มีสติชัดเจนว่า “อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธิํ จตุตฺถํ ฌานํ” แปลว่า จตุตถฌานอันมีอุเบกขาเป็นเครื่องให้สติบริสุทธิ์ และคำสรุปท้ายฌาน ๔ เมื่อใช้เพื่อบรรลุวิชชา จะมีว่า “เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้มลทินปราศจากสิ่งมัวหมอง นุ่มนวล ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว จึงน้อมจิตนั้นไป (นำเอาจิตไปใช้) เพื่อ...” (เช่น ที.สี. 9/132/102 และดาษดื่นในพระไตรปิฎกเกือบทุกเล่ม...)


อย่างไรก็ตาม มีหลักกลางๆ ที่สามารถใช้วินิจฉัยได้อย่างกว้างๆ ทั่วๆไปสำหรับคำถามประเภทที่กล่าวข้างต้นนั้นว่า ไม่ว่า จะเป็นภาวะจิตที่ดื่มด่ำลึกซึ้งเข้าถึงสิ่งสูงเลิศเพียงใดก็ตาม หรือจะเป็นการกลมกลืนรวมเข้ากับอะไรหรือไม่ก็ตาม ความสำคัญอยู่ที่ว่า

ตราบใดยังมิได้ทำลายอาสวะ คือเชื้อกิเลสภายใน ให้หมดสิ้นไปด้วยปัญญาที่รู้เข้าใจสังขารหรือโลกและชีวิตที่เป็นอยู่อย่างปกติธรรมดานี้ ตามความเป็นจริง คือยังไม่บรรลุปัญญาวิมุตติ ตราบนั้นก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการบรรลุนิพพาน การเข้าถึงภาวะดื่มด่ำลึกซึ้งนั้น ก็จะยังวนเวียนอยู่เพียงในขอบเขตของผลสำเร็จทางด้านพลังจิต หรือทางด้านสมาธิ และความหลุดพ้นจากอำนาจครอบงำของกิเลส ก็จะยังคงเป็นเพียงภาวะที่กิเลสถูกข่มหรือถูกทับไว้ ให้สงบราบคาบไปชั่วคราว ซึ่งจะยาวนานเพียง ก็แล้วแต่ความแรงและความมั่นคงของพลังจิตที่น้อมดิ่งไปนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2016, 20:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


grin
พล่าม ฟุ้งไปทั่วเลยกรัชกาย

ศิษย์ติดอยู่ในผลสมาธิเพียงเล็กน้อยก็เอาไปโยงยุ่งไปหมด
สมาธิที่ฝึกหัดเป็นเพียงแค่ให้จิตตั้งมั่นควรแก่งานแล้วเอาไปใช้เจริญวิปัสสนา ไม่ใช่ไปเพลินปรุงแต่งกับผลของสมาธิจนเห็นเป็นของวิเศษ

สติมีกำลังว่องไวทันปัจจุบันอารมณ์ได้ดี สมาธิตั้งมั่นควรแก่งาน ปราศจากนิวรณ์รบกวน บัญญัติความคิดนึกสงบไปชั่วคราว เมื่อนำมาสังเกต พิจารณาในกายใจก็จะได้เห็นธรรมส่วนที่เป็นปรมัติ สันตติขาด นามรูปแยกจากกัน ญาณวิปัสสนาก็เริ่มต้นและเจริญรุดหน้าไปตามลำดับจนถึงมรรค ผล นิพพาน

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2016, 09:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

พล่าม ฟุ้งไปทั่วเลยกรัชกาย

ศิษย์ติดอยู่ในผลสมาธิเพียงเล็กน้อยก็เอาไปโยงยุ่งไปหมด
สมาธิที่ฝึกหัดเป็นเพียงแค่ให้จิตตั้งมั่นควรแก่งานแล้วเอาไปใช้เจริญวิปัสสนา ไม่ใช่ไปเพลินปรุงแต่งกับผลของสมาธิจนเห็นเป็นของวิเศษ

สติมีกำลังว่องไวทันปัจจุบันอารมณ์ได้ดี สมาธิตั้งมั่นควรแก่งาน ปราศจากนิวรณ์รบกวน บัญญัติความคิดนึกสงบไปชั่วคราว เมื่อนำมาสังเกต พิจารณาในกายใจก็จะได้เห็นธรรมส่วนที่เป็นปรมัติ สันตติขาด นามรูปแยกจากกัน ญาณวิปัสสนาก็เริ่มต้นและเจริญรุดหน้าไปตามลำดับจนถึงมรรค ผล นิพพาน[/size]


ถึงนิพพานแระ จบข่าว :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2016, 21:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

พล่าม ฟุ้งไปทั่วเลยกรัชกาย

ศิษย์ติดอยู่ในผลสมาธิเพียงเล็กน้อยก็เอาไปโยงยุ่งไปหมด
สมาธิที่ฝึกหัดเป็นเพียงแค่ให้จิตตั้งมั่นควรแก่งานแล้วเอาไปใช้เจริญวิปัสสนา ไม่ใช่ไปเพลินปรุงแต่งกับผลของสมาธิจนเห็นเป็นของวิเศษ

สติมีกำลังว่องไวทันปัจจุบันอารมณ์ได้ดี สมาธิตั้งมั่นควรแก่งาน ปราศจากนิวรณ์รบกวน บัญญัติความคิดนึกสงบไปชั่วคราว เมื่อนำมาสังเกต พิจารณาในกายใจก็จะได้เห็นธรรมส่วนที่เป็นปรมัติ สันตติขาด นามรูปแยกจากกัน ญาณวิปัสสนาก็เริ่มต้นและเจริญรุดหน้าไปตามลำดับจนถึงมรรค ผล นิพพาน[/size]


ถึงนิพพานแระ จบข่าว :b32:

:b13:
จบข่าวแล้วก็ปิดร้านกลับไปนอนพักผ่อนได้
:b35:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2016, 06:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
grin
พล่าม ฟุ้งไปทั่วเลยกรัชกาย

ศิษย์ติดอยู่ในผลสมาธิเพียงเล็กน้อยก็เอาไปโยงยุ่งไปหมด
สมาธิที่ฝึกหัดเป็นเพียงแค่ให้จิตตั้งมั่นควรแก่งานแล้วเอาไปใช้เจริญวิปัสสนา ไม่ใช่ไปเพลินปรุงแต่งกับผลของสมาธิจนเห็นเป็นของวิเศษ

สติมีกำลังว่องไวทันปัจจุบันอารมณ์ได้ดี สมาธิตั้งมั่นควรแก่งาน ปราศจากนิวรณ์รบกวน บัญญัติความคิดนึกสงบไปชั่วคราว เมื่อนำมาสังเกต พิจารณาในกายใจก็จะได้เห็นธรรมส่วนที่เป็นปรมัติ สันตติขาด นามรูปแยกจากกัน ญาณวิปัสสนาก็เริ่มต้นและเจริญรุดหน้าไปตามลำดับจนถึงมรรค ผล นิพพาน

onion


รู้สึกขำขำ..ที่อโสกะเต้นตามจังหวะตัวอย่าง...

และก้อ..ขำขำ..ที่คนยกตัวอย่างมา..ก็ไม่รู้..เขาทำจริง..รึว่า..เมคเรื่องขึ้น
เลยยกมามั่วไป

:b32: :b32: :b32:

กรัชกาย เขียน:
ท่านอโศกทิ้งหนอไปแล้ว :b1: สุดท้ายท่านคงทิ้งหมดแม้กุงเกงในก็จะไม่เหลือ ยิ่งกว่าสุรพล ซึ่งยังเหลือกางเกงในติดกาย ไม่เชื่อก็ฟัง :b1:

https://www.youtube.com/watch?v=9sVsuYILhH8

พอๆเข้าเรื่องได้ เด๋วจะว่ากรัชกายฟุ้งซ่านอีก :b13:

เอ้านำภาคปฏิบัติที่เขาใช้คำพุท กับ โธกำกับจิตให้แนบอยู่กับลมเข้า-ลมออก (พูดให้เคลีย) ให้ท่านอโศกได้ศึกษาเรียนรู้ นอกจากใยแมงมุมทั้งนั้นบ้าง เช่นที่ว่า



ข้าพเจ้าได้นั่งสมาธิแบบสมถกัมมัฏฐาน (ภาวนา พุท-โธ) ดูลมหายใจเข้า-ออก ซึ่งปรากฏอาการดังต่อไปนี้

1.เมื่อคำภาวนาหายไป ลมหายใจจะละเอียดอ่อนมากเหมือนไม่ได้หายใจ ช่วงนี้จะรู้สึกผ่อนคลายสบายตัวมาก ตัวเบาหวิวเหมือนปุยฝ้าย

2.ตัวข้าพเจ้าเริ่มใหญ่ขึ้นๆๆ จนรู้สึกได้ว่ามันใหญ่ๆๆๆกว่าโลกใบนี้อีก มันขยายๆๆออกเหมือนไม่สิ้นสุด

3.ตัวโยกโคลงไปมาเอง (รู้สึกได้) บังคับมันไม่ได้เป็นแบบนี้ราว 10 กว่านาที

4.จุดนี้แหละที่สำคัญมากๆ...หลังจากตัวโยกเสร็จจิตมันเริ่มดิ่งลงๆ (เหมือนเราตกเหวตกจากที่สูงมากๆ) เหงื่อออกเต็มตัวทั้งๆทีอากาศเย็น ใจเต้นแบบรุนแรงมากๆจนข้าพเจ้ากลัวแต่ก็ฝืนมันต่อ..

5.จิตมันดิ่งลงๆๆจนลึกๆๆๆมากๆๆจนลึกถึงขั้นระดับอะตอมคือเล็กมากๆ ช่วงนี้รู้เลยว่าดิ่งลงในกายของตัวเอง ไม่มีข้างล่าง ไม่มีข้างบน ไม่มีซ้าย ไม่มีขวา ไม่มีขอบเขตที่สิ้นสุดเหมือนเป็นอนันตกาล (เหมือนลอยเคว้งในจักรวาล) ลมหายใจเหมือนหยุดไปเลยคือเหมือนมันจะหมดสติคือวิ้ง/วูบ ไปเลย ไม่ได้ยินเสียงข้างนอก ไม่รับรู้สภาวะข้างนอกใดๆทั้งสีน ดิ่งๆลงๆๆอยู่แบบนั้นจนเล็กๆๆๆๆจนเล็กกว่าระดับอะตอม ข้างในนั้นมืดสนิท ไม่ร้อน ไม่หนาว ดิ่งอยู่แบบนั้นแต่รู้สึกปลอดภัย เป็นอยู่แบบนั้นน่าจะราวๆครึ่งชั่วโมง

6. เมื่อดิ่งลงจนไม่รู้ว่าลึกขนาดไหน..ทีนี่จิตมันถอนขึ้นมาเอง เหมือนเรากำลังจะโผล่ขึ้นจากน้ำมาหายใจยังไงยังนั้น..พอขึ้นมาถึงที่นั่งภาวนาปุ๊บมัน..อ้าาา..สบายสุดๆนี่มันสวรรค์ชัดๆความสบายผ่อนคลายแบบพระท่านว่ามันเป็นอย่างนี้นี่เอง

7.เมื่อออกจากสมาธิแล้วยิ้มทั้งวันโดยไม่มีเหตุผล ใครด่าใครว่าใครนินทาก็ไม่รู้สึกโกรธ เย็นสบายอยู่อย่างนั้นทั้งวัน รู้สึกเอิบอิ่มโดยที่ไม่ต้องทานข้าวทั้งวันเลย..สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมอีกอย่างคือ ใบหน้าผิวพรรณตอนนั้นของข้าพเจ้าขาวขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนจนเพื่อนๆถามว่าไปทำอะไรมาหน้าและผิวถึงขาวสว่างไสวแบบนี้...

ถามท่านผู้รู้ที่มีจิตเมตตาหน่อยครับว่าอาการแบบนี้เขาเรียกว่าอะไร ข้าพเจ้าเป็นบ้าจากการนั่งสมาธิหรือเปล่าและข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไรต่อไป...ขอบคุณทุกท่านที่ตอบและแนะนำล่วงหน้าครับ

http://pantip.com/topic/35951596


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 77 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 32 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร