วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 05:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 77 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2017, 15:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
grin

พล่าม ฟุ้งไปทั่วเลยกรัชกาย

ศิษย์ติดอยู่ในผลสมาธิเพียงเล็กน้อยก็เอาไปโยงยุ่งไปหมด
สมาธิที่ฝึกหัดเป็นเพียงแค่ให้จิตตั้งมั่นควรแก่งานแล้วเอาไปใช้เจริญวิปัสสนา ไม่ใช่ไปเพลินปรุงแต่งกับผลของสมาธิจนเห็นเป็นของวิเศษ

สติมีกำลังว่องไวทันปัจจุบันอารมณ์ได้ดี สมาธิตั้งมั่นควรแก่งาน ปราศจากนิวรณ์รบกวน บัญญัติความคิดนึกสงบไปชั่วคราว เมื่อนำมาสังเกต พิจารณาในกายใจก็จะได้เห็นธรรมส่วนที่เป็นปรมัติ สันตติขาด นามรูปแยกจากกัน ญาณวิปัสสนาก็เริ่มต้นและเจริญรุดหน้าไปตามลำดับจนถึงมรรค ผล นิพพาน[/size]
onion


รู้สึกขำขำ..ที่อโสกะเต้นตามจังหวะตัวอย่าง...

และก้อ..ขำขำ..ที่คนยกตัวอย่างมา..ก็ไม่รู้..เขาทำจริง..รึว่า..เมคเรื่องขึ้น
เลยยกมามั่วไป


กรัชกาย เขียน:
ท่านอโศกทิ้งหนอไปแล้ว :b1: สุดท้ายท่านคงทิ้งหมดแม้กุงเกงในก็จะไม่เหลือ ยิ่งกว่าสุรพล ซึ่งยังเหลือกางเกงในติดกาย ไม่เชื่อก็ฟัง :b1:



พอๆเข้าเรื่องได้ เด๋วจะว่ากรัชกายฟุ้งซ่านอีก

เอ้านำภาคปฏิบัติที่เขาใช้คำพุท กับ โธกำกับจิตให้แนบอยู่กับลมเข้า-ลมออก (พูดให้เคลีย) ให้ท่านอโศกได้ศึกษาเรียนรู้ นอกจากใยแมงมุมทั้งนั้นบ้าง เช่นที่ว่า



ข้าพเจ้าได้นั่งสมาธิแบบสมถกัมมัฏฐาน (ภาวนา พุท-โธ) ดูลมหายใจเข้า-ออก ซึ่งปรากฏอาการดังต่อไปนี้

1.เมื่อคำภาวนาหายไป ลมหายใจจะละเอียดอ่อนมากเหมือนไม่ได้หายใจ ช่วงนี้จะรู้สึกผ่อนคลายสบายตัวมาก ตัวเบาหวิวเหมือนปุยฝ้าย

2.ตัวข้าพเจ้าเริ่มใหญ่ขึ้นๆๆ จนรู้สึกได้ว่ามันใหญ่ๆๆๆกว่าโลกใบนี้อีก มันขยายๆๆออกเหมือนไม่สิ้นสุด

3.ตัวโยกโคลงไปมาเอง (รู้สึกได้) บังคับมันไม่ได้เป็นแบบนี้ราว 10 กว่านาที

4.จุดนี้แหละที่สำคัญมากๆ...หลังจากตัวโยกเสร็จจิตมันเริ่มดิ่งลงๆ (เหมือนเราตกเหวตกจากที่สูงมากๆ) เหงื่อออกเต็มตัวทั้งๆทีอากาศเย็น ใจเต้นแบบรุนแรงมากๆจนข้าพเจ้ากลัวแต่ก็ฝืนมันต่อ..

5.จิตมันดิ่งลงๆๆจนลึกๆๆๆมากๆๆจนลึกถึงขั้นระดับอะตอมคือเล็กมากๆ ช่วงนี้รู้เลยว่าดิ่งลงในกายของตัวเอง ไม่มีข้างล่าง ไม่มีข้างบน ไม่มีซ้าย ไม่มีขวา ไม่มีขอบเขตที่สิ้นสุดเหมือนเป็นอนันตกาล (เหมือนลอยเคว้งในจักรวาล) ลมหายใจเหมือนหยุดไปเลยคือเหมือนมันจะหมดสติคือวิ้ง/วูบ ไปเลย ไม่ได้ยินเสียงข้างนอก ไม่รับรู้สภาวะข้างนอกใดๆทั้งสีน ดิ่งๆลงๆๆอยู่แบบนั้นจนเล็กๆๆๆๆจนเล็กกว่าระดับอะตอม ข้างในนั้นมืดสนิท ไม่ร้อน ไม่หนาว ดิ่งอยู่แบบนั้นแต่รู้สึกปลอดภัย เป็นอยู่แบบนั้นน่าจะราวๆครึ่งชั่วโมง

6. เมื่อดิ่งลงจนไม่รู้ว่าลึกขนาดไหน..ทีนี่จิตมันถอนขึ้นมาเอง เหมือนเรากำลังจะโผล่ขึ้นจากน้ำมาหายใจยังไงยังนั้น..พอขึ้นมาถึงที่นั่งภาวนาปุ๊บมัน..อ้าาา..สบายสุดๆนี่มันสวรรค์ชัดๆความสบายผ่อนคลายแบบพระท่านว่ามันเป็นอย่างนี้นี่เอง

7.เมื่อออกจากสมาธิแล้วยิ้มทั้งวันโดยไม่มีเหตุผล ใครด่าใครว่าใครนินทาก็ไม่รู้สึกโกรธ เย็นสบายอยู่อย่างนั้นทั้งวัน รู้สึกเอิบอิ่มโดยที่ไม่ต้องทานข้าวทั้งวันเลย..สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมอีกอย่างคือ ใบหน้าผิวพรรณตอนนั้นของข้าพเจ้าขาวขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนจนเพื่อนๆถามว่าไปทำอะไรมาหน้าและผิวถึงขาวสว่างไสวแบบนี้...

ถามท่านผู้รู้ที่มีจิตเมตตาหน่อยครับว่าอาการแบบนี้เขาเรียกว่าอะไร ข้าพเจ้าเป็นบ้าจากการนั่งสมาธิหรือเปล่าและข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไรต่อไป...ขอบคุณทุกท่านที่ตอบและแนะนำล่วงหน้าครับ

http://pantip.com/topic/35951596



อ้างคำพูด:
ก้อ..ขำขำ..ที่คนยกตัวอย่างมา..ก็ไม่รู้..เขาทำจริง..รึว่า..เมคเรื่องขึ้น
เลยยกมามั่วไป


มั่วยังไงอ่ะ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2017, 18:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พันทิพตั้งกระทู้ถามเปรียบเทียบระหว่างคำว่า พุทโธ กับ หนอ กัน 2 กท. เช่นว่า


สอบถามระหว่าง พุธโท กับ สายหนอ

ระหว่างภาวนา "พุธโท" กับ "สายหนอ"
ผมเคยฝึกมาทั้งสองแบบ แต่ดูเหมือนจะชอบ "พุธโท" มากกว่า
ส่วน "สายหนอ" เวลามีสภาวะอะไรเกิดขึ้นก็ให้กำหนดรู้ให้ทัน เช่นเวลาปวด ก็เปลี่ยนมารู้ตรงปวดแทน แล้วบริกรรมว่า "ปวดหนอ"
เลยอยากจะมากถามว่า ประสบการณ์ของแต่ละคนอันไหนให้ผลดีกว่ากัน ขอแบบประสบการณ์จริงๆนะ ไม่ใช่จำมาตอบ

https://pantip.com/topic/36040125

ผมเข้าใจถูกเปล่า ฝ่ายมหานิกาย นิยมไปเรียนจากพม่า เป็นสายยุบหนอ ส่วนสายธรรมยุติ ส่วนใหญ่จะสายป่า นิยมพุทโธ

คิดแบบนี้พอจะถูกไหม ?

https://pantip.com/topic/36037543

ทั่วๆไปก็ยังยึดติดหนอ ติดพุทโธกันต่อไป

ไม่ใช้หนอ ใช้คำอื่นแทนได้ ไม่เอาหนอเลยก็ยังได้

ไม่ใช้พุทโธ ใช้ธัมโม สังโฆ แทนก็ได้

ที่สำคัญคือรู้ตัวสภาวะที่ปรากฎในขณะนั้นๆ เช่นทุกขเวทนา เป็นต้นนั่นแหละ เมื่อรู้แล้วก็แล้ว ไม่ใช่ไปจมไปแช่อยู่กับมัน อารมณ์ที่เป็นหลักคืออาการท้องพอง กับ ท้องยุบ (พองขึ้น ยุบลงแต่ละขณะๆ)

ผู้ใช้ลมอัสสาสะ ปัสสาสะ ลมเข้าลมออกโดยตรงแล้วว่า พุท-โธ แต่ละขณะๆก็ทำนองเดียวกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2017, 20:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1067

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เข้าใจคำว่าสักแต่ว่าไหม คำว่าสักแต่ว่า คือเห็นแค่สักแต่ว่าต้น กลาง สุด คือเห็นตัว จะ สิ่งนั้นก็จะดับไปให้เห็น สมกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนว่า ผู้ใดรู้ทันสภาวะนั้นย่อมดับ จะเป็น ลมหายใจเข้า หรือ ความจะคิด หรือจะรู้ไม่ทัน ก็เพียงเพื่อสักแต่ว่าแตะแล้วก็ดับเท่านั้นเอง สมกับคำสอนที่พระองค์ทรงตรัสว่า ถ้าท่านปราถนาจิตสงบเป็นอันสงบแล้วเพราะรู้ทันอยู่ ปราถนาจิตหลุดพ้น เป็นอันหลุดพ้นแล้ว เพราะกำหนดรู้ทันอยู่ เพราะว่าสภาวะเขาเกิดที่ตา เขาก็ดับที่ตา เขาเกิดที่ใจก็ดับที่ใจ คอยความรู้ทันว่าใครจะใส่ใจได้ถึงแค่นั้นเอง จะคิดหนอๆ

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2017, 20:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


muisun เขียน:
เข้าใจคำว่าสักแต่ว่าไหม คำว่าสักแต่ว่า คือเห็นแค่สักแต่ว่าต้น กลาง สุด คือเห็นตัว จะ สิ่งนั้นก็จะดับไปให้เห็น สมกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนว่า ผู้ใดรู้ทันสภาวะนั้นย่อมดับ จะเป็น ลมหายใจเข้า หรือ ความจะคิด หรือจะรู้ไม่ทัน ก็เพียงเพื่อสักแต่ว่าแตะแล้วก็ดับเท่านั้นเอง สมกับคำสอนที่พระองค์ทรงตรัสว่า ถ้าท่านปราถนาจิตสงบเป็นอันสงบแล้วเพราะรู้ทันอยู่ ปราถนาจิตหลุดพ้น เป็นอันหลุดพ้นแล้ว เพราะกำหนดรู้ทันอยู่ เพราะว่าสภาวะเขาเกิดที่ตา เขาก็ดับที่ตา เขาเกิดที่ใจก็ดับที่ใจ คอยความรู้ทันว่าใครจะใส่ใจได้ถึงแค่นั้นเอง จะคิดหนอๆ

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์



อ้างคำพูด:
ผู้ใดรู้ทันสภาวะนั้นย่อมดับ จะเป็นลมหายใจเข้า หรือความจะคิด หรือจะรู้ไม่ทัน ก็เพียงเพื่อสักแต่ว่าแตะแล้วก็ดับเท่านั้นเอง


ไม่ค่อยเข้าใจ ขอถามหน่อย คือที่ว่า

อ้างคำพูด:
ผู้ใดรู้ทันสภาวะนั้นย่อมดับ จะเป็นลมหายใจเข้า...แตะแล้วก็ดับเท่านั้นเอง


ลมหายใจย่อมดับ คือ แตะแล้วก็ดับไปเท่านั้น นี่มันยังไง :b10: ไม่ค่อยเข้าใจ "ดับ" มันไม่หายใจหรือยังไง :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2017, 20:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1067

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำว่าดับ หมายความว่า ไม่มีคำถาม ไม่มีคำตอบ ไม่มีความชอบ ไม่มีความชัง ไม่มีความเฉย มีแต่รู้ทันล้วน คือดับ สมุทัยได้แล้ว แล้วก็จะถึงสภาวะแห่งการดับไปทั้งรูปและทั้งนาม สมกับพุทธพจน์บทหนึ่งที่ว่า ดับเกลี้ยงไม่เหลือหรอ สำหรับผู้ที่ขยันระลึกรู้ทันสังเกตถึงต้นเหตุ จะเผลอหนอๆ จะหมดความรู้สึกเหมือนไฟกระพริบ เพราะวิญญาณดับ ต้องรู้เองเห็นเองจึงจะหายสงสัย จะคิดหนอๆ

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2017, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


muisun เขียน:
คำว่าดับ หมายความว่า ไม่มีคำถาม ไม่มีคำตอบ ไม่มีความชอบ ไม่มีความชัง ไม่มีความเฉย มีแต่รู้ทันล้วน คือดับ สมุทัยได้แล้ว แล้วก็จะถึงสภาวะแห่งการดับไปทั้งรูปและทั้งนาม สมกับพุทธพจน์บทหนึ่งที่ว่า ดับเกลี้ยงไม่เหลือหรอ สำหรับผู้ที่ขยันระลึกรู้ทันสังเกตถึงต้นเหตุ จะเผลอหนอๆ จะหมดความรู้สึกเหมือนไฟกระพริบ เพราะวิญญาณดับ ต้องรู้เองเห็นเองจึงจะหายสงสัย จะคิดหนอๆ

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์



อ้างคำพูด:
คำว่าดับ หมายความว่า ไม่มีคำถาม ไม่มีคำตอบ ไม่มีความชอบ ไม่มีความชัง ไม่มีความเฉย มีแต่รู้ทันล้วน คือดับ สมุทัยได้แล้ว


อ้อ มันเป็นยังงี้นี่เอง ดับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2017, 20:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นคำถามเรื่องจงกรมประมาณว่า



การกำหนดการเดินจงกรม ต้องกดหนดกี่ขั้นอิริยาบถ ถึงจะไม่เป็นการไปปรุงแต่งเพิ่ม


ที่เขามักใช้ ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ซ้ายยกหนอ มาหนอ วางหนอ เหยียบหนอ

คือบางทีก็กำหนดหลายขั้นตอนมากเลย เอาจริงๆแล้วจะเป็นการไปปรุงแต่งเพิ่มหรือเปล่า

เรากำหนดแบบ ซ้ายก้าวหนอ ขวาก้าวหนอ ซ้ายเหยียบพื้นหนอ ขวาเหยียบพื้นหนอ.. แค่นี้ไม่ได้เหรอครับ

https://pantip.com/topic/36047622



รูปภาพ


จงกรม เดินไปมาโดยมีสติกำกับ (สติเกาะจับอาการก้าวไปๆ )



คือ ท่านใช้การเดินก้าวไปแต่ละก้าวๆ ซ้ายทีขวาทีสลับไปสลับมานั่นเจริญสติ ฝึกความรู้สึกตัวแต่ะละขณะๆ ร่างกายเคลื่อนไหว คือก้าวไปทีละก้าวๆ ใจก็ตามดูรู้ทันสลับไป-มา ซ้ายเป็นซ้าย ขวาเป็นขวา ไม่หลงไม่ลืม

ยิ่งเดินระยะสูงๆได้ นั่นแสดงว่าสติสมาธิจะต้องนิ่งแน่วพอสมควร

ยิ่งไปกว่านั้น ท่านก็ใช้การจงกรมนี่แหละปรับอินทรีย์คู่กับการนั่ง

แต่ก็ไปคิดนอกเรื่องกันสะหมด :b1:


http://group.wunjun.com/meditation/topic/614251-26682

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2017, 21:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วางบทบาทและหน้าที่ของ สติ กับ สัมปชัญญะให้สังเกตอีก


สติ ความระลึกได้, นึกได้, ความไม่เผลอ, การคุมใจไว้กับกิจหรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่ทำสิ่งที่เกี่ยวข้อง, จำการที่ทำและคำที่พูดแล้วแม้นานได้

สัมปชัญญะ ความรู้ตัวทั่วพร้อม, ความรู้ตระหนัก, ความรู้ชัดเข้าใจชัดซึ่งสิ่งที่นึกได้, มักมาคู่ กับ สติ


ในเบื้องต้น สมาธิก็มีอยู่ด้วย ปัญญาก็มีตามสมควรแก่การปฏิบัติ ไม่ใช่แค่นี้ ยังมีสัมปยุตธรรมอื่นๆอีก เช่น มนสิการเป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2017, 21:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
grin

พล่าม ฟุ้งไปทั่วเลยกรัชกาย

ศิษย์ติดอยู่ในผลสมาธิเพียงเล็กน้อยก็เอาไปโยงยุ่งไปหมด
สมาธิที่ฝึกหัดเป็นเพียงแค่ให้จิตตั้งมั่นควรแก่งานแล้วเอาไปใช้เจริญวิปัสสนา ไม่ใช่ไปเพลินปรุงแต่งกับผลของสมาธิจนเห็นเป็นของวิเศษ

สติมีกำลังว่องไวทันปัจจุบันอารมณ์ได้ดี สมาธิตั้งมั่นควรแก่งาน ปราศจากนิวรณ์รบกวน บัญญัติความคิดนึกสงบไปชั่วคราว เมื่อนำมาสังเกต พิจารณาในกายใจก็จะได้เห็นธรรมส่วนที่เป็นปรมัติ สันตติขาด นามรูปแยกจากกัน ญาณวิปัสสนาก็เริ่มต้นและเจริญรุดหน้าไปตามลำดับจนถึงมรรค ผล นิพพาน[/size]
onion


รู้สึกขำขำ..ที่อโสกะเต้นตามจังหวะตัวอย่าง...

และก้อ..ขำขำ..ที่คนยกตัวอย่างมา..ก็ไม่รู้..เขาทำจริง..รึว่า..เมคเรื่องขึ้น
เลยยกมามั่วไป


กรัชกาย เขียน:
ท่านอโศกทิ้งหนอไปแล้ว :b1: สุดท้ายท่านคงทิ้งหมดแม้กุงเกงในก็จะไม่เหลือ ยิ่งกว่าสุรพล ซึ่งยังเหลือกางเกงในติดกาย ไม่เชื่อก็ฟัง :b1:



พอๆเข้าเรื่องได้ เด๋วจะว่ากรัชกายฟุ้งซ่านอีก

เอ้านำภาคปฏิบัติที่เขาใช้คำพุท กับ โธกำกับจิตให้แนบอยู่กับลมเข้า-ลมออก (พูดให้เคลีย) ให้ท่านอโศกได้ศึกษาเรียนรู้ นอกจากใยแมงมุมทั้งนั้นบ้าง เช่นที่ว่า



ข้าพเจ้าได้นั่งสมาธิแบบสมถกัมมัฏฐาน (ภาวนา พุท-โธ) ดูลมหายใจเข้า-ออก ซึ่งปรากฏอาการดังต่อไปนี้

1.เมื่อคำภาวนาหายไป ลมหายใจจะละเอียดอ่อนมากเหมือนไม่ได้หายใจ ช่วงนี้จะรู้สึกผ่อนคลายสบายตัวมาก ตัวเบาหวิวเหมือนปุยฝ้าย

2.ตัวข้าพเจ้าเริ่มใหญ่ขึ้นๆๆ จนรู้สึกได้ว่ามันใหญ่ๆๆๆกว่าโลกใบนี้อีก มันขยายๆๆออกเหมือนไม่สิ้นสุด

3.ตัวโยกโคลงไปมาเอง (รู้สึกได้) บังคับมันไม่ได้เป็นแบบนี้ราว 10 กว่านาที

4.จุดนี้แหละที่สำคัญมากๆ...หลังจากตัวโยกเสร็จจิตมันเริ่มดิ่งลงๆ (เหมือนเราตกเหวตกจากที่สูงมากๆ) เหงื่อออกเต็มตัวทั้งๆทีอากาศเย็น ใจเต้นแบบรุนแรงมากๆจนข้าพเจ้ากลัวแต่ก็ฝืนมันต่อ..

5.จิตมันดิ่งลงๆๆจนลึกๆๆๆมากๆๆจนลึกถึงขั้นระดับอะตอมคือเล็กมากๆ ช่วงนี้รู้เลยว่าดิ่งลงในกายของตัวเอง ไม่มีข้างล่าง ไม่มีข้างบน ไม่มีซ้าย ไม่มีขวา ไม่มีขอบเขตที่สิ้นสุดเหมือนเป็นอนันตกาล (เหมือนลอยเคว้งในจักรวาล) ลมหายใจเหมือนหยุดไปเลยคือเหมือนมันจะหมดสติคือวิ้ง/วูบ ไปเลย ไม่ได้ยินเสียงข้างนอก ไม่รับรู้สภาวะข้างนอกใดๆทั้งสีน ดิ่งๆลงๆๆอยู่แบบนั้นจนเล็กๆๆๆๆจนเล็กกว่าระดับอะตอม ข้างในนั้นมืดสนิท ไม่ร้อน ไม่หนาว ดิ่งอยู่แบบนั้นแต่รู้สึกปลอดภัย เป็นอยู่แบบนั้นน่าจะราวๆครึ่งชั่วโมง

6. เมื่อดิ่งลงจนไม่รู้ว่าลึกขนาดไหน..ทีนี่จิตมันถอนขึ้นมาเอง เหมือนเรากำลังจะโผล่ขึ้นจากน้ำมาหายใจยังไงยังนั้น..พอขึ้นมาถึงที่นั่งภาวนาปุ๊บมัน..อ้าาา..สบายสุดๆนี่มันสวรรค์ชัดๆความสบายผ่อนคลายแบบพระท่านว่ามันเป็นอย่างนี้นี่เอง

7.เมื่อออกจากสมาธิแล้วยิ้มทั้งวันโดยไม่มีเหตุผล ใครด่าใครว่าใครนินทาก็ไม่รู้สึกโกรธ เย็นสบายอยู่อย่างนั้นทั้งวัน รู้สึกเอิบอิ่มโดยที่ไม่ต้องทานข้าวทั้งวันเลย..สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมอีกอย่างคือ ใบหน้าผิวพรรณตอนนั้นของข้าพเจ้าขาวขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนจนเพื่อนๆถามว่าไปทำอะไรมาหน้าและผิวถึงขาวสว่างไสวแบบนี้...

ถามท่านผู้รู้ที่มีจิตเมตตาหน่อยครับว่าอาการแบบนี้เขาเรียกว่าอะไร ข้าพเจ้าเป็นบ้าจากการนั่งสมาธิหรือเปล่าและข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไรต่อไป...ขอบคุณทุกท่านที่ตอบและแนะนำล่วงหน้าครับ

http://pantip.com/topic/35951596



อ้างคำพูด:
ก้อ..ขำขำ..ที่คนยกตัวอย่างมา..ก็ไม่รู้..เขาทำจริง..รึว่า..เมคเรื่องขึ้น
เลยยกมามั่วไป


มั่วยังไงอ่ะ :b10:


ยังไม่รู้อีกว่า..ตัวเองไม่รู้อะไร.. :b32: :b32: :b32:

ยกมามั่ว....เพราะไม่รู้ว่า..มันเป็นผลที่เขาทำจริง...รึว่า....เมคเรื่องขึ้น..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2017, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
grin

พล่าม ฟุ้งไปทั่วเลยกรัชกาย

ศิษย์ติดอยู่ในผลสมาธิเพียงเล็กน้อยก็เอาไปโยงยุ่งไปหมด
สมาธิที่ฝึกหัดเป็นเพียงแค่ให้จิตตั้งมั่นควรแก่งานแล้วเอาไปใช้เจริญวิปัสสนา ไม่ใช่ไปเพลินปรุงแต่งกับผลของสมาธิจนเห็นเป็นของวิเศษ

สติมีกำลังว่องไวทันปัจจุบันอารมณ์ได้ดี สมาธิตั้งมั่นควรแก่งาน ปราศจากนิวรณ์รบกวน บัญญัติความคิดนึกสงบไปชั่วคราว เมื่อนำมาสังเกต พิจารณาในกายใจก็จะได้เห็นธรรมส่วนที่เป็นปรมัติ สันตติขาด นามรูปแยกจากกัน ญาณวิปัสสนาก็เริ่มต้นและเจริญรุดหน้าไปตามลำดับจนถึงมรรค ผล นิพพาน[/size]
onion


รู้สึกขำขำ..ที่อโสกะเต้นตามจังหวะตัวอย่าง...

และก้อ..ขำขำ..ที่คนยกตัวอย่างมา..ก็ไม่รู้..เขาทำจริง..รึว่า..เมคเรื่องขึ้น
เลยยกมามั่วไป


กรัชกาย เขียน:
ท่านอโศกทิ้งหนอไปแล้ว :b1: สุดท้ายท่านคงทิ้งหมดแม้กุงเกงในก็จะไม่เหลือ ยิ่งกว่าสุรพล ซึ่งยังเหลือกางเกงในติดกาย ไม่เชื่อก็ฟัง :b1:



พอๆเข้าเรื่องได้ เด๋วจะว่ากรัชกายฟุ้งซ่านอีก

เอ้านำภาคปฏิบัติที่เขาใช้คำพุท กับ โธกำกับจิตให้แนบอยู่กับลมเข้า-ลมออก (พูดให้เคลีย) ให้ท่านอโศกได้ศึกษาเรียนรู้ นอกจากใยแมงมุมทั้งนั้นบ้าง เช่นที่ว่า



ข้าพเจ้าได้นั่งสมาธิแบบสมถกัมมัฏฐาน (ภาวนา พุท-โธ) ดูลมหายใจเข้า-ออก ซึ่งปรากฏอาการดังต่อไปนี้

1.เมื่อคำภาวนาหายไป ลมหายใจจะละเอียดอ่อนมากเหมือนไม่ได้หายใจ ช่วงนี้จะรู้สึกผ่อนคลายสบายตัวมาก ตัวเบาหวิวเหมือนปุยฝ้าย

2.ตัวข้าพเจ้าเริ่มใหญ่ขึ้นๆๆ จนรู้สึกได้ว่ามันใหญ่ๆๆๆกว่าโลกใบนี้อีก มันขยายๆๆออกเหมือนไม่สิ้นสุด

3.ตัวโยกโคลงไปมาเอง (รู้สึกได้) บังคับมันไม่ได้เป็นแบบนี้ราว 10 กว่านาที

4.จุดนี้แหละที่สำคัญมากๆ...หลังจากตัวโยกเสร็จจิตมันเริ่มดิ่งลงๆ (เหมือนเราตกเหวตกจากที่สูงมากๆ) เหงื่อออกเต็มตัวทั้งๆทีอากาศเย็น ใจเต้นแบบรุนแรงมากๆจนข้าพเจ้ากลัวแต่ก็ฝืนมันต่อ..

5.จิตมันดิ่งลงๆๆจนลึกๆๆๆมากๆๆจนลึกถึงขั้นระดับอะตอมคือเล็กมากๆ ช่วงนี้รู้เลยว่าดิ่งลงในกายของตัวเอง ไม่มีข้างล่าง ไม่มีข้างบน ไม่มีซ้าย ไม่มีขวา ไม่มีขอบเขตที่สิ้นสุดเหมือนเป็นอนันตกาล (เหมือนลอยเคว้งในจักรวาล) ลมหายใจเหมือนหยุดไปเลยคือเหมือนมันจะหมดสติคือวิ้ง/วูบ ไปเลย ไม่ได้ยินเสียงข้างนอก ไม่รับรู้สภาวะข้างนอกใดๆทั้งสีน ดิ่งๆลงๆๆอยู่แบบนั้นจนเล็กๆๆๆๆจนเล็กกว่าระดับอะตอม ข้างในนั้นมืดสนิท ไม่ร้อน ไม่หนาว ดิ่งอยู่แบบนั้นแต่รู้สึกปลอดภัย เป็นอยู่แบบนั้นน่าจะราวๆครึ่งชั่วโมง

6. เมื่อดิ่งลงจนไม่รู้ว่าลึกขนาดไหน..ทีนี่จิตมันถอนขึ้นมาเอง เหมือนเรากำลังจะโผล่ขึ้นจากน้ำมาหายใจยังไงยังนั้น..พอขึ้นมาถึงที่นั่งภาวนาปุ๊บมัน..อ้าาา..สบายสุดๆนี่มันสวรรค์ชัดๆความสบายผ่อนคลายแบบพระท่านว่ามันเป็นอย่างนี้นี่เอง

7.เมื่อออกจากสมาธิแล้วยิ้มทั้งวันโดยไม่มีเหตุผล ใครด่าใครว่าใครนินทาก็ไม่รู้สึกโกรธ เย็นสบายอยู่อย่างนั้นทั้งวัน รู้สึกเอิบอิ่มโดยที่ไม่ต้องทานข้าวทั้งวันเลย..สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมอีกอย่างคือ ใบหน้าผิวพรรณตอนนั้นของข้าพเจ้าขาวขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนจนเพื่อนๆถามว่าไปทำอะไรมาหน้าและผิวถึงขาวสว่างไสวแบบนี้...

ถามท่านผู้รู้ที่มีจิตเมตตาหน่อยครับว่าอาการแบบนี้เขาเรียกว่าอะไร ข้าพเจ้าเป็นบ้าจากการนั่งสมาธิหรือเปล่าและข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไรต่อไป...ขอบคุณทุกท่านที่ตอบและแนะนำล่วงหน้าครับ

http://pantip.com/topic/35951596



ก้อ..ขำขำ..ที่คนยกตัวอย่างมา..ก็ไม่รู้..เขาทำจริง..รึว่า..เมคเรื่องขึ้น
เลยยกมามั่วไป


มั่วยังไงอ่ะ


ยังไม่รู้อีกว่า..ตัวเองไม่รู้อะไร..

ยกมามั่ว....เพราะไม่รู้ว่า..มันเป็นผลที่เขาทำจริง...รึว่า....เมคเรื่องขึ้น..[/quote]


แสดงว่ากบดาวอังคารรู้ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2017, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้มาอีกตัวอย่างหนึ่ง :b1:

จขกท. เล่าไว้ยาว ตัดๆมา คือ จขกท. เป็นมะเร็งเต้านมระยะที่ 2 เบื้องต้นรักษากับหมอพระกินสมุนไพร ไม่หาย ซ้ำมะเร็งกลับลุกลามชัดขึ้น

จึงกลับมารักษากับแพทย์แผนปัจจุบัน (หมอคนเดิมที่จะผ่าตัดให้)

ทั้งรักษาจิตใจด้วยสมาธิบำบัด (จะเรียกทำกัมมัฏฐานอะไรก็เอา)

จขกท.ใช้บัตร 30 บาท

ต่อไปอ่านตามที่เขาเล่าคร่าวๆ เต็มๆจะแปะลิงค์ให้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2017, 21:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อเราเป็นมะเร็งและเกือบตาย เพราะเชื่อ และรักษาตัวแบบผิดๆ (สมาธิช่วยได้จริงๆ)

เมื่อต้นปี 2558 เดือนมกราคม เราตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมระยะ 2 และรักษาที่โรงพยาบาลภูมิพลและคุณหมอก็ได้ทำการนัดผ่าตัด วันที่2 กุมภาพันธ์ ซึ่งคุณหมอก็หาคิวให้แบบเร็วที่สุด (เราใช้บัตร 30 บาทในการรักษา) ตอนพบหมอก่อนผ่าตัด หมอก็บอกว่า (หมอขออย่างเดียว อย่ากินยาต้มหรือยาหม้อสมุนไพร นอกนั้นกินได้หมด หมอไม่ห้าม)

- ระยะเวลาก่อนที่จะผ่าตัด เราจิตตกไปมากเลย ไม่บอกใครว่าเราเป็นมะเร็ง เก็บตัวอยู่แต่บนเตียงไม่อยากทำอะไร ตื่นมาก็คิดแต่ว่า ฉันเป็นมะเร็งและทำไมต้องเป็นฉัน ช่วงระยะเวลานั้นห่อเหี่ยวไปหมดเป็นอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์

- ระหว่างรอที่จะผ่าตัด เราก็ปฏิบัติธรรมเองที่บ้าน เก็บตัวอยู่เงียบๆ ไม่อยากคุยกับใคร นั่งสมาธิและสวดมนต์ ตลอดเวลา (วันหนึ่งๆนั่งสมาธิหลายรอบ) จนวันหนึ่ง เราตื่นขึ้นมา และก็นึกไปว่า เรายังไม่ตายนี่ ยังเดินได้ยังขับรถได้ ยังทำอะไรได้เหมือนเดิม มะเร็งก็มะเร็งเถอะ ใจมันไม่กลัวขึ้นมาเลยทีนี้ ย้อนหลังกลับไปดูตัวเอง ตอนที่รู้สึกห่อเหี่ยวหดหู่ มันช่างหน้ากลัวจริงๆ คนที่พอรู้ว่าเป็นมะเร็งและถ้าท้อแท้หรือจิตใจเศร้าหมอง และถ้าตกอยู่ในอารมณ์นั้นๆ และคิดไม่ได้ มันหน้ากลัวมากๆ พลอยทำให้โรคกำเริบไปด้วย

ฯลฯ (ข้ามตอนรักษาวิธีของพระ)

เราโทรไปสอบถามกับพระว่าควรทำอย่างไรดี พระท่านก็ไม่รับสายเรา ได้แต่พิมพ์ทางข้อความ facebook ว่าไม่สะดวกรับสาย ให้พิมพ์ถาม เราเริ่มลังเลใจมากๆ ใจสุดท้าย ท่านก็พิมพ์บอกเราว่า แนะนำให้เราไปผ่าตัดและให้คีโม และค่อยกลับมารักษาตัวกลับที่วัดใหม่

จนเดือนมกราคม 2559 อาการเริ่มไม่ดี น้ำเหลืองจากใสๆ กลายเป็นน้ำเหลืองข้นๆ และขยายใหญ่ขึ้นเป็นวงกว้าง และรอบๆแผลเริ่มเปื่อย ถ้าหากว่าโดนหรือสะกิดก็จะเลือดไหล ต้องคอยซับทุกๆ 2 ชั่วโมง ทั้งปวดแผล ปวดลึกๆ ตุบๆ ในบางครั้ง

- ปลายเดือนมกราคม 2559 เลยติดสินใจ มาโรงพยาบาล พบคุณหมอคนเดิมที่เคยรักษาครั้งแรก พอหมอเห็นแผลท่านก็ได้แต่ส่ายหน้าว่า รักษาผ่าตัดให้ไม่ได้ เพราะแผลใหญ่เกิน แถมท่านยังต่อว่าอีกคือ หมอเคยขอแล้วใช่ไหมว่า อย่าไปกินยาต้มยาหม้อยาสมุนไพร แต่คุณก็ไปกิน ไม่เชื่อหมอ

-เราได้แต่นั่งร้องไห้ต่อหน้าหมอ เพราะเราผิดเองที่ไม่เชื่อหมอแต่แรก โรคเลยเป็นมากถ้าผ่าตัดตอนนั้น ก็คงไม่ทรมานแบบนี้

- เราทรมานมากๆ จากเดือน มกราคม-พฤษภาคม ระยะเวลาเกือบ 5 เดือน เราไม่เคยได้นอนหลับ (เราต้องใช้ท่านั่งหลับ เพราะถ้านอนราบ น้ำเหลืองจะไหลย้อนกลับทั้งเลือดด้วย) เราต้องนั่งหลับเอา ทรมานสุดๆ ไหนจะเลือดไหล ไหนจะน้ำเหลืองไหลตลอด คิดย้อนไปแล้ว มันช่างน่าสงสารตัวเองจริงๆ

และระยะเวลาการให้คีโมนี้เองที่เราก็ปฏิบัติธรรมแบบเร่งความเพียรมากๆ จิตใจไม่ท้อแท้ตามร่างกาย กลับสดชื่นในจิตใจลึกๆ ทุกครั้งที่เรานั่งสมาธิ เราแผ่เมตตาให้ตัวเอง และเจ้ากรรมนายเวร และอธิฐานว่า เราไม่รู้ว่าเราทำกรรมอะไรไว้ แต่เราขอชดใช้ให้

ถ้าหากว่าไม่พอใจที่เราทำยังไม่พอคือนั่งสมาธิ ก็เอาเราตายไปเลย เราไม่กลัวตาย

แต่ถ้าหากว่าเราไม่ตาย เราก็จะนั่งสมาธิต่อไป (เราอธิฐานแบบนี้ทุกครั้ง) และเราคิดว่าชีวิตที่เหลือคือโบนัส ถ้าไม่ตายก็ จะสร้างบุญใส่ตัวไปเรื่อยๆ เพราะว่าตายแล้วอะไรเอาไปไม่ได้นอกจากบุญกับบาปเท่านั้น

- เวลาที่เรานั่งสมาธิ เหมือนถึงจุดที่สงบแล้ว เราจะเพ่งไปที่ก้อนเนื้อ และแผ่เมตตาให้ตัวเอง ค่อยๆไล่ลมออกทางปลายเท้า

- สรุปเราก็ไม่ต้องให้คีโมต่อ แต่ว่าฉายแสง25 แสง ก็จบกระบวนการรักษาทานยาวันเม็ด ต้านโฮโมน (5 ปี)

- เราดีใจมากที่ไม่ต้องให้คีโมต่อ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ทุกวันนี้เราไปพบหมอ หมอก็ได้แต่บอกว่า คุณต้องทำบุญมามาก หรือมีบุญเก่ามาช่วย เพราะว่าในเคสของเรา ทุกอย่างมันหน้าจะแย่กว่านี้ แต่ของเราพอผ่าตัดเสร็จ ทุกๆอย่าง ปรกติดีหมด

- หลังผ่าตัดจนถึงปัจจุบัน ร่างกายเราแข็งแรงมากๆ ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ สดชื่นตลอดเวลา และระหว่างเราเป็นมะเร็ง เราไม่เคยปวดหัวเลย (ก่อนหน้าที่จะรู้ว่าเป็นมะเร็ง จะปวดหัวบ่อยๆ ต้องทานยาแก้ปวด) 2 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยปวดหัวสักครั้ง เป็นไข้ก็ไม่เป็น ปวดท้องก็ไม่ปวด ไม่ติดเชื้อเลย

- แต่เราก็ไม่ประมาทในชีวิต เพราะเราผ่านความเจ็บปวดทรมานมากๆมาแล้ว ทนทุกข์กับร่างกายสังขารที่แย่สุดๆ เราต่อสู้ความเจ็บปวดด้วยสมาธิและการปฏิบัติธรรม ไม่กลัวความตายเลย ยิ่งภาวนามากๆ จิตใจยิ่งเข้มแข็ง มองเห็นความตายแค่เอื้อม

เรากลับรู้สึกขอบคุณ มะเร็งที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น ทำให้เราไม่ประมาท ไม่เสียใจที่เป็นโรคมะเร็งเลย ภูมิใจด้วยซ้ำที่เราต่อสู้มาได้ คำว่ามะเร็งเรารู้สึกเฉยๆ ถ้าใจเราดีแล้ว ร่างกายก็แค่นั้น
(เราคิดแบบนั้นจริง)

เราใช้ชีวิตได้ปรกติแล้วตอนนี้ เราเป็นโรคมะเร็ง มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเราไม่สบายถ้าเราไม่บอก ก็ไม่มีใครรู้เลย แม้แต่ใกล้ๆบ้านเรา ไม่มีใครรู้เลย เวลาที่เราเห็นคนเป็นมะเร็ง และท้อแท้หดหู่และไม่สู้กับชีวิต เราอยากจะบอกว่า ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ยังไม่ตาย ก็อย่าได้ไปท้อแท้เลย สู้กับมัน ไม่แพ้ก็ชนะ อย่างดีก็แค่ตายเท่านั้น ใจนั้นสำคัญที่สุด ถ้าใจเราเข้มแข็งแล้ว อะไรก็ทำอะไรเราไม่ได้

- เราไม่โกรธทางวัดที่แนะนำเราแต่แรกแบบผิดๆในการรักษา ที่ทำให้เราเกือบเอาชีวิตไม่รอดและต้องเจอกับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานร่างกาย เราคิดแค่ว่า มันเป็นวิบากกรรม ที่เราต้องเจอ ต่อให้ต่อไปนี้ ถ้าเราต้องเจออะไรอีก เราก็พร้อมที่จะรับมือกับมัน และต่อสู้ต่อไป จนกว่าจะหมดลมหายใจ

- เรายอมออกมาเปิดเผยเรื่องราวตัวเอง เพราะว่าต้องการให้คนที่กำลังตัดสินใจในการรักษาตัวเอง ถ้าเกิดเป็นโรคแบบเรา จะได้ไม่ตัดสินใจผิดพลาด และต้องเจอกับความเจ็บปวดทรมาน และเสี่ยงกับความตาย ถ้ารักษาไม่ทัน หวังว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่ได้อ่านเรื่องราวของเรา

- แถมท้ายค่ะ...ตั้งแต่เรากลับมารักษาตัวกับแพทย์ปัจจุบัน เราใช้บัตร 30 บาท ในการรักษา ไม่เสียเงินเลย ทุกอย่างฟรีทุกขั้นตอน

ทุกวันนี้ ใครให้กินยาบำรุง หรือยาอะไรที่ว่า แก้มะเร็งได้ เราไม่กิน ต่อให้กินฟรีเราก็ไม่กิน เสียเงินเราก็ไม่กิน 30% เรารักษาตามที่หมอบอกให้ทำ ส่วนอีก 70% เรารักษาใจเรา ปฏิบัติธรรมให้ใจเข้มแข็งดีที่สุด

https://pantip.com/topic/36077522

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2017, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยามบุญมาปัญญาช่วย ที่ป่วยก็หายที่หน่ายก็รัก

บุญไม่มาปัญญาไม่ช่วย ที่ป่วยก็หนักที่รักก็หน่าย

(หลวงวิจิตร วาทการ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2017, 21:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
grin

พล่าม ฟุ้งไปทั่วเลยกรัชกาย

ศิษย์ติดอยู่ในผลสมาธิเพียงเล็กน้อยก็เอาไปโยงยุ่งไปหมด
สมาธิที่ฝึกหัดเป็นเพียงแค่ให้จิตตั้งมั่นควรแก่งานแล้วเอาไปใช้เจริญวิปัสสนา ไม่ใช่ไปเพลินปรุงแต่งกับผลของสมาธิจนเห็นเป็นของวิเศษ

สติมีกำลังว่องไวทันปัจจุบันอารมณ์ได้ดี สมาธิตั้งมั่นควรแก่งาน ปราศจากนิวรณ์รบกวน บัญญัติความคิดนึกสงบไปชั่วคราว เมื่อนำมาสังเกต พิจารณาในกายใจก็จะได้เห็นธรรมส่วนที่เป็นปรมัติ สันตติขาด นามรูปแยกจากกัน ญาณวิปัสสนาก็เริ่มต้นและเจริญรุดหน้าไปตามลำดับจนถึงมรรค ผล นิพพาน[/size]
onion


รู้สึกขำขำ..ที่อโสกะเต้นตามจังหวะตัวอย่าง...

และก้อ..ขำขำ..ที่คนยกตัวอย่างมา..ก็ไม่รู้..เขาทำจริง..รึว่า..เมคเรื่องขึ้น
เลยยกมามั่วไป


กรัชกาย เขียน:
ท่านอโศกทิ้งหนอไปแล้ว :b1: สุดท้ายท่านคงทิ้งหมดแม้กุงเกงในก็จะไม่เหลือ ยิ่งกว่าสุรพล ซึ่งยังเหลือกางเกงในติดกาย ไม่เชื่อก็ฟัง :b1:



พอๆเข้าเรื่องได้ เด๋วจะว่ากรัชกายฟุ้งซ่านอีก

เอ้านำภาคปฏิบัติที่เขาใช้คำพุท กับ โธกำกับจิตให้แนบอยู่กับลมเข้า-ลมออก (พูดให้เคลีย) ให้ท่านอโศกได้ศึกษาเรียนรู้ นอกจากใยแมงมุมทั้งนั้นบ้าง เช่นที่ว่า



ข้าพเจ้าได้นั่งสมาธิแบบสมถกัมมัฏฐาน (ภาวนา พุท-โธ) ดูลมหายใจเข้า-ออก ซึ่งปรากฏอาการดังต่อไปนี้

1.เมื่อคำภาวนาหายไป ลมหายใจจะละเอียดอ่อนมากเหมือนไม่ได้หายใจ ช่วงนี้จะรู้สึกผ่อนคลายสบายตัวมาก ตัวเบาหวิวเหมือนปุยฝ้าย

2.ตัวข้าพเจ้าเริ่มใหญ่ขึ้นๆๆ จนรู้สึกได้ว่ามันใหญ่ๆๆๆกว่าโลกใบนี้อีก มันขยายๆๆออกเหมือนไม่สิ้นสุด

3.ตัวโยกโคลงไปมาเอง (รู้สึกได้) บังคับมันไม่ได้เป็นแบบนี้ราว 10 กว่านาที

4.จุดนี้แหละที่สำคัญมากๆ...หลังจากตัวโยกเสร็จจิตมันเริ่มดิ่งลงๆ (เหมือนเราตกเหวตกจากที่สูงมากๆ) เหงื่อออกเต็มตัวทั้งๆทีอากาศเย็น ใจเต้นแบบรุนแรงมากๆจนข้าพเจ้ากลัวแต่ก็ฝืนมันต่อ..

5.จิตมันดิ่งลงๆๆจนลึกๆๆๆมากๆๆจนลึกถึงขั้นระดับอะตอมคือเล็กมากๆ ช่วงนี้รู้เลยว่าดิ่งลงในกายของตัวเอง ไม่มีข้างล่าง ไม่มีข้างบน ไม่มีซ้าย ไม่มีขวา ไม่มีขอบเขตที่สิ้นสุดเหมือนเป็นอนันตกาล (เหมือนลอยเคว้งในจักรวาล) ลมหายใจเหมือนหยุดไปเลยคือเหมือนมันจะหมดสติคือวิ้ง/วูบ ไปเลย ไม่ได้ยินเสียงข้างนอก ไม่รับรู้สภาวะข้างนอกใดๆทั้งสีน ดิ่งๆลงๆๆอยู่แบบนั้นจนเล็กๆๆๆๆจนเล็กกว่าระดับอะตอม ข้างในนั้นมืดสนิท ไม่ร้อน ไม่หนาว ดิ่งอยู่แบบนั้นแต่รู้สึกปลอดภัย เป็นอยู่แบบนั้นน่าจะราวๆครึ่งชั่วโมง

6. เมื่อดิ่งลงจนไม่รู้ว่าลึกขนาดไหน..ทีนี่จิตมันถอนขึ้นมาเอง เหมือนเรากำลังจะโผล่ขึ้นจากน้ำมาหายใจยังไงยังนั้น..พอขึ้นมาถึงที่นั่งภาวนาปุ๊บมัน..อ้าาา..สบายสุดๆนี่มันสวรรค์ชัดๆความสบายผ่อนคลายแบบพระท่านว่ามันเป็นอย่างนี้นี่เอง

7.เมื่อออกจากสมาธิแล้วยิ้มทั้งวันโดยไม่มีเหตุผล ใครด่าใครว่าใครนินทาก็ไม่รู้สึกโกรธ เย็นสบายอยู่อย่างนั้นทั้งวัน รู้สึกเอิบอิ่มโดยที่ไม่ต้องทานข้าวทั้งวันเลย..สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมอีกอย่างคือ ใบหน้าผิวพรรณตอนนั้นของข้าพเจ้าขาวขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนจนเพื่อนๆถามว่าไปทำอะไรมาหน้าและผิวถึงขาวสว่างไสวแบบนี้...

ถามท่านผู้รู้ที่มีจิตเมตตาหน่อยครับว่าอาการแบบนี้เขาเรียกว่าอะไร ข้าพเจ้าเป็นบ้าจากการนั่งสมาธิหรือเปล่าและข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไรต่อไป...ขอบคุณทุกท่านที่ตอบและแนะนำล่วงหน้าครับ

http://pantip.com/topic/35951596



อ้างคำพูด:
ก้อ..ขำขำ..ที่คนยกตัวอย่างมา..ก็ไม่รู้..เขาทำจริง..รึว่า..เมคเรื่องขึ้น
เลยยกมามั่วไป


มั่วยังไงอ่ะ :b10:


ยังไม่รู้อีกว่า..ตัวเองไม่รู้อะไร..

ยกมามั่ว....เพราะไม่รู้ว่า..มันเป็นผลที่เขาทำจริง...รึว่า....เมคเรื่องขึ้น..


ทีนี้ก็ถามกบนอกกะลาว่า เขาเมคเรื่องขึ้น หรือเขาเป็นเขาทำสมาธิจริงๆ อ้าว :b1: :b32:

แต่หายไปวันสองวันแระ หรือตามท่านอโศกไปอีกคน :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2017, 21:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ระหว่างรอที่จะผ่าตัด เราก็ปฏิบัติธรรมเองที่บ้าน เก็บตัวอยู่เงียบๆ ไม่อยากคุยกับใคร นั่งสมาธิและสวดมนต์ ตลอดเวลา (วันหนึ่งๆนั่งสมาธิหลายรอบ) จนวันหนึ่ง เราตื่นขึ้นมา และก็นึกไปว่า เรายังไม่ตายนี่ ยังเดินได้ยังขับรถได้ ยังทำอะไรได้เหมือนเดิม มะเร็งก็มะเร็งเถอะ ใจมันไม่กลัวขึ้นมาเลยทีนี้


เห็นๆถกเถียงเรื่องโยนิโสมนสิการกัน บ้างก็ว่าอย่างนั้นถึงจะโย ฯ อย่างนี้ไม่ใช่โย ฯ ว่า :b1:

นี่สิถึงจะโยนิโสมนสิการ คือ รู้จักคิด คิดเป็น คิดถูกวิธี คิดมีเหตุผล คิดปลุกเร้ากุศลธรรม นี่ =>

จนวันหนึ่ง เราตื่นขึ้นมา และก็นึกไปว่า เรายังไม่ตายนี่ ยังเดินได้ยังขับรถได้ ยังทำอะไรได้เหมือนเดิม มะเร็งก็มะเร็งเถอะ ใจมันไม่กลัวขึ้นมาเลยทีนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 77 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 27 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร