วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 22:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2017, 01:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธาตุน้ำ จับต้องได้ไหม มองเห็นได้ไหม มีลักษณะอย่างไร แล้วถ้าจับต้องไม่ได้ แล้วทำไมดื่มกินแล้ว ทำให้ท้องอิ่มตึงได้...ขออนุโมทนา ทุกคำตอบครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2017, 07:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20170822_080744.jpg
20170822_080744.jpg [ 131.85 KiB | เปิดดู 4336 ครั้ง ]
ธาตุน้ำ ตามบาลีอ่านว่า อาโปธาตุ ซึ่งมีลักษณะไหลและเกาะกุม
(ปคฺฆรณลกฺขณา หรือ อาพนฺธลกฺขณา)
อาโปธาตุ นี้ถ้ามีอยู่จำนวนมากในวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ย่อมทำให้วัตถุสิ่งนั้นเหลว
และไหลไปได้ ถ้ามีจำนวนน้อยก็ทำให้วัตถุนั้นเกาะกุมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน

อุปมาเหมือนหนึ่งยางเหนียวที่สามารถเชื่อมวัตถุให้ติดกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนได้ฉันใด
อาโปธาตุก็เสมือนหนึ่งยางเหนียวที่สามารถเชื่อมปรมณูปถวีให้เกาะกุมเป็นสัณฐานได้ฉันนั้น

ในวัตถุที่มีจำนวนอาโปธาตุมากกว่าปถวีธาตุเป็นต้น ด้วยอำนาจของอาโปธาตุนั้นเอง
ทำให้ปถวีธาตุมีกำลังลง จึงเป็นเหตุให้วัตถุนั้นอ่อนและเหลวไหลไปได้ เช่น น้ำที่เราเห็นว่า
น้ำนั้นไหลไปมาได้ก็เพราะอาโปธาตุมีมาก ปถวีธาตุมีน้อย เมื่อปถวีธาตุมีน้อยแล้ว
ปถวีธาตุนั้นแหละเป็นผู้ไหล โดยอาศัยอาโปธาตุเป็นผู้ทำให้ไหล

ไม่ใช่อาโปธาตุไหลดังที่เข้าใจกัน เพราะอาโปธาตุนั้นเห็นด้วยตาและสัมผัสด้วยกายไม่ได้
เพียงแต่รู้ได้ด้วยใจ และในวัตถุที่มีจำนวนอาโปธาตุน้อยกว่ากว่าปถวีเป็นต้นแล้ว
อำนาจของอาโปธาตุก็ทำให้ปรมณูปถวีธาตุเกาะกุมเป็นก้อน ดังมีวจนัตถะแสดงว่า
อาเปติ สหชตรูดปสุ พยาเปตฺวา ติฎฐตีติ=อาโป ธรรมชาติใดย่อมแผ่ซึมซาบทั่วไปในรูป
ที่เกิดพร้อมกันกับตน แล้วตั้งอยู่ในรูปเหล่านั้น ฉะนั้นรูปเหล่านั้นชื่อว่า อาโปธาตุ

อาโปธาตุ แบ่งออกเป็น ๒ อย่าง คือ
๑. อาโปธาตุ ที่มีปัคฆรณลักขณะ คือ ไหลไปเสมอ ได้แก่ อาโปที่อยู่ในน้ำ เมื่อถูกสีตเตโชแล้ว
อาพันธนลักษณะจึงปรากฏ
๒. อาโปธาตุ ที่มีอาพันธนลักษณะ คือเกาะกุมเสมอ ได้แก่อาโปที่อยู่ในเหล็ก ทอง ขี้ผึ้ง
เมื่ออุณหเตโชแล้ว ปัคฆรณลักษณะจึงปรากฏ

ส่วนคำถามที่ว่า ถ้าจับต้องไม่ได้ แล้วทำไมดื่มกินแล้ว ทำให้ท้องอิ่มตึงได้
ส่วนที่ทำให้ท้องตึงนั้นเป็นเพราะอำนาจของ วาโยธาตุ (ไหวและเคร่งตึง)
ในมหาภูตรูปนั้น ประกอบไปด้วยธาตุ ๔ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม แล้วแต่ว่าธาตุไหนจะปรากฏ
เป็นประธาน และที่เหลืออีก ๓ ธาตุจะไม่ปราฏชัด แต่ก็มีอยู่แยกจากกันไม่ได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2017, 08:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:

  หัวข้อกระทู้:  Re: ธาตุนืำ สัมมผัสได้ไหมครับ  
ธาตุน้ำ ตามบาลีอ่านว่า อาโปธาตุ ซึ่งมีลักษณะไหลและเกาะกุม
(ปคฺฆรณลกฺขณา หรือ อาพนฺธลกฺขณา)
อาโปธาตุ นี้ถ้ามีอยู่จำนวนมากในวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ย่อมทำให้วัตถุสิ่งนั้นเหลว
และไหลไปได้ ถ้ามีจำนวนน้อยก็ทำให้วัตถุนั้นเกาะกุมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน

สาธุ :b8: ขอบพระคุณท่าน"ท่านลุงหมาน"มากครับ ที่ทำให้กระจ่าง..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2017, 08:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ไม่ใช่อาโปธาตุไหลดังที่เข้าใจกัน เพราะอาโปธาตุนั้นเห็นด้วยตาและสัมผัสด้วยกายไม่ได้
เพียงแต่รู้ได้ด้วยใจ และในวัตถุที่มีจำนวนอาโปธาตุน้อยกว่ากว่าปถวีเป็นต้นแล้ว
อำนาจของอาโปธาตุก็ทำให้ปรมณูปถวีธาตุเกาะกุมเป็นก้อน ดังมีวจนัตถะแสดงว่า
อาเปติ สหชตรูดปสุ พยาเปตฺวา ติฎฐตีติ=อาโป ธรรมชาติใดย่อมแผ่ซึมซาบทั่วไปในรูป
ที่เกิดพร้อมกันกับตน แล้วตั้งอยู่ในรูปเหล่านั้น ฉะนั้นรูปเหล่านั้นชื่อว่า อาโปธาตุ

แสดงว่าที่เราเห็นน้ำในแม่น้ำ หรือ ทะเล ที่เป็นสี ขาว บ้าง สี คราม สีน้ำเงิน บ้าง ก็ ไม่ใช่เห็น น้ำ เพราะน้ำ มองเห็นไม่ได้ และ ก็ สัมผ้ส ไม่ได้ คือเรา อาบ ก็มีความรู้สึกเฉยๆ แต่สัมผัสไม่ได้ จับต้องไม่ได้..
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2017, 08:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20170824_121354.jpg
20170824_121354.jpg [ 146.04 KiB | เปิดดู 4232 ครั้ง ]
ศรีสมบัติ เขียน:
แสดงว่าที่เราเห็นน้ำในแม่น้ำ หรือ ทะเล ที่เป็นสี ขาว บ้าง สี คราม สีน้ำเงิน บ้าง ก็ ไม่ใช่เห็น น้ำ เพราะน้ำ มองเห็นไม่ได้ และ ก็ สัมผ้ส ไม่ได้ คือเรา อาบ ก็มีความรู้สึกเฉยๆ แต่สัมผัสไม่ได้ จับต้องไม่ได้..
:b8:


ที่เห็นแม่น้ำลำคลองนั้นไม่ใช่น้ำ เพราะตาเห็นน้ำไม่ได้
แต่อาการที่ไหลไปนั้น เป็นอาการของน้ำ ที่รู้อาการไหลไปนั่น ใจเป็นผู้รู้ ไม่ใช่ตารู้

การอาบน้ำจะรู้สึกสัมผัสทางกายว่าเย็นหรือร้อน ก็เป็นธาตุไฟไป
การอาบน้ำจึงเป็นการกระทบธาตุไฟ ไม่ใช่อาบน้ำ
แต่พอจะรู้ได้บ้างว่าอาบน้ำคือตอนที่มันเอิบอาบไหลไปตามตัว แต่ก็เป็นการรู้ได้ด้วยใจ
ไม่ใช่รู้ด้วยกาย การอาบน้ำจะไม่รู้สึกเฉยๆ แต่รู้เย็นร้อนอ่อนแข็ง
ถ้าเย็นร้อน ก็เป็นไฟ ถ้าอ่อนแข็ง ก็เปฺ็นดิน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2017, 23:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาการไหล ไปของน้ำในแม่น้ำ
อาการที่พองตัวขึ้นของน้ำในภาชนะ
อาการที่ยุบตัวลงของน้ำในภาชนะ
เป็น เพราะ วาโยธาตุของน้ำในแม่น้ำ ของน้ำในภาชนะ นั้นครับ

อาโปธาตุ เป็นรูปธาตุที่ละเอียดเกินกว่าจะเห็น จะรู้ จะสัมผัสได้โดย จักขุปสาทะ โสตปสาทะ ชิวหาปสาทะ ฆานปสาท หรือ กายปสาทะ ครับ

ซึ่งสภาพการเกาะกุมของอาโปธาตุ รับรู้ได้ด้วยใจเมื่อเห็นน้ำในภาชนะนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามภาชนะที่รองรับ
หรือ การปรากฏรูปร่างสันฐานของวัตถุชัดเจนก็เพราะ อาโปธาตุ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2017, 04:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: :b1: :b1:

อยู่กับความเป็นจริงบ้าง....นะครับ...อย่าจิตนการอย่างเดียว..

เดี่ยวนี้วิทยาศาสตร์เขาได้พิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้นแล้ว...

ธาตุุดิน..ธาตุน้ำ...ธาตุลม..ธาตุไฟ...ที่เราเรียกกัน...อาจไม่ได้เป็นเป็นตัวเป็นตนแยกกันได้ชัดเจนอย่างที่เราคิด...มันอาจเป็นเพียงการเรียกแทนสถานภาพใดสถานภาพหนึ่งของสิ่งที่เรารับรู้ได้..(ซึ่งหมายความว่ามันเป็นเป็นสิ่งเดียวกันหรือมีพื้นฐานอย่างเดียวกันแต่แสดงออกต่างสถานะกัน)..

ที่เห็นชัดคือธาตุดิน..กับธาตุน้ำ...อาจมีพิ้นฐานจากสิ่งเดียวกันแต่การจัดเรียงภายในต่างกันจึงแสดงสถานะต่างกัน..

ยกตัวอย่าง...เหล็ก..เป็นของประกอบแสดงสถานะปกติแข็ง..(ธาตุดินเด่น)...หากเราเอาเหล็กไปเพิ่มอุณหภูมิเข้าไปมากจนถึงจุดหนึ่ง..เหล็กจะอ่อนจนถึงขั้นเหลวและไหลได้..(ธาตุน้ำเด่น)...จะเห็นว่า..เหล็กก็เหล็กอันเดียวกัน...แข็งกลายเป็นอ่อนได้โดยที่ไม่ได้เอาธาตน้ำเพิ่มเข้าไปในตัวเหล็กเลย...แล้วธาตุน้ำที่ทำให้เหล็กอ่อนได้มาจากไหน?...มันไม่ได้มาจากที่อื่นเลย...มันเปลี่ยนสภาพมาจากธาตุดินโดยอุณหภูมิ(ธาตุไฟ)...

จากการทดลองสมมุติข้างต้นนี้...อาจทำให้เราเข้าใจคำว่า...ธาตุดิน..น้ำ..ลม..ไฟ...ได้ดีขึ้น

กระผมเห็นว่านะ

..ธาตุดิน..ธาตุน้ำ...เรียกแยกกันตามสถานภาพ..แต่มีพื้นฐานส่วนประกอบเล็กๆเดียวกันเพียงการจัดเรียงภายในต่างกันทำให้แสดงสถานภาพต่างกัน..(ไม่ใช่สถานภาพที่เราสัมผัสด้วยตา..หู..ฯ..นะครับ)...
..
..ส่วน..ธาตุไฟ...นี้พิเศษ...มีที่มาที่พิเศษกว่าตัวอื่น.....คนละพวกจากดิน..น้ำ..แยกออกมาต่างหากได้เลย...

ส่วนธาตุลม..ยังไม่สรุป..อาจเป็นพวกเดียวกันอย่างธาตุดิน..กับธาตุน้ำ..หรืออาจจะเป็นพวกเดียวกับธาตุไฟ..

(จากคนตาย..ลมไปก่อน..ไฟตามหลัง..แล้วดินกับน้ำก็แยกกัน..นี้แสดงว่า..ลม..กับ..ไฟ..อยู่กลุ่มเดียวกัน..

แต่..จากการที่พวกอภิญญา..สามารถทำอากาศให้แข็งได้...ทำน้ำให้แข็งได้..แสดงให้เห็นว่า..ธาตุดิน..ธาตุน้ำ..ธาตุลม...เป็นกลุ่มเดียวกัน..ต่างสถานะเพราะการจัดเรียงภายในต่างกัน)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2017, 05:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จากคำถาม..ของ..จขกท...ว่า..

ธาตุน้ำ สัมผัสได้ไหมครับ?

สัมผัสได้..ครับ...แต่ที่เรารับรู้ได้..ไม่ใช่ธาตุน้ำ..ที่เรารับรู้ได้เป็นแต่เพียงสถานภาพของเขาที่วิญญาณทั้ง5..คือ..ตา..หู..จมูก..ลิ้น..กาย...จะรับได้เท่านั้น..ไม่ใช่ตัวตนของเขา..ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2017, 09:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b1: :b1: :b1:

...เหล็ก..เป็นของประกอบแสดงสถานะปกติแข็ง..(ธาตุดินเด่น)...หากเราเอาเหล็กไปเพิ่มอุณหภูมิเข้าไปมากจนถึงจุดหนึ่ง..เหล็กจะอ่อนจนถึงขั้นเหลวและไหลได้..(ธาตุน้ำเด่น)...จะเห็นว่า..เหล็กก็เหล็กอันเดียวกัน...แข็งกลายเป็นอ่อนได้โดยที่ไม่ได้เอาธาตน้ำเพิ่มเข้าไปในตัวเหล็กเลย...แล้วธาตุน้ำที่ทำให้เหล็กอ่อนได้มาจากไหน?...มันไม่ได้มาจากที่อื่นเลย...มันเปลี่ยนสภาพมาจากธาตุดินโดยอุณหภูมิ(ธาตุไฟ)...

จากการทดลองสมมุติข้างต้นนี้...อาจทำให้เราเข้าใจคำว่า...ธาตุดิน..น้ำ..ลม..ไฟ...ได้ดีขึ้น


วัตถุ ที่เรียกว่า แท่งเหล็ก หรือเหล็ก หรือแร่เหล็ก
เป็นการรวมตัวกันของ มหาภูตรูป คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ วาโยธาตุ และอาโปธาตุ
ที่เป็นปฐวีธาตุ เพราะมีลักษณะแข็ง จะแข็งมากแข็งน้อย ก็คือมีความแข็ง อ่อน เป็นลักษณะ
ส่วนที่เรียกว่า อาโปธาตุ คือแรงยึดเหนี่ยวเกาะกุมของโมเลกุล ของอนุภาคต่างๆ ในเนื้อเหล็ก
ส่วนที่เรียกว่า วาโยธาตุ จะเห็นได้ เมื่อให้อุณภูมิ หรือเพิ่มเตโชธาตุแก่ เนื้อเหล็ก วาโยธาตุจะแสดงออกมาได้อย่างชัดขึ้น คือมีอาการที่ไหลได้ ในระดับโมเลกุล หรืออนุภาค จะมีการสั่นไหว
ส่วนที่เรียกว่า เตโชธาตุ เนื้อเหล็ก จะมีอุณหภูมิเฉพาะที่จะทำให้อนุภาคของเหล็กนั้นเกาะกุมกันอยู่ได้

ดังนั้น กล่าวโดยเฉพาะ คือแม้ขณะที่เป็นวัตถุเฉพาะหน้าตั้งอยู่นั้น เหล็กก้อนนั้น แท่งนั้น ก็ยังประกอบขึ้นด้วยมหาภูตรูป 4 ครับ

แรงยึดเหนี่ยว ความเกาะกุมนั้น เราไม่อาจสัมผัสได้ด้วย จักขุปสาท โสตปสาท ชิวหาปสาท ฆานปสาท หรือกายปสาท

นี่ก็อยู่กับความเป็นจริง ครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2017, 11:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20170824_114840.png
20170824_114840.png [ 157.4 KiB | เปิดดู 4234 ครั้ง ]
วัตถุสิ่งของต่างๆ มี คน สัตว์ ต้นไม้ ภูเขา ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
ตึก บ้าน ฯลฯ เหล่านี้ ที่ยังรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน ไม่กระจัดกระจายไป
นี้ก็ด้วยอำนาจของน้ำหรืออาโปธาตุที่เกาะกุมกัน ของดิน ไฟ ลม
ในที่ใดมีอาโปธาตุน้อยเกินไป ย่อมทำให้สิ่งนี้นกระจัดจาย เป็นผุยผง
เช่นขี้เถ้า เป็นต้น แต่ถ้าเราเอาอาโปธาตุไปเทหรือหยดใส่ขี้เถ้า
ขี้เถ้าจะเกิดการจับกุมเป็นกลุ่มขึ้นมาอีกทั้งนี้จะเห็นได้ว่า
เพราะอาโปธาตุนั้นเอง ที่เกาะกุม แต่ตัวเกาะกุมนั้นตามองไม่เห็นรู้ได้ทางใจ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2017, 12:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นด้วยกับคุณ้ช่นนั้นครับที่ว่า...เหล็กแข็ง..มีธาตุทั้ง4..ประกอบกัน..

ตอนที่เหล็กแข็งเป็นก้อน..นี้...ธาตุดินเด่น..จะหมายถึงว่าธาตุดินมีมากกว่าตัวอื่นๆ...อันนี้...เห็นด้วยมั้ยคับ?

ส่วนตอนที่เหล็กอ่อนตัวจนไหลได้..จากการที่ให้ความร้อนกับเหล็ก..ตอนนี้...ธาตุน้ำเด่น..แสดงว่าธาตุน้ำมีมากกว่าธาตุตัวอื่น..อันนี้..เห็นด้วยมั้ยคับ?

ถ้าไม่เห็นด้วย....ก็ลองให้ความเห็นมา..นะครับ..

แต่ถ้าเห็นด้วย...กระผมก็จะถามต่อว่า..ตอนแข็งธาตุดินมากพอใส่ความร้อนเข้าไปเหล็กอ่อนตัว..ธาตุน้ำมาก...แล้ว..ธาตุน้ำที่เพิ่มขึ้นมานั้นมาจากไหน...

กระผมจะตั้งสมมุติฐานว่า...ธาตุน้ำที่เพิ่มมาจากความเปลี่ยนแปลงของธาตุดินเนื่องจากความร้อน(ธาตุไฟ)...

และถ้าเป็นอย่างที่กระผมตั้งสมมุติฐานนี้...ก็อาจขยายไปสู่สมมุติฐานอื่นที่ว่า...แท้จริงแล้ว..ธาตุดิน..น้ำ...ลม...สามารถเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมาได้...ไม่คงที่...ขึ้นอยู่กับพลังงาน(ธาตุไฟ)...หรืออย่างอื่นอีก..ซึ่งด้วยสมมุติฐานนี้...ก็อาจจะสามารถอธิบายได้ว่า..ทำไม..เหล่านักอภิญญาจึงสามารถทำให้น้ำหรืออากาศแข็งได้..หรือทำของแข็งให้อ่อนได้..เป็นต้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2017, 22:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เห็นด้วยกับคุณ้ช่นนั้นครับที่ว่า...เหล็กแข็ง..มีธาตุทั้ง4..ประกอบกัน..

ตอนที่เหล็กแข็งเป็นก้อน..นี้...ธาตุดินเด่น..จะหมายถึงว่าธาตุดินมีมากกว่าตัวอื่นๆ...อันนี้...เห็นด้วยมั้ยคับ?

ส่วนตอนที่เหล็กอ่อนตัวจนไหลได้..จากการที่ให้ความร้อนกับเหล็ก..ตอนนี้...ธาตุน้ำเด่น..แสดงว่าธาตุน้ำมีมากกว่าธาตุตัวอื่น..อันนี้..เห็นด้วยมั้ยคับ?

ถ้าไม่เห็นด้วย....ก็ลองให้ความเห็นมา..นะครับ..



ตอนที่เหล็กอ่อนตัวจนไหลได้....
การไหลได้ คือการแสดงออกของคุณลักษณะของ วาโยธาตุออกมา ครับ
ซึ่ง การเปลี่ยนแปลงของโตโชธาตุ มีผลต่อ แรงเกาะกุมของ อาโปธาตุครับ
ไม่ได้มีอาโปธาตุในก้อนเหล็กแข็งนั้น มากขึ้นแต่ประการใด

แรงเกาะกุม แรงยึดเหนี่ยว แรงดึงดูด ในอาโปธาตุแปรปรวนไปครับ

อุปมาเปรียบเทียบกับ
ลมในล้อรถยนต์ นะครับ ขณะที่วิ่งทางไกล ลมในล้อรถยนต์จะขยายตัวขึ้นมีแรงดันมากขึ้น
โดยที่ไม่ได้มีการเติมลมในระหว่างทางแต่ประการใด

นั่นคือ มีการเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปของอาโปธาตุภายในลมยางที่อยู่ในยางรถยนต์ขณะวิ่ง
ลมไม่ได้มากขึ้นเช่นกันครับ อาโปธาตุก็ไม่ได้ถูกเติมเข้ามา แต่แรงดันเพิ่มขึ้นครับ

ปฐวีธาตุ ไม่ได้เปลี่ยนเป็นอาโปธาตุ
เตโชธาตุ ไม่ได้เปลี่ยนเป็น อาโปธาตุ
วาโยธาตุ ไม่ได้เปลี่ยนเป็น อาโปธาตุ
ในการกลับกัน อาโปธาตุ ก็ได้เปลี่ยนเป็นธาตุใดๆเช่นกันครับ
ธาตุทั้งสี่ต่างอาศัยกันและกัน ภายใต้เงื่อนไขของความเปลี่ยนแปลง แปรปรวน ทรงตัวซึ่งกันและกันครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2017, 22:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนา ในทุกๆ คำตอบ เป็นสาระอย่างยิ่ง และเป็นความรู้ใหม่ ในธรรมระดับปรมัตถ์ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2017, 06:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เห็นด้วยกับคุณ้ช่นนั้นครับที่ว่า...เหล็กแข็ง..มีธาตุทั้ง4..ประกอบกัน..

ตอนที่เหล็กแข็งเป็นก้อน..นี้...ธาตุดินเด่น..จะหมายถึงว่าธาตุดินมีมากกว่าตัวอื่นๆ...อันนี้...เห็นด้วยมั้ยคับ?

ส่วนตอนที่เหล็กอ่อนตัวจนไหลได้..จากการที่ให้ความร้อนกับเหล็ก..ตอนนี้...ธาตุน้ำเด่น..แสดงว่าธาตุน้ำมีมากกว่าธาตุตัวอื่น..อันนี้..เห็นด้วยมั้ยคับ?

ถ้าไม่เห็นด้วย....ก็ลองให้ความเห็นมา..นะครับ..



ตอนที่เหล็กอ่อนตัวจนไหลได้....
การไหลได้ คือการแสดงออกของคุณลักษณะของ วาโยธาตุออกมา ครับ
ซึ่ง การเปลี่ยนแปลงของโตโชธาตุ มีผลต่อ แรงเกาะกุมของ อาโปธาตุครับ
ไม่ได้มีอาโปธาตุในก้อนเหล็กแข็งนั้น มากขึ้นแต่ประการใด

แรงเกาะกุม แรงยึดเหนี่ยว แรงดึงดูด ในอาโปธาตุแปรปรวนไปครับ


อุปมาเปรียบเทียบกับ
ลมในล้อรถยนต์ นะครับ ขณะที่วิ่งทางไกล ลมในล้อรถยนต์จะขยายตัวขึ้นมีแรงดันมากขึ้น
โดยที่ไม่ได้มีการเติมลมในระหว่างทางแต่ประการใด

นั่นคือ มีการเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปของอาโปธาตุภายในลมยางที่อยู่ในยางรถยนต์ขณะวิ่ง
ลมไม่ได้มากขึ้นเช่นกันครับ อาโปธาตุก็ไม่ได้ถูกเติมเข้ามา แต่แรงดันเพิ่มขึ้นครับ

ปฐวีธาตุ ไม่ได้เปลี่ยนเป็นอาโปธาตุ
เตโชธาตุ ไม่ได้เปลี่ยนเป็น อาโปธาตุ
วาโยธาตุ ไม่ได้เปลี่ยนเป็น อาโปธาตุ
ในการกลับกัน อาโปธาตุ ก็ได้เปลี่ยนเป็นธาตุใดๆเช่นกันครับ
ธาตุทั้งสี่ต่างอาศัยกันและกัน ภายใต้เงื่อนไขของความเปลี่ยนแปลง แปรปรวน ทรงตัวซึ่งกันและกันครับ


เป็นทัศนะหนึ่ง...

ไม่มีผิดมีถูก...เพียงแต่ทัศนะของเช่นนั้นดั่งข้างต้นไม่อาจอธิบายปรากฏการณ์หลายๆอย่าง...เพราะยึดความคงที่ของธาตุ..(มีธาตุเท่าเดิม..แต่กลับมีผลมากกว่าเดิม....คือจากแข็งแล้วมาไหลได้)
เช่น...

อธิบายไม่ได้ว่า..ทำไมของชนิดเดียว..กลับสามารถมีสถานะได้..3...สถานะ..คือเป็นของแข็ง..ของเหลว..ก๊าซ...ได้..

หากธาตุคงที่..จะไม่อาจอธิบายปรากฏการณ์ของ...E = mC^2..ได้

เป็นต้น..นะครับ...

กระผมมองว่า..ตัวธาตุเอง..ก็ประกอบขึ้นมาจากสิ่งพื้นฐานอันหนึ่ง...ทุกธาตุ.ประกอบขึ้นมาจากสิ่งพื้นฐานอันหนึ่งเหมือนๆกัน..แต่ต่างกันเพียงการจัดเรียงความสลับซับซ้อนที่ไม่เหมือนกัน..ทำให้คุณสมบัติที่แสดงออกต่างกัน...

ด้วยมุมมองที่กระผมว่ามา...ทำให้เรามีมุมมองที่กว้างขึ้น...ไม่มองเห็นธาตุว่าเป็นสิ่งคงที่...ไม่มองว่าธาตุเป็นสิ่งที่มีขึ้นมาโดยไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย..แต่เป็นสิ่งที่มีขึ้นมาด้วยเหตุด้วยปัจจัย....อยู่ในหลักปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธศาสนา...แล้วยังสามารถนำมนุษย์ไปสู่วิทยาศาสตร์ยุคใหม่ได้..(วิทยาศาสตร์ปัจจุบันเป็นกลางเก่ากลางใหม่..นะครับ..นี้พูดแบบให้เกียติเขานะ...ยังไม่ใช่ยุคใหม่)...

ปฏิจจสมุปบาท..นอกจากจะนำคนเห็นทุกข์ออกจากทุกข์ได้แล้ว...ยังนำคนที่ไม่เห็นทุกข์ไปสู่วิทยาศาสตร์ยุคใหม่ได้..อีกด้วย


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 25 ส.ค. 2017, 07:33, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2017, 06:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมเข้าใจว่า..นี้อาจเป็นการแสดงทัศนะเกี่ยวกับ..เรื่องนี้..ในที่สาธารณะเป็นครั้งแรกของผม..นะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 37 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร