ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
สมาธิกับปัญญา http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=54567 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | รสมน [ 20 ก.ย. 2017, 07:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | สมาธิกับปัญญา |
"อันเพื่อนดี มีเพียงหนึ่ง ถึงจะน้อย ดีกว่าร้อย เพื่อนคิด ริษยา เหมือนเกลือดี มีน้อย ด้อยราคา ยังดีกว่า มีน้ำเค็ม เต็มทะเล" -:-ท่านพุทธทาสภิกขุ-:- ...เข้าใจหรือยัง เรื่องสมาธิกับปัญญา ทำกันคนละเวลา เหมือนเวลาพักผ่อนหลับนอน กับเวลาทำงานนี้ มันทำพร้อมกันไม่ได้หรอก พอจะนอนปั๊บ ก็เรียกมันขึ้นมาทำงานนี้ มันจะมีแรงทำงานที่ไหนล่ะ ใช่ไหม เวลาพักผ่อนหลับนอนนี้ เราไม่ไปดึงมันออกมาทำงานหรอก เวลาพักผ่อนหลับนอน เราปล่อยให้มันนอนอย่างเต็มที่ พอมันอิ่ม มันมีกำลังแล้วมันตื่นขึ้นมา แล้วทีนี้ก็ "ดึงมันขึ้นมาทำงานได้" ............................................ . คัดลอกการสนทนาธรรม ธรรมะบนเขา 19/9/2560 พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี “ยอมรับว่าเป็นกรรม” ..แล้วทีนี้ เมื่อเวลาโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งมันแทรกขึ้นมาในตัวของเรา บางคนก็มีโรคประจำตัว โรคท้องบ้าง โรคทุกอย่างในอวัยวะต่าง ๆ แสดงขึ้นมาอยู่อย่างนั้น เราสามารถที่จะค้นคว้าหาเหตุ โรคเหล่านี้เป็นมาจากไหน เป็นมาจากกรรม คราวไหน ครั้งไหน ถ้ารู้อย่างนั้น เราก็พินิจพิจารณาต่อไป จนรู้ที่สร้างกรรมสร้างเวรมา แล้วก็ไปขออโหสิกรรมจากเขา ยอมรับเลยว่าตัวเองเป็นกรรม ถ้าเขาให้อโหสิกรรมแล้ว แล้วเลย ไม่ต้องใช้ยาให้ยากหรอก หายเลย โรคเจ็บหู เจ็บตา ปวดท้อง ปวดไส้ หรือเป็นโรคนั้นโรคนี้ประจำอยู่ในตัวเจ้าของเอง เรื่องเศษของกรรมทั้งนั้น แล้วถ้าทำได้ ก็แก้ไขได้ไม่น้อยนะ ทำให้ร่างกายสบายไปไม่น้อย จิตใจเราก็รู้ถึงความจริง ก็ยิ่งเกิดศรัทธากล้าหาญในการจะประพฤติปฏิบัติธรรมะ.. หลวงปู่ศรี มหาวีโร เทศนา เรื่อง ทำใจให้ประเสริฐ "ต้องแก้ไขที่ตัวเรา" ......เราอยู่ในโลกนี้ เราต้องอยู่ให้ฉลาดประกอบด้วยปัญญา ตัวเรารู้ว่าเราปฏิบัติผิดไม่ถูกต้องตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องพยายามแก้ไขที่ตัวเราให้ถูกต้อง คือเราต้องหาอุบายวิธีอยู่เสมอว่า ทำอย่างไร ตัวเองจึงจะอยู่ให้เป็นสุขไม่วุ่นวายใจ อันนี้ สำคัญากทีเดียว. "หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ" ถาม : ผมได้พากเพียรอย่างหนักในการปฏิบัติพระกรรมฐาน แต่ยังไม่มีท่าว่าจะได้ผลคืบหน้าเลย ? คำตอบหลวงปู่ชา : เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าพยายามที่จะเอาอะไรๆ ในการปฏิบัติ ความอยากอย่างแรงกล้าที่จะหลุดพ้นหรือรู้แจ้งนั้นจะเป็นความอยากที่ขวางกั้นท่านจากการหลุดพ้น ท่านจะเพียรพยายามอย่างหนักตามใจท่านก็ได้ จะเร่งความเพียรทั้งกลางคืนและกลางวันก็ได้ แต่ถ้าการฝึกปฏิบัตินั้นยังประกอบด้วยความอยากที่จะบรรลุเห็นแจ้งแล้ว ท่านจะไม่มีทางพบความสงบได้เลย แรงอยากจะเป็นเหตุให้เกิดความสงสัยและกระวนกระวายใจ ไม่ว่าท่านจะฝึกปฏิบัติมานานเท่าใด หรือหนักเพียงใด ปัญญา(ที่แท้)จะไม่เกิดขึ้นจากความอยากนั้น ดังนั้นจงเพียงแต่ละความอยากเสีย จงเฝ้าดูจิตและกายอย่างมีสติ แต่อย่ามุ่งหวังที่จะบรรลุถึงอะไร อย่ายึดมั่นถือมั่นแม้ในเรื่องการฝึกปฏิบัติหรือในการรู้แจ้ง ** จากหนังสือ คำตอบหลวงปู่ชา มรดกธรรม เล่มที่ ๓๔ หน้า ๑๓ คำตอบหลวงปู่ชา ข้อที่ ๒ ถาม : เรื่องการนอนหลับล่ะครับ ผมควรนอนมากน้อยเพียงใด ? คำตอบหลวงปู่ชา : อย่าถามผมเลย ผมตอบให้ท่านไม่ได้ บางคนหลับนอนคืนละประมาณ ๔ ชั่วโมงก็พอ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญก็คือ ท่านเฝ้าดูและรู้จักตัวของท่านเอง ถ้าท่านนอนน้อยเกินไป ท่านก็จะไม่สบายกาย ทำให้คุมสติไว้ได้ยาก ถ้านอนมากเกินไป จิตใจก็จะตื้อ เฉื่อยชา หรือซัดส่าย จงหาสภาวะที่เหมาะกับตัวท่านเอง ตั้งใจเฝ้าดูกายและจิต จนท่านรู้ระยะเวลาหลับนอนที่พอเหมาะสำหรับท่าน ถ้าท่านรู้สึกตื่นตัวแล้วและยังซุกตัวของีบต่อไปอีก นี่เป็นกิเลสเครื่องเศร้าหมอง จงมีสติรู้ตัวทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้น ******** จากหนังสือคำตอบหลวงปู่ชา หน้าที่ ๑๔ คำตอบหลวงปู่ชา ข้อที่ ๓ ถาม : เรื่องการขบฉันล่ะครับ ผมควรจะฉันอาหารมากน้อยเพียงใด ? คำตอบหลวงปู่ชา : การขบฉันก็เหมือนกับการหลับนอน ท่านต้องรู้จักตัวของท่านเอง อาหารต้องบริโภคให้พอเพียงตามความต้องการของร่างกาย จงมองอาหารเหมือนยารักษาโรค ท่านกินมากไปจนง่วงนอนหลังฉันอาหารหรือเปล่า และท่านอ้วนขึ้นทุกวันหรือเปล่า จงหยุดแล้วสำรวจกาย และจิตของท่านเอง ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร จงทดลองฉันอาหารตามปริมาณมากน้อยต่างๆ หาปริมาณที่พอเหมาะกับร่างกายของท่าน ใส่อาหารที่จะฉันทั้งหมดลงในบาตรตามแบบธุดงควัตร แล้วท่านจะกะปริมาณอาหารที่จะฉันได้ง่าย เฝ้าดูตัวท่านเองอย่างถี่ถ้วนขณะที่ฉัน จงรู้จักตัวเอง สาระสำคัญของการฝึกปฏิบัติของเราเป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรพิเศษที่ท่านต้องทำมากไปกว่านี้ จงเฝ้าดูเท่านั้น สำรวจตัวท่านเอง เฝ้าดูจิตแล้วท่านก็จะรู้ว่า อะไรคือสภาวะที่พอเหมาะสำหรับการปฏิบัติของท่าน ******** จากหนังสือคำตอบหลวงปู่ชา หน้าที่ ๑๔-๑๕ คำตอบหลวงปู่ชาข้อที่ ๔ ถาม : จิตของชาวเอเซียและชาวตะวันตกแตกต่างกันหรือไม่ครับ คำตอบหลวงปู่ชา : โดยพื้นฐานแล้วไม่แตกต่างกัน ดูจากภายนอกขนบธรรมเนียม ประเพณี และภาษาที่ใช้อาจดูต่างกัน แต่จิตของมนุษย์นั้นเป็นธรรมชาติซึ่งเหมือนกันหมด ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ความโลภและความเกลียดก็มีเหมือนกัน ทั้งในจิตของชาวตะวันออกหรือชาวตะวันตก ความทุกข์และความดับแห่งทุกข์ก็เหมือนกันในทุกๆคน ******* จากหนังสือคำตอบหลวงปู่ชา หน้าที่ ๑๕ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |