ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
อัปนาสมาธิและฌาน http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=54691 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | walaiporn [ 11 ต.ค. 2017, 09:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | อัปนาสมาธิและฌาน |
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน [๑๑๔] ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ อย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ๑. จิตมีราคะ ก็รู้ชัดว่า ‘จิตมีราคะ’ ๒. จิตปราศจากราคะ ก็รู้ชัดว่า ‘จิตปราศจากราคะ’ ๓. จิตมีโทสะ ก็รู้ชัดว่า ‘จิตมีโทสะ’ ๔. จิตปราศจากโทสะ ก็รู้ชัดว่า ‘จิตปราศจากโทสะ’ ๕. จิตมีโมหะ ก็รู้ชัดว่า ‘จิตมีโมหะ’ ๖. จิตปราศจากโมหะ ก็รู้ชัดว่า ‘จิตปราศจากโมหะ’ ๗. จิตหดหู่ ก็รู้ชัดว่า ‘จิตหดหู่’ ๘. จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ชัดว่า ‘จิตฟุ้งซ่าน’ ๙. จิตเป็นมหัคคตะ ก็รู้ชัดว่า ‘จิตเป็นมหัคคตะ’ ๑๐. จิตไม่เป็นมหัคคตะ ก็รู้ชัดว่า ‘จิตไม่เป็นมหัคคตะ’ ๑๑. จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ชัดว่า ‘จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า’ ๑๒. จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ชัดว่า ‘จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า’ ๑๓. จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ชัดว่า ‘จิตเป็นสมาธิ’ ๑๔. จิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ชัดว่า ‘จิตไม่เป็นสมาธิ’ ๑๕. จิตหลุดพ้นแล้ว ก็รู้ชัดว่า ‘จิตหลุดพ้นแล้ว’ ๑๖. จิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ชัดว่า ‘จิตไม่หลุดพ้น’ ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม พิจารณาเห็นจิตในจิตภายในบ้าง พิจารณาเห็นจิตในจิตภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นจิตในจิตทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในจิตบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในจิตบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในจิตบ้าง ย่อมอยู่ อนึ่ง สติของเธอตั้งมั่นอยู่ว่า จิตมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่. http://www.84000.org/tipitaka/read/v.ph ... 754&Z=2150 |
เจ้าของ: | ธรรมมา [ 11 ต.ค. 2017, 16:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อัปนาสมาธิและฌาน |
เน้นอักษรสีแดงข้อ 13 หมายถึงอะไร อธิบายขยายความด้วยครับ |
เจ้าของ: | walaiporn [ 12 ต.ค. 2017, 12:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อัปนาสมาธิและฌาน |
walaiporn เขียน: จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑๓. จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ชัดว่า ‘จิตเป็นสมาธิ’ ก่อนที่จะพูดเรื่อง จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ชัดว่า ‘จิตเป็นสมาธิ’ มาพูดถึง กำลังสมาธิ ที่มีเกิดขึ้น และลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้นของคำเรียกนั้นๆ ๑. ขณิกสมาธิ เป็นลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้นเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เช่น ขณะที่ทำกิจวัตรประจำวันอยู่ รู้ชัดในโพรงจมูก รู้ชัดในความว่างในโพรงจมูกที่มีเกิดขึ้น ๒. อุปจารสมาธิ กำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้น อยู่ได้นานกว่าขณิกสมาธิ ลักษณะอาการที่เกิดขึ้นเด่นชัด ได้แก่ นิมิตต่างๆ ๓. อัปนาสมาธิ กำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้น อยู่ได้นานกว่าอุปจารสมาธิ ลักษณะอาการที่เกิดขึ้นเด่นชัด ได้แก่ โอภาส กำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้น มีกำลังมากเท่าไหร่ โอภาสยิ่งสว่างจ้า ภายนอกดับหมด อัปสมาธิไม่ใช่ฌาน สามารถมีเกิดได้ทั้งในการดำเนินชีวิต เช่น มีเกิดขึ้น ขณะกำหนดรู้ความรู้สึกนึกคิดที่กำลังมีเกิดขึ้น และขณะที่กำลังคิดพิจรณาอยู่ และมีเกิดขึ้นขณะทำความเพียร จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ที่เรียกว่า สมถะ ทั้งมิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |