วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 00:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 49 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2020, 22:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
มีตัวอย่างคนรักษามะเร็ง 70/30 ปลงใจไม่หายก็ตายแล ปรากฏว่า ยังไม่ตาย เข้าตำราพบทุกข์จึงเห็นธรรม ไม่เห็นทุกข์ก็ไม่เห็นธรรม


เมื่อเราเป็นมะเร็งและเกือบตาย เพราะเชื่อ และรักษาตัวแบบผิดๆ (สมาธิช่วยได้จริงๆ)

เมื่อต้นปี 2558 เดือนมกราคม เราตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมระยะ 2 และรักษาที่โรงพยาบาลภูมิพลและคุณหมอก็ได้ทำการนัดผ่าตัด วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ซึ่งคุณหมอก็หาคิวให้แบบเร็วที่สุด (เราใช้บัตร 30 บาทในการรักษา) ตอนพบหมอก่อนผ่าตัด หมอก็บอกว่า (หมอขออย่างเดียว อย่ากินยาต้มหรือยาหม้อสมุนไพร นอกนั้นกินได้หมด หมอไม่ห้าม)

- ระยะเวลาก่อนที่จะผ่าตัด เราจิตตกไปมากเลย ไม่บอกใครว่าเราเป็นมะเร็ง เก็บตัวอยู่แต่บนเตียงไม่อยากทำอะไร ตื่นมาก็คิดแต่ว่า ฉันเป็นมะเร็งและทำไมต้องเป็นฉัน ช่วงระยะเวลานั้นห่อเหี่ยวไปหมดเป็นอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์

- ระหว่างรอที่จะผ่าตัด เราก็ปฏิบัติธรรมเองที่บ้าน เก็บตัวอยู่เงียบๆ ไม่อยากคุยกับใคร นั่งสมาธิและสวดมนต์ ตลอดเวลา (วันหนึ่งๆนั่งสมาธิหลายรอบ) จนวันหนึ่ง เราตื่นขึ้นมา และก็นึกไปว่า เรายังไม่ตายนี่ ยังเดินได้ยังขับรถได้ ยังทำอะไรได้เหมือนเดิม มะเร็งก็มะเร็งเถอะ ใจมันไม่กลัวขึ้นมาเลยทีนี้ ย้อนหลังกลับไปดูตัวเอง ตอนที่รู้สึกห่อเหี่ยวหดหู่ มันช่างหน้ากลัวจริงๆ คนที่พอรู้ว่าเป็นมะเร็งและถ้าท้อแท้หรือจิตใจเศร้าหมอง และถ้าตกอยู่ในอารมณ์นั้นๆ และคิดไม่ได้ มันหน้ากลัวมากๆ พลอยทำให้โรคกำเริบไปด้วย

ฯลฯ (ข้ามตอนรักษาวิธีของพระ)

เราโทรไปสอบถามกับพระว่าควรทำอย่างไรดี พระท่านก็ไม่รับสายเรา ได้แต่พิมพ์ทางข้อความ facebook ว่าไม่สะดวกรับสาย ให้พิมพ์ถาม เราเริ่มลังเลใจมากๆ ใจสุดท้าย ท่านก็พิมพ์บอกเราว่า แนะนำให้เราไปผ่าตัดและให้คีโม และค่อยกลับมารักษาตัวกลับที่วัดใหม่

จนเดือนมกราคม 2559 อาการเริ่มไม่ดี น้ำเหลืองจากใสๆ กลายเป็นน้ำเหลืองข้นๆ และขยายใหญ่ขึ้นเป็นวงกว้าง และรอบๆแผลเริ่มเปื่อย ถ้าหากว่าโดนหรือสะกิดก็จะเลือดไหล ต้องคอยซับทุกๆ 2 ชั่วโมง ทั้งปวดแผล ปวดลึกๆ ตุบๆ ในบางครั้ง

- ปลายเดือนมกราคม 2559 เลยติดสินใจ มาโรงพยาบาล พบคุณหมอคนเดิมที่เคยรักษาครั้งแรก พอหมอเห็นแผลท่านก็ได้แต่ส่ายหน้าว่า รักษาผ่าตัดให้ไม่ได้ เพราะแผลใหญ่เกิน แถมท่านยังต่อว่าอีกคือ หมอเคยขอแล้วใช่ไหมว่า อย่าไปกินยาต้มยาหม้อยาสมุนไพร แต่คุณก็ไปกิน ไม่เชื่อหมอ

-เราได้แต่นั่งร้องไห้ต่อหน้าหมอ เพราะเราผิดเองที่ไม่เชื่อหมอแต่แรก โรคเลยเป็นมากถ้าผ่าตัดตอนนั้น ก็คงไม่ทรมานแบบนี้

- เราทรมานมากๆ จากเดือน มกราคม-พฤษภาคม ระยะเวลาเกือบ 5 เดือน เราไม่เคยได้นอนหลับ (เราต้องใช้ท่านั่งหลับ เพราะถ้านอนราบ น้ำเหลืองจะไหลย้อนกลับทั้งเลือดด้วย) เราต้องนั่งหลับเอา ทรมานสุดๆ ไหนจะเลือดไหล ไหนจะน้ำเหลืองไหลตลอด คิดย้อนไปแล้ว มันช่างน่าสงสารตัวเองจริงๆ

และระยะเวลาการให้คีโมนี้เองที่เราก็ปฏิบัติธรรมแบบเร่งความเพียรมากๆ จิตใจไม่ท้อแท้ตามร่างกาย กลับสดชื่นในจิตใจลึกๆ ทุกครั้งที่เรานั่งสมาธิ เราแผ่เมตตาให้ตัวเอง และเจ้ากรรมนายเวร และอธิฐานว่า เราไม่รู้ว่าเราทำกรรมอะไรไว้ แต่เราขอชดใช้ให้

ถ้าหากว่าไม่พอใจที่เราทำยังไม่พอคือนั่งสมาธิ ก็เอาเราตายไปเลย เราไม่กลัวตาย

แต่ถ้าหากว่าเราไม่ตาย เราก็จะนั่งสมาธิต่อไป (เราอธิฐานแบบนี้ทุกครั้ง) และเราคิดว่าชีวิตที่เหลือคือโบนัส ถ้าไม่ตายก็ จะสร้างบุญใส่ตัวไปเรื่อยๆ เพราะว่าตายแล้วอะไรเอาไปไม่ได้นอกจากบุญกับบาปเท่านั้น

- เวลาที่เรานั่งสมาธิ เหมือนถึงจุดที่สงบแล้ว เราจะเพ่งไปที่ก้อนเนื้อ และแผ่เมตตาให้ตัวเอง ค่อยๆไล่ลมออกทางปลายเท้า

- สรุปเราก็ไม่ต้องให้คีโมต่อ แต่ว่าฉายแสง25 แสง ก็จบกระบวนการรักษาทานยาวันเม็ด ต้านโฮโมน (5 ปี)

- เราดีใจมากที่ไม่ต้องให้คีโมต่อ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ทุกวันนี้เราไปพบหมอ หมอก็ได้แต่บอกว่า คุณต้องทำบุญมามาก หรือมีบุญเก่ามาช่วย เพราะว่าในเคสของเรา ทุกอย่างมันหน้าจะแย่กว่านี้ แต่ของเราพอผ่าตัดเสร็จ ทุกๆอย่าง ปรกติดีหมด

- หลังผ่าตัดจนถึงปัจจุบัน ร่างกายเราแข็งแรงมากๆ ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ สดชื่นตลอดเวลา และระหว่างเราเป็นมะเร็ง เราไม่เคยปวดหัวเลย (ก่อนหน้าที่จะรู้ว่าเป็นมะเร็ง จะปวดหัวบ่อยๆ ต้องทานยาแก้ปวด) 2 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยปวดหัวสักครั้ง เป็นไข้ก็ไม่เป็น ปวดท้องก็ไม่ปวด ไม่ติดเชื้อเลย

- แต่เราก็ไม่ประมาทในชีวิต เพราะเราผ่านความเจ็บปวดทรมานมากๆมาแล้ว ทนทุกข์กับร่างกายสังขารที่แย่สุดๆ เราต่อสู้ความเจ็บปวดด้วยสมาธิและการปฏิบัติธรรม ไม่กลัวความตายเลย ยิ่งภาวนามากๆ จิตใจยิ่งเข้มแข็ง มองเห็นความตายแค่เอื้อม

เรากลับรู้สึกขอบคุณ มะเร็งที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น ทำให้เราไม่ประมาท ไม่เสียใจที่เป็นโรคมะเร็งเลย ภูมิใจด้วยซ้ำที่เราต่อสู้มาได้ คำว่ามะเร็งเรารู้สึกเฉยๆ ถ้าใจเราดีแล้ว ร่างกายก็แค่นั้น (เราคิดแบบนั้นจริง)

เราใช้ชีวิตได้ปรกติแล้วตอนนี้ เราเป็นโรคมะเร็ง มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเราไม่สบายถ้าเราไม่บอก ก็ไม่มีใครรู้เลย แม้แต่ใกล้ๆบ้านเรา ไม่มีใครรู้เลย เวลาที่เราเห็นคนเป็นมะเร็ง และท้อแท้หดหู่และไม่สู้กับชีวิต เราอยากจะบอกว่า ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ยังไม่ตาย ก็อย่าได้ไปท้อแท้เลย สู้กับมัน ไม่แพ้ก็ชนะ อย่างดีก็แค่ตายเท่านั้น ใจนั้นสำคัญที่สุด ถ้าใจเราเข้มแข็งแล้ว อะไรก็ทำอะไรเราไม่ได้

- เราไม่โกรธทางวัดที่แนะนำเราแต่แรกแบบผิดๆในการรักษา ที่ทำให้เราเกือบเอาชีวิตไม่รอดและต้องเจอกับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานร่างกาย เราคิดแค่ว่า มันเป็นวิบากกรรม ที่เราต้องเจอ ต่อให้ต่อไปนี้ ถ้าเราต้องเจออะไรอีก เราก็พร้อมที่จะรับมือกับมัน และต่อสู้ต่อไป จนกว่าจะหมดลมหายใจ

- เรายอมออกมาเปิดเผยเรื่องราวตัวเอง เพราะว่าต้องการให้คนที่กำลังตัดสินใจในการรักษาตัวเอง ถ้าเกิดเป็นโรคแบบเรา จะได้ไม่ตัดสินใจผิดพลาด และต้องเจอกับความเจ็บปวดทรมาน และเสี่ยงกับความตาย ถ้ารักษาไม่ทัน หวังว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่ได้อ่านเรื่องราวของเรา

- แถมท้ายค่ะ...ตั้งแต่เรากลับมารักษาตัวกับแพทย์ปัจจุบัน เราใช้บัตร 30 บาท ในการรักษา ไม่เสียเงินเลย ทุกอย่างฟรีทุกขั้นตอน

ทุกวันนี้ ใครให้กินยาบำรุง หรือยาอะไรที่ว่า แก้มะเร็งได้ เราไม่กิน ต่อให้กินฟรีเราก็ไม่กิน เสียเงินเราก็ไม่กิน 30% เรารักษาตามที่หมอบอกให้ทำ ส่วนอีก 70% เรารักษาใจเรา ปฏิบัติธรรมให้ใจเข้มแข็งดีที่สุด

https://pantip.com/topic/36077522


คริคริ

แนะนำ หา Fc แฟนคลับ
ให้แยะๆ จะได้มีคนให้กำลังใจค่ะ

tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2020, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
มีตัวอย่างคนรักษามะเร็ง 70/30 ปลงใจไม่หายก็ตายแล ปรากฏว่า ยังไม่ตาย เข้าตำราพบทุกข์จึงเห็นธรรม ไม่เห็นทุกข์ก็ไม่เห็นธรรม


เมื่อเราเป็นมะเร็งและเกือบตาย เพราะเชื่อ และรักษาตัวแบบผิดๆ (สมาธิช่วยได้จริงๆ)

เมื่อต้นปี 2558 เดือนมกราคม เราตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมระยะ 2 และรักษาที่โรงพยาบาลภูมิพลและคุณหมอก็ได้ทำการนัดผ่าตัด วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ซึ่งคุณหมอก็หาคิวให้แบบเร็วที่สุด (เราใช้บัตร 30 บาทในการรักษา) ตอนพบหมอก่อนผ่าตัด หมอก็บอกว่า (หมอขออย่างเดียว อย่ากินยาต้มหรือยาหม้อสมุนไพร นอกนั้นกินได้หมด หมอไม่ห้าม)

- ระยะเวลาก่อนที่จะผ่าตัด เราจิตตกไปมากเลย ไม่บอกใครว่าเราเป็นมะเร็ง เก็บตัวอยู่แต่บนเตียงไม่อยากทำอะไร ตื่นมาก็คิดแต่ว่า ฉันเป็นมะเร็งและทำไมต้องเป็นฉัน ช่วงระยะเวลานั้นห่อเหี่ยวไปหมดเป็นอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์

- ระหว่างรอที่จะผ่าตัด เราก็ปฏิบัติธรรมเองที่บ้าน เก็บตัวอยู่เงียบๆ ไม่อยากคุยกับใคร นั่งสมาธิและสวดมนต์ ตลอดเวลา (วันหนึ่งๆนั่งสมาธิหลายรอบ) จนวันหนึ่ง เราตื่นขึ้นมา และก็นึกไปว่า เรายังไม่ตายนี่ ยังเดินได้ยังขับรถได้ ยังทำอะไรได้เหมือนเดิม มะเร็งก็มะเร็งเถอะ ใจมันไม่กลัวขึ้นมาเลยทีนี้ ย้อนหลังกลับไปดูตัวเอง ตอนที่รู้สึกห่อเหี่ยวหดหู่ มันช่างหน้ากลัวจริงๆ คนที่พอรู้ว่าเป็นมะเร็งและถ้าท้อแท้หรือจิตใจเศร้าหมอง และถ้าตกอยู่ในอารมณ์นั้นๆ และคิดไม่ได้ มันหน้ากลัวมากๆ พลอยทำให้โรคกำเริบไปด้วย

ฯลฯ (ข้ามตอนรักษาวิธีของพระ)

เราโทรไปสอบถามกับพระว่าควรทำอย่างไรดี พระท่านก็ไม่รับสายเรา ได้แต่พิมพ์ทางข้อความ facebook ว่าไม่สะดวกรับสาย ให้พิมพ์ถาม เราเริ่มลังเลใจมากๆ ใจสุดท้าย ท่านก็พิมพ์บอกเราว่า แนะนำให้เราไปผ่าตัดและให้คีโม และค่อยกลับมารักษาตัวกลับที่วัดใหม่

จนเดือนมกราคม 2559 อาการเริ่มไม่ดี น้ำเหลืองจากใสๆ กลายเป็นน้ำเหลืองข้นๆ และขยายใหญ่ขึ้นเป็นวงกว้าง และรอบๆแผลเริ่มเปื่อย ถ้าหากว่าโดนหรือสะกิดก็จะเลือดไหล ต้องคอยซับทุกๆ 2 ชั่วโมง ทั้งปวดแผล ปวดลึกๆ ตุบๆ ในบางครั้ง

- ปลายเดือนมกราคม 2559 เลยติดสินใจ มาโรงพยาบาล พบคุณหมอคนเดิมที่เคยรักษาครั้งแรก พอหมอเห็นแผลท่านก็ได้แต่ส่ายหน้าว่า รักษาผ่าตัดให้ไม่ได้ เพราะแผลใหญ่เกิน แถมท่านยังต่อว่าอีกคือ หมอเคยขอแล้วใช่ไหมว่า อย่าไปกินยาต้มยาหม้อยาสมุนไพร แต่คุณก็ไปกิน ไม่เชื่อหมอ

-เราได้แต่นั่งร้องไห้ต่อหน้าหมอ เพราะเราผิดเองที่ไม่เชื่อหมอแต่แรก โรคเลยเป็นมากถ้าผ่าตัดตอนนั้น ก็คงไม่ทรมานแบบนี้

- เราทรมานมากๆ จากเดือน มกราคม-พฤษภาคม ระยะเวลาเกือบ 5 เดือน เราไม่เคยได้นอนหลับ (เราต้องใช้ท่านั่งหลับ เพราะถ้านอนราบ น้ำเหลืองจะไหลย้อนกลับทั้งเลือดด้วย) เราต้องนั่งหลับเอา ทรมานสุดๆ ไหนจะเลือดไหล ไหนจะน้ำเหลืองไหลตลอด คิดย้อนไปแล้ว มันช่างน่าสงสารตัวเองจริงๆ

และระยะเวลาการให้คีโมนี้เองที่เราก็ปฏิบัติธรรมแบบเร่งความเพียรมากๆ จิตใจไม่ท้อแท้ตามร่างกาย กลับสดชื่นในจิตใจลึกๆ ทุกครั้งที่เรานั่งสมาธิ เราแผ่เมตตาให้ตัวเอง และเจ้ากรรมนายเวร และอธิฐานว่า เราไม่รู้ว่าเราทำกรรมอะไรไว้ แต่เราขอชดใช้ให้

ถ้าหากว่าไม่พอใจที่เราทำยังไม่พอคือนั่งสมาธิ ก็เอาเราตายไปเลย เราไม่กลัวตาย

แต่ถ้าหากว่าเราไม่ตาย เราก็จะนั่งสมาธิต่อไป (เราอธิฐานแบบนี้ทุกครั้ง) และเราคิดว่าชีวิตที่เหลือคือโบนัส ถ้าไม่ตายก็ จะสร้างบุญใส่ตัวไปเรื่อยๆ เพราะว่าตายแล้วอะไรเอาไปไม่ได้นอกจากบุญกับบาปเท่านั้น

- เวลาที่เรานั่งสมาธิ เหมือนถึงจุดที่สงบแล้ว เราจะเพ่งไปที่ก้อนเนื้อ และแผ่เมตตาให้ตัวเอง ค่อยๆไล่ลมออกทางปลายเท้า

- สรุปเราก็ไม่ต้องให้คีโมต่อ แต่ว่าฉายแสง25 แสง ก็จบกระบวนการรักษาทานยาวันเม็ด ต้านโฮโมน (5 ปี)

- เราดีใจมากที่ไม่ต้องให้คีโมต่อ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ทุกวันนี้เราไปพบหมอ หมอก็ได้แต่บอกว่า คุณต้องทำบุญมามาก หรือมีบุญเก่ามาช่วย เพราะว่าในเคสของเรา ทุกอย่างมันหน้าจะแย่กว่านี้ แต่ของเราพอผ่าตัดเสร็จ ทุกๆอย่าง ปรกติดีหมด

- หลังผ่าตัดจนถึงปัจจุบัน ร่างกายเราแข็งแรงมากๆ ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ สดชื่นตลอดเวลา และระหว่างเราเป็นมะเร็ง เราไม่เคยปวดหัวเลย (ก่อนหน้าที่จะรู้ว่าเป็นมะเร็ง จะปวดหัวบ่อยๆ ต้องทานยาแก้ปวด) 2 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยปวดหัวสักครั้ง เป็นไข้ก็ไม่เป็น ปวดท้องก็ไม่ปวด ไม่ติดเชื้อเลย

- แต่เราก็ไม่ประมาทในชีวิต เพราะเราผ่านความเจ็บปวดทรมานมากๆมาแล้ว ทนทุกข์กับร่างกายสังขารที่แย่สุดๆ เราต่อสู้ความเจ็บปวดด้วยสมาธิและการปฏิบัติธรรม ไม่กลัวความตายเลย ยิ่งภาวนามากๆ จิตใจยิ่งเข้มแข็ง มองเห็นความตายแค่เอื้อม

เรากลับรู้สึกขอบคุณ มะเร็งที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น ทำให้เราไม่ประมาท ไม่เสียใจที่เป็นโรคมะเร็งเลย ภูมิใจด้วยซ้ำที่เราต่อสู้มาได้ คำว่ามะเร็งเรารู้สึกเฉยๆ ถ้าใจเราดีแล้ว ร่างกายก็แค่นั้น (เราคิดแบบนั้นจริง)

เราใช้ชีวิตได้ปรกติแล้วตอนนี้ เราเป็นโรคมะเร็ง มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเราไม่สบายถ้าเราไม่บอก ก็ไม่มีใครรู้เลย แม้แต่ใกล้ๆบ้านเรา ไม่มีใครรู้เลย เวลาที่เราเห็นคนเป็นมะเร็ง และท้อแท้หดหู่และไม่สู้กับชีวิต เราอยากจะบอกว่า ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ยังไม่ตาย ก็อย่าได้ไปท้อแท้เลย สู้กับมัน ไม่แพ้ก็ชนะ อย่างดีก็แค่ตายเท่านั้น ใจนั้นสำคัญที่สุด ถ้าใจเราเข้มแข็งแล้ว อะไรก็ทำอะไรเราไม่ได้

- เราไม่โกรธทางวัดที่แนะนำเราแต่แรกแบบผิดๆในการรักษา ที่ทำให้เราเกือบเอาชีวิตไม่รอดและต้องเจอกับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานร่างกาย เราคิดแค่ว่า มันเป็นวิบากกรรม ที่เราต้องเจอ ต่อให้ต่อไปนี้ ถ้าเราต้องเจออะไรอีก เราก็พร้อมที่จะรับมือกับมัน และต่อสู้ต่อไป จนกว่าจะหมดลมหายใจ

- เรายอมออกมาเปิดเผยเรื่องราวตัวเอง เพราะว่าต้องการให้คนที่กำลังตัดสินใจในการรักษาตัวเอง ถ้าเกิดเป็นโรคแบบเรา จะได้ไม่ตัดสินใจผิดพลาด และต้องเจอกับความเจ็บปวดทรมาน และเสี่ยงกับความตาย ถ้ารักษาไม่ทัน หวังว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่ได้อ่านเรื่องราวของเรา

- แถมท้ายค่ะ...ตั้งแต่เรากลับมารักษาตัวกับแพทย์ปัจจุบัน เราใช้บัตร 30 บาท ในการรักษา ไม่เสียเงินเลย ทุกอย่างฟรีทุกขั้นตอน

ทุกวันนี้ ใครให้กินยาบำรุง หรือยาอะไรที่ว่า แก้มะเร็งได้ เราไม่กิน ต่อให้กินฟรีเราก็ไม่กิน เสียเงินเราก็ไม่กิน 30% เรารักษาตามที่หมอบอกให้ทำ ส่วนอีก 70% เรารักษาใจเรา ปฏิบัติธรรมให้ใจเข้มแข็งดีที่สุด

https://pantip.com/topic/36077522


คริคริ

แนะนำ หา Fc แฟนคลับ
ให้แยะๆ จะได้มีคนให้กำลังใจค่ะ

tongue


มีเมคนเดียวก็มีกำลังใจล้นเหลือแล้ว คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2021, 09:27 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2022, 20:53 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2876


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 49 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 55 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron