วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 19:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2018, 19:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้ เรามาคิดถึงเรื่องอย่างนี้แล้ว จะทำอย่างไร เราก็เชิญเอาพระกรุณาใส่ไว้ในใจของเรา พระกรุณานั่นแหละมาใส่ไว้ในใจ ทำใจให้มีความกรุณา หัดสงสาร

สงสารอะไรก่อน ? เบื้องต้นต้องสงสารตัวเองก่อน มีคนไม่ใช่น้อยไม่สงสารตัวเอง เอาตัวไปคลุกคลีกับสิ่งชั่วร้าย เอาท้องไปใส่เหล้าเสีย เอาปากไปใส่ยาพิษ เฮโรอีน เอาตัวไปคลุกคลีกับสิ่งสกปรกโสมมทั้งหลายที่มีในโลกนี้ คือคนไม่รักตัว ไม่สงสารตัว

ทำไมจึงไม่รัก ไม่สงสารตัว ไม่เคยคิดว่า ตัวกูมันเกิดมาทำไม อยู่เพื่ออะไร สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรจะทำในชีวิตนี้ คืออะไร ไม่ได้คิด ไม่ได้นึก ไปกินไปเล่น ไปสนุก จนค่ำแล้วก็นอนอุตุไปเลย เลยไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม อยู่อย่างไร ควรจะใช้ชีวิตอย่างไร ไม่เข้าใจ นี่ไม่รักตัว

แล้วคนที่ไม่รักตัว อย่าไปหวังเลยว่าเขาจะรักพ่อแม่ รักวงศ์สกุล รักครอบครัว รักชาติ รักศาสนา ไม่ต้องพูดละ ไม่รักเลย คนพรรค์นั้นน่ะ รักไม่ลง เพราะไม่มีจิตใจสงสารตัวเอง

เพราะฉะนั้น เราต้องฝึกหัด หัดสร้างพระ สร้างพระพุทธเจ้าในใจ สร้างพระกรุณา สงสารตัวเอง

วิธีที่จะให้สงสารตัวเอง ก็หมั่นตรวจตัวเอง พิจารณาตัวเอง สำรวจตัวเอง แก้ไขตัวเองให้ดีไปเรื่อยๆ หมั่นเพ่งดูตัวเอง มันชั่วอะไร มันไม่ดีอะไร มันเสียหายอะไร หมั่นตรวจ หมั่นสอบให้พบความชั่ว ความไม่ดีในตัว เมื่อพบจะเก็บไว้ทำไม ทิ้งมันเสีย เลิกมันเสีย เขาไม่ให้เราเกิดมาเพื่อความชั่ว เราเกิดมาเพื่อความดี

ลองไปถามคุณแม่ดูเถิดได้ไปบนบานศาลเจ้า หลวงพ่อวัดนั้นวัดนี้ เพื่อให้ลูกดีทั้งนั้นแหละ ไม่ได้ไปตั้งจิตอธิษฐานให้ลูกมาเป็นไอ้ขี้เมาหยำเป ติดยาเสพติด หรือเป็นไอ้นักเลงอะไร ท่านต้องอธิษฐานในเรื่องดีทั้งนั้น แต่ลูกไม่ดีเอง มันต้องคิดอย่างนั้น

ครั้นคิดได้แล้ว ก็รู้ว่าไอ้กูนี่มันน่าสมเพช น่าสงสารเต็มทีแล้ว ชีวิตมันเสียเวลามาตั้งแต่เยอะแยะ นี่ดีหน่อยได้มาพบพระ ได้ฟังธรรมคำสั่งสอน ต่อไปนี้มันต้องรักตัวเสียหน่อย สงสารตัวเสียหน่อย แล้วก็เริ่มทำได้ ประพฤติตัวเอง ให้ดีขึ้น ให้งามขึ้นต่อไป ดูเพื่อนมนุษย์ด้วยสายตาที่ประกอบด้วยเมตตา “อย่ากล่าวร้ายใคร - อะนูปะวาโท” “อย่ามุ่งร้ายใคร - อะนูปะฆาโต” “สำรวมในปาฏิโมกข์ - ปาฏิโมกเข จะ สังวะโร” จงอยู่ในระเบียบวินัย พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนั้น ไม่มุ่งร้าย มุ่งแต่แผ่ความงาม ความดี ส่งความรักไป ส่งความยินดีไป นึกในใจของให้เป็นสุขเป็นสุขเถอะ ขอให้มีความเจริญ ขอให้ปราศจากทุกข์โศกโรคภัยเถอะ แล้วมีสิ่งใดที่เราพอจะช่วยเขาได้ หัดช่วยคนอื่น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หัดทำอะไรเพื่อคนอื่น

นี่แหละเรียกว่า มีพระแล้ว พระกรุณา เรามีพระกรุณาอยู่ในใจแล้ว ทำได้ทุกเวลานาที ทุกโอกาส เวลานั่งกับเพื่อนก็ทำได้ เวลาฉันข้าวก็ทำได้ ทำได้ทั้งนั้น เรามีวิชาความรู้เรื่องใด เราจะช่วยใครได้บ้าง เราช่วยนั่นแหละ คือ พระกรุณา

คนมีพระกรุณาอย่างนี้แล้ว เป็นที่รักที่พอใจของมนุษย์ เป็นที่รักที่พอใจของสัตว์เดรัจฉาน แม้สุนัขมันก็รักเรานะ ถ้าเรากรุณามันบ่อยๆ

ถ้ามันเดินผ่านกุฏิเตะมันทุกที วันหนึ่ง มันก็ไม่มาแล้วละ ไม่รักเราแล้วละ เราแผ่เมตตา มันก็รักเรา พอเห็นกระดิกหางเลย เข้ามา นี่แหละ เรียกว่า เข้าถึงง่ายๆ เข้าถึงพระกรุณา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2018, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อไป เข้าถึงพระปัญญา ปัญญาก็หมายความว่า เราต้องศึกษาหาความรู้ความเข้าใจ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ หาความรู้ใส่สมอง อย่าใช้เวลาว่างหาของใส่ท้องให้มันมากเกินไป
คนไทยเรา มันเป็นอย่างนั้น สังเกตดูเถอะ ขึ้นรถโดยสารมีแต่หาเรื่องหาของใส่ท้องเท่านั้นแหละ กินกันจริงๆ กินถั่ว กินงา กินข้าวโพด สับปะรด กินกล้วย เต็มไปหมดขยะมูลฝอย กินแล้วก็ทิ้งลงไป ทิ้งทางหน้าต่าง ทิ้งตรงนี้ตรงนั้น รกจริงๆ กินจริงๆ คนที่เจริญเขาโดยสารรถไปไหน เขาไม่กินกัน เขากินน้อยๆ กินเสร็จแล้วขึ้นรถ ของเราไม่ได้
พวกที่เจริญหน่อย ไม่กินของเป็นก้อน กินของเป็นน้ำ พอขึ้นรถก็ต้องดื่มเบียร์ ดื่มเหล้า คุยกันไป เอะอะโวยวาย พุทโธ่เอ๊ย หลวงพ่อขึ้นรถบ่อยๆ เพราะมีตั๋วไปไหนมาไหนสะดวกชั้นหนึ่งเสียด้วย พบคนชั้นดี แต่ขี้เมาทั้งนั้น นานๆ จะเจอสุภาพบุรุษสักคนหนึ่ง ปีหนึ่งจะเจอสัก ๒ คน
แต่ขี้เมาละก็มากเหลือเกิน เมาจริงๆ ถ้าไปดูรถเสบียง ไม่มีใครนั่งอ่านหนังสือ มีแต่คนขี้เมาทั้งนั้น ใช้เวลาในเรื่องกินเหล้าทั้งนั้น ไม่ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ แล้วมันจะเจริญได้อย่างไร สมองจะก้าวหน้าได้อย่างไร ท้องเจริญแต่สมองมันแย่นะ
แต่คนเรามันต้องให้สมองเจริญ ไม่ใช่ให้ท้องเจริญ กินเท่าที่จำเป็น ไม่กินมากเกินไป ไปไหนก็หาหนังสือที่ยังไม่ได้อ่าน ติดมือถือไปสักเล่ม ไปในรถไฟ นั่งทำไมเฉยๆ อ่านเข้าไว้ และนั่งใกล้ผู้รู้ ผู้ฉลาด หมั่นคิด หมั่นตรองในสิ่งต่างๆ ที่เราประสบพบเห็น เรียกว่า หาปัญญาในทางโลกก่อน

ต่อไปก็หาปัญญาเกี่ยวกับตัวเรา ให้รู้จักสภาพจิตใจของเรา รู้อะไรดี อะไรชั่ว อะไรเป็นเหตุของความทุกข์ อะไรเป็นเหตุของความเสื่อม อะไรเป็นเหตุให้เกิดความเจริญ ควรศึกษาให้รู้ว่าอะไรมันเกิดอย่างไร มันมาอย่างไร ธรรมของพระพุทธเจ้าสอนไว้ทุกอย่าง สอนตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงที่สุด อะไรมันเกิดอย่างไร ท่านวางไว้หมด หมั่นศึกษาเอามาคิดมาค้น


การศึกษาในเบื้องต้น มันก็ต้องเรียนจากหนังสือเป็นธรรมดา ฟังอาจารย์สอนเป็นธรรมดา แต่นี่เป็นความรู้ชั้นสอง.

ความรู้ชั้นหนึ่ง มันอยู่ที่ตัวเรา ต้องไปศึกษาจากตัวเรา ศึกษาจากร่างกายเรา ยาววาหนึ่ง หนาคืบ กว้างศอก นี้แหละ ต้องคิดค้นหาความคิดความอ่าน
การกระทำของเราในตัวเรา มันมีทั้งนั้น บาปบุญก็อยู่ในตัวเรา นรกก็อยู่ในตัวเรา สวรรค์มันก็อยู่ในตัวเรา เราต้องพยายามศึกษาให้เกิดปัญญา ให้เข้าใจเรื่องชีวิตถูกต้อง ให้เข้าใจเรื่องทั้งหลายถูกต้อง เมื่อเราเข้าใจถูกต้อง จิตมันบริสุทธิ์ขึ้นเอง เพราะจิตที่บริสุทธิ์เกิดจากปัญญา เกิดจากความรู้ ความเข้าใจ เมื่อเรามีปัญญา เราก็มีความบริสุทธิ์
ที่ถ้ำพัทลุงมีพระพุทธรูปมาก แต่มีพระอยู่แถวหนึ่ง เขาเรียกว่า พระปัญญา เวลาเป็นเด็กนี่เคยไปกับคุณยาย ยายบอกว่าไหว้พระปัญญา ไปขอให้มีปัญญา เราก็ต้องไปไหว้ กราบลูบ ไปทีไรต้องไปกราบทุกที พระองค์ใหญ่ คือ พระบริสุทธิ์ พระกรุณา พระปัญญา เขาทำไว้อย่างนั้น คนโบราณเขาทำถูกนะ
ในโบสถ์ปักษ์ใต้ เขามีพระ ๓ องค์ เท่ากัน หมายความว่า พระบริสุทธิ์ พระกรุณา พระปัญญา เขาทำไว้ ๓ องค์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2018, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นี่แหละเรียกว่า เขาถึงเนื้อแท้ ถึงคุณของพระพุทธเจ้า ในการปฏิบัติ ในชีวิตประจำวัน เช่น เรา ปฏิบัติศีล ปฏิบัติฝึกสมาธิ คิดค้นให้เกิดปัญญา ก็เรียกว่า เดินทาง เดินทางไปหาพระพุทธเจ้า

องค์พระพุทธเจ้าที่แท้ก็คือ ความบริสุทธิ์ นั่นเอง สุทธิหรือความบริสุทธิ์ สะอาด สว่าง สงบ สะอาด สว่าง สงบ ๓ ส. นั่นแหละเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้า ใจเราสะอาด ใจเราสงบ แล้วใจเราก็สว่างด้วยปัญญา เราก็ถึงพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ให้ถึงเรื่องนี้ ให้ถึงธรรมะ
ธรรมที่เป็นข้อปฏิบัตินี้แหละ เรียกว่าทางเดิน
ธรรมที่เป็นผล ที่เกิดจากการปฏิบัติ เรียกว่า เป็นตัวที่เราเข้าถึง เข้าถึงสิ่งนั้น
ส่วนสิ่งอื่นนั้น นอกจากนั้นเป็นเพียงแต่เปลือก เป็นเครื่องจูงใจเราไม่ได้หนักหนา เราต้องพึ่งตัวเอง ต้องช่วยตัวเอง เพื่อเข้าถึงสิ่งสูงสุดในพระพุทธศาสนา คือพระธรรม คือเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้า นี้เรียกว่า เข้าถึงพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าตัวแท้อยู่ที่ธรรมะ ที่ตัวปฏิบัติ
คราวนี้ เราก็มีพระธรรมเป็นคำสอน
คำว่า ธรรม, พระธรรม นี้หมายถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ได้สั่งสอนไว้ คือเป็นข้อที่ปฏิบัติทั้งหมด เช่น ใน เรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา เป็นข้อปฏิบัติย่อๆ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นแนวทางปฏิบัติให้ถึงความบริสุทธิ์ พอถึงความบริสุทธิ์มันก็หลุดพ้น พ้นจากทุกข์ หลุดพ้นจากทุกข์เป็นจุดที่เราเข้าถึง เมื่อเราพ้นทุกข์ เราก็เป็นพุทธะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2018, 19:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ให้เข้าใจไว้ว่า ตำแหน่งพุทธะไม่ใช่ตำแหน่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ตำแหน่งที่ใครจะเข้าถึงไม่ได้
คนเข้าถึงได้ ผู้หญิงก็เป็นพุทธะได้

ญาติโยมไม่เข้าใจที่บ่นว่า ฉันเป็นหญิงอาภัพไม่สามารถจะบวชได้ ขอชาติหน้าให้เกิดเป็นผู้ชาย บวชในพระศาสนา นี่คือไม่รู้เรื่อง ยังไม่เข้าใจ จึงได้บอกว่า โยมหญิงหรือชายก็เป็นเปลือกคน ไม่ใช่เนื้อแท้ ดูข้างนอกมันเป็นหญิงหรือชายเป็นเปลือกนอกทั้งนั้นแหละ เนื้อแท้ของคนคือจิต ที่จะรู้ธรรมะ จิตที่รู้ธรรมะน่ะมันเท่ากัน ผู้หญิงก็อย่างนั้น ผู้ชายก็อย่างนั้น ฝรั่ง จีน แขก ไทย เขมร ลาว พม่า มันก็เท่ากันทั้งนั้นแหละ สามารถจะรู้ธรรมะได้เท่ากัน และเมื่อจิตเข้าถึงธรรมะ แล้วก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนกันทุกคน ไม่มีหญิง ไม่มีชาย ไม่มีอะไรแยกกัน

อันนี้แหละถ้าไปอ่านพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ก็จะพบข้อความตอนหนึ่ง มีคนถาม พระองค์ว่า ท่านเป็นมนุษย์หรือ ? ไม่ใช่

ท่านเป็นเทวดาหรือ? ไม่ใช่

ท่านเป็นยักษ์หรือ? ไม่ใช่

ท่านเป็นคนธรรพ์หรือ? ไม่ใช่

คนถามก็งงเท่านั้นซิ ไม่ใช่ทั้งนั้น ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่ยักษ์ แล้วท่านเป็นอะไรเล่า

ท่านบอกว่า เราเป็นพุทธะ

ทำไมจึงไม่ตอบว่าเป็นคน เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา ? เพราะว่ากิเลสที่จะให้เป็นอย่างนั้น มันไม่มีแล้ว

กิเลสที่จะให้เป็นมนุษย์มันไม่มี

กิเลสที่จะให้เป็นเทวดามันไม่มี

กิเลสที่จะให้เป็นพรหมมันไม่มี จะให้เป็นคนธรรพ์ เป็นยักษ์ก็ไม่มี เราเป็นพุทธะ

พุทธะ แปลว่า รู้เองในโลก ท่านตอบอย่างนั้น

ท่านตอบว่า เราเป็นพุทธะ ไม่เป็นหญิง ไม่เป็นชาย ไม่เป็นอะไรทั้งนั้น

พุทธะนี่สำคัญ อ่านดูจากในพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ แล้วไปคิดดู พุทธนี้ไม่มีเพศ ไม่มีอะไรทั้งนั้น.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2018, 19:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะฉะนั้น ผู้หญิงที่บ่นๆน่ะเราตอบได้ โยมอย่าเสียใจ โยมเป็นพุทธะได้ ปฏิบัติธรรมได้ ทางเดินของพระพุทธเจ้าเปิดไว้ ไม่ได้บอกว่าหญิงเดินไม่ได้ ไม่ใช่อย่างนั้น หญิงก็ไปได้ ชายก็ไปได้ เส้นทางที่เดินได้ทุกคน เป็นทางเอก ทางสายเดียว เป็นทางที่จะนำไปสู่ทางพ้นทุกข์ นั้นคือตัวธรรมะ ที่เป็นข้อปฏิบัติ
เมื่อปฏิบัติ เราก็ถึงความบริสุทธิ์ เมื่อถึงความบริสุทธิ์ ก็เรียกว่า ถึงพุทธะ เมื่อเราปฏิบัติธรรมะ เราก็มีสังฆะอยู่ในตัวแล้ว คือมีสงฆ์อยู่ในตัวของเราด้วย ซึ่งหมายถึงอะไร หมายถึงปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อความออกจากความทุกข์
ปฏิบัติสมควร มีหลัก ๔ ข้อ คือ สุปฏิปันโน อุชุปฏิปันโน ญายปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโน

ตัวพระสงฆ์ที่แท้คือ ตัวปฏิบัติ พระสงฆ์ที่ห่มจีวรนี้ ก็เปลือกเหมือนกัน เนื้อแท้คือตัวปฏิบัติ ถ้าเราปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม หมายความว่าเพื่อให้พ้นออกจากทุกข์ ปฏิบัติสมควรตามข้อวินัย นั่นแหละสงฆ์แท้ อยู่ในใจเรา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2018, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อปฏิบัติที่เอามาปฏิบัตินั้นคือ ตัวพระธรรม เมื่อเราลงมือปฏิบัติ เรามีพระสงฆ์แล้ว สิ่งที่เราปฏิบัติก็คือพระธรรม เรามีตัวพระธรรมอยู่ในตัวเราแล้ว

ครั้นเมื่อปฏิบัติ จิตมันก็ต้องสงบตามสมควร เราก็มีพระพุทธเจ้าแล้ว มันก็มีครบทั้ง ๓

พอเริ่มลงมือปฏิบัติดี ก็ถึงพระสงฆ์ พระธรรม พระพุทธ ถึงทั้ง ๓ อย่าง

แต่ถ้าเราไม่ปฏิบัติธรรม ขาดทั้งหมด ๓ อย่างเลย ไม่มีอะไรเหลือ นี่มันเป็นอย่างนี้

จิตขาดจากพระพุทธเจ้า มันก็เป็นอื่นละ จะกลายเป็นจิตอะไรไปก็ได้ เป็นเดรัจฉาน เป็นสัตว์นรก เป็นอสุรกาย เป็นเปรตก็ได้ เป็นยักษ์เป็นมารก็ได้ เพราะไม่มีพระอยู่ในใจ แต่พอมีการปฏิบัติทันทีที่จิตเปลี่ยน มีพระสงฆคุณ พระธรรมคุณ พระพุทธคุณ เมื่อมีพระพุทธเจ้าไว้ในใจแล้ว เราถึงตรงนี้ ถึงด้วยการปฏิบัติ

เราถือศีลก็คือปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าเข้าถึงจิตใจเราแล้ว สมาธิเราก็มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในใจ เป็นการถึงเนื้อแท้ เป็นการเข้าถึงพระรัตนตรัย ฉะนั้น อย่าไปถึงเปลือก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2018, 19:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คัมภีร์ตัวขอม บางคนยึดถือ มันเป็นแต่เพียงตัวเปลือก แถวสงขลาสมัยก่อน ต้องเทศน์ตัวขอม ผมไปอยู่สงขลาใหม่ๆ ไปเทศน์ ถ้าเทศน์อย่างนี้เขาไม่ฟัง ไม่ใช่เทศน์นี่ ท่านมาว่าเอาเอง
เมื่อเร็วๆนี้ ก่อนเข้าพรรษาให้พระไปเทศน์ที่บ้านบางเขียด ให้พระอื่นเทศน์ผมไปยืนเดินอยู่ข้างนอก ฟังคนเขาคุยกัน จะวิพากษ์วิจารณ์อะไรกัน สองคนมันคุยกัน

คนหนึ่งว่า กูไม่ฟังละ ไม่เห็นจะเทศน์อะไร ว่าเอาเองทั้งนั้น

ไอ้คนหนึ่งว่า ไอ้มึงมันบ้า นั่นแหละท่านสอนเรา ฟังดู ฟังหน่อย เฮ้ยกูไม่ฟังอย่างนี้ ถ้าเทศน์กูจะฟัง ว่าเอาเองกูไม่ฟังดอก อย่างนี้นี่แหละ เขาเรียกว่ายึดเปลือกละ คือเทศน์มันต้องอ่านหนังสือ เช่นว่า ตามที่ได้สดับมา ในกาลครั้งหนึ่ง มีอยู่อย่างนั้นละก็ชอบ นั่งฟังกันเป็นแถวทีเดียว แต่ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง มันเป็นเสียอย่างนั้นแหละ คนติดตัวหนังสือ ตัวอย่างธรรมดาก็ไม่เอา ต้องตัวขอม ตัวคัมภีร์เก่าๆ จึงจะชอบ
อย่างหลวงพ่อไปเทศน์ เขายิ่งว่า ท่านพูดเอาเองทั้งนั้น กลับไปอย่างนั้นเอาเสีย ไอ้เราพูดให้เข้าใจธรรมะกลับว่าพูดเอาเอง
เมื่อก่อนเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้คนเข้าใจมากแล้ว เปลี่ยนไปเยอะ แล้วเข้าใจความหมายของเรื่อง คนฟังธรรมสมัยก่อนติดอย่างนั้น ติดหนังสือ ติดคัมภีร์ ต้องเป็นตัวขอมในใบลาน นี้เป็นตัวอย่าง เรียกว่า ติดเปลือก เนื้อแท้น่ะเป็นสิ่งที่เราควรจะนำมาปฏิบัติจากคัมภีร์นั้น เราเรียกว่า เนื้อแท้ของธรรมะ

พระสงฆ์นี้ ก็เหมือนกัน เราไหว้พระเพราะเราไหว้การปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติสมควรของท่าน ไม่ใช่พอห่มเหลืองก็ไหว้เรื่อยไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2018, 19:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีตัวอย่างน่าขำ นักโทษสมัยโน้นเขาตัดถนนสายสัตหีบ หลวงเขาเอานักโทษไปทำงานเหมือนที่มาช่วยในวัดเรา มันหนีไปคนหนึ่ง
เวลาหนีไปแล้วจะทำอย่างไร มันไปลักจีวรของพระแล้วโกนหัว ลืมโกนคิ้ว ห่มจีวร เดินไปถึงบ้านบ้านหนึ่ง ชาวบ้านเขามีพระเพียง ๓ องค์ ฉันอาหารงานศพ พอเห็นก็เจ้าประคุณมาพอเหมาะพอดี พระไม่ครบ นิมนต์ๆ ฉันเพล

เจ้านั้นขึ้นไปฉัน นั่งฉันสบาย กำลังฉันของหวาน เจ้าหน้าที่ตามเจอะกำลังฉันของหวานอยู่ ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม ขึ้นไปถึงก็ฟาดโครมๆ ลงไป จับเอาไว้
ชาวบ้านว่าอย่าๆ จงเห็นแก่ผ้าเหลือง ผ้าเหลืองอะไรกันละ นี่เป็นนักโทษหนีคุกมา คิ้วยังไม่โกนเลย ดูเอาซิ พุทโธ่ ผู้คุมจับได้
พอจับได้ก็ให้เดินกลับ ให้ห่มจีวรอย่างนั้นละ บอกว่า ถ้าคนนั่งไหว้กูจะเฆี่ยน ๓ ที พอเจอะคนไหว้ก็เฆี่ยน ๓ ที
พอถูกเฆี่ยนครั้งแรกก็ยังพอทน พอจะโดนครั้งต่อๆไป ก็รีบบอกชาวบ้าน ฉันมันพระปลอมนะอย่าไหว้ๆ เรื่องมันเป็นอย่างนั้น
นี่แหละเขาเรียกว่าไม่ใช่ตัวพระสงฆ์ จีวรนี่ไม่ใช่ มันเป็นเพียงเครื่องแบบเท่านั้น เนื้อแท้ มันอยู่ที่การประพฤติปฏิบัติ ขอให้เข้าใจอย่างนี้ เรื่อง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ต้องเข้าใจอย่างนี้.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2018, 15:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จบตอน จากหนังสือนี้

หน้า ๘๑ (ต่อหัวข้อ ธรรม, พระธรรมคืออะไร ?)

(เมื่อจิตใจปราศจากกิเลสาสวะ ก็เป็นจิตพุทธะ ตามที่ท่านพูด นำมาจากบาลีนี้)

ครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้ากำลังเสด็จพุทธดำเนินทางไกล พราหมณ์ผู้หนึ่ง ซึ่งได้เดินทางไกลทางเดียวกับพระองค์ มองเห็นรูปจักรที่รอยพระบาทแล้ว มีความอัศจรรย์ใจ
ครั้นพระองค์เสด็จลงไปประทับนั่งพักที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่งข้างทาง พราหมณ์เดินตามรอยพระบาทมา มองเห็นพุทธลักษณาการที่ประทับนั่ง สงบลึกซึ้ง น่าเลื่อมใสยิ่งนัก จึงเข้าไปเฝ้าแล้ว

ทูลถาม: ท่านผู้เจริญคงจักเป็นเทพเจ้า

ตรัสตอบ: แน่ะพราหมณ์ เทพเจ้าเราก็จักไม่เป็น

ทูลถาม: ท่านผู้เจริญคงจักเป็นคนธรรพ์

ตรัสตอบ: คนธรรพ์เราก็จักไม่เป็น

ทูลถาม: ท่านผู้เจริญคงจักเป็นยักษ์

ตรัสตอบ: ยักษ์เราก็จักไม่เป็น

ทูลถาม: ท่านผู้เจริญคงจักเป็นมนุษย์

ตรัสตอบ: มนุษย์เราก็จักไม่เป็น

ทูลถาม: เมื่อถามว่า ท่านผู้เจริญคงจักเป็นเทพ ท่านก็กล่าวว่า เทพเราก็จักไม่เป็น เมื่อถามว่า ท่านผู้เจริญคงจักเป็นคนธรรพ์...เป็นยักษ์...เป็นมนุษย์ ท่านก็กล่าวว่า จักไม่เป็น เมื่อเช่นนั้น ท่านผู้เจริญจะเป็นใครกันเล่า

ตรัสตอบ: นี่แน่ะพราหมณ์ อาสวะเหล่าใด ที่เมื่อยังละไม่ได้ จะเป็นเหตุให้เราเป็นเทพเจ้า...เป็นคนธรรพ์...เป็นยักษ์...เป็นมนุษย์ อาสวะเหล่านั้น เราละได้แล้ว ถอนรากเสียแล้ว...หมดสิ้น ไม่มีทางเกิดขึ้นได้อีกต่อไป เปรียบเหมือนดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ แต่ตั้งอยู่พ้นน้ำ ไม่ถูกน้ำฉาบติด ฉันใด
เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดในโลก เติบโตในโลก แต่เป็นอยู่เหนือโลก ไม่ติดกลั้วด้วยโลก ฉันนั้น นี่แน่ะพราหมณ์ จงถือเราว่าเป็น “พุทธะ” เถิด

(องฺ.จตุกฺก. 21/36/48)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2022, 04:12 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2023, 16:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2007, 13:49
โพสต์: 1012


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss :b8: :b8: :b8:

.....................................................
ทำความดีทุกๆ วัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2023, 09:12 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2876


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 56 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร