วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 21:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2018, 05:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


โอกาสที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนานั้นแสนยาก

“…พระพุทธเจ้าท่านทรงรู้แจ้งว่า โลกนี้จะพ้นโง่มันก็ยาก การที่จะได้เกิดเป็นคนนี่ยากที่สุด แล้วเป็นคนจะเอาคนชนิดไหน คนมีบุญ คนลำบาก คนพิการง่อยเปลี้ย จะหาคนสบายมีกี่คน ถ้าเทียบจำนวนทั้งหมด อย่างเดียรัจฉานนี่มันกินกันเอง กัดกันเอง คนบ้าฆ่ากันเอง

กระดูกของแต่ละคนนี้ ท่านว่า กองเท่าภูเขา น้ำตาและเลือดของแต่ละชีวิต ที่ผ่านมามีมากกว่าน้ำในมหาสมุทร ! ดูซิ มันยาวนานแค่ไหน การจะเกิดเป็นคนนั้นมันยากมาก ยาก ! อย่างที่ท่านเปรียบว่า

“เต่าตาบอด” มันจะว่ายน้ำเข้าฝั่ง แต่ทะเลมีตาข่ายกั้นอยู่ และมีรู เท่าตัวเต่าอยู่รูเดียว ถ้าหัวไปโดนตาข่าย มันจะจมลงไปอีก ๑๐๐ ปี จึงจะได้โผล่มาใหม่ คือ จะลอดได้ มันต้องฟลุ๊คที่สุด แต่อย่างนั้น โอกาสก็ยังง่ายกว่าโอกาสจะได้เกิดมาเป็นคน และเป็นคนอยู่ในพระพุทธศาสนามันยาก ไม่พ้นวัฏสงสารไปได้…”

หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต






+++ ทำบุญวันพระ +++

เหตุเกิดที่ศาลาหลวงพ่อบันดาลฤทธิผล ขณะหลวงปู่กำลังจะลงมือฉัน ก็มีโยมท่านหนึ่งถือภัตตาหารเดินมาทำทีจะถวายท่าน

หลวงปู่ ; มาจากไหนหล่ะ คุณ

โยม ; มาจากเมืองกาฬสินธุ์เจ้าค่ะ วันนี้วันพระโยมขับรถออกมาจากตัวเมืองพึ่งมาถึงเจ้าค่ะ

หลวงปู่ ; อือ อนุโมทนานะ

โยม ; เจ้าค่ะหลวงปู่ เออหลวงปู่เจ้าขา ทำบุญวันพระได้บุญมากกว่าทำบุญวันธรรมดาใช่ไหมเจ้าค่ะ เห็นเขาว่าอย่างนั้น

หลวงปู่ ; หือ คุณกินข้าววันปกติ อิ่มเท่าวันเสาร์-อาทิตย์ไหมหล่ะ

โยม ; ก็อิ่มเท่ากันเจ้าค่ะ

หลวงปู่ ; เออ จะวันธรรมดาหรือวันเสาร์-อาทิตย์ กินข้าวมันก็อิ่มเท่ากัน จะวันพระหรือวันเณร ทำบุญก็ได้เท่ากัน เคยได้ยินไหม “พระผีหลอก แม่ออกวันศีล” (คนจะคิดถึงพระก็เพราะความหวาดกลัวต่อภัยเช่น มีเคราะห์ ดวงไม่ดีหมอดู โดนผีหลอก ท่านอุปมาเหมือนโยมที่ชอบทำความดีในวันพระหรือวันสำคัญ ผู้เขียน) ทำความความดีอย่าเลือกวัน อย่าเลือกเวลา โอกาสสถานที่ทำความดีทำได้ทุกวัน ทำได้ทุกโอกาสเวลา อย่าไปคิดว่าค่อยทำวันพระ ถ้าคุณตายก่อนวันพระคุณจะได้ทำหรือเปล่า ถ้าคุณมัวแต่รอโอกาสเวลา คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเวลานั้นจะมีแก่เรา กินข้าวคุณยังกินทุกวัน ความดีทำไมไม่ทำทุกวัน มัวแต่รอวันนั้นวันนี้ วันพระค่อยทำวันนี้คุณทำอะไร อาทิตย์หน้าค่อยทำอาทิตย์หน้าคุณทำอะไร เดือนหน้าค่อยทำ เดือนนี้คุณทำอะไร ปีหน้าค่อยทำ ปีนี้คุณทำอะไร ชาติหน้าค่อยทำ ชาตินี้คุณทำอะไร อย่ามัวรอโอกาสเวลา เราไม่รู้เราจะตายวันตายพรุ่ง เราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีแก่เราหรือไม่ แต่ทีสำคัญเรามีวันนี้ มีเดี๋ยวนี้ อย่าปล่อยลมหายใจทิ้งเสียเปล่านะ ทำความดี คิดสิ่งดี พูดคำดีทำได้ทุกที่ทุกเวลา อย่ามัวรอโอกาสเวลาเข้าใจนะ

พระญาณวิสาลเถร (หา สุภโร)





"คลื่นกระทบฝั่ง"

เรื่องทุกข์เรื่องไม่สบายใจนี่
มันก็ไม่แน่หรอกนะ มันเป็นของไม่เที่ยง

เราจับจุดนี้ไว้ เมื่ออาการเหล่านี้มันเกิดขึ้นมา
เรารู้มันเดี๋ยวนี้ เราวางกำลังอันนี้จะค่อยๆเห็นทีละน้อยๆ
เมื่อมันเกิดขึ้น มันข่มกิเลสได้เร็วที่สุด

ต่อไปมันเกิดตรงนี้ มันดับตรงนี้
เหมือนกับน้ำทะเลที่กระทบฝั่ง
เมื่อขึ้นมาถึงฝั่งมันก็ละลายเท่านั้น
คลื่นใหม่มาอีก มันก็ละลายต่อไปอีก
มันจะเลยฝั่งไปไม่ได้

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
คือฝั่งทะเลอารมณ์ทั้งหลายที่ผ่านเข้ามา
มันก็เท่านั้นแหละ

"พระอาจารย์ชา สุภัทโท"
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี

:: รวมคำสอน “หลวงพ่อชา สุภัทโท”







" ..ถ้าคนมันถึง พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ฝากเป็นฝากตายแล้วมันบ่ไปใสแล่ว ผู้ใดว่าหยังให้กะเฉยๆคือกันกับคนมีเงินพันล้านในกระเป๋าเดินตามทางคนว่าให้กะเฉยๆเพราะใจมันเป็นสุขคิดถึงเงินในกระเป๋าเจ้าของ เปรียบคือกันกับคนที่มีสรณะเป็นที่พึ่งในใจมันกะคือกันนั่นละ แต่มันถึงยากเด้ละขนาดพระเทวทัตมีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ยังบ่ถึงสรณะไหลลงอเวจียังบ่ไดัไปผุดไปเกิดอยู่จนถึงปัจจุบัน ในประเทศไทยร้อยคนสิมีพอสามคนบ่ที่ถึงสรณะ เกิดเป็นคนนั้นประเสริฐแล้วเป็นแก้วสารพัดนึก นึกดีกะได้ดี พระคือกันอยู่วัดบ่เคยภาวนาจักเทื่อไปหาสร้างเหรียญมาแล้วทำท่าไปปลุกเสกเหรียญให้ขลัง คือบ่ปลุกเสกเจ้าของนั้นให้มันดี.. "

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร
วัดถ้ำสหาย อ.หนองแสง จ.อุดรธานี






" คำถาม... หลวงปู่ครับ กระผมนั่งสมาธิอยู่ มันเกิดมีแสงสีม่วงมาแยงเข้าตา จะทำอย่างไรครับ.

หลวงปู่... เกิดขึ้นมันก็หายไปเอง.

ถาม... ไม่ต้องสนใจมันใช่ไหมครับ หลวงปู่.

หลวงปู่... อื้อ บ่ต้องดีใจ บ่ต้องเสียใจ ฮ้ายกะซ่าง ดีกะซ่าง.( ร้ายก็ช่าง ดีก็ช่าง )

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม






“...พ่อแม่ครูอาจารย์พูดอะไรมา เราก็จับเอาใจความไปพิจารณา เอาไปปฏิบัติทันที เพราะความตายไม่รู้มันจะมาถึงเราวันไหนนะ นั่งก็ตาย นอนก็ตาย พิจารณาอยู่อย่างนั้นแหละ ให้มันคุ้นเคยกับความตาย...”

โอวาทธรรมหลวงปู่ลี กุสลธโร





"...เราบวชแต่ยังเล็ก มิได้มาเลี้ยงบิดามารดาเหมือนกับคนธรรมดา แต่หล่อเลี้ยงน้ำใจของท่านด้วยเพศสมณะ ตอนนี้เราคุยโม้โอ้อวดได้เลยว่า เราเกิดเป็นลูกผู้ชาย ได้บวชแต่เล็ก มิได้เลี้ยงบิดามารดา เหมือนคนธรรมดาสามัญทั่วไป แต่หล่อเลี้ยงน้ำใจของท่านทั้งสองด้วยทัศนะเพศสมณะ อันเป็นที่ชอบใจของท่านอย่างยิ่ง ระลึกถึงท่านอยู่เสมอว่า ลูกของเราได้บวชแล้วๆ ถึงอยู่ใกล้หรือไกลตั้งพันกิโลเมตร ก็มีความดีใจอยู่อย่างนั้น แล้วก็สมประสงค์อีกด้วย ท่านทั้งสองแก่เฒ่าลง เราก็ได้กลับมาสอนท่านให้เพิ่มศรัทธาบารมีขึ้นอีก จนบวชเป็นชีปะขาวทั้งสองคน และภาวนาเกิดความอัศจรรย์หลายอย่าง ทำให้ศรัทธามั่นคงขึ้นไปอีก เราสอนไปทางสุคติ ท่านทั้งสองก็ตั้งใจฟังโดยดี เหมือนอาจารย์กับศิษย์จริงๆ เต็มใจรับโอวาททุกอย่าง ท่านไม่ถือว่าลูกสอนพ่อแม่

บิดาบวชเป็นชีปะขาวอยู่ได้ ๑๑ ปี ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ ๗๗ ปี มารดาบวชเป็นชีอยู่ได้ ๑๗ ปี จึงถึงแก่กรรม อายุได้ ๘๒ ปี มารดาเสียชีวิตหลังบิดา ตอนจะตายเราก็ได้แนะนำสั่งสอนจนสุดความสามารถ เราได้ชื่อว่า ได้ใช้หนี้บุญคุณของบิดามารดา สำเร็จแล้ว หนี้อื่นนอกจากนี้ไม่มีแล้ว ท่านทั้งสองล่วงลับไปแล้ว เราก็ได้ทำฌาปนกิจศพให้สมเกียรติท่านตามวิสัยของเราผู้เป็นสมณะอีกด้วย

ดีเหมือนกันที่เราบวชในพระพุทธศาสนา และได้อยู่นานถึงปานนี้ ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของสังขารร่างกาย พร้อมทั้งโลกภายนอกด้วย ได้เห็นอะไรหลายอย่างทั้งดีและชั่ว เพิ่มปัญญาความรู้ของเราขึ้นมาอีกแยะ นับว่าไม่เสียทีที่เกิดมาร่วมโลกกะเขา คิดว่าเราเป็นหนี้บุญคุณโลก เอาดิน น้ำ ลม ไฟ ของเขามาปั้นเป็นรูปกาย แล้วเราจึงได้มาครองอยู่ มาบริโภคใช้สอย ของที่มีอยู่ในโลกนี้ทั้งนั้น ของเราแท้ๆไม่มีอะไรเลย ตายแล้วก็สละปล่อยทิ้งไว้ในโลกทั้งนั้น

บางคนไม่คิดถึงเรื่องเหล่านี้ จึงหลงเข้าไปยึดเอาจนเหนียวแน่น ว่าอะไรๆก็ของกูๆไปหมด ผัว เมีย ลูกหลาน เครื่องใช้ในบ้าน ของกูทั้งนั้น แม้ที่สุด ของเหล่านั้นที่มันหายสูญไปแล้ว หรือมันแตกสลายไปแล้วก็ยังไปยึดว่าของกูอยู่ร่ำไป..."

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี




ถ้าเรารับเอาคนชั่วไว้ใกล้ตัวเรา ก็เท่ากับก่อไฟใกล้บ้านเรา
ถ้าเราให้อาหารคนชั่วๆ ก็เข้ามา ,ถ้าเราให้กับคนดีๆ คนดีๆ ก็เข้ามา
ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ทำความดี ทานก็ต้องเลือกบุคคลที่ควรให้ และทำสิ่งที่ควรทำ

ท่านพ่อลี ธัมธโร





(โยม : ลูกศิษย์จากชลบุรีได้ไถ่ชีวิตกระบือ ๒๐ ตัวถวายพ่อแม่ครูอาจารย์ใหญ่ เพศผู้ ๙ ตัว เพศเมีย ๑๑ ตัว กำลังท้องแก่ ๒ ตัว รถจะบรรทุกมาถึงเช้าวันที่ ๒๗ นี้)

รถมาเราค่อยพิจารณาจะแยกไปทางไหน เวลานี้กำลังปล่อยสัตว์ สัตว์ถูกฆ่ามาเป็นประจำเป็นกัปเป็นกัลป์แล้ว เวลานี้กำลังปล่อย ระยะนี้เป็นระยะปล่อยสัตว์ เรานี้อยากให้ปล่อยเหลือเกิน สัตว์เอาเข้าไปฆ่าๆ ถอนออกมาพ้นภัยๆ อย่างพวกวัวนี่น้ำตาไหลนะ เอาลงจากรถเขาไม่อยากลง เขานึกว่าจะเอาเขาไปฆ่า เขาไม่อยากลงน้ำตาไหล ความจริงจะเอาลงไปปล่อย น่าสงสารมากนะ ใครจะอยากตาย...สัตว์ ไม่มีใครอยากตาย แม้แต่สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยเขามากินเราเช่นยุงเขาก็ไม่อยากตาย แล้วใครๆ จะอยากตายล่ะ

จิตใจท่านถึงบอกว่าต้องมีการอบรม นี้ถูกต้องเลย ที่ว่ามีครูมีอาจารย์อะไรสอนนั้นก็สอนใจนะ คือใจนี่มันด้านมันหนา มันไม่รู้จักผิดจักถูกดีชั่วบาปบุญประการใดละ มีแต่อยากได้อยากเอาอย่างเดียว บาปบุญไม่คำนึง เวลาได้รับการอบรมเข้ารู้สึกตัวๆ เปลี่ยนๆ อันนี้เราก็เคยพูดให้บรรดาลูกหลานฟังมาแล้วหลายครั้งหลายหน เอาตัวเราออกยืนเป็นพยานเลย คือตั้งแต่เป็นฆราวาสยังเล็กยังน้อยมันไม่รู้จักบาปจักบุญ ได้เท่าไรยิ่งดีๆ บาปบุญไม่คำนึง เป็นในหัวใจ เพราะไม่มีใครอบรมมันไม่รู้จักบาป ไม่รู้จักบุญ แต่ความอยากเต็มตัวๆ ทำได้หมด ลงความอยากได้เข้าตรงไหนแล้วไม่มีอัดมีอั้น ไม่พอ ได้เท่าไรไม่พอความอยาก บาปบุญไม่มีเสียอย่างเดียว ถ้าบาปบุญมีมันเป็นเบรกห้ามล้อ มันสะดุ้ง

ศาสนาเช่นพุทธศาสนานี้จึงเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว พุทธศาสนาเป็นศาสนาของท่านผู้สิ้นกิเลสจริงๆ ทรงโลกวิทูคือรู้แจ้งโลกนอกโลกใน โลกคนโลกผี โลกนรกอเวจี สวรรค์-พรหมโลกถึงนิพพาน คือพุทธศาสนา ออกจากพระพุทธเจ้าผู้รู้แจ้งแทงทะลุ ศาสนานั้นๆ เป็นศาสนาที่มีกิเลส เราไม่ประมาท เอาความจริงมาพูดกัน ศาสนาของผู้มีกิเลสเป็นศาสดาสอนโลกมันก็ต้องสอนไปตามแนวแถวของกิเลส ผู้มีแต่ธรรมล้วนๆ ภายในใจ ใจที่บริสุทธิ์ก็สอนถูกต้องโดยธรรมล้วนๆ ไม่มีผิดมีพลาด เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว

คำว่าตรัสไว้ชอบ คือชอบออกมาจากใจ ใจได้รับการซักฟอกถูกต้องแล้ว เช่นพระพุทธเจ้ามาสอนโลกนี่ได้ตรัสรู้แล้ว บริสุทธิ์เต็มที่แล้วมาสอนโลก ธรรมจึงกลายเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบหมด ไม่มีธรรมขั้นใดจะผิดจะพลาด บอกตรงไหนๆ ถูกต้องหมด คือเห็นแล้วด้วยความชอบธรรมๆ ไม่สงสัย เช่นเราเห็นด้วยตาของเรา ไปได้ยินด้วยหูของเรา เราเชื่อหูเชื่อตาเราเป็นความแน่นอน เขาว่าอย่างไรๆ หรือไปเห็นรูปนั้นๆ ประจักษ์แล้วเราหายสงสัย ใครมาโกหกเราไม่ได้ ได้ยินว่าอย่างไรๆ โกหกไม่ได้

อันนี้ก็เหมือนกันลงได้ประจักษ์ในใจแล้ว..พระพุทธเจ้า มาเป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่เล่น ปรารถนาเป็นศาสดาสอนโลกมากี่กัปกี่กัลป์ นู่นน่ะฟังซิ ไม่ใช่น้อยๆ พยายามสั่งสมความดีงามมาเพื่อความเพิ่มพูนให้เต็มภูมิของศาสดา กว่าจะได้มาเป็นศาสดาจึงนานแสนนาน ดังที่ท่านตรัสไว้ท่านได้ทรงทำนายใครอะไรอย่างนี้ ถ้าทรงทำนายแล้วแม่นยำๆ เช่นอย่างคนนี้จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อได้รับลัทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งแล้วว่าจะได้เป็นไม่เป็น ถ้าพระพุทธเจ้าองค์นั้นๆ ได้พยากรณ์ว่าอย่างนั้นๆ แล้วแก้ไม่ตก คือแน่วแล้ว ถูกต้องแล้ว ถ้ายังไม่ได้พยากรณ์ยังพลิกได้เปลี่ยนได้ ถ้าลงได้รับลัทธพยากรณ์แน่นอน เป็นอื่นไปไม่ได้ คือทายออกมาจากความจริง ความจอมปลอมไปแฝงไปลบไม่ได้
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๑






วัดนี้เราไม่ปฏิบัติตามความรู้ความเห็นความต้องการของคน แต่เราปฏิบัติเพื่อหลักธรรมหลักวินัย หลักศาสนาเป็นส่วนใหญ่ เพื่อประชาชนทั้งแผ่นดินซึ่งอาศัยศาสนา อันเป็นหลักปกครองที่ถูกต้องดีงาม ที่เนื่องมาจากการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องด้วยดีของพระเณร ซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนาของประชาชนชาวพุทธ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่สนใจที่จะปฏิบัติต่อผู้ใดเพราะความเกรงใจเป็นใหญ่ ให้นอกเหนือจากธรรมจากวินัยอันเป็นหลักศาสนาไป หากใจเกิดโอนเอนไปตามความรู้ความเห็นของผู้หนึ่งผู้ใด หรือของคนหมู่มากซึ่งหาประมาณไม่ได้แล้ว วัดและศาสนาก็จะหาประมาณหรือหลักเกณฑ์ไม่ได้ วัดที่เอนเอียงไปตามโลกโดยไม่มีเหตุผลเป็นเครื่องยืนยันรับรอง ก็จะหาเขตหาแดนหาประมาณไม่ได้ และจะกลายเป็นวัดไม่มีเขตมีแดนไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีเนื้อหนังแห่งศาสนาติดอยู่บ้างเลย

ผู้หาของดีมีคุณค่าไว้เทิดทูนสักการบูชาก็คือคนฉลาด จะหาของดี เนื้อแท้ไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจก็จะหาไม่ได้เลย เพราะมีแต่สิ่งจอมปลอมเหลวไหล เต็มวัดเต็มวาเต็มพระเต็มเณรเถรชี เต็มไปหมดทุกแห่งทุกหนตำบลหมู่บ้าน ไม่ว่าวัดไม่ว่าบ้าน ไม่ว่าทางโลกทางธรรม คละเคล้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับความจอมปลอมหลอกลวงหาสาระสำคัญไม่ได้

ด้วยเหตุนี้จึงต้องแยกแยะออกเป็นสัดเป็นส่วนว่า ศาสนธรรมกับโลกแม้อยู่ด้วยกันก็ไม่เหมือนกัน พระเณรวัดวาอาวาสศาสนา ตั้งอยู่ในบ้านตั้งอยู่นอกบ้าน หรือตั้งอยู่ในป่าก็ไม่เหมือนบ้าน คนมาเกี่ยวข้องก็ไม่เหมือนคน ต้องเป็นวัดเป็นพระ เป็นธรรมวินัยอันเป็นตัวของตัวอยู่เสมอ ไม่เป็นน้อย ไม่ขึ้นกับผู้ใดสิ่งใด หลักนี้จึงเป็นหลักสำคัญที่จะสามารถยึดเหนี่ยวน้ำใจของคนที่มีความเฉลียวฉลาด หาหลักความจริงไว้เป็นที่สักการบูชาหรือเป็นขวัญใจได้ เราคิดในแง่นี้มากกว่าแง่อื่น ๆ แม้พระพุทธเจ้าผู้เป็นองค์ศาสดาก็ทรงคิดในแง่นี้เหมือนกัน ดังจะเห็นได้ในเวลาที่พระองค์ประทับอยู่โดยเฉพาะกับพระนาคิตะเป็นต้น

เวลามีประชาชนส่งเสียงเอิกเกริกเฮฮาเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงรับสั่งว่า นาคิตะ นั่นใครส่งเสียงอึกทึกวุ่นวายกันมานั้น เหมือนชาวประมงเขาแย่งปลากัน เราไม่ประสงค์สิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นการทำลายศาสนา ศาสนาเป็นสิ่งที่รักษาไว้สำหรับโลกให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุข เหมือนกับน้ำที่ใสสะอาดที่รักษาไว้แล้วด้วยดี เป็นเครื่องอาบดื่มใช้สอยแก่ประชาชนทั่วไปได้ด้วยความสะดวกสบาย ศาสนาก็เป็นเช่นน้ำอันใสสะอาดนั้น จึงไม่ต้องการให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้ามารบกวน ทำศาสนาให้ขุ่นเป็นตมเป็นโคลนไป นี่คือพระพุทธพจน์ที่ทรงแสดงกับพระนาคิตะ

จากนั้นก็สั่งให้พระนาคิตะไปบอกเขาให้กลับไปเสีย กิริยาการแสดงออกเช่นนั้นกับเวลาค่ำคืนเช่นนี้ ไม่ใช่เวลาที่จะมาเกี่ยวข้องกับพระ ซึ่งท่านอยู่ด้วยความวิเวกสงัด กิริยาที่สุภาพดีงามเป็นสิ่งที่มนุษย์ผู้ฉลาดคัดเลือกมาใช้ได้ และเวลาอื่นมีถมไป เวลานี้ท่านต้องการความสงัด จึงไม่ควรมารบกวนท่านให้เสียเวลาและลำบาก โดยไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด นี่คือหลักดำเนินอันเป็นตัวอย่างจากองค์ศาสดาของพวกเรา ไม่ใช่จะคลุกคลีตีโมงกับประชาชนญาติโยมโดยไม่มีขอบเขตเหตุผล ไม่มีกฎมีเกณฑ์ ไม่มีเวล่ำเวลาดังที่เป็นอยู่ ซึ่งราวกับศาสนาและพระเณรเราเป็นโรงกลั่นสุรา เป็นเจ้าหน้าเจ้าตาจ่ายสุราให้ประชาชนยึดไปมอมเมากันไม่มีวันสร่างซา แต่ศาสนาเป็นยาแก้ความเมามัว พระเณรเป็นหมอรักษาความเมามัวของตนและของโลก ไม่ใช่นักจ่ายสุราเครื่องมึนเมาจนหมดความรู้สึกในความนึกกระดากอาย
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๑




ไปตรวจร่างกายมา ไม่ตรวจใจบ้าง ตัวที่เป็นปัญหาไม่ใช่ร่างกายนะ ตัวที่เป็นปัญหาคือใจร่างกายมันไม่ปกติขึ้นมาใจก็ไม่ปกติแล้ว ต้องตรวจใจให้มันเป็นปกติไม่ว่าร่างกายจะเป็นปกติหรือไม่เป็นปกติใจต้องเป็นปกติถึงจะถูกเข้าใจไหม
.
ถ้าใจไม่เป็นปกติก็ถือว่าผิดแล้ว เพราะมันเป็นเรื่องปกติของร่างกายที่ต้องไม่เป็นปกติ แต่เป็นเรื่องของใจที่ต้องเป็นปกติ ถ้าใจไม่ปกติก็ถือว่าไม่ปกติ ใจต้องปกติส่วนร่างกายมันต้องไม่ปกติ อย่าไปจำผิดจำถูก
.
พวกเราไปจำผิดกันไปจำที่ร่างกายว่าต้องปกติ ใจต้องปกติถึงจะถูกร่างกายมันต้องไม่ปกติ ใจต้องเป็นปกติเสมอไม่ว่าร่างกายจะเป็นปกติหรือไม่เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติของร่างกาย ที่จะไม่เป็นปกติ
.
เดี๋ยวต่อไปมันก็ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย เดี๋ยวไขมันก็ต้องขึ้น เดี๋ยวน้ำตาลก็ต้องขึ้น ความดันก็ต้องขึ้น ใจเป็นปกติแล้วไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าร่างกายเป็นปกติใจ ก็ไม่เป็นปกติเพราะกลัวว่าต่อไปมันจะไม่เป็นปกติ มันก็กลัวมันก็ไม่ปกติ แล้วมันจะไปปกติตอนไหน มันไม่มีเวลาปกติหรอกใจเรา เพราะตัวที่ทำให้ไม่ปกติมันไม่ถูกกำจัดไป
.
เรามากำจัดตัวที่มาก่อความไม่เป็นปกติของจิตของใจ ก็คือตัวความอยาก ตัวความหลง ถ้ากำจัดตัวความหลงความอยากได้ ใจก็จะเป็นปกติ หลงว่าร่างกายเป็นตัวเราของเราพอเป็นตัวเราของเรา ก็ต้องอยากให้มันเป็นปกติ ความจริงใจนี่ละเป็นตัวเราของเราต้องอยากให้ใจของเราเป็นปกติ การที่อยากจะให้ใจปกติก็ต้องปฏิบัติธรรม
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต




“ลองลดความคาดหวัง
ยอมรับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น
จะพบว่าจิตนิ่งขึ้น และดิ้นน้อยลง”
-:- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล -:-





"กาลเวลามันล่วงไป ผ่านไป
แต่มันมิได้ล่วงไปเปล่า
มันเอาอายุวัยของเราไปด้วย

ดังนั้นอย่าประมาท เรื่องกาลเวลา
ให้เเสวงหาสาระ คือ บุญกุศลไว้เสมอๆ
อย่าให้ชีวิตล่วงไปเปล่าประโยชน์"

-:- หลวงปู่สิม พุทธาจาโร -:-






“ร่างกายนี้ ตั้งแต่เกิดมา
มีความเปลี่ยนแปลง
อย่างไม่หยุดนิ่ง ไม่หยุดยั้ง
แล้วก็ต้องตายไป

ทำพิธีต่ออายุ สืบชะตาอย่างไร
ก็ต้องตายกันทุกคน แล้วจะมายึดถือว่า
เป็นของเรา ตัวเราได้อย่างไร
ตายแล้ว ไม่เอาไปเผาไฟ
ก็เอาไปฝังดินเท่านั้น

มันเป็นเพียงธรรมชาติ ที่เกิดขึ้น
แล้วก็ดับไป เราเพียงยืมมาใช้
ได้อาศัยศึกษา รักษาไว้
เป็นพาหนะให้ทำความดี
เพื่อข้ามวัฏสงสารเท่านั้น”

-:- หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากะโร -:-






"เสียงมากระทบหู
ก็ปล่อยให้มันคืนบ้านไปซะ

กลิ่นมันมากระทบจมูก
ก็ปล่อยมันไปตามเรื่องมันซะ

รสที่มากระทบลิ้น
ก็ปล่อยให้มันไปซะ

อะไรที่มากระทบโผฏฐัพพะ
ก็ปล่อยให้มันไปซะ

อารมณ์ที่เกิดกับใจ
ก็ปล่อยให้มันไปซะ

มันก็หมดเท่านั้นแหละ
เราก็เป็นอิสระ เท่านั้นแหละ"

-:- หลวงปู่ชา สุภัทโท -:-


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2018, 06:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


การที่เรารู้ว่า..จะเกิดเป็นคนนั้นแสนยาก...นั้น

มีประโยชน์อย่างไรบ้างละครับ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2018, 05:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


...บุคคล เมื่อกู้หนี้ยืมสินทรัพย์มาแล้ว..ย่อมอยู่ไม่เป็นสุข ความทุกข์ทั้งหลายย่อมปรากฏแก่เขาผู้นั้นตลอดกาลที่ยังไม่ได้ปลดหนี้ ยิ่งนานวัน หนี้ยิ่งเพิ่มพูน เขายังเวลาทั้งหลายที่ผ่านไปในทั้งกลางวัน แลกลางคืน ย่อมคิดหาทางหนทางจะปลดหนี้ประการหนึ่ง แลเมื่อคิดถึงความประสบทุกข์ ว่าตนนี้อับจนไร้วาสนาประการหนึ่ง ปรารถนาจะสะสมทรัพย์ เพื่อให้ตนพบสุขสบายประการหนึ่ง ความโทมนัสเกิดขึ้นกับเขาแล้ว ..มาวันหนึ่ง ด้วยความอุตสาหะ พากเพียรของเขาแล้ว ได้ชำระหนี้สินจนหมด และยังมีทรัพย์เหลือพอสำหรับการเป็นอยู่ในอนาคต ความสุขเกิดจากปลดหนี้นี้มีอย่างไร การได้อาศัยการเกิดขึ้นเพื่อเป็นมนุษย์ ย่อมยังประโยชน์ ให้เกิดความสุข มีการปฏิบัติธรรมเพื่อปลดหนี้เวรให้สิ้นไป ใชัทรัพย์อันเหลือคือการเสวยวิมุตติสุขเป็นต้น ฯ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 61 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร