วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 127 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2020, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใช้บทความนี้เทียบ


ตัวสภาวะ

พุทธธรรมมองเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นธาตุ เป็นธรรม เป็นสภาวะ (เรียกเต็ม สภาวธรรม) อันมีอยู่เป็นอยู่ตามภาวะของมัน ที่เป็นของมันอย่างนั้น เช่นนั้น ตามธรรมดาของมัน มิใช่มีเป็นสัตว์ บุคคล อัตตา ตัวตน เราเขา ที่จะยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ครอบครอง บังคับบัญชาให้เป้นไปตามปรารถนาอย่างไรๆ ได้

บรรดาสิ่งทั้งหลายที่รู้จักเข้าใจกันอยู่โดยทั่วไปนั้น มีอยู่เป็นอยู่เป็นไปในรูปของส่วนประกอบต่างๆ ที่มาประชุมกัน ตัวตนแท้ๆ ของสิ่งทั้งหลายไม่มี เมื่อแยกส่วนต่างๆ ที่มาประกอบกันเข้านั้นออกไป ให้หมด ก็จะไม่พบตัวตนของสิ่งนั้นเหลืออยู่
ตัวอย่างง่ายๆ ที่ยกขึ้นอ้างกันบ่อยๆ คือ "รถ" เมื่อนำส่วนประกอบต่างๆมาประกอบเข้าด้วยกันตามแบบที่กำหนด ก็บัญญัติเรียกกันว่า "รถ"
แต่ถ้าแยกส่วนประกอบทั้งหมดออกจากกัน ก็จะหาตัวตนของรถไม่ได้ มีแต่ส่วนประกอบทั้งหลาย ซึ่งมีชื่อเรียกต่างๆกัน จำเพาะแต่ละอย่างอยู่แล้ว คือตัวตนของรถมิได้มีอยู่ต่างหากจากส่วนประกอบเหล่านั้น มีแต่เพียงคำบัญญัติว่า "รถ" สำหรับสภาพที่มารวมตัวกันเข้าของส่วนประกอบเหล่านั้น แม้ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆนั้นเอง ก็ปรากฎขึ้นโดยการรวมกันเข้าของส่วนประกอบย่อยๆ ต่อๆไปอีก และหาตัวตนที่แท้ไม่พบเช่นเดียวกัน
เมื่อจะพูดว่าสิ่งทั้งหลายมีอยู่ ก็ต้องเข้าใจในความหมายว่า มีอยู่ในฐานะมีส่วนประกอบต่างๆ มาประชุมเข้าด้วยกัน

เมื่อมองเห็นสภาพของสิ่งทั้งหลายในรูปของการประชุมส่วนประกอบเช่นนี้ พุทธธรรมจึงต้องแสดงต่อไปว่า ส่วนประกอบต่างๆ เหล่านั้นเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง อย่างน้อยก็พอเป็นตัวอย่าง และ
โดยที่พุทธธรรมมีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับเรื่องชีวิต โดยเฉพาะด้านจิตใจ การแสดงส่วนประกอบต่างๆ จึงต้องครอบคลุมทั้งวัตถุและจิตใจ หรือทั้งรูปธรรมและนามธรรม และมักแยกเป็นพิเศษในด้านจิตใจ

ฯลฯ

นี่ภาษาทางธรรมเรียก สภาวะ เรียกเต็มๆ สภาวธรรม

รูปภาพ

เมื่อสภาวะนั้นอุบัติขึ้นมาแล้ว เอาไงดี จึงจะสื่อสารกันได้หมายรู้กันได้ บัณฑิตชน ก็บัญญัติชื่อเรียกกันว่า คน ว่า มนุษย์ เป็นต้น (แล้วแต่ชนชาตินั้นๆจะบัญญัติเรียกเอา) บัญญัติหมายรู้ว่า คน ยังไม่พอ ก็บัญญัติชื่อเรียกสภาวะนั้นว่า ดช. ก. ดญ.ข. (สมมติซ้อนสมมติ) เมื่อสภาวะนั้นเติบใหญ่ขึ้น ก็เรียก นาย ก. นางสาวข. ฯลฯ นี่แหละที่ผู้รู้ธรรมพูดว่า สมมติ บังธรรมบ้าง สมมติบังสภาวธรรมบ้าง เพราะเราไปยึดติดเข้าใจผิดว่า ก้อนสภาวธรรมนี้เป็นเรา เป็นเขา เรียกว่าหลงสมมติ ติดบัญญัติ

เพราะเหตุนี้เอง เมื่อเขาไปปฏิบัติกรรมฐานสภาวธรรมปรากฎ ความยึดติดที่เคยชินว่า เรา ว่าคน ก็กลัวบ้าง ตกใจบ้าง เพี้ยนไปบ้างเป็นอาทิ

ที่พูดนั่นใช้ตัวอย่างนี้เทียบ

อ้างคำพูด:
พอจิตสงบเหมือนมีอะไรมารัดคอ

คือตอนที่ผมนั่งสมาธิพอจิตสงบไม่คิดอะไร อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมารัดที่คอ หรือ ไม่ก็เหมือนถูกอะไรปาดคอ พักหลังๆเป็นอย่างนี้แทบทุกครั้งครับ
รบกวนผู้รู้หรือผู้มีประสบการณ์ช่วยชี้แนะด้วย


เมื่อว่าโดยสภาวะแล้วทั้งจิตใจเนื้อตัวมันเป็นสภาวะมาแต่เดิม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่นาย ก. ไม่ใช่นางสาว ข.

ที่พูดมาจนเสียงแหบเสียงแห้งเนี่ย พิมพ์จนนิ้วชาแล้วเนี่ย คุณโรสพอเข้าใจบ้างไหมขอรับ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2020, 10:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิภัชชวาที “ผู้กล่าวจำแนก” “ผู้แยกแยะพูด” เป็นคุณบทคือคำแสดงคุณลักษณะอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า

หมายความว่า ทรงแสดงธรรมแยกแยะแจกแจงออกไปให้เห็นว่า สิ่งทั้งหลายเกิดจากส่วนประกอบย่อยๆ มาประชุมกันเข้าอย่างไร เช่น แยกแยะกระจายนามรูปออกเป็นขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ เป็นต้น
สิ่งทั้งหลายมีด้านที่เป็นคุณและด้านที่เป็นโทษอย่างไร เรื่องนั้นๆ มีข้อจริงข้อเท็จอะไรบ้าง การกระทำอย่างนั้นๆ มีแง่ถูกแง่ผิดแง่ที่ดี และแง่ไม่ดีประการใด เป็นต้น เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจสิ่งนั้นเรื่องนั้นอย่างชัดเจน มองเห็นความเป็นอนัตตาเป็นต้น ไม่มองอย่างตีคลุมหรือเห็นแต่ด้านเดียว แล้วยึดติดในทิฐิต่างๆ อันทำให้ไม่เข้าใจถึงความจริงแท้ตามสภาวะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2020, 14:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin

สิ่งที่เห็นได้คือ
สิ่งที่กระทบตาดำได้
เห็นไม่เกิดนอกตาดำแปลว่า
อะไรก็ตามที่ไม่อยู่ตรงหน้า=ไม่มี
เห็นด้านหน้าดับทันทีด้านหลังก็มีไม่ได้ค่ะ
:b16:
จิตไม่อยู่นอกกายตัวเอง
มองเห็นแขนตัวเองได้ไหม
ไหนตรงไหนคือแขนจับดูสิ
ถ้าแขนกระทบตาได้ตาแตกแล้ว
สีตรงที่มหาภูตรูปมันสะท้อนแสงเข้าตา
คิดว่าเห็นแขนตัวเองใช่ไหมจับแขนจึงรู้ว่ามีที่ตั้งเมื่อสัมผัส
ไม่มีแขน แต่มีความรู้สึกกระทบอุ่นบ้าง แข็งบ้าง นุ่มบ้างทีละ 1 อย่าง...ไหนแขนอยู่ไหน


viewtopic.php?f=1&t=58750&start=150

อ้างคำพูด:
ไม่มีแขน แต่มีความรู้สึกกระทบอุ่นบ้าง แข็งบ้าง นุ่มบ้างทีละ 1 อย่าง...ไหนแขนอยู่ไหน


ไหนแขนอยู่ไหน

ที่คุณโรสไปจดจำมาจากสำนักแม่สุจิน พูดตรงๆก็คือหลงจนหลุดโลก

ดังนั้น จึงนำ คคห. จากลิงค์นั้น มาที่ กท. "คนมีอยู่ แต่คนหามีไม่"

อย่างคุณโรสถาม ไหนแขนอยู่ไหน เขาเรียกมโนหลุดโลก คือแยกสมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะไม่เป็น :b32: เลยกลายเป็นทำมะเฉพาะคนเฉพาะกลุ่มด้วยประการฉะนี้แล.

เป็นทำมะขวางโลก ไม่ใช่พุทธธรรมไม่ใช่ธรรมที่องค์พระศาสดาสอน

ถามไว้ คุณโรสมีแขานไหม มีขาไหม มีตา มีปาก เป็นต้น ไหม ตอบสิ มี ไม่มี

cool
คุณกรัชกายมองเห็นมือตัวเองได้ไหมคะ
ในเมื่อมหาภูตรูปรู้ว่ามีได้เมื่อใช้กายสัมผัส
และสัมผัสนั้นเกิดแค่ลักษณะธาตุทีละ1ธาตุ
และมองเห็นฐานที่ตั้งของมหาภูตรูปไม่ได้เลยนะคะ
รู้ที่ตั้งคือฐานของมหาภูตรูปได้ตอนเอากายไปแตะคิดสิ
ที่เห็นอะไรๆนอกตานั้นคือมหาภูตรูปทั้งหมดกายเราด้วยก็คือมหาภูตรูป=ไม่มีเรา
:b1:
:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2020, 16:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin

สิ่งที่เห็นได้คือ
สิ่งที่กระทบตาดำได้
เห็นไม่เกิดนอกตาดำแปลว่า
อะไรก็ตามที่ไม่อยู่ตรงหน้า=ไม่มี
เห็นด้านหน้าดับทันทีด้านหลังก็มีไม่ได้ค่ะ
:b16:
จิตไม่อยู่นอกกายตัวเอง
มองเห็นแขนตัวเองได้ไหม
ไหนตรงไหนคือแขนจับดูสิ
ถ้าแขนกระทบตาได้ตาแตกแล้ว
สีตรงที่มหาภูตรูปมันสะท้อนแสงเข้าตา
คิดว่าเห็นแขนตัวเองใช่ไหมจับแขนจึงรู้ว่ามีที่ตั้งเมื่อสัมผัส
ไม่มีแขน แต่มีความรู้สึกกระทบอุ่นบ้าง แข็งบ้าง นุ่มบ้างทีละ 1 อย่าง...ไหนแขนอยู่ไหน


viewtopic.php?f=1&t=58750&start=150

อ้างคำพูด:
ไม่มีแขน แต่มีความรู้สึกกระทบอุ่นบ้าง แข็งบ้าง นุ่มบ้างทีละ 1 อย่าง...ไหนแขนอยู่ไหน


ไหนแขนอยู่ไหน

ที่คุณโรสไปจดจำมาจากสำนักแม่สุจิน พูดตรงๆก็คือหลงจนหลุดโลก

ดังนั้น จึงนำ คคห. จากลิงค์นั้น มาที่ กท. "คนมีอยู่ แต่คนหามีไม่"

อย่างคุณโรสถาม ไหนแขนอยู่ไหน เขาเรียกมโนหลุดโลก คือแยกสมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะไม่เป็น :b32: เลยกลายเป็นทำมะเฉพาะคนเฉพาะกลุ่มด้วยประการฉะนี้แล.

เป็นทำมะขวางโลก ไม่ใช่พุทธธรรมไม่ใช่ธรรมที่องค์พระศาสดาสอน

ถามไว้ คุณโรสมีแขานไหม มีขาไหม มีตา มีปาก เป็นต้น ไหม ตอบสิ มี ไม่มี

cool
คุณกรัชกายมองเห็นมือตัวเองได้ไหมคะ
ในเมื่อมหาภูตรูปรู้ว่ามีได้เมื่อใช้กายสัมผัส
และสัมผัสนั้นเกิดแค่ลักษณะธาตุทีละ1ธาตุ
และมองเห็นฐานที่ตั้งของมหาภูตรูปไม่ได้เลยนะคะ
รู้ที่ตั้งคือฐานของมหาภูตรูปได้ตอนเอากายไปแตะคิดสิ
ที่เห็นอะไรๆนอกตานั้นคือมหาภูตรูปทั้งหมดกายเราด้วยก็คือมหาภูตรูป=ไม่มีเรา


ตอบไม่ตรงคำถามอีก คุณโรสมีมือมีแขนมีขาไหม ตอบ มี ไม่มี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2020, 20:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin

สิ่งที่เห็นได้คือ
สิ่งที่กระทบตาดำได้
เห็นไม่เกิดนอกตาดำแปลว่า
อะไรก็ตามที่ไม่อยู่ตรงหน้า=ไม่มี
เห็นด้านหน้าดับทันทีด้านหลังก็มีไม่ได้ค่ะ
:b16:
จิตไม่อยู่นอกกายตัวเอง
มองเห็นแขนตัวเองได้ไหม
ไหนตรงไหนคือแขนจับดูสิ
ถ้าแขนกระทบตาได้ตาแตกแล้ว
สีตรงที่มหาภูตรูปมันสะท้อนแสงเข้าตา
คิดว่าเห็นแขนตัวเองใช่ไหมจับแขนจึงรู้ว่ามีที่ตั้งเมื่อสัมผัส
ไม่มีแขน แต่มีความรู้สึกกระทบอุ่นบ้าง แข็งบ้าง นุ่มบ้างทีละ 1 อย่าง...ไหนแขนอยู่ไหน


viewtopic.php?f=1&t=58750&start=150

อ้างคำพูด:
ไม่มีแขน แต่มีความรู้สึกกระทบอุ่นบ้าง แข็งบ้าง นุ่มบ้างทีละ 1 อย่าง...ไหนแขนอยู่ไหน


ไหนแขนอยู่ไหน

ที่คุณโรสไปจดจำมาจากสำนักแม่สุจิน พูดตรงๆก็คือหลงจนหลุดโลก

ดังนั้น จึงนำ คคห. จากลิงค์นั้น มาที่ กท. "คนมีอยู่ แต่คนหามีไม่"

อย่างคุณโรสถาม ไหนแขนอยู่ไหน เขาเรียกมโนหลุดโลก คือแยกสมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะไม่เป็น :b32: เลยกลายเป็นทำมะเฉพาะคนเฉพาะกลุ่มด้วยประการฉะนี้แล.

เป็นทำมะขวางโลก ไม่ใช่พุทธธรรมไม่ใช่ธรรมที่องค์พระศาสดาสอน

ถามไว้ คุณโรสมีแขานไหม มีขาไหม มีตา มีปาก เป็นต้น ไหม ตอบสิ มี ไม่มี

cool
คุณกรัชกายมองเห็นมือตัวเองได้ไหมคะ
ในเมื่อมหาภูตรูปรู้ว่ามีได้เมื่อใช้กายสัมผัส
และสัมผัสนั้นเกิดแค่ลักษณะธาตุทีละ1ธาตุ
และมองเห็นฐานที่ตั้งของมหาภูตรูปไม่ได้เลยนะคะ
รู้ที่ตั้งคือฐานของมหาภูตรูปได้ตอนเอากายไปแตะคิดสิ
ที่เห็นอะไรๆนอกตานั้นคือมหาภูตรูปทั้งหมดกายเราด้วยก็คือมหาภูตรูป=ไม่มีเรา


ตอบไม่ตรงคำถามอีก คุณโรสมีมือมีแขนมีขาไหม ตอบ มี ไม่มี

cool
ช่างเป็นคนที่เข้าใจอะไรยากจะปานนั้นคะ
บอกตรงๆเลยนะไม่อ้อมที่ตรงตามสัจจะ
ถูกตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ไม่มีตัวตนไม่มีสัตว์ไม่มีวัตถุใดเลย
มีแต่ความคิดเห็นผิดไปของผู้คน
คือยึดถืออัตตาตัวตนว่ามีจริง
แต่ตถาคตบอกว่าไม่มีเรา
เข้าใจไหมล่ะไม่มีเรา
คือไม่มีใครเลยนะ
มีแต่มิจฉาทิฏฐิ
ยึดถือขันธ์5
เป็นอัตตา
NOW
:b12:
:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2020, 08:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

ช่างเป็นคนที่เข้าใจอะไรยากจะปานนั้นคะ
บอกตรงๆเลยนะไม่อ้อมที่ตรงตามสัจจะ
ถูกตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ไม่มีตัวตนไม่มีสัตว์ไม่มีวัตถุใดเลย
มีแต่ความคิดเห็นผิดไปของผู้คน
คือยึดถืออัตตาตัวตนว่ามีจริง
แต่ตถาคตบอกว่าไม่มีเรา
เข้าใจไหมล่ะไม่มีเรา
คือไม่มีใครเลยนะ
มีแต่มิจฉาทิฏฐิ
ยึดถือขันธ์5
เป็นอัตตา
NOW


ไหนลองตอบคำถามทีสิ คิกๆๆ
กรัชกายเข้าใจที่คุณโรสและสำนักบ้านธัมมะพูดนะ แต่คุณโรสต่างหากไม่ใช่เข้าใจคำถามที่ถาม คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2020, 18:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธธรรมไม่ตัน ไม่มีทางตัน :b32: แต่สิ่งที่คุณโรสฟังจากคลิปเจ้าสำนักบ้านธัมมะตัน ไปไม่ได้ ตัน :b13: เพราะอะไรจึงตัน เพราะคุณโรสไม่เข้าใจความหมาย สมมติบัญญัติ ไม่เข้าใจปรมัตถ์

อ้างคำพูด:
ตถาคตบอกว่า
ทุกอย่างเป็นธัมมะ
คิดสิจะเป็นคนได้ไหม

สุตมยปัญญาเริ่มต้นเมื่อมีเสียงคำสอนก่อนจะมากระทบโสตะประสาท
555เสียงกระทบโสตะประสาทค่ะไม่ได้กระทบจักษุประสาทนะคะและไม่ได้ใช้ทั้งมือและเท้าทำ
จินตามยปัญญาเกิดหลังจากมีเสียงกระทบโสตะส่งผ่านไปมโนทวารที่หทยวัตถุในหัวใจค่ะ
แล้วคิดนึกตีความตรงความหมายของเสียงทางมโนทวารไม่ได้แปลความหมายทางจักษุ
ภาวนามยปัญญาเกิดหลังจากที่มีการฟังเสียงและคิดไตร่ตรองทบทวนถูกตามเสียงแล้วจำถูกตามคำตถาคต
เข้าใจความจริงตรงตามเสียงที่ได้ยินตรงที่ตัวตนกำลังคิดได้แล้วท่องบ่นสาธยายไว้ในใจถูกโดยแยบคาย
ปัญญาทั้ง3นี้ไม่ได้ใช้จักษุทำนะคะคุณกรัชกาย555ปัญญาเกิดได้ตามลำดับอาศัยเสียงคำตถาคตนะคะ


คคห. จาก

viewtopic.php?f=1&t=58889&p=458990#p458990

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 127 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 40 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron