วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 21:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2020, 05:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


#เพียงศีลห้าก็พาขึ้นสวรรค์ได้ หลวงปู่คำคะนิง ได้รับคำยืนยันจากพระยายม

หลวงปู่คำคะนิงท่องเที่ยวต่อไปถึงทางแยกแห่งหนึ่ง จ่ายมบาลบอกว่า “ตรงนี้เป็นชุมทางไปสู่สวรรค์ชั้นต่างๆ เส้นทางเป็นสายรุ้งพุ่งจากพื้น เป็นวงโค้งขึ้นไปในอากาศนั้น เป็นเส้นทางสำหรับผู้เจริญวิปัสสนาได้บรรลุธรรมขั้นโสดาบัน เมื่อตายแล้ว ต้องขึ้นเส้นทางนี้ไปสู่สวรรค์เบื้องสูงสำหรับอริยบุคคลชั้นโสดาบัน ที่เป็นอู่ทอง อู่แก้วคล้ายบุษบก มีสายชักขึ้นและชักลงจากพื้นดินไปในอากาศนั้น เป็นอู่ยนต์สำหรับผู้ที่จะไปสวรรค์ ตามกำลังบุญวาสนาที่สร้างไว้สมัยเป็นมนุษย์นั่นเอง" อู่ทอง อู่แก้ว อันสวยงามรุ่งเรืองนี้ ! เลื่อนขึ้นเลื่อนลงรับผู้มีวาสนาขึ้นสู่สวรรค์อยู่ตลอดเวลา แสดงว่า “แม้จะมีคนบาปหนาตกนรกมากจนมืดฟ้ามัวดิน ขณะเดียวกันก็มีคนดีๆ ขึ้นสวรรค์มากเหมือนกัน” นอกจากอู่ทองคำ อู่แก้วบุษบกแล้ว ยังมีบันไดเงินบันไดทอง และบันไดแก้ว แพรวพรายทอดขึ้นสู่ท้องฟ้าไปสรวงสวรรค์ เมื่อคนขึ้นไปแล้ว บันไดวิเศษเหล่านี้ก็จะลอยเลื่อนขึ้นไปจนสุดสายตา จ่ายมบาลบอกว่า “ผู้ที่จะขึ้นสวรรค์ได้ต้อง #ตั้งใจถือศีลห้าเคร่งครัดเป็นอย่างน้อย #มีจิตมั่นคงในพระรัตนตรัยไม่คลอนแคลน #มีใจบุญสุนทรทานเมตตาต่อผู้อื่น ผู้คนผู้มีบุญวาสนาที่กำลังรอขึ้นสวรรค์ มีทั้งหญิงและชาย เป็นเด็กเล็กก็มี หนุ่มสาวก็มี คนเฒ่าคนแก่ก็มี คนเหล่านี้มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส อิ่มเอิบเบิกบานสดใส แต่งกายสวยงามประณีต มีรัศมีออกจากกายรุ่งเรืองคล้ายหิ่งห้อยตัวใหญ่ พวกเขาล้วนได้ผ่านการพิพากษาตัดสินมาจากศาลาพันห้องแล้ว จึงมีสิทธิจะขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้าได้ เพื่อได้รับการมีอินทรีย์สวยงามผ่องใส”

หลวงปู่คำคะนิงหยุดมองดูอย่างตะลึงตะลาน เพราะเส้นทางขึ้นสู่สวรรค์นั้น สวยงามอัศจรรย์สุดที่จะพรรณนา ! เห็นเป็นเส้นแสงสีต่างๆ เป็นเส้นโค้ง สวยงามยิ่งกว่าสายรุ้ง หลวงปู่อดแปลกใจไม่ได้ว่า “ในขณะที่ดวงวิญญาณของมนุษย์ทั้งหลายหลั่งไหลไปเมืองนรกนั้น ในเวลาเดียวกันก็มีดวงวิญญาณของมนุษย์ที่ทำดี มีบุญญาธิการหลั่งไหลไปสวรรค์อยู่มากเหมือนกัน แต่เทียบดูแล้วคนไปสวรรค์มีอยู่น้อยมาก ส่วนคนที่ไปนรกนั้นมีมากกว่า”

จ่ายมบาลบอกว่า “ผู้ที่จะขึ้นสวรรค์ต้องยึดถือมั่นคงในการกระทำดี สวามิภักดิ์ต่อศาสนาที่ตนนับถืออย่างแน่นแฟ้น ถ้าเป็นพุทธศาสนิกชนจะต้องมีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ๘ มีความอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นนิตย์ มีจิตใจนุ่มนวลงดงามยึดมั่นเคารพในพระรัตนตรัยจริงๆ จึงจะได้ขึ้นสู่สรวงสวรรค์ชั้นอมรอย่างแน่นอน”

หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี
วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี












...มัวแต่ไปสนใจเรื่องของคนอื่น

" ลืมดูเรื่องของตัวเอง "

.

อย่าไปมองคนอื่นมากเกินไป

" ถ้ามองก็มองให้เป็นธรรม "

คือ..มองเพื่อเปรียบเทียบว่า

เขาเก่งกว่าเราหรือด้อยกว่าเรา

.

ถ้าเขาเก่งกว่าเราๆก็ต้องพยายาม

ผลักตัวเราให้เก่งเท่ากับเขาให้ได้

ถ้าเขาด้อยกว่าเรา

ก็อย่าลดตัวเราให้ด้อยเท่ากับเขา

.

" ต้องระมัดระวัง "เพราะยังอยู่ใน

ฐานะที่.. เจริญและเสื่อมได้.

.....................................
จุลธรรมนำใจ 21กัณฑ์412

ธรรมะบนเขา 23/5/2553

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี












ถ้าไม่เจริญศีล สมาธิ ปัญญาให้ยิ่งแล้ว จิตนี้จะขาวสะอาดไม่ได้ มืดดำเหมือนก้นหม้อ วันนี้ก็ถูกควันไฟลน วันหลังมาอีกก็ถูกควันไฟลนอีก เลยดำอยู่อย่างนั้น ไม่สะอาดหมดจดขึ้นมาได้ ต่อเมื่อวันไหนได้มีการขัดถูขึ้นมา วันนี้ก็ขัด วันหลังมาอีกก็ขัดถู มันจึงจะสะอาดได้ คือเราขัดด้วยศีล สมาธิ ปัญญา

หลวงตาสมหมาย อตตฺมโน









คนทุกข์คนเกิดมาในโลกนี้
ต้องเป็นทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ตามแต่จะมากและน้อย
ไม่มีใครจะไม่ทุกข์สักคนเดียว
ทุกข์อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นแล้วดับไป
ทุกข์เพราะความหิวทำให้ต้องแสวงหา
ความหิวโหยต้องหาอาหารมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
เลี้ยงแล้วต้องหิวอีกต้องไปหาอีก กินเข้าไปแล้วต้องไปถ่าย
ถ่ายเสร็จแล้วก็หิวอีก ทุกข์ใหม่มาอีก
เปลี่ยนกันอยู่อย่างนี้แหละ
ทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด ใครจะไม่มีทุกข์ ไม่มีหรอก

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี










"ไม่ควรยกโทษผู้อื่น
หรือเพ่งโทษผู้อื่น
ถึงแม้นผู้นั้นจะไม่ดีก็ตามที

เพราะการเพ่งโทษผู้อื่น
จะนำความวิบัติสู่ตน
โดยไม่รู้ตัว ความเผลอสติ
มักพาให้ผู้คนนั้น
ยกโทษผู้อื่น และพยายาม
ยกคุณตนเอง
แทนที่จะ ยกคุณผู้อื่น
ยกโทษตนพิจารณา.. "

#หลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต










โยมไม่ต้องมาบริจาคเงินให้วัด..โยมเอาเงินไปดูแลพ่อแม่ได้บุญมากกว่าเอามาให้วัด

โยมอย่าเอาไฟฟ้าเข้าวัด เพราะจะทำให้พระต้องมีค่าใช้จ่าย พระไม่มีรายได้...อยู่โดยไม่มีไฟฟ้าดีกว่า โยมมาที่วัดขออย่าอึกทึกเสียงดัง มาอยู่วัดให้ทำสมาธิฝึกจิต ได้บุญกว่ามานั่งกราบพระน่ะ

หลวงปู่ทุย ฉันทกโร








#แผ่เมตตาให้กับบิดา

"มารดาเป็นของสำคัญ เพราะขันธ์ ๕
ที่เอามาทำบุญสุนทาน ทำคุณงาม
ความดีนั่นเอามาจากพ่อแม่ ถ้าไม่มี
ขันธ์นี้จะเอาอะไรมาทำเล่า ถึงจะไป
สวรรค์ไปพรหม มันก็ต้องอาศัยขันธ์นี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอามาภาวนา
จะพ้นความมืดไปได้ก็เพราะเอามา
จากพ่อแม่นี่ละ ตาหู จมูกลิ้นกายใจ
เรียกว่ายืมขันธ์ ๕ มาเป็นแพถ่อถึงฝั่ง
แล้วเราก็ทิ้งแพขึ้นฝั่งซิทิ้งขันธ์ ๕ ได้
ถ้าไปติดแพอยู่จะขึ้นฝั่งได้อย่างไรเล่า.. "
----------------
#พระคุณเจ้าหลวงปู่บุญฤทธิ์_บัณฑิโต









เบื้องต้น ขอให้จิตได้รับความสงบจากความฟุ้งซ่าน ที่กิเลสลากถูไปไม่มีวันอิ่มพอ จะฟุ้งซ่านตลอดไปถ้าเราไม่หักห้ามด้วยธรรมคือความพากเพียร สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ขันติธรรม อดทน มันอยากจะคิดขนาดไหนให้ห้าม เพราะรู้แล้วว่ามันเป็นภัย ธรรมเห็นภัยต่อสิ่งเหล่านี้ เรายังจะเห็นสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นคุณ ยังคิดยังอ่านตามมัน อยากคิดอยากอ่านอยู่แล้ว นั่นละเราเป็นข้าศึกต่อธรรมเป็นข้าศึกต่อตัวเอง จะไม่เกิดผลเกิดประโยชน์ ภาวนาวันไหนก็สู้กิเลสความอยากคิดอยากปรุงไม่ได้ ให้มันลากไปห้าทวีปๆ อย่างนี้ตลอดไปใช้ไม่ได้เลยนะ ไม่เข้าท่าเข้าทีกับผู้ตั้งใจมาปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อมรรคผลนิพพาน

หลวงตามหาบัว
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖










ร่างกาย ของเรานี้เป็นเรือนมูตร เรือนคูถเป็นอสุภะ ร่างกายอันนี้ให้ชำนิชำนาญ เจริญให้มาก ทำให้มาก

ให้มีสติหรือ พิจารณาในที่ทุกสถานในกาล ทุกเมื่อ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ คิด พูด ก็ให้ มีสติ รอบคอบในกายอยู่เสมอ จึงจะชื่อว่า ทำให้มาก

แบ่งส่วนแยกส่วน ออกเป็น ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม พิจารณาให้เห็นไปตามนั้น แต่อย่าละทิ้ง หลักเดิม ที่ตน ได้รู้ครั้งแรก

ให้พิจารณาก้าวเข้าไป ถอยออกมาเป็น อนุโลม ปฏิโลม เข้าไปสงบในจิต แล้ว ถอยออกมาพิจารณากาย อย่าพิจารณากายอย่างเดียว หรือสงบที่จิตแต่อย่างเดียว

พิจารณาอย่างนี้ชำนาญแล้ว ทุกสิ่งรวมลงเป็นอันเดียว ญาณสัมปยุตต์ คือรู้เกิด จึงชื่อว่า ยถาภูตญาณทัสสนวิปัสสนาคือ ทั้งเห็นทั้งรู้ตามความเป็นจริง

ขั้นนี้เป็นเบื้องต้น ในอันที่จะดำเนินต่อไป ไม่ใช่ที่สุด

สังขาร ความปรุงแต่ง อันเป็นความสมมติว่าโน่นเป็นของของเรา โน่นเป็นเรา เป็น ความไม่เที่ยง อาศัย อุปาทาน ความยึดถือ จึงเป็น ทุกข์

อาการของจิต ของขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไปปรุงแต่งสำคัญมั่นหมาย ทุกภพ ทุกชาติ นับเป็น อเนกชาติเหลือประมาณ มาจนถึงปัจจุบันชาติ จึงทำให้ จิตหลงอยู่ตาม สมมติ

ธรรมชาติทั้งหลาย มีวิญญาณหรือไม่ก็ตาม เขาหากมี หากเป็น เกิดขึ้นเสื่อมไป มีอยู่อย่างนั้นทีเดียว

ความข้อนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงปฏิญาณพระองค์ว่า เราไม่ได้ฟังมาแต่ใคร มิได้เรียนมาแต่ใครเพราะ ของเหล่านี้ มีอยู่ มีมาแต่ก่อนพระองค์ดังนี้

สังขาร เป็น อาการของจิตเปรียบเหมือน พยับแดด ส่วนสัตว์เขาก็อยู่ประจำโลกแต่ไหนแต่ไรมา ฐีติภูตํ จิตตั้งอยู่เดิมไม่มีอาการเป็น ผู้หลุดพ้น

#สพฺเพ_ธมฺมา_อนตฺตา
#ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตน

พิจารณาให้เห็นแจ้งประจักษ์ตามนี้จนทำให้ จิตรวมพึ่บลงไป เห็นจริงแจ้งชัดตามนั้น จิตรวมทวนกระแส แก้ อนุสัยสมมติเป็นวิมุตติ หรือ รวมลงฐีติจิต อันเป็นอยู่ มีอยู่อย่างนั้น จนแจ้งประจักษ์ในที่นั้นด้วย ญาณสัมปยุตต์ ว่าขีณา ชาติ ญาณํ โหติ ดังนี้

ในที่นี้ ไม่ใช่สมมติ ไม่ใช่ของแต่งเอาเดาเอา ไม่ใช่ของอันบุคคลพึงปรารถนาเอาได้ เป็นของที่เกิดเอง เป็นเองรู้เอง โดยส่วนเดียวเท่านั้น

วิมฺตติธรรม มิใช่สิ่งอันบุคคลจะ พึงปรารถนาเอาได้ คนผู้ ปรารถนาวิมุตติธรรมแต่ ปฏิบัติไม่ถูกต้อง หรือ ไม่ปฏิบัติมัวเกียจคร้านจนวันตายจะ ประสบวิมุตติธรรมไม่ได้เลยด้วยประการฉะนี้
--------------------------------
#หลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต









หลวงปู่ศรี มหาวีโร "..การที่คนเราจะมีบุญวาสนาได้นั้น ต้องเป็นผู้ลงมือทำดีเอง การที่เราจะหมดบุญวาสนานั้น เพราะลงมือทำชั่วเอง..

..ความมีบุญวาสนาหรือความไม่มีบุญวาสนา ใครทำให้ใครไม่ได้ เหมือนดอกและผลของต้นไม้ ย่อมเจริญเพราะอาศัยดินดี..

..บุญกุศลคุณงามความดีย่อมเจริญงอกงามได้ ก็เพราะคบหาคนดีและสร้างความดี..

..ฉะนั้น ป่าเปลี่ยวเป็นที่ไปของฝูงเนื้อ กลางหาวเป็นที่ไปของนก การสิ้นกำหนัดเป็นเป้าหมายของธรรมะ พระนิพพานเป็นที่ไปของพระอรหันต์.."

คัดลอกบางตอนจาก: มหาวีรธัมมานุสรณ์
หลวงปู่ศรี มหาวีโร










ภาวนา กำหนดใจ ถ้ากำหนดใจได้แล้ว มันจึงรู้ พุทโธ เป็นมรรคของใจ ถ้าภาวนากำหนดจิตยังไม่ได้ มันก็แพ้กิเลส กิเลสมันอยู่ก่อน

ต้องมีสติรักษาใจจึงจะดี ถ้าไม่มีสติจิตก็จะไปเกาะเกี่ยวอันนั้นอันนี้ทั่วไป พาให้หลงไป เวลาหลงไป เช่นหลงอะไร ให้ยกอันนั้น ขึ้นสู่การพิจารณาตัวอย่างกาย ให้เพ่งแยกส่วนของกายออก แต่ละส่วนเต็มไปด้วยของไม่สะอาด ไหลเข้าไหลออกตลอดอยู่ทกขณะ
การที่พิจารณาแยกแยะจนเห็นเป็นของไม่งาม ไม่ใช่ของง่าย
ในเมื่อจิตยังแส่ส่ายหาอารมณ์อยู่

ต้องอาศัยความพากเพียรอดทน เมื่อจิตมีกำลังมันจึงสงบ
ถ้ามัวเกียจคร้านอยู่ จิตมันก็ไม่เป็นไป
ตัวขี้เกียจขี้คร้านนี้แหละเป็นตัวทำให้เสีย เป็นตัวกิเลส
เวลานั่งประเดี๋ยวหนาว ประเดี๋ยวหาว
พวกนี้เป็นกิเลสทั้งนั้นแหละถ้าพร้อมด้วยการกระทำจึงจะได้กำลัง
ถ้าไม่พร้อมมันก็ไม่มีกำลัง

ร่างกายของเรานั้นที่เราเห็นว่างาม ก็เพราะมีของไม่สะอาดเต็มท้องเต็มไส้อยู่ ถ้าในท้องในไส้ไม่มีอะไรเลย ลองดูซิมันจะงามไหม
ถ้าของในท้องในไส้ไหลออกหมด มันก็เหี่ยวแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเท่านั้น ถ้าพูดกับความจริงแล้ว ทั้งร่างกายเต็มไปด้วยของเสียทั้งหมด ถึงอย่างนั้นก็ยังหลงไปว่าเป็นของสวยงาม แต่ใจมันไม่ว่าเต็มไปด้วยของไม่สะอาดหนา เราต้องภาวนาพิจารณากลับไปกลับมา ทบไปทวนมาอยู่นั้นแหละ เราไปหลงของไม่งาม จับอันนั้นต่ออันนี้เลยเห็นว่างามจนติดจนหลง

การภาวนาถ้านอนภาวนา มันเป็นภาวนอนไปเสีย
การฉันอาหารถ้าฉันมากเกินไป เวลาภาวนาก็นั่งหลับไปเสีย
มันหลายเรื่องหลายราว ถ้าอะไรมันมากไป จิตมันไม่สงบ ห้ามมันไม่ฟัง อาหารมันทับ

พวกเรานอนกันอยู่ในท้องของมารดาตั้ง ๙ เดือน ๑๐ เดือน
จึงจะออกมาพ้นร้องไห้ อุแว้ ๆ ได้ ถ้าดีใจก็หัวเราะ เสียใจก็ร้องไห้...
กามนี้เราเคยติดมาแล้วนับอเนกอนันต์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เร่งความเพียรจนรู้แจ้งเห็นจริง

กามตัวเดียวที่ทำให้สัตว์ตาย กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
เอาเข้ากลายเป็น กามตันหน้าภวตันตา วิภวตันใจ

เมื่อกามเหล่านี้เข้าไปอุดไปตัน หน้า ตา ใจ
แล้วก็เกิดความหลง ความรัก ความชัง ความพอใจ ก็เพราะกาม
ความไม่พอใจก็เพราะกาม มันเกิดขึ้นกับใจ

ตา เป็นเหตุ หู เป็นเหตุ จมูก เป็นเหตุ เป็นเหตุแห่งความรักความชัง ตา เป็นเหตุ เมื่อได้เห็นรูปสวย รูปงาม รูปอัปลักษณ์ น่าเกลียดน่าชัง
หู เป็นเหตุ ได้ยินเสียงการประโคมขับร้องอันไพเราะ หรือเสียงน่ารำคาญ จมูกและใจก็เหมือนกัน ถ้าดีเป็นน่ารัก มันก็ติดก็หลง
ถ้าตรงกันข้าม มันก็เกลียดก็ชัง จึงว่ามันเป็นเหตุ

การฆ่ากันก็เพราะกาม รักกันก็เพราะกาม ทั่วอากาศ ทั่วพื้นน้ำและบนบกเต็มไปด้วยกาม กามตันหน้า ภวตันหู วิภวตันใจ ถ้าจะขยายออกไป มันก็ไม่มีที่สิ้นสุดหรอกกาม เพราะความพอใจและไม่พอใจก็เกิดจากกามทั้งสิ้น

พิจารณาให้ดี ๆ เป็นอย่างไรมันจึงหลงไป จนกลายเป็นบ๋อยรับใช้ไป

ที่มา...ตา หู จมูก เป็นเหตุ
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว
วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๕











คนเราเกิดมาทุกคนต้องมืดมนด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่สว่างมาแต่เบื้องต้น ใครเกิดมาจะรู้จักดี ชั่ว ฉลาดเฉลียวมาแต่เบื้องต้น ไม่มีหรอก ถึงชาติก่อนจะเรียนรู้มาแล้วก็ตาม กลับมาเกิดใหม่ก็ต้องมาเรียนใหม่ แต่นิสัยเป็นเหตุให้เรียนได้ดีกว่าคนไม่มีนิสัย...

แต่คนมืดนั้นพยายามตั้งใจพยายามทำดี ความพยายามทำให้ได้รับผลสำเร็จ ศาสนานี้สอนให้ทำไม่ใช่ให้อยู่เฉย ๆ พระพุทธเจ้าสอนให้ทำทั้งนั้น ต้องพยายามทำจริง จัง จึงจะดีต่อไป จะไปอ้างกาลเวลา อ้างธุรกิจการงานต่าง ๆ นั้นไม่ได้ นั่นมันเป็นเพียงเครื่องประกอบอาชีพของเราเท่านั้น มันไม่ใช่ของเรา ของเราแท้ก็คือ การกระทำคุณงามความดี หัดสมาธิภาวนาตั้งสติกำหนดจิต นี่แหละเป็นของเราแท้ ๆ ทีเดียว คนอื่นมาแย่งเราไม่ได้ การหาเงินหาทองข้าวของสมบัติต่าง ๆ มันเป็นของภายนอก ไม่ใช่ของเรา เราใช้เมื่อยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วไม่เห็นเอาไปได้สักคนเดียว ให้คิดเสียอย่างนั้น ให้ทำสมาธิภาวนาทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี







เข้าให้ถึงสัจจธรรม เพื่อข้ามพ้นกองทุกข์ต่างๆ นานาที่มีอยู่รอบตัวเรา จะต้องปฏิบัติธรรม ทำสมาธิให้จิตได้ดวงธรรม ดวงธรรมคือ ความสว่าง ความสว่างคือความสว่างในทางปัญญา ที่ทำให้เราสามารถรู้และมองเห็นสัจจธรรม ได้ลึกซึ้งลงไป รู้จริง แม้กระทั่งทางในจิตใจเราเอง

หลวงปู่สุภา กันตสีโล








"ถ้าเราหมั่นหา "อุบาย"
มาอบรมจิตแล้ว
ส่วนมาก"จิต" มักจะ
เฉื่อยชา วางเฉย

ดังนั้น "อุบาย" จึงเป็น
ของสำคัญ
ยกขึ้นสู่การพิจารณา
ชี้แจงให้ "จิต" อาจหาญ ร่าเริง
เห็นแจ้งในจิตในใจของเรา

ถ้า"จิต"ยิ่งเกิดเกียจคร้านเท่าไร
เราต้องเพิ่มความพยายามตักเตือน
โดย "อุบาย" ให้เท่าเทียมกัน
จนเกิดความขยันขันแข็ง
เบิกบาน ผ่องใส..."

#หลวงปู่แหวน_สุจิณโณ








ต้นไม้ทุกต้นก็เป็นต้นไม้ต้นเดียวกัน เพราะว่ามันเหมือนกันโดยอาการที่มันเกิดขึ้นมาแล้ว มันก็ตั้งอยู่ ตั้งอยู่แล้วก็แปรไป แล้วมันก็เปลี่ยนไป หายไป เสื่อมไปดับสิ้นไปเป็นธรรมดา

มนุษย์เราทั้งหลายก็เหมือนกัน ถ้าเป็นผู้มีสติอยู่ รู้อยู่ ศึกษาด้วยปัญญา ด้วยสติสัมปชัญญะ ก็จะเห็นธรรมอันแท้จริง คือเห็นมนุษย์เรานี้ เกิดขึ้นมาเป็นเบื้องต้น เกิดขึ้นมาแล้วก็ตั้งอยู่ เมื่อตั้งอยู่แล้วก็แปรไป แล้วก็เปลี่ยนไป สลายไป ถึงที่สุดแล้วก็จบ

ทุกคนเป็นอยู่อย่างนี้ ฉะนั้น คนทุกคนในสากลโลกนี้ ก็เป็นอันเดียวกัน ถ้าเราเห็นคนคนเดียวชัดเจนแล้ว ก็เหมือนกับเห็นคนทั้งโลก มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น

หลวงปู่ชา สุภัทโท









...
ใจ "ถ้าไม่นิ่ง"
คิดไปอดีต คิดไปอนาคต
ไม่อยู่ปัจจุบัน จะสงบไม่ได้
"ใจต้องอยู่ในปัจจุบันถึงจะสงบได้"
.......................................
คัดลอก(กำลังใจ57) กัณฑ์440
ธรรมะบนเขา11/6/2555
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี








ถ้าเราไม่มีโอกาสปฏิบัติ. ก็ไม่มีเวลาหายใจนั่นแหละ.

หลวงปู่ชา สุภัทโท









#เมื่อครั้งมีโยมมาขอเปลี่ยนทิศ​
#พระประธานด้วยคิดว่า_พระหันหน้าผิดทิศ

"พระพุทธเจ้า พระองค์ไม่มีทิศนะ​ กราบลงไปทิศไหน แล้วระลึกถึง... #พระพุทธ_พระธรรม_พระสงฆ์
มันก็เหมือนกัน ไม่ต่างกัน...

ทำความดีไม่ต้องเลือกทิศ ไม่ใช่ทำทิศนี้แล้วดี ทิศนี้ไม่ดี ไม่มีหรอก.. "

#หลวงปู่ทุย_ฉนฺทกโร
[ วัดป่าดานวิเวก จ.บึงกาฬ​ ]














#ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่เบญจวัคคีย์ทั้งห้าที่ว่า นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ความรู้ความเห็นอันวิเศษเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราตถาคต ความหลุดพ้นของเราไม่มีการกำเริบแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ต่อไปนี้เราจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว

#เอาอันนี้มาท้าทายเบญจวัคคีย์

ให้เบญจวัคคีย์ปฏิบัติให้ได้ ท้าทายภพชาติของตัวเอง ที่ตายกองกันมาสักนานเท่าไร ให้มันหายไปหมดไม่มีเหลือ ลบป่าช้าเสียหมด

#ผู้สำเร็จพระอรหันต์แล้วเป็นผู้ลบป่าช้าทั้งนั้น

ไม่มีป่าช้าใดที่จะปีนขึ้นมาได้เลยพระอรหันต์ สิ้นซากของกิเลสทั้งหลาย กิเลสตัวสร้างป่าช้า ให้สัตว์เกิดแก่เจ็บตายกองกันทุกภพทุกชาติ ไม่เลือกเฟ้นตามแต่กรรมดีกรรมชั่วจะไสลงไป

นรกอเวจีก็ไปเกิดได้ สวรรค์-พรหมโลกเกิดได้ๆ ทั้งนั้น ในน้ำบนบกเกิดได้

#กิเลสพาเกิด_บาปกรรมพาเกิด_บุญกุศลพาเกิด_แต่เวลาลบอันนี้ออกหมดแล้ว_ลบป่าช้าไปพร้อมกันเลย

พระอรหันต์จึงไม่มีป่าช้า หมดโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่กิเลสซึ่งเป็นตัวสร้างป่าช้าดับภายในจิตใจ ป่าช้าก็ดับในเวลานั้น จ้าขึ้นมาแล้ว อาโลโก อุทปาทิ สว่างกระจ่างแจ้งทั้งวันทั้งคืน ไม่มีอะไรเหลือเลยภายในจิตใจของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์

#พระอรหันต์ในครั้งนั้น_กับพระอรหันต์ในครั้งนี้_ต่างกันอย่างไร

พระอรหันต์ ก็คือกิเลสสิ้นไปจากใจ เวลากิเลสมีอยู่ มันทุกข์ด้วยกันทั้งครั้งนั้นครั้งนี้ พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้ว ครั้งนั้นครั้งนี้ เป็นพระอรหันต์ที่สมบูรณ์แบบด้วยกันหมด เป็นบรมสุขด้วยกัน

#จึงขอให้ท่านทั้งหลาย_ได้ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ_กำจัดกิเลส

กิเลสมีอยู่ทั้งหญิงทั้งชาย นักบวชและฆราวาส มันทำลายได้ด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นการแก้กิเลสจึงไม่ขัดต่อเพศต่อวัยทั้งหญิงทั้งชาย ให้แก้กันไปๆ

#หลวงตาพระมหาบัว #ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระเนื่องในวันเข้าพรรษา ณ #วัดป่าบ้านตาด เมื่อค่ำวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑











ตัวเองดีหรือไม่ดียังไง. ทำไมไม่ดูตัวเอง. ธรรมท่านย้อนเข้าไปตรงนั้น. มันก็สลดสังเวชละซิ.

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน







#กิเลสมันชอบอวด

การประกอบความพากเพียรในชีวิตของเรานี้ เรียกว่าเราทุกข์ที่สุด คือการถอดถอนกิเลส ฆ่ากิเลส การงานทั้งหลายในโลกที่เราเคยทำตามกำลังความสามารถของเรา ทุกข์ก็ยอมรับว่าทุกข์ แต่ถึงเวลาที่จะเลิกจะละจากมันไปเลยสบายๆ

ไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยผูกโกรธผูกแค้นกัน เหมือนกับกิเลสกับใจฟัดกัน ระหว่างธรรมกับใจฟัดกับกิเลส

#ถ้าวันไหนได้แพ้กิเลส_วันนั้นนอนไม่ได้เลย

ต้องเอากันให้ชนะกิเลส คือชนะเป็นพักๆ ไป ไม่ได้หมายถึงว่าชนะหมด นอนไม่ได้แล้ววันนี้ ถ้ากิเลสตัวนี้ไม่หมอบเสียก่อน นอนไม่ได้ นั่นละตอนนั้นละไม่กิเลสก็เราฟัดกัน เอา ใครตายก็ตาย ใครดีให้อยู่บนเวที ใครไม่ดีให้ตกเวทีเลย

#เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว_จิตต้องเด็ดเฉียบขาดทีเดียว

ซัดกันจนกระทั่งกิเลสหมอบ นั่น หมอบเป็นระยะๆ ไม่ใช่มันหมอบอยู่เรื่อยและธรรมะเราก็หมอบอยู่เรื่อย มีผลัดกันแพ้ชนะตลอดมา การประกอบความเพียรเพื่อฆ่ากิเลส

#ท่านผู้ใดถ้ายังไม่ได้ผ่านระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันเสียก่อน #อย่ามาอวดนะว่าโลกนี้มีงานมากหนักมากทุกข์มาก

ไม่มีอะไรทุกข์ยิ่งกว่ากิเลสเหยียบหัวใจสัตว์โลก อันนี้ทุกข์มาก เวลานี้กระจายกันทั่วประเทศไทยและทั่วโลกด้วย มีแต่กิเลสเหยียบหัวใจสัตว์โลก ด้วยความล่อลวงต้มตุ๋นแบบต่างๆ ของมัน

#อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี_มีแต่จะดีๆไปหมด_มันหลอกอยู่ในหัวใจ

ทั้งอยากดีอยากเด่นทุกอย่าง อยากมีชื่อมีเสียงโด่งดัง กิเลสมันชอบยอ เป็นอย่างนั้นละ ทุกข์จนหนโลกก็ไม่ยอมรับว่าตัวทุกข์ ต้องบอกว่าเป็นเศรษฐี กิเลสมันชอบ

#นี่ละเรื่องกิเลสชอบยอเสมอ

เรื่องธรรมไม่ชอบ ความจริงมีตรงไหนธรรมจะก้าวเดินไปตามนั้น ฟัดกับกิเลสตัวเก่งๆ เหล่านี้ละที่ว่าถึงขั้นจะสลบไสล แต่ไม่เคยสลบก็บอกว่าไม่สลบ เฉียดๆ ตลอด เอาจนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจเลย ตั้งแต่บัดนั้น เราก็เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เป็นความสัตย์ความจริง หรือเอามาโกหกท่านทั้งหลาย ฟังซิน่ะ

#หลังวัดดอยธรรมเจดีย์

วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มเป๋งพอดี เป็นเวลาฟ้าดินถล่ม ระหว่างกายกับจิตสะเทือนเอากันอย่างมาก จนกระทั่งร่างกายสะดุ้งปึ๋งเลยทีเดียว เหมือนฟ้าดินถล่ม

#แต่ความจริงฟ้าดินเขาไม่มีอะไรละ_มันเป็นอยู่ระหว่างกายกับจิต

กิเลสขาดสะบั้นลงไปจากจิตนี้กระเทือนหมดจริงๆ ร่างกายสะดุ้งปึ๋งเลยทันที ในขณะเดียวกันก็จ้าขึ้นมาอย่างที่เราไม่เคยคิดเคยคาดเคยฝันไว้เลย

#ถึงขนาดออกอุทานย้ำแล้วย้ำเล่า

พอฟ้าดินถล่มระหว่างกายกับจิตขาดสะบั้นลงไปเรียบร้อยแล้ว เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ ขึ้นเลยเชียว

#มันชัดขนาดนั้นละ_ย้ำแล้วย้ำเล่าให้มันถึงใจ_หือ_พระพุทธเจ้าตรัสรู้_ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ

ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ ซ้ำ แล้วพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง

#คำว่าพุทโธ_ธัมโม_สังโฆ_ติดหัวใจมาตั้งแต่ต้น_จนถึงขณะนั้นแหละ

พอขณะฟ้าดินถล่มขาดออกไปแล้ว พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง นั่นเป็นแล้วนะนั่น เป็นอันเดียวกันแล้ว

ตั้งแต่ขณะนั้นมาไม่เคยมีกิเลสตัวใด ไม่ว่าความโกรธ ความโลภ ความหลง ราคะตัณหา เป็นกิเลสทั้งนั้น ขาดสะบั้นไปตามๆ กันหมด

#แล้วไม่ปรากฏว่ามีกิเลสตัวใดที่แทรกขึ้นมาให้เราได้เอะใจ

หือ กิเลสตัวนี้กูม้วนเสื่อมึงแล้วตั้งแต่วันนั้นแล้ว มึงยังโผล่หน้าขึ้นมาให้กูเห็นอีกเหรอ ไม่เคยมีจนกระทั่งบัดนี้ละ

#นี่ละอำนาจแห่งการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

โกหกโลกไหม พิจารณาซิ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สดๆ ร้อนๆ ประกาศกังวานเพื่อความรื้อขนสัตว์ว่า นี้คือทางพ้นทุกข์ นี้คือตลาดแห่งความพ้นทุกข์ ได้แก่ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า

#ท่านทั้งหลายได้เห็นหรือยัง_ได้ฟังหรือยัง

หรือฟังตั้งแต่เพลงลูกทุ่งลูกกรุงตลอดมา นี้พวกเพลงพาให้จมนะ เพลงธรรมของพระพุทธเจ้านี้พาให้สว่างไสวขึ้นโดยลำดับจนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์

#มองดูโลกเหมือนส้วมเหมือนถาน

ความคิดอันนี้ความเห็นอันนี้ไม่เคยมีในหัวใจแต่ก่อน พอธรรมชาตินี้ขึ้นมาผางเลยสมมุติไปเสียทั้งมวลแล้ว จึงได้มองเห็นอันนี้กลายเป็นฟืนเป็นไฟเป็นส้วมเป็นถานไปหมดในบรรดาสามแดนโลกธาตุนี้

ท่านจึงยกเป็นภาษิตขึ้นมาอีกว่า
ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส
#ทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด

นั่นเห็นไหม ทุกข์จะเอามาจากไหนเมื่อไม่เกิด ไม่เกิดทั้งกิเลสตัณหา ไม่เกิดทั้งภพทั้งชาติต่อไป แล้วจะเอาทุกข์มาจากไหน

#นี้ความเลิศเลอในแดนพุทธศาสนา_ที่สอนโลกมาเป็นเวลานาน

พุทธศาสนาของเราก็สอนมา ๒๕๐๐ กว่าปีนี้แล้ว เป็นยังไงพวกเราพากันตื่นเนื้อตื่นตัวหรือยัง หรือใครก็อวดดีอวดเด่นอึ่งอ่างกับวัวอยู่นั้นเหรอ

#อึ่งอ่าง_ก็คือตัวเราที่พองตัวๆสำคัญว่าตนดิบตนดี

ตัวมั่งตัวมี ตัวยศถาบรรดาศักดิ์สูง จรดฟ้าๆ อยู่นั้นหรือ ไม่ได้มองดูธรรมหรือ ธรรมคือวัว แล้วไปแข่งธรรมแข่งได้ยังไง ธรรมคือวัวหมายความว่าครอบโลกธาตุ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเหนือธรรม ธรรมเลิศเลอยิ่งกว่าโลกทั้งหลายไปหมด นั่นละถ้าเทียบว่าวัว

#พวกเราอย่าเป็นอึ่งอ่าง
#กิเลสตัณหาเต็มตัวแล้วพองตัว

ไปวัดไปวาก็โอ่อ่าๆ ฟู่ฟ่า ไปก็ไปดูพระดูเณรเหมือนจะไปให้คะแนนพระ ตัดคะแนนพระเณรนั้นแหละ ท่านผู้ปฏิบัติดีท่านดูอยู่นี้น่ะ ถ้าเป็นพระเณรประเภทที่จะควรตรวจตราดูคะแนนตัดคะแนนเพิ่มคะแนนก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง พระเณรมีหลายประเภท พระเณรที่เหนือนั้นแล้วเราไปหาตรวจตราพาทีดู จะคอยตัดคะแนนเพิ่มคะแนนให้ท่าน ท่านหัวเราะจะตาย ท่านสลดสังเวช นี่อึ่งอ่างมาเป็นอย่างนี้ละเหรอ มาตรวจตราพระเณรที่ปฏิบัติธรรม

#ตัวเองดีหรือไม่ดียังไงทำไมไม่ดูตัวเอง
ธรรมท่านย้อนเข้าไปตรงนั้นมันก็สลดสังเวชละซิ

เวลานี้พวกเรานี่พวกอึ่งอ่างกับวัวนะ กิเลสแข่งธรรม อึ่งอ่างคือกิเลสอยู่ภายในหัวใจของเรามันกำลังแข่งธรรม อวดดิบอวดดียิ่งกว่าธรรม แล้วที่สุดก็จมๆ ขอให้ท่านทั้งหลายจำเอา

#หลวงตามหาบัว #ญาณสัมปันโน









ไม่เคยภาวนา. จะเห็นศาสนาเป็นของอัศจรรย์อะไร

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน







เรื่อง “ระวังกิเลสหลอกว่า เราเป็นผู้มีบุญวาสนาน้อย”

(คติธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

ผู้ทำสมาธิภาวนามิใช่ผู้มีบุญวาสนาน้อย คนมีบุญวาสนามากต่างหากจึงรักบุญกุศลส่วนละเอียดที่เกิดจากสมาธิภาวนา

ความน้อยเนื้อต่ำใจในเวลาจะทำสมาธิภาวนาเป็นกลมายาของกิเลสหลอกคนให้หลงไปตามมันแล้วหยุดภาวนาเสียต่างหาก กรุณาทราบกลของกิเลสไว้จะได้ทำภาวนาสะดวกใจ ทนได้เท่าไรก็ทนไป เมื่อทนไม่ไหวก็พักไปเหมือนคนทำงานอื่นๆ นั่นแลจะเป็นไรไป ยังได้บุญทุกๆ ครั้งที่ภาวนา

ส่วนกิเลสมันไม่เห็นเอาบุญมาให้เรา เราจะเชื่อกลมันอะไรนักหนา ถ้าเชื่อมันมากก็ล่มจมได้ กรุณาทำไปตามกำลังความสามารถของเรานั่นแล…กิเลสคือความขี้เกียจ คือความว่าบุญน้อย วาสนาน้อย หรือความหยุดเสียไม่ทำ นั้นมันไม่ได้มาให้ความดิบความดีอะไรแก่เราแม้นิดเดียว นอกจากมันมาคอย กระซิบกระซาบด้วยอุบายหลอกลวงให้เราหลงไปตามมันเท่านั้น

เวลาเราหลงไปตามกลมายาของมัน มันยังไม่เห็นว่าให้เราบ้างว่า แกโง่ แกบุญวาสนาน้อย แกอาภัพ แกจึงมาหลงกลหลอกของเรา เหล่านี้กิเลสไม่เห็นว่า ไม่เห็นเตือนเราพอให้รู้ตัว แล้วปลีกตัวออกห่างจากมันบ้าง กลมายาของกิเลสมันแหลมคมอย่างนี้เอง กรุณาทราบไว้เผื่อเวลามันมาหลอกจะรู้ตัวไว้บ้าง ไม่จมไปกับมันหมดทั้งตัว

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน










#กรรมทำมาไม่เหมือนกัน

พวกเราที่จากโลกนี้ไปก็เพราะ...
“อยู่เพราะกรรม ไปเพราะกรรม” บางคนก็มีกรรมมีเวรมาก ก็ได้รับความลำบากกระทบกระเทือนด้านจิตใจ มีเรื่องราวสารพัด บางคนก็มีสร้างบุญวาสนาบารมี ไม่ไปสร้างเวรสร้างกรรมมาก ก็มีความสุขดีขึ้นมาหน่อย แต่จะให้สุขตลอดไปไม่มี!!

บางคนได้สร้างกุศลไว้มากเกิดมาก็ไปเกิดในตระกูลอุดมสมบูรณ์หรือว่าบางทีก็ไปเกิดในตระกูลที่ต่ำเหมือนกัน แต่บุญกุศลนั้นก็ดลบันดาลให้เกิดความกล้าหาญชาญชัยไปแสวงหา สู้ชีวิตไม่ถอย ก็มีโอกาสร่ำรวย มีทรัพย์สมบัติเหลือกินเหลือใช้

แต่บางคนคิดว่าหาสิ่งที่จะร่ำรวย
เห็นเขาทำก็ทำกับเขา พอทำไปแล้วแทนที่จะรวยเหมือนเขาไม่รวย!! มีแต่ขาดทุนล่มจมเป็นหนี้เป็นสิน ผูกพันเยอะแล้ว เป็นทุกข์เป็นร้อนจิตใจเพราะอะไร?

เพราะกรรมที่ทำมาไม่เหมือนกัน ท่านถึงว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เราจะต้องเป็นผู้รับกรรมอันนั้น

ถอดจากเทปพระธรรมเทศนา
หลวงปู่วงศ์ สุภาจาโร วัดป่าแก้วเจริญธรรม
บ.คำเจริญ ต.คูสะคาม อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร










“การหักห้ามความคิดปรุงของใจด้วยสติ สกัดกั้นด้วยปัญญา แม้จะลำบาก ผลที่ปรากฏก็คือความสงบย่อมเป็นที่หวังได้ หรือพอมีสติขึ้นมาพิจารณาใคร่ครวญถึงทางที่ถูกที่ควร สิ่งดีชั่วในสิ่งที่คิดนั้น ในเรื่องที่คิดนั้นว่า ทำไมจึงต้องคิด ก็ทราบแล้วว่าไม่ดีคิดไปทำไม แล้วหาทางแก้ไขเพื่อความดีไม่ได้หรือ? นั่นเรื่องของเหตุผลเป็นอย่างนั้น

การคิดมาทั้งมวลนี้ก็พอเห็นโทษของมันแล้ว เพราะทุกข์เป็นประจักษ์พยานอยู่ภายในใจ มีความรุ่มร้อนเป็นกำลัง นี่คือผลของความคิดในสิ่งนั้น ๆ ที่เป็นของไม่ดี ถ้าจะฝืนคิดมากยิ่งกว่านี้แล้วจะเป็นอย่างไร ขนาดที่คิดนี้ความทุกข์ก็แสดงให้เห็นชัดเจนอย่างนี้แล้ว ถ้าจะคิดเพิ่มยิ่งกว่านี้ ความทุกข์จะไม่มากกว่านี้จนท่วมหัวใจไปละหรือ แล้วจะทนแบกหาม “มหันตทุกข์” ได้อย่างไร?

ถ้าฝืนคิดมาก ทุกข์ต้องเพิ่มมากกว่านี้เป็นลำดับ เมื่อมากกว่านี้แล้วเราจะมีกำลังวังชามาจากไหน พอต้านทานแบกหามความทุกข์ที่ผลิตขึ้นทุกระยะ จากความคิดในสิ่งที่ไม่พอใจนั้น ๆ เราจะฝืนคิด ยังจะฝืนกอบโกยทุกข์เหล่านั้นเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ยิ่งขึ้นกว่านี้อยู่หรือ? เพียงเท่านี้จิตก็ได้สติ พอได้สติจิตก็เริ่มสงบและยังยั้งตัวได้"

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๘








#ความชั่วของคนดีนั้น...

คือความประมาท...ที่แอบแฝงมากับความดีงาม ประมาท...เมื่อคิดว่าเราดีแล้ว เราคิดดี ทำดี พูดดี...

แต่เราก็หลงอยู่กับความดีนั้น ไม่ก้าวล่วงยกระดับจิตออกมา สร้างความดีในการเจริญจิตภาวนา

#จึงต้องวนเวียนอยู่ในวัฏฏะวนอีก
#มิรู้จบสิ้น.

"#พระอ.#ปริญญา #ธีรปญฺโญ (#พระอ.กลาง) #สำนักสงฆ์แสงพระธรรม จ.สระแก้ว"









"..กิเลส คือโลภ โกรธ
หลง มันคอยชวนคนให้
ทำผิดตลอดเวลา คนที่
ไม่ได้ศึกษาธรรมย่อม
ไม่รู้จักมัน หลงเชื่อมัน
ทำตามมันมันก็พาไปพบทุกข์

คนไม่รู้ก็คิดว่าเป็นความสุข
รูป รส กลิ่น เสียง พอหลง
ตามไปแล้ว ทีหลังจึงรู้ว่า
มันเป็นสุขปลอม เป็นสุข
แต่ข้างนอก ข้างในเป็นทุกข์

ตอนแรก ๆ สนุกสนาน
นานไปได้ทุกข์ยาก
หนัก ๆ เข้า ตกนรกทั้งเป็น
ตายแล้วก็ยังตกนรกอีก.."

"อนาลโยวาท"
หลวงปู่ขาว อนาลโย








" จะอย่างไรก็ตาม
เมื่อผู้หวังพ้นทุกข์
ในสงสารโดยแท้แล้ว
สิ่งที่ขัดข้องภายนอกแล้ว
ย่อมเป็นเรื่องเล็กน้อยไป

เพราะจะช้าหรือเร็ว
ก็ไม่มีการถอยหลังเสียแล้ว
หนักก็เอาเบาก็สู้ สู้ทั้งนั้น
เพราะตีความหมายว่า
สู้กับกิเลสของตน

กิเลสนั้นมันชวนสู้
ในสิ่งที่ไม่ควรสู้
มันชวนถอย
ในสิ่งที่ไม่ควรถอย มันมี
มายามากกว่าล้านๆนัยยะ
แต่ก็เหลือวิสัยของ
สติปัญญาไปไม่ได้

ที่ว่าบาปไม่ชนะบุญนั้น
เป็นของจริงผูกขาดอยู่
แต่ดึกดำบรรพ์แล้ว
ไม่ต้องสงสัย "

โอวาทธรรม
หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต








คนมีทานย่อมเป็นผู้สง่าผ่าเผย
และเด่นในปวงชน เป็นที่เคารพรักในหมู่ชน
จะตกอยู่ทิศใดย่อมไม่อดอยาก ขาดแคลน
จะมีสิ่งหรือผู้อุปถัมภ์จนได้
ไม่อับจนทนทุกข์ ผู้มีทานประดับตน
ย่อมไม่เป็นคนล้าสมัย
บุคคลทุกชั้นไม่รังเกียจ

โอวาทธรรม
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต







"รูปกายนี้แล เป็นมรดกดั้งเดิม
ทรัพย์สินเงินทอง อันเป็นของภายนอก
ก็เป็นไปจากรูปกายนี้เอง ถ้ารูปกายนี้
ไม่มีแล้ว​ ก็ทำอะไรไม่ได้ ชื่อว่าไม่มีอะไรเลย

เพราะเหตุนั้น ตัวของเราทั้งตัวนี้เป็น
"มูลมรดก" ของมารดาบิดาทั้งสิ้น จึงว่าคุณท่านจะนับจะประมาณมิได้เลย
ปราชญ์ทั้งหลายจึงหาได้ละทิ้งไม่

เราต้องเอาตัวเราคือ "นโม" ตั้งขึ้นก่อน
แล้วจึงทำกิริยาน้อมไหว้ลงภายหลัง​
นโม ท่านแปลว่านอบน้อม​ นั้นเป็นการ
แปลเพียงกิริยา​ หาได้แปลต้นกิริยาไม่

มูลมรดกนี้แลเป็นต้นทุน ทำการฝึกหัด
ปฏิบัติตน​ ไม่ต้องเป็นคนจนทรัพย์สำหรับ
ทำทุนปฏิบัติ.."

#หลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต









#ลักษณะนิสัยผู้เป็นเทวดาลงมาเกิด
(ทำอย่างไร จะได้ไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้นไป)

คนที่รู้จักทำทาน รักษาศีลได้บริสุทธิ์
ไม่ว่าจะเกิดมาชาติใดนี่ จะเกิดมาในตระกูลที่ดี

#ตระกูลที่ดี_คือ_ตระกูลที่มีศีล_ตระกูลที่มีธรรม

จิตของตัวเองนี้ที่เกิดมานี่ ก็มีศีลมีธรรมตั้งแต่วันเกิด เกิดมาตัวเล็กๆ เห็นมดไต่มาก็สงสารมดอย่างนี้ เห็นคนยากจนเข็ญใจมา ก็อยากให้เขาอย่างนี้ นี้มันเป็นธรรมชาติของจิตที่ได้สั่งสมบารมีมา นี้แหละมันเป็นอย่างนี้

#เพราะฉะนั้นให้เรามีสติสัมปชัญญะ

รู้อยู่ในจิตใจของตนเอง ก็งดเว้นในสิ่งพระพุทธเจ้าห้ามนั่นแหละ ไม่ควรทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ เมื่อเรารู้ว่าสิ่งที่ไม่ควรทำ เราก็ระงับไม่ให้มันเกิดขึ้น บางทีมันก็จะแสดงออกมาทางใจของเรา อย่างที่ความอยากได้คือความโลภอย่างนี้ เรามองเห็นว่ามันเป็นโทษมันไม่ใช่ของเรา มันเป็นของคนอื่น แต่ถ้าเรามีปัญญาเราก็จะเอามาได้ คือ ต้องทำงานด้วยสติปัญญา ไม่ใช่ว่าไปคดโกงขโมยเขามาเด้

#เราเอาสติสัมปชัญญะพิจารณาว่า...

สมบัติอันนี้ข้าวของเงินทองต่างๆทั้งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์มันเป็นของอยู่ในโลก ไม่มีใครสงวนลิขสิทธิ์ ถ้าใครรักษาได้ก็เป็นของคนนั้น คนที่จะมีปัญญาหาก็คือคนที่มีบุญวาสนาบารมี ได้ทำบุญเอาไว้มาก่อน ถ้าเราเคยทำบุญในชาติปางก่อนเอาไว้ ทำอะไนก็จะสำเร็จอย่างที่เราเคยทำทานอย่างนี้

เราเสียสละสิ่งที่เรามีอยู่

พอเกิดมาในชาตินี้เราก็ไม่อดอยู่อดกิน เราทานอะไรเราทานข้าวปลาอาหาร เราเกิดขึ้นมาเราก็ไม่เคยอดอาหารตั้งแต่วันเกิดขึ้นมา เราเคยทำบุญอย่างอื่นด้วยจตุปัจจัยของเราอย่างนี้ เราได้สั่งสมเอาไว้ เมื่อเกิดขึ้นมาในภพปัจจุบัน เราไปทำงาน เราก็ได้ตังค์ เราไปค้าขายเราก็ได้ตังค์

สำหรับคนที่ไม่เคยได้ทำอะไรไว้เลยนั้น หาได้อยู่เหมือนกัน แต่หาได้ก็ใช้หมดเพราะไม่มีปัญญา หาได้แต่พอกินไปวันๆ ก็หมดไปเป็นวันๆ แต่สำหรับคนที่มีบุญนี้ มันเหลือได้มามันเหลือมือล้นกระเป๋าเลยพุ่นนะ มันเลยกินไม่หมด นี้คือบุญกุศลที่เราได้เห็นอานิสงส์การทำบุญให้ทาน เราก็รักษาศีลด้วยความบริสุทธิ์บริบูรณ์ มันเลยกินไม่หมด

"สีเลนะ สุคะติง ยันติ" : บุคคลใดที่จะมีความสุขได้ก็เพราะศีล (พระพุทธเจ้าได้กล่าวเอาไว้อย่างนี้)

"สีเลนะ โภคะสัม ปะทา" : บุคคลใดที่จะมีโภคทรัพย์ก็เพราะศีล

"สีเลนะ นิพพุติง ยันติ" : บุคคลใดที่จะไปสู่พระนิพพานก็เพราะศีลนี้แหละ

ถอดจากเทปพระธรรมเทศนา
#หลวงปู่ไม #อินทสิริ #วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 36 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร