วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 15:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 129 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2018, 19:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b12:
บอกแล้วบอกอีกไม่รู้จักจำ
คำสอนของพระพุทธเจ้า
คือทุกคำในพระไตรปิฎก
ส่องถึงเดี๋ยวนี้ที่มีแล้วตรง
ตามที่ทุกดวงจิตกำลังเป็นไป
ใครกำลังทำฌานก็ได้มีฌาน
ใครกำลังทำปัญญาก็ได้ปัญญา
ใครได้นิพพานแล้วก็คือนิพพานจริง
ตรงจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เลยคือจิเจรุนิ
ไม่เข้าใจหรือคะมีแล้วจิตเจตสิกรูปนิพพานต้องรู้1ที่ตนมี
ครบวิสยรูป7ตรงธาตุ4ขันธ์5รู้ผ่านครบอายตนะทั้ง6เดี๋ยวนี้
จิตคือวิญญาณขันธ์เป็นประธานรู้ทุกอย่างที่มีจิตมี89-121ประเภท
เจตสิกคือเจตนาเกิดพร้อมจิตเป็นคู่หูปรุงกุศลหรืออกุศล52ประเภท
ประกอบด้วยประเภทของ3ขันธ์เวทนาขันธ์1สัญญาขันธ์1สังขารขันธ์50
รูปคือรูปขันธ์คือมหาภูตรูป4+อุปาทายรูป24รวม28รูป27รูปมืดมีสว่างแค่1รูป
อ่านสิครบทั้งหมดแล้วแยะแยะละเอียดที่กายใจตนมีให้ตรง1สัจจะคือจริงของตน
:b32:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2018, 19:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
:b12:
บอกแล้วบอกอีกไม่รู้จักจำ
คำสอนของพระพุทธเจ้า
คือทุกคำในพระไตรปิฎก
ส่องถึงเดี๋ยวนี้ที่มีแล้วตรง
ตามที่ทุกดวงจิตกำลังเป็นไป
ใครกำลังทำฌานก็ได้มีฌาน
ใครกำลังทำปัญญาก็ได้ปัญญา
ใครได้นิพพานแล้วก็คือนิพพานจริง
ตรงจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เลยคือจิเจรุนิ
ไม่เข้าใจหรือคะมีแล้วจิตเจตสิกรูปนิพพานต้องรู้1ที่ตนมี
ครบวิสยรูป7ตรงธาตุ4ขันธ์5รู้ผ่านครบอายตนะทั้ง6เดี๋ยวนี้
จิตคือวิญญาณขันธ์เป็นประธานรู้ทุกอย่างที่มีจิตมี89-121ประเภท
เจตสิกคือเจตนาเกิดพร้อมจิตเป็นคู่หูปรุงกุศลหรืออกุศล52ประเภท
ประกอบด้วยประเภทของ3ขันธ์เวทนาขันธ์1สัญญาขันธ์1สังขารขันธ์50
รูปคือรูปขันธ์คือมหาภูตรูป4+อุปาทายรูป24รวม28รูป27รูปมืดมีสว่างแค่1รูป
อ่านสิครบทั้งหมดแล้วแยะแยะละเอียดที่กายใจตนมีให้ตรง1สัจจะคือจริงของตน



นามยังไม่รู้ รูปยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเลย

เอ้าไหน จัดให้เป็นรูปแบบพอที่คนเขาจะนำไปทำไปปฏิบัติกันได้ทีซิ เอ้า สาธุล่วงหน้า ๓ ครั้ง สาธุ สาธุ สาธุ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2018, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
:b12:
บอกแล้วบอกอีกไม่รู้จักจำ
คำสอนของพระพุทธเจ้า
คือทุกคำในพระไตรปิฎก
ส่องถึงเดี๋ยวนี้ที่มีแล้วตรง
ตามที่ทุกดวงจิตกำลังเป็นไป
ใครกำลังทำฌานก็ได้มีฌาน
ใครกำลังทำปัญญาก็ได้ปัญญา
ใครได้นิพพานแล้วก็คือนิพพานจริง
ตรงจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เลยคือจิเจรุนิ
ไม่เข้าใจหรือคะมีแล้วจิตเจตสิกรูปนิพพานต้องรู้1ที่ตนมี
ครบวิสยรูป7ตรงธาตุ4ขันธ์5รู้ผ่านครบอายตนะทั้ง6เดี๋ยวนี้
จิตคือวิญญาณขันธ์เป็นประธานรู้ทุกอย่างที่มีจิตมี89-121ประเภท
เจตสิกคือเจตนาเกิดพร้อมจิตเป็นคู่หูปรุงกุศลหรืออกุศล52ประเภท
ประกอบด้วยประเภทของ3ขันธ์เวทนาขันธ์1สัญญาขันธ์1สังขารขันธ์50
รูปคือรูปขันธ์คือมหาภูตรูป4+อุปาทายรูป24รวม28รูป27รูปมืดมีสว่างแค่1รูป

อ่านสิครบทั้งหมดแล้วแยะแยะละเอียดที่กายใจตนมีให้ตรง1สัจจะคือจริงของตน



หลงเละเทะ เหมือนเคยบอกว่า ฟังโฮมสะเตย์พูดแล้วหลงกลับบ้านไม่ถูก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 10:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
เดี๋ยวนี้เลยสมมุติสัจจะคือนิมิตตามภพภูมิที่ลืมตาเห็นว่ามีบัญญัติคำต่างๆให้ท่องจำ
ยึดตำรามั่นคงคือยึดติดจนไม่ปล่อยวางเพื่อรู้ตรงปัจจุบันขณะไม่มีกาลามสูตร10
ไม่ใช่เชื่อเพราะตำรากอดตำราไว้ทำไมวางลงแล้วนั่งฟังความจริงคือหูไม่หนวก
ถึงจะได้ยินเสียงรู้เสียงได้ทีละ1เสียงตรงคำที่กำลังได้ยินเสียงเข้าใจเสียงนั้น
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 12:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
เดี๋ยวนี้เลยสมมุติสัจจะคือนิมิตตามภพภูมิที่ลืมตาเห็นว่ามีบัญญัติคำต่างๆให้ท่องจำ
ยึดตำรามั่นคงคือยึดติดจนไม่ปล่อยวางเพื่อรู้ตรงปัจจุบันขณะไม่มีกาลามสูตร10
ไม่ใช่เชื่อเพราะตำรากอดตำราไว้ทำไมวางลงแล้วนั่งฟังความจริงคือหูไม่หนวก
ถึงจะได้ยินเสียงรู้เสียงได้ทีละ1เสียงตรงคำที่กำลังได้ยินเสียงเข้าใจเสียงนั้น
:b32: :b32:


เรื่องที่คุณโรสพูดไม่เอามาจากตำรา แล้วเอามาจากไหน เอ้า เอามาจากไหน เรื่องที่ว่าเป็นตุเป็นตะนั่นน่า ตอบเอามาจากไหน หนึ่งล่ะ

สอง คุณโรสอ่านตำราแล้วแยกไม่ได้ แยกไม่เป็น :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 20:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
เดี๋ยวนี้เลยสมมุติสัจจะคือนิมิตตามภพภูมิที่ลืมตาเห็นว่ามีบัญญัติคำต่างๆให้ท่องจำ
ยึดตำรามั่นคงคือยึดติดจนไม่ปล่อยวางเพื่อรู้ตรงปัจจุบันขณะไม่มีกาลามสูตร10
ไม่ใช่เชื่อเพราะตำรากอดตำราไว้ทำไมวางลงแล้วนั่งฟังความจริงคือหูไม่หนวก
ถึงจะได้ยินเสียงรู้เสียงได้ทีละ1เสียงตรงคำที่กำลังได้ยินเสียงเข้าใจเสียงนั้น
:b32: :b32:


เรื่องที่คุณโรสพูดไม่เอามาจากตำรา แล้วเอามาจากไหน เอ้า เอามาจากไหน เรื่องที่ว่าเป็นตุเป็นตะนั่นน่า ตอบเอามาจากไหน หนึ่งล่ะ

สอง คุณโรสอ่านตำราแล้วแยกไม่ได้ แยกไม่เป็น :b32:


ไม่ตอบ ถามว่าไม่เอามาจากตำราจากคัมภีร์แล้วเอามาจากไหนขอรับ :b32: นั่นมันตำราทั้งเพทั้งระยองเกาะเสม็ดนะน่า :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นพูดเรื่องธาตุนั่นนี่บ่อยๆ เลยเอาธาตุมาฝาก


ตจะ หนัง

ตจปัญจกกัมมัฏฐาน กรรมฐานมีหนังเป็นที่คำรบห้า กรรมฐานอันบัณฑิตกำหนดด้วยอาการมีหนังเป็นที่ ๕ เป็นอารมณ์ คือ กรรมฐานที่ท่านสอนให้พิจารณาส่วนของร่างกาย ๕ อย่าง คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง โดยความเป็นของปฏิกูล หรือ โดยความเป็นสภาวะอย่างหนึ่งๆ ตามที่มันเป็นของมัน ไม่เอาใจเข้าไปผูกพันแล้วคิดวาดภาพใฝ่ฝัน ตามอำนาจกิเลส
พจนานุกรมเขียน ตจปัญจกกรรมฐาน เรียกอีกอย่างว่า มูลกัมมัฏฐาน (กรรมฐานเบื้องต้น)

ธาตุกัมมัฏฐาน กรรมฐานที่พิจารณาธาตุเป็นอารมณ์, กำหนดพิจารณาร่างกายแยกเป็นส่วนๆ ให้เห็นว่าเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประชุมกันอยู่ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา

ธาตุ สิ่งที่ทรงสภาวะของมันอยู่เองตามธรรมดาของเหตุปัจจัย, ธาตุ ๔ คือ

๑. ปฐวีธาตุ สภาวะที่แผ่ไปหรือกินเนื้อที่ เรียกสามัญว่าธาตุแข้นแข็ง หรือ ธาตุดิน

๒. อาโปธาตุ สภาวะที่เอิบอาบดูดซึม เรียกสามัญว่า ธาตุเหลวหรือธาตุน้ำ

๓. เตโชธาตุ สภาวะที่ทำให้ร้อน เรียกสามัญว่า ธาตุไฟ

๔. วาโยธาตุ สภาวะที่ทำให้เคลื่อนไหว เรียกสามัญว่า ธาตุลม

อากาศธาตุ สภาวะที่ว่าง, ความเป็นที่ว่างเปล่า, ช่องว่างในร่างกาย ที่ใช้เป็นอารมณ์กรรมฐาน เช่น ช่องหู ช่องจมูก ช่องปาก ช่องอวัยวะต่างๆ, ในคัมภีร์อภิธรรม จัดเป็นอุปาทายรูปอย่างหนึ่ง เรียกว่าปริจเฉทรูป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 21:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฐวีธาตุ ธาตุดิน, สภาวะที่มีลักษณะแข้นแข็ง, ในร่างกายที่ใช้เป็นอารมณ์กัมมัฏฐาน ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังพืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า, อย่างนี้เป็นการกล่าวถึงปฐวีธาตุในลักษณะที่คนสามัญทั่วไปจะเข้าใจได้ และที่จะให้สำเร็จประโยชน์ในการเจริญกัมมัฏฐาน แต่ในทางพระอภิธรรม ปฐวีธาตุเป็นสภาวะพื้นฐานที่มีอยู่ในรูปธรรมทุกอย่าง แม้แต่ในน้ำและในลม ที่เรียกกันสามัญ ซึ่งรู้สึกถูกต้องได้ด้วยกายสัมผัส, ปถวีธาตุก็เขียน

อาโปธาตุ ธาตุน้ำ, สภาวะที่มีลักษณะเอิบอาบ ดูดซึม เกาะกุม, ในร่างกายที่ใช้เป็นอารมณ์กัมมัฏฐาน ได้แก่ ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร, ข้อความนี้ เป็นการกล่าวถึงอาโปธาตุในลักษณะที่คนสามัญทั่วไปจะเข้าใจได้ และพอให้สำเร็จประโยชน์ในการเจริญกัมมัฏฐาน แต่ในทางอภิธรรม อาโปธาตุเป็นสภาวะที่สัมผัสด้วยกายไม่ได้ มีในรูปธรรมทั่วไป แม้แต่ในกระดาษ ก้อนหิน เหล็ก และแผ่นพลาสติก

เตโชธาตุ ธาตุไฟ, สภาวะที่มีลักษณะร้อน, ความร้อน, ในร่างกาย ได้แก่ ไฟที่ยังกายให้อบอุ่น ไฟที่ยังกายให้ทรุดโทรม ไฟที่ยังกายให้กระวนกระวาย และไฟที่เผาอาหารให้ย่อย, อย่างนี้เป็นการกล่าวถึงเตโชธาตุในลักษณะที่คนสามัญทั่วไปจะเข้าใจได้ และที่จะให้สำเร็จประโยชน์ในการเจริญกรรมฐาน แต่ในทางพระอภิธรรม เตโชธาตุเป็นสภาวะพื้นฐานที่มีอยู่ในรูปธรรมทุกอย่าง แม้แต่ในน้ำเป็นภาวะที่ทำให้เรารู้สึกร้อน อุ่น เย็น เป็นต้น

วาโยธาตุ ธาตุลม, สภาวะที่มีลักษณะพัดไปมา, ภาวะสั่นไหว, เคร่งตึง ค้ำจุน, ในร่างกายนี้ ส่วนที่ใช้กำหนดเป็นอารมณ์กัมมัฏฐาน ได้แก่ ลมพัดขึ้นเบื้องบน, ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมพัดไปตามตัว ลมหายใจ, อย่างนี้ เป็นการกล่าวถึงวาโยธาตุในลักษณะที่คนสามัญทั่วไปจะเข้าใจได้ และที่จะให้สำเร็จประโยชน์ในการเจริญกัมมัฏฐาน แต่ในทางอภิธรรม วาโยธาตุเป็นสภาวะพื้นฐานที่มีในรูปธรรมทุกอย่าง ได้แก่ ภาวะสั่นไหว เคร่งตึง ค้ำจุน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 22:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กำหนด วิสยรูป 7 เป็นอนุปัสนา เป็นอารมณ์ของกัมมัฏฐาน เป็นที่ตั้งของสติ เพื่อให้เกิดปัญญา
ก็เป็นเพียง 1 ใน 4 ของสติปัฏฐาน 4
ไม่กำหนดที่ วิสยรูป 7 ก็ได้ กำหนดที่เวทนา กำหนดที่ จิตหรือความคิด ยังได้เลย หรือจะกำหนดที่ลักขณะของธรรมที่ปรากฏ ก็ยังได้

แล้วแต่จริต หรือวาสนาบารมีว่ามีมากน้อยเพียงใด
บางคนโง่มากฉลาดน้อย พอสอนได้ ก็กำหนดที่วิสยรูปบ่อยๆ เพื่อแทงตลอดธรรมที่ปรากฏ ก็เท่านั้นเอง

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 22:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ยึดแต่บัญญัติคำที่เป็นสมมุติสัจจะอยู่นั่นแหละ
แล้วเมื่อไหร่จะรู้สัจจะตรงที่กายใจตนกำลังมีคะ
ก็ศึกษาเข้าใจไงคะถึงมาบอกว่าระลึกคำไหนบ้าง
เอาไปพิจารณาไตร่ตรองแล้วใช้สุตมยปัญญาสิคะ
ฟังว่าการสนทนานั้นเกี่ยวกับตัวจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 22:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ยึดแต่บัญญัติคำที่เป็นสมมุติสัจจะอยู่นั่นแหละ
แล้วเมื่อไหร่จะรู้สัจจะตรงที่กายใจตนกำลังมีคะ
ก็ศึกษาเข้าใจไงคะถึงมาบอกว่าระลึกคำไหนบ้าง
เอาไปพิจารณาไตร่ตรองแล้วใช้สุตมยปัญญาสิคะ
ฟังว่าการสนทนานั้นเกี่ยวกับตัวจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 22:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
ยึดแต่บัญญัติคำที่เป็นสมมุติสัจจะอยู่นั่นแหละ
แล้วเมื่อไหร่จะรู้สัจจะตรงที่กายใจตนกำลังมีคะ
ก็ศึกษาเข้าใจไงคะถึงมาบอกว่าระลึกคำไหนบ้าง
เอาไปพิจารณาไตร่ตรองแล้วใช้สุตมยปัญญาสิคะ
ฟังว่าการสนทนานั้นเกี่ยวกับตัวจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ
:b12:
:b4: :b4:

สุตมยปัญญา
จินตามยปัญญา
ภาวนามยปัญญา
ถามจริงๆ รู้จักไหม
ว่า กาลไหนสุตตฯ กาลไหนจินตาฯ กาลไหนภาวนาฯ

พูดเป็นแผ่นเสียงตกร่อง
ศิษย์บ้านธัมมะเป็นแบบนี้ทุกคนป่ะนี่

huh huh huh
เพลียใจ กะคนที่แยกแยะไม่ออก ได้แต่ท่องจำเป็นแผ่นเสียงตกร่อง

ปรมัตถ์สัจจะ เป็นเพียงสภาวะธรรม หากจะเอามาบอกเล่าพิมพ์ให้อ่านก็ต้องใช้คำบัญญัติอันเนื่องด้วยสภาวะ เนื่องด้วยสัจจะมาเป็นคำพิมพ์คำกล่าว
คุณโรส เมื่อแยกไม่ออก ระหว่างประมัตถสัจจะ กับสมมติสัจจะ กับนามบัญญัติ อรรถบัญญัติ ก็กลับไปถามป้าจินต์นะ ป้าจินต์ก็คงมึนๆ ตึบๆ เหมือนกันน่ะล่ะ เพราะแกก็พูดวนไปวนมาแบบคุณโรสนี่ล่ะครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2018, 22:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ยึดแต่บัญญัติคำที่เป็นสมมุติสัจจะอยู่นั่นแหละ
แล้วเมื่อไหร่จะรู้สัจจะตรงที่กายใจตนกำลังมีคะ
ก็ศึกษาเข้าใจไงคะถึงมาบอกว่าระลึกคำไหนบ้าง
เอาไปพิจารณาไตร่ตรองแล้วใช้สุตมยปัญญาสิคะ
ฟังว่าการสนทนานั้นเกี่ยวกับตัวจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ
:b12:
:b4: :b4:

สุตมยปัญญา
จินตามยปัญญา
ภาวนามยปัญญา
ถามจริงๆ รู้จักไหม
ว่า กาลไหนสุตตฯ กาลไหนจินตาฯ กาลไหนภาวนาฯ

พูดเป็นแผ่นเสียงตกร่อง
ศิษย์บ้านธัมมะเป็นแบบนี้ทุกคนป่ะนี่

huh huh huh
เพลียใจ กะคนที่แยกแยะไม่ออก ได้แต่ท่องจำเป็นแผ่นเสียงตกร่อง

:b12:
มันตกร่องปล่องชิ้นทีละขณะจิตนะคะ
สุตะ-จินตา-ภาวนาก็มีตรงขณะทุกขณะ
เพราะเป็นปัญญาที่เจริญตามลำดับไงคะ
แต่ทุกลำดับต้องมีทั้ง3อย่างนั้นแหละในตน
ถ้าฟังแล้วไม่ไตร่ตรองจนถูกจะเอาคำไหนไปภาวนาได้คะ
ใครฟังแล้วไม่เข้าใจก็ให้ทราบว่าสะสมกิเลสเพิ่มแล้วจะให้ว่ายังไงล่ะคะ
ขนาดตอนกำลังฟังยังไม่เข้าใจแล้วไปทำตามๆกันจะเข้าใจไหมอะไรถูกอะไรผิดต้องฟังก่อน
เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นความจริงตรงขณะแก้ไม่ได้ถ้าผิดก็ผิดต่อเนื่องถ้าไม่ฟังให้เข้าใจก่อน
:b11:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2018, 00:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

มันตกร่องปล่องชิ้นทีละขณะจิตนะคะ
สุตะ-จินตา-ภาวนาก็มีตรงขณะทุกขณะ
เพราะเป็นปัญญาที่เจริญตามลำดับไงคะ
แต่ทุกลำดับต้องมีทั้ง3อย่างนั้นแหละในตน
ถ้าฟังแล้วไม่ไตร่ตรองจนถูกจะเอาคำไหนไปภาวนาได้คะ
ใครฟังแล้วไม่เข้าใจก็ให้ทราบว่าสะสมกิเลสเพิ่มแล้วจะให้ว่ายังไงล่ะคะ
ขนาดตอนกำลังฟังยังไม่เข้าใจแล้วไปทำตามๆกันจะเข้าใจไหมอะไรถูกอะไรผิดต้องฟังก่อน
เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นความจริงตรงขณะแก้ไม่ได้ถ้าผิดก็ผิดต่อเนื่องถ้าไม่ฟังให้เข้าใจก่อน
:b11:
:b4: :b4:


กำ
บ้านธัมมะ สอนกันมาแบบนี้นี่เอง
มิน่าถึงวนรอบปากชามข้าว ไม่ตักข้าวใส่ปากสักที :b32: :b32: :b32:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2018, 11:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:

มันตกร่องปล่องชิ้นทีละขณะจิตนะคะ
สุตะ-จินตา-ภาวนาก็มีตรงขณะทุกขณะ
เพราะเป็นปัญญาที่เจริญตามลำดับไงคะ
แต่ทุกลำดับต้องมีทั้ง3อย่างนั้นแหละในตน
ถ้าฟังแล้วไม่ไตร่ตรองจนถูกจะเอาคำไหนไปภาวนาได้คะ
ใครฟังแล้วไม่เข้าใจก็ให้ทราบว่าสะสมกิเลสเพิ่มแล้วจะให้ว่ายังไงล่ะคะ
ขนาดตอนกำลังฟังยังไม่เข้าใจแล้วไปทำตามๆกันจะเข้าใจไหมอะไรถูกอะไรผิดต้องฟังก่อน
เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นความจริงตรงขณะแก้ไม่ได้ถ้าผิดก็ผิดต่อเนื่องถ้าไม่ฟังให้เข้าใจก่อน
:b11:
:b4: :b4:


กำ
บ้านธัมมะ สอนกันมาแบบนี้นี่เอง
มิน่าถึงวนรอบปากชามข้าว ไม่ตักข้าวใส่ปากสักที :b32: :b32: :b32:

Kiss
:b12:
รูปตามอภิธรรมมี28รูปมีแสง1รูปอีก27รูปมืด
ลืมตาดูอยู่นี้มันสว่างมากกว่ามืดไงคะแต่รูปที่เห็นมันผิดไงคะ
จึงต้องพึ่งคำตถาคตตรงปรมัตถสัจจะและใช้ตาดูหูฟังเสียง
ที่มีผู้กล่าวคำตถาคตให้เข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏว่า
มันตรงกับที่ตนกำลังระลึกรู้ตรงสัจจะที่กำลังปรากฏที่ตนมีไหม
เพราะปกติคนเราลืมตามากกว่านอนหลับตอนหลับไม่มีวิถีจิตครบ
เพราะการรู้ความจริงตามคำสอนต้องกำลังมีการรับรู้ผ่านอายตนะ6
ครบทุกทางตามปกติตามเป็นจริงและต้องมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งคือ
พึ่งการทำปัญญาของตนเองจากการฟังพร้อมเพียรรู้สึกวิสยรูป7ที่กาย
เพื่อทำสัมมาทิฏฐิตามการฟังคำสอนแล้วปัญญาที่เข้าใจตรงจริงที่มีทำกิจหน้าที่ไม่ใช่ตัวตนแยกไปทำค่ะ
:b12:
:b4: :b4:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 129 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร