วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 11:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 129 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ก็นั่นน่าซี่ แล้วทำไมคุณโรสถึงฟังแต่คลิปศาสดีบริหารฯเล่า ทำไมไม่ฟังคำตถาคต :b32:


Rosarin เขียน:
สงสัยก็หัดฟังเสียบ้างสิ
เกจิสายกรรมฐานเราก็ฟังมาเยอะ
ไม่งั้นจะเปรียบเทียบได้ไงว่าอะไรเป็นอะไร


รับแล้วว่าฟังคลิปแม่บริหารฯ ไม่ใช่ฟังคำตถาคต :b32:

ฟังอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องคิดเป็นด้วย ฟังเอา คิดเอา ยังไม่พ่อ ต้องภาวนาด้วย เป็นสุตะ จินตะ ภาวนา

Kiss
ฟังไม่เข้าใจแปลว่าปัญญาไม่พอนะคะ
เพราะกว่าจะเข้าใจแล้วทิ้งความเห็นผิด
มันอาจทำไม่ได้เลยตลอดชาตินี้ก็เป็นได้น๊า
เพราะคำจริงตถาคตดับความเห็นผิดตรงขณะ


บอกว่าฟังอย่างเดียวถูกจูงได้ง่าย จึงบอกว่าฟังอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีจินตะ คือ รู้จักคิด คิดเป็น (โยนิโสมนสิการ) อีกด้วย ฟัง, คิด สองอย่างก็ยังไม่พอ เพราะคิดเอง เออเองได้ง่าย ต้องภาวนาด้วย ภาวนานี่แหละ ตัวตัดสินว่า สภาวะซึ่งมิใช่เกิดจากมโนเป็นฉันใด :b13:

ตัวอย่างภาวนา

อ้างคำพูด:
ผมเป็นคนนั่งสมาธิมาตั้งแต่อายุประมาณ 6 ขวบ ก็นั่งมาเรื่อยครับ จนปัจจุบันอายุ 40 ปี ลองศึกษาหลายๆ แนวทาง จนรู้สึกแนวอานาปานสติ น่าจะเหมาะกับตัวเราก็เลยปฏิบัติแนวนนี้มาตลอดครับ เคยมีอยู่ครั้งนึง ผมนั่งสมาธิไปได้ประมาณ 30 นาที จิตนิ่งจนหูไม่ได้ยินเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น อยู่ดีๆ ก็เห็นตัวเองออกมายืนดัวเราที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ ผมก็มองดูเอ..หรือเราตายแล้ว ก็ยังกลัวๆครับ แต่ก็ตกใจสุด ตอนดูตัวเองนั่งสมาธิไปเรื่อยๆ ผิวหนังมันถูกถลกออกครับ จะเห็นเป็นกล้ามเนื้อ เส้นเลือด แล้วก็โดนถลกออกอีก จนเห็นเป็นโครงกระดูก แล้วค่อยๆ หายไป แล้วเหมือนใครเอาน้ำเย็นมากๆ มาสาด แล้วก็ประกอบร่างใหม่กลับมาเป็นตัวเราที่นั่งสมาธิอยู่ แล้วก็โดนถลกออกอีกครับ หนัง เนื้อ กระดูก ภาพมันซ้ำๆแบบนี้ จนนั่งไป 3 ชม. พอดีนาฬิกาปลุกดังขึ้น ผมเลยลืมตาออกจากสมาธิ ใจนึงก็กลัว แต่ใจนึงก็รู้สึกเบื่อขึ้นมาในกายสังขารนี้ เพื่อนๆ เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มั้ยครับ มันคืออะไรครับ เราควรจะปฏิบัติเช่นไรต่อเพื่อให้เกิดปัญญา ตามแนวทางวิปัสสนากรรมฐานครับ รบกวนขอคำแนะนำ ชี้แนะจากเพื่อน พี่ น้อง ที่ปฏิบัติธรรมด้วยครับ...


smiley
:b12:
ไม่เข้าใจหรือคะเคยนั่งแล้วไม่ยึดติดกับความสบายแบบไม่รู้ความจริง
การฟังเป็นการทำความคิดถูกตามได้ทีละน้อยแต่บ่อยจนมากขึ้นแต่
การมีตัวตนแยกออกไปทำด้วยความไม่รู้ของตนเองเป็นมิจฉามรรค
สัมมามรรคเกิดตอนฟังเข้าใจแล้วไตร่ตรองจนรอบรู้ความจริงทั่วตัว
ไม่ได้มีตัวตนเลือกกำหนดกฏเกณฑ์ให้เป็นไปตามต้องการได้นะคะ
แต่เป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งกุศล1ท่ามกลางอกุศลของตนไม่มีเราที่
เข้าไปบังคับตัวตนไปทำนั่งยืนเดินนอนในชีวิตประจำวันก็ทำอยู่แล้ว
ทำไมต้องไปทำท่าทางผิดปกติทรมาณกายใจตนเองแถมหลับตาไม่รู้
พระพุทธเจ้าสอนให้ฉลาดรู้เลือกเฟ้นจากการฟังให้ตรงทางเสียก่อนค่ะ
เมื่อเที่ยงตรงแม่นยำมั่นคงตรงตามที่ฟังจริงๆเท่านั้นก็เป็นกิจของปัญญา
ที่เพิ่มมาจาการฟังระยะหนึ่งแล้วนั่นเองทำหน้าที่ของปัญญาเป็นใหญ่กว่าจิต
เรียกว่าเกิดปัญญินทรีย์ไงคะนั่นแหละคือการถึงด้วยญาณต่างๆจึงจะเกิดขึ้น
ไม่ใช่ไม่เคยสะสมความตรงจริงแต่ละ1มาก่อนแต่อบรมจิตจากการฟังคำจริงบ่อยๆ
ปัญญานั้นเองทำหน้าที่ร่วมกับเจตสิกฝ่ายกุศลอื่นปรุงแต่งสัมมามรรคแทนกิเลสไงคะ
:b12:
:b55: :b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 19:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ก็นั่นน่าซี่ แล้วทำไมคุณโรสถึงฟังแต่คลิปศาสดีบริหารฯเล่า ทำไมไม่ฟังคำตถาคต :b32:


Rosarin เขียน:
สงสัยก็หัดฟังเสียบ้างสิ
เกจิสายกรรมฐานเราก็ฟังมาเยอะ
ไม่งั้นจะเปรียบเทียบได้ไงว่าอะไรเป็นอะไร


รับแล้วว่าฟังคลิปแม่บริหารฯ ไม่ใช่ฟังคำตถาคต :b32:

ฟังอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องคิดเป็นด้วย ฟังเอา คิดเอา ยังไม่พ่อ ต้องภาวนาด้วย เป็นสุตะ จินตะ ภาวนา

Kiss
ฟังไม่เข้าใจแปลว่าปัญญาไม่พอนะคะ
เพราะกว่าจะเข้าใจแล้วทิ้งความเห็นผิด
มันอาจทำไม่ได้เลยตลอดชาตินี้ก็เป็นได้น๊า
เพราะคำจริงตถาคตดับความเห็นผิดตรงขณะ


บอกว่าฟังอย่างเดียวถูกจูงได้ง่าย จึงบอกว่าฟังอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีจินตะ คือ รู้จักคิด คิดเป็น (โยนิโสมนสิการ) อีกด้วย ฟัง, คิด สองอย่างก็ยังไม่พอ เพราะคิดเอง เออเองได้ง่าย ต้องภาวนาด้วย ภาวนานี่แหละ ตัวตัดสินว่า สภาวะซึ่งมิใช่เกิดจากมโนเป็นฉันใด :b13:

ตัวอย่างภาวนา

อ้างคำพูด:
ผมเป็นคนนั่งสมาธิมาตั้งแต่อายุประมาณ 6 ขวบ ก็นั่งมาเรื่อยครับ จนปัจจุบันอายุ 40 ปี ลองศึกษาหลายๆ แนวทาง จนรู้สึกแนวอานาปานสติ น่าจะเหมาะกับตัวเราก็เลยปฏิบัติแนวนนี้มาตลอดครับ เคยมีอยู่ครั้งนึง ผมนั่งสมาธิไปได้ประมาณ 30 นาที จิตนิ่งจนหูไม่ได้ยินเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น อยู่ดีๆ ก็เห็นตัวเองออกมายืนดัวเราที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ ผมก็มองดูเอ..หรือเราตายแล้ว ก็ยังกลัวๆครับ แต่ก็ตกใจสุด ตอนดูตัวเองนั่งสมาธิไปเรื่อยๆ ผิวหนังมันถูกถลกออกครับ จะเห็นเป็นกล้ามเนื้อ เส้นเลือด แล้วก็โดนถลกออกอีก จนเห็นเป็นโครงกระดูก แล้วค่อยๆ หายไป แล้วเหมือนใครเอาน้ำเย็นมากๆ มาสาด แล้วก็ประกอบร่างใหม่กลับมาเป็นตัวเราที่นั่งสมาธิอยู่ แล้วก็โดนถลกออกอีกครับ หนัง เนื้อ กระดูก ภาพมันซ้ำๆแบบนี้ จนนั่งไป 3 ชม. พอดีนาฬิกาปลุกดังขึ้น ผมเลยลืมตาออกจากสมาธิ ใจนึงก็กลัว แต่ใจนึงก็รู้สึกเบื่อขึ้นมาในกายสังขารนี้ เพื่อนๆ เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มั้ยครับ มันคืออะไรครับ เราควรจะปฏิบัติเช่นไรต่อเพื่อให้เกิดปัญญา ตามแนวทางวิปัสสนากรรมฐานครับ รบกวนขอคำแนะนำ ชี้แนะจากเพื่อน พี่ น้อง ที่ปฏิบัติธรรมด้วยครับ...


smiley
:b12:
ไม่เข้าใจหรือคะเคยนั่งแล้วไม่ยึดติดกับความสบายแบบไม่รู้ความจริง
การฟังเป็นการทำความคิดถูกตามได้ทีละน้อยแต่บ่อยจนมากขึ้นแต่
การมีตัวตนแยกออกไปทำด้วยความไม่รู้ของตนเองเป็นมิจฉามรรค
สัมมามรรคเกิดตอนฟังเข้าใจแล้วไตร่ตรองจนรอบรู้ความจริงทั่วตัว
ไม่ได้มีตัวตนเลือกกำหนดกฏเกณฑ์ให้เป็นไปตามต้องการได้นะคะ
แต่เป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งกุศล1ท่ามกลางอกุศลของตนไม่มีเราที่
เข้าไปบังคับตัวตนไปทำนั่งยืนเดินนอนในชีวิตประจำวันก็ทำอยู่แล้ว
ทำไมต้องไปทำท่าทางผิดปกติทรมาณกายใจตนเองแถมหลับตาไม่รู้
พระพุทธเจ้าสอนให้ฉลาดรู้เลือกเฟ้นจากการฟังให้ตรงทางเสียก่อนค่ะ
เมื่อเที่ยงตรงแม่นยำมั่นคงตรงตามที่ฟังจริงๆเท่านั้นก็เป็นกิจของปัญญา
ที่เพิ่มมาจาการฟังระยะหนึ่งแล้วนั่นเองทำหน้าที่ของปัญญาเป็นใหญ่กว่าจิต
เรียกว่าเกิดปัญญินทรีย์ไงคะนั่นแหละคือการถึงด้วยญาณต่างๆจึงจะเกิดขึ้น
ไม่ใช่ไม่เคยสะสมความตรงจริงแต่ละ1มาก่อนแต่อบรมจิตจากการฟังคำจริงบ่อยๆ
ปัญญานั้นเองทำหน้าที่ร่วมกับเจตสิกฝ่ายกุศลอื่นปรุงแต่งสัมมามรรคแทนกิเลสไงคะ



คิกๆๆ บอกไม่เชื่อ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b32:
เหมือนกันนั่นแหละบอกแล้วว่าให้ใช้หลักกาลามสูตร10
ตรงขณะต้องเป็นผู้ตรงจริงๆถึงจะได้สาระจากพระธรรม
ปัจจุบันขณะเท่านั้นที่รู้ได้ถามจริงๆเถอะค่ะฟังตรงปัจจุบัน
เคยทำบ้างหรือเปล่าคำตถาคตตรงอย่างยิ่งยวดใครไม่ฟัง
เลยปัจจุบันขณะตลอดเลยคิดแต่จะไปทำลืมว่าไม่ใช่ให้เชื่อ
แต่ให้ฟังแล้วไตร่ตรองเปรียบเทียบสิ่งที่เคยฟังมาก่อนถึงจะรู้
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 19:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
มีศรัทธาเลื่อมใสในการฟังคำสอนของตถาคตไหมคะ
หรือเชื่อแต่กิเลสตัวเองแล้วก็กิเลสคนอื่นที่เขาบอกให้ทำ
ก็ทำตามเลยโดยไม่รู้อะไรเลยก็เชื่อเขาแล้วถึงไปทำตามไงคะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 19:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
:b32:
เหมือนกันนั่นแหละบอกแล้วว่าให้ใช้หลักกาลามสูตร10
ตรงขณะต้องเป็นผู้ตรงจริงๆถึงจะได้สาระจากพระธรรม
ปัจจุบันขณะเท่านั้นที่รู้ได้ถามจริงๆเถอะค่ะฟังตรงปัจจุบัน
เคยทำบ้างหรือเปล่าคำตถาคตตรงอย่างยิ่งยวดใครไม่ฟัง
เลยปัจจุบันขณะตลอดเลยคิดแต่จะไปทำลืมว่าไม่ใช่ให้เชื่อ
แต่ให้ฟังแล้วไตร่ตรองเปรียบเทียบสิ่งที่เคยฟังมาก่อนถึงจะรู้
:b32: :b32:


อ้างบ่อยกาลามสูตร กาลามสูตร กาลามสูตร ไหนลองยกมาให้ทัศนาหน่อยดิ กาลามสุตร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
อ้าวระบุให้ชัดสิก็พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าเห็นสีทีละ1สีไม่มีรูปร่างไงเป็นสีกระทบจักขุปสาทรูปดับทันทีไงคะ
แล้วตาตัวเองน่ะกำลังเห็นสีแค่1สีไหมคะเพราะมันมีจิตทางอื่นที่มืดอีก5ทางเกิดต่อแปลว่าปรากฏได้ทีละ1รูป

รูปมีอายุยืนกว่าหมายถึงเหตุปัจจัยที่รูปยังปรากฏว่ามี

เพราะรู้มาผิด จำมาผิด จากคำสอนอันไม่ใช่คำของพระพุทธองค์
คำพูดจึงขัดแย้งกันเอง

Rosarin เขียน:
แต่เมื่อจิตเกิดดับทีละ1ขณะทุกอย่างจึงดับสะสมพร้อมจิตค่ะ


เพราะรู้มาผิด จำมาผิด จากคำสอนอันไม่ใช่คำสอนของพระพุทธองค์
จึงเกิดความเข้าใจผิดๆ ว่า รูปดับสะสมพร้อมจิต

Rosarin เขียน:
จิตเห็นดับภวังค์มโนทวารดับภวังค์คือ1ขณะเห็นดับแล้วจึงเกิดจิตทางอื่น
จิตเห็นไม่เหลือซากแล้วไม่มีจิตทางอื่นปนด้วยคิดผิดคิดใหม่เข้าใจใหม่ได้นะคะ
จากไม่มีคืออดีตที่ดับไปแล้วรู้ไม่ได้ไงคะจึงเกิดมีนิดนึงนี่คือสิ่งที่กำลังมีจริงๆแล้วดับไม่มี
อนาคตยังไม่เกิดแต่มีปัจจุบันขณะก่อนดับนิดนึงนั้นน่ะถ้าไม่ทันสัจจะตรง1นั้นที่กำลังมีแปลว่ามีกิเลส
จิตรู้รูปไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศลแต่เป็นอัพยากตาธัมมาคือกิริยาจิตไงคะและปุถุชนมีครบจิตทั้ง4ชาติก็ไม่รู้


นี่ก็เป็นตัวอย่างของ การจำมาผิด รู้มาผิด จากคำสอนผิดๆ เช่นกัน

เพราะปราศจากการฟังจากคำสอนครูอาจารย์ซึ่งทรงปริยัติอย่างถูกต้อง ถึงเหตุปัจจัยในกระแสแห่งปัญญจทวารวิถี
จึงเข้าใจไปว่า จิตเห็นดับภวังค์ 1 ขณะ แล้วเกิดจิตทางอื่น

ความเข้าใจผิดๆ พลาดๆ คลาดเคลื่อนจากกระแสแห่งนามรูปตามเป็นจริงอย่างนี้
การเจริญสติปัฏฐานใดก็ตามจึงเกิดขึ้นไม่ได้เลย
สิ่งที่คิดสิ่งที่ทำ จึงเป็นเพียงมโนเอาล้วนๆ จากความรู้ ความจำผิดๆ

บอกหลายหนแล้วนะครับ
ว่า
ควรขวนขวายหาความรู้ ฟังธรรมชั้นลึกๆ จากครูอาจารย์ที่มีความรู้ถูกต้องตรงตามคำพระพุทธองค์
ไม่ใช่ท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทองจน เกิดถิรสัญญา อันนำไปสู่ความคิดผิด

tongue
:b12:
จิตเกิดดับทีละ1ขณะเดี๋ยวนี้เลยค่ะ
ภวังค์/จิตเห็น/ภวังค์/มโทวารดับ/ภวังค์จิตได้กลิ่น/ภวังค์/มโนทวารดับ/ภวังค์
แต่ละ1ขณะยังไม่ดับทันทียังส่งต่อไปมโนทวารก่อนดับแล้วเอาอะไรรู้ความจริงคะ
ที่กะพริบตาแล้วมีครบ6ทางเดียวนี้เลยมันดับไปหมดแล้วจำแต่นิมิตอดีตสีไว้ไงคะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
มีศรัทธาเลื่อมใสในการฟังคำสอนของตถาคตไหมคะ
หรือเชื่อแต่กิเลสตัวเองแล้วก็กิเลสคนอื่นที่เขาบอกให้ทำ
ก็ทำตามเลยโดยไม่รู้อะไรเลยก็เชื่อเขาแล้วถึงไปทำตามไงคะ


ที่ฟังนั่นน่า เป็นคำของแม่บริหาร ฯ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
อ้าวระบุให้ชัดสิก็พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าเห็นสีทีละ1สีไม่มีรูปร่างไงเป็นสีกระทบจักขุปสาทรูปดับทันทีไงคะ
แล้วตาตัวเองน่ะกำลังเห็นสีแค่1สีไหมคะเพราะมันมีจิตทางอื่นที่มืดอีก5ทางเกิดต่อแปลว่าปรากฏได้ทีละ1รูป

รูปมีอายุยืนกว่าหมายถึงเหตุปัจจัยที่รูปยังปรากฏว่ามี

เพราะรู้มาผิด จำมาผิด จากคำสอนอันไม่ใช่คำของพระพุทธองค์
คำพูดจึงขัดแย้งกันเอง

Rosarin เขียน:
แต่เมื่อจิตเกิดดับทีละ1ขณะทุกอย่างจึงดับสะสมพร้อมจิตค่ะ


เพราะรู้มาผิด จำมาผิด จากคำสอนอันไม่ใช่คำสอนของพระพุทธองค์
จึงเกิดความเข้าใจผิดๆ ว่า รูปดับสะสมพร้อมจิต

Rosarin เขียน:
จิตเห็นดับภวังค์มโนทวารดับภวังค์คือ1ขณะเห็นดับแล้วจึงเกิดจิตทางอื่น
จิตเห็นไม่เหลือซากแล้วไม่มีจิตทางอื่นปนด้วยคิดผิดคิดใหม่เข้าใจใหม่ได้นะคะ
จากไม่มีคืออดีตที่ดับไปแล้วรู้ไม่ได้ไงคะจึงเกิดมีนิดนึงนี่คือสิ่งที่กำลังมีจริงๆแล้วดับไม่มี
อนาคตยังไม่เกิดแต่มีปัจจุบันขณะก่อนดับนิดนึงนั้นน่ะถ้าไม่ทันสัจจะตรง1นั้นที่กำลังมีแปลว่ามีกิเลส
จิตรู้รูปไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศลแต่เป็นอัพยากตาธัมมาคือกิริยาจิตไงคะและปุถุชนมีครบจิตทั้ง4ชาติก็ไม่รู้


นี่ก็เป็นตัวอย่างของ การจำมาผิด รู้มาผิด จากคำสอนผิดๆ เช่นกัน

เพราะปราศจากการฟังจากคำสอนครูอาจารย์ซึ่งทรงปริยัติอย่างถูกต้อง ถึงเหตุปัจจัยในกระแสแห่งปัญญจทวารวิถี
จึงเข้าใจไปว่า จิตเห็นดับภวังค์ 1 ขณะ แล้วเกิดจิตทางอื่น

ความเข้าใจผิดๆ พลาดๆ คลาดเคลื่อนจากกระแสแห่งนามรูปตามเป็นจริงอย่างนี้
การเจริญสติปัฏฐานใดก็ตามจึงเกิดขึ้นไม่ได้เลย
สิ่งที่คิดสิ่งที่ทำ จึงเป็นเพียงมโนเอาล้วนๆ จากความรู้ ความจำผิดๆ

บอกหลายหนแล้วนะครับ
ว่า
ควรขวนขวายหาความรู้ ฟังธรรมชั้นลึกๆ จากครูอาจารย์ที่มีความรู้ถูกต้องตรงตามคำพระพุทธองค์
ไม่ใช่ท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทองจน เกิดถิรสัญญา อันนำไปสู่ความคิดผิด

tongue
:b12:
จิตเกิดดับทีละ1ขณะเดี๋ยวนี้เลยค่ะ
ภวังค์/จิตเห็น/ภวังค์/มโทวารดับ/ภวังค์จิตได้กลิ่น/ภวังค์/มโนทวารดับ/ภวังค์
แต่ละ1ขณะยังไม่ดับทันทียังส่งต่อไปมโนทวารก่อนดับแล้วเอาอะไรรู้ความจริงคะ
ที่กะพริบตาแล้วมีครบ6ทางเดียวนี้เลยมันดับไปหมดแล้วจำแต่นิมิตอดีตสีไว้ไงคะ
:b32: :b32:


ที่พูดนั่นน่า รู้ความหมายเขามั่งไหมน่ะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
เหมือนกันนั่นแหละบอกแล้วว่าให้ใช้หลักกาลามสูตร10
ตรงขณะต้องเป็นผู้ตรงจริงๆถึงจะได้สาระจากพระธรรม
ปัจจุบันขณะเท่านั้นที่รู้ได้ถามจริงๆเถอะค่ะฟังตรงปัจจุบัน
เคยทำบ้างหรือเปล่าคำตถาคตตรงอย่างยิ่งยวดใครไม่ฟัง
เลยปัจจุบันขณะตลอดเลยคิดแต่จะไปทำลืมว่าไม่ใช่ให้เชื่อ
แต่ให้ฟังแล้วไตร่ตรองเปรียบเทียบสิ่งที่เคยฟังมาก่อนถึงจะรู้
:b32: :b32:


อ้างบ่อยกาลามสูตร กาลามสูตร กาลามสูตร ไหนลองยกมาให้ทัศนาหน่อยดิ กาลามสุตร

Kiss
:b32:
ทำกาลามสูตรเดี๋ยวนี้เลยไม่ใส่อคติในการมีทิฏฐิมานะว่าคนพูดเป็นอุบาสิกาเข้าใจไหมคะ
มี2คลิปนี้ฟังแล้วพิจารณาตามให้ทันทุกคำไม่ใส่อารมณ์ตัวเองแทรกเข้าไปแม้แต่คำเดียว
แล้วมาวิจารณ์ให้ฟังหน่อยสิว่า2คลิปนี้ต่างกันอย่างไรบ้างเรียกว่าศึกษาไงคะจะได้คุยกันได้
:b32: :b32:
:b4:
https://youtu.be/ShmIKRyaw6g
:b4:
https://youtu.be/SK8MZqZ3lRw
:b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
อ้าวระบุให้ชัดสิก็พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าเห็นสีทีละ1สีไม่มีรูปร่างไงเป็นสีกระทบจักขุปสาทรูปดับทันทีไงคะ
แล้วตาตัวเองน่ะกำลังเห็นสีแค่1สีไหมคะเพราะมันมีจิตทางอื่นที่มืดอีก5ทางเกิดต่อแปลว่าปรากฏได้ทีละ1รูป

รูปมีอายุยืนกว่าหมายถึงเหตุปัจจัยที่รูปยังปรากฏว่ามี

เพราะรู้มาผิด จำมาผิด จากคำสอนอันไม่ใช่คำของพระพุทธองค์
คำพูดจึงขัดแย้งกันเอง

Rosarin เขียน:
แต่เมื่อจิตเกิดดับทีละ1ขณะทุกอย่างจึงดับสะสมพร้อมจิตค่ะ


เพราะรู้มาผิด จำมาผิด จากคำสอนอันไม่ใช่คำสอนของพระพุทธองค์
จึงเกิดความเข้าใจผิดๆ ว่า รูปดับสะสมพร้อมจิต

Rosarin เขียน:
จิตเห็นดับภวังค์มโนทวารดับภวังค์คือ1ขณะเห็นดับแล้วจึงเกิดจิตทางอื่น
จิตเห็นไม่เหลือซากแล้วไม่มีจิตทางอื่นปนด้วยคิดผิดคิดใหม่เข้าใจใหม่ได้นะคะ
จากไม่มีคืออดีตที่ดับไปแล้วรู้ไม่ได้ไงคะจึงเกิดมีนิดนึงนี่คือสิ่งที่กำลังมีจริงๆแล้วดับไม่มี
อนาคตยังไม่เกิดแต่มีปัจจุบันขณะก่อนดับนิดนึงนั้นน่ะถ้าไม่ทันสัจจะตรง1นั้นที่กำลังมีแปลว่ามีกิเลส
จิตรู้รูปไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศลแต่เป็นอัพยากตาธัมมาคือกิริยาจิตไงคะและปุถุชนมีครบจิตทั้ง4ชาติก็ไม่รู้


นี่ก็เป็นตัวอย่างของ การจำมาผิด รู้มาผิด จากคำสอนผิดๆ เช่นกัน

เพราะปราศจากการฟังจากคำสอนครูอาจารย์ซึ่งทรงปริยัติอย่างถูกต้อง ถึงเหตุปัจจัยในกระแสแห่งปัญญจทวารวิถี
จึงเข้าใจไปว่า จิตเห็นดับภวังค์ 1 ขณะ แล้วเกิดจิตทางอื่น

ความเข้าใจผิดๆ พลาดๆ คลาดเคลื่อนจากกระแสแห่งนามรูปตามเป็นจริงอย่างนี้
การเจริญสติปัฏฐานใดก็ตามจึงเกิดขึ้นไม่ได้เลย
สิ่งที่คิดสิ่งที่ทำ จึงเป็นเพียงมโนเอาล้วนๆ จากความรู้ ความจำผิดๆ

บอกหลายหนแล้วนะครับ
ว่า
ควรขวนขวายหาความรู้ ฟังธรรมชั้นลึกๆ จากครูอาจารย์ที่มีความรู้ถูกต้องตรงตามคำพระพุทธองค์
ไม่ใช่ท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทองจน เกิดถิรสัญญา อันนำไปสู่ความคิดผิด

tongue
:b12:
จิตเกิดดับทีละ1ขณะเดี๋ยวนี้เลยค่ะ
ภวังค์/จิตเห็น/ภวังค์/มโทวารดับ/ภวังค์จิตได้กลิ่น/ภวังค์/มโนทวารดับ/ภวังค์
แต่ละ1ขณะยังไม่ดับทันทียังส่งต่อไปมโนทวารก่อนดับแล้วเอาอะไรรู้ความจริงคะ
ที่กะพริบตาแล้วมีครบ6ทางเดียวนี้เลยมันดับไปหมดแล้วจำแต่นิมิตอดีตสีไว้ไงคะ
:b32: :b32:


ที่พูดนั่นน่า รู้ความหมายเขามั่งไหมน่ะ

เข้าใจสิถึงเขียน...คนอ่านน่ะเข้าใจแค่ไหน
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 19:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ขณิกะมรณะตายทุกขณะ
จิตออกจากร่างไปแบบไม่รู้ค่ะ
เข้าร่างใหม่เร็วแบบกะพริบตาไงคะ
พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่มีสติทุกขณะทั้ง
ก่อนเกิดตรวจดูที่เกิดก่อนมีสติตั้งแต่เกิดจนตาย
onion onion onion

เลื่อนลงมาอ่าน
แทบตะลึง ว่าทำไมหนอจึงรู้ผิด คิดผิด Go so big ได้เพียงนี้
แม้กระทั่งขณิกมรณะ ยังถูกสอนว่า จิตออกจากร่าง

มีจิตอย่างหนึ่ง ร่างอย่างหนึ่ง
มีจิตออก มีจิตเข้า

อัตตาชัดๆ เลยบัดนี้

ขณิกะมรณะ ถูกใช้ในอนุขณะจิตครับ คือ อุบัติ ฐิติ ภังคะขณะครับ
เรียนมาใหม่ศึกษาใหม่ จากครูที่มีสัมมาทิฏฐินะครับ

Kiss
ตอนที่ธรณีสูบทำไมพระพุทธเจ้าช่วยพระเทวทัตไม่ได้คะ
แล้วขณะที่กุศลจิตเกิดเห็นโทษอกุศลจิตไงคะพระเทวทัตจึง
ถวายคางกรรไกรบูชาคุณพระพุทธเจ้าคือพระรัตนตรัยสูงสุด
ถ้าไม่เคยได้ยินคำสอนจากการฟังจงรู้ไว้เถอะว่าขาดปัญญาแล้ว
:b12:
:b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
อ้าวระบุให้ชัดสิก็พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าเห็นสีทีละ1สีไม่มีรูปร่างไงเป็นสีกระทบจักขุปสาทรูปดับทันทีไงคะ
แล้วตาตัวเองน่ะกำลังเห็นสีแค่1สีไหมคะเพราะมันมีจิตทางอื่นที่มืดอีก5ทางเกิดต่อแปลว่าปรากฏได้ทีละ1รูป

รูปมีอายุยืนกว่าหมายถึงเหตุปัจจัยที่รูปยังปรากฏว่ามี

เพราะรู้มาผิด จำมาผิด จากคำสอนอันไม่ใช่คำของพระพุทธองค์
คำพูดจึงขัดแย้งกันเอง

Rosarin เขียน:
แต่เมื่อจิตเกิดดับทีละ1ขณะทุกอย่างจึงดับสะสมพร้อมจิตค่ะ


เพราะรู้มาผิด จำมาผิด จากคำสอนอันไม่ใช่คำสอนของพระพุทธองค์
จึงเกิดความเข้าใจผิดๆ ว่า รูปดับสะสมพร้อมจิต

Rosarin เขียน:
จิตเห็นดับภวังค์มโนทวารดับภวังค์คือ1ขณะเห็นดับแล้วจึงเกิดจิตทางอื่น
จิตเห็นไม่เหลือซากแล้วไม่มีจิตทางอื่นปนด้วยคิดผิดคิดใหม่เข้าใจใหม่ได้นะคะ
จากไม่มีคืออดีตที่ดับไปแล้วรู้ไม่ได้ไงคะจึงเกิดมีนิดนึงนี่คือสิ่งที่กำลังมีจริงๆแล้วดับไม่มี
อนาคตยังไม่เกิดแต่มีปัจจุบันขณะก่อนดับนิดนึงนั้นน่ะถ้าไม่ทันสัจจะตรง1นั้นที่กำลังมีแปลว่ามีกิเลส
จิตรู้รูปไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศลแต่เป็นอัพยากตาธัมมาคือกิริยาจิตไงคะและปุถุชนมีครบจิตทั้ง4ชาติก็ไม่รู้


นี่ก็เป็นตัวอย่างของ การจำมาผิด รู้มาผิด จากคำสอนผิดๆ เช่นกัน

เพราะปราศจากการฟังจากคำสอนครูอาจารย์ซึ่งทรงปริยัติอย่างถูกต้อง ถึงเหตุปัจจัยในกระแสแห่งปัญญจทวารวิถี
จึงเข้าใจไปว่า จิตเห็นดับภวังค์ 1 ขณะ แล้วเกิดจิตทางอื่น

ความเข้าใจผิดๆ พลาดๆ คลาดเคลื่อนจากกระแสแห่งนามรูปตามเป็นจริงอย่างนี้
การเจริญสติปัฏฐานใดก็ตามจึงเกิดขึ้นไม่ได้เลย
สิ่งที่คิดสิ่งที่ทำ จึงเป็นเพียงมโนเอาล้วนๆ จากความรู้ ความจำผิดๆ

บอกหลายหนแล้วนะครับ
ว่า
ควรขวนขวายหาความรู้ ฟังธรรมชั้นลึกๆ จากครูอาจารย์ที่มีความรู้ถูกต้องตรงตามคำพระพุทธองค์
ไม่ใช่ท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทองจน เกิดถิรสัญญา อันนำไปสู่ความคิดผิด

tongue
:b12:
จิตเกิดดับทีละ1ขณะเดี๋ยวนี้เลยค่ะ
ภวังค์/จิตเห็น/ภวังค์/มโทวารดับ/ภวังค์จิตได้กลิ่น/ภวังค์/มโนทวารดับ/ภวังค์
แต่ละ1ขณะยังไม่ดับทันทียังส่งต่อไปมโนทวารก่อนดับแล้วเอาอะไรรู้ความจริงคะ
ที่กะพริบตาแล้วมีครบ6ทางเดียวนี้เลยมันดับไปหมดแล้วจำแต่นิมิตอดีตสีไว้ไงคะ
:b32: :b32:


ที่พูดนั่นน่า รู้ความหมายเขามั่งไหมน่ะ

เข้าใจสิถึงเขียน...คนอ่านน่ะเข้าใจแค่ไหน
:b32:


ภวังค์/จิตเห็น/ภวังค์/มโทวารดับ/ภวังค์จิตได้กลิ่น/ภวังค์/มโนทวารดับ/ภวังค์

ภวังค์ นี่มันอะไร?
ภวังค์จิต มันอะไร ?
มโนทวาร มันอะไร ?

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 20:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
:b32:
ทำกาลามสูตรเดี๋ยวนี้เลยไม่ใส่อคติในการมีทิฏฐิมานะว่าคนพูดเป็นอุบาสิกาเข้าใจไหมคะ
มี2คลิปนี้ฟังแล้วพิจารณาตามให้ทันทุกคำไม่ใส่อารมณ์ตัวเองแทรกเข้าไปแม้แต่คำเดียว
แล้วมาวิจารณ์ให้ฟังหน่อยสิว่า2คลิปนี้ต่างกันอย่างไรบ้างเรียกว่าศึกษาไงคะจะได้คุยกันได้
:b32: :b32:
:b4:
https://youtu.be/ShmIKRyaw6g
:b4:
https://youtu.be/SK8MZqZ3lRw
:b17: :b17:


https://youtu.be/ShmIKRyaw6g

ฟังแล้ว....ก็เห็นแต่ไปว่าสำนักอื่น :b9: :b9:

https://youtu.be/SK8MZqZ3lRw

ฟังแล้ว....ก็เห็นพูดแต่โวหารให้คนงง.เช่น...เจตนาคืออะไร.. :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 21:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
เหมือนกันนั่นแหละบอกแล้วว่าให้ใช้หลักกาลามสูตร10
ตรงขณะต้องเป็นผู้ตรงจริงๆถึงจะได้สาระจากพระธรรม
ปัจจุบันขณะเท่านั้นที่รู้ได้ถามจริงๆเถอะค่ะฟังตรงปัจจุบัน
เคยทำบ้างหรือเปล่าคำตถาคตตรงอย่างยิ่งยวดใครไม่ฟัง
เลยปัจจุบันขณะตลอดเลยคิดแต่จะไปทำลืมว่าไม่ใช่ให้เชื่อ
แต่ให้ฟังแล้วไตร่ตรองเปรียบเทียบสิ่งที่เคยฟังมาก่อนถึงจะรู้
:b32: :b32:


อ้างบ่อยกาลามสูตร กาลามสูตร กาลามสูตร ไหนลองยกมาให้ทัศนาหน่อยดิ กาลามสุตร

Kiss
:b32:
ทำกาลามสูตรเดี๋ยวนี้เลยไม่ใส่อคติในการมีทิฏฐิมานะว่าคนพูดเป็นอุบาสิกาเข้าใจไหมคะ
มี2คลิปนี้ฟังแล้วพิจารณาตามให้ทันทุกคำไม่ใส่อารมณ์ตัวเองแทรกเข้าไปแม้แต่คำเดียว
แล้วมาวิจารณ์ให้ฟังหน่อยสิว่า2คลิปนี้ต่างกันอย่างไรบ้างเรียกว่าศึกษาไงคะจะได้คุยกันได้
:b32: :b32:
:b4:
https://youtu.be/ShmIKRyaw6g
:b4:
https://youtu.be/SK8MZqZ3lRw



คุณโรสบอกให้ทำกาลามสูตร ทำกาลามสูตร เอ๊ะ เหมือนเข้าใจอะไรผิด กาลามสูตรท่านแสดงถึงหลักของศรัทธา ขอย้อนกลับไปเมื่อ 2600 กว่าปีโน่นหน่อย สมัยนั้นนะ มีเจ้าลัทธิมากมายที่เผยแผ่ลัทธิคำสอนของตน เจ้าลัทธินี้ว่ายังงั้น คนนั้นว่ายังงี้ ของตัวดี ของคนอื่นไม่เข้าท่า ชาวบ้าน คือ ชาวกาลามะก็งงเด๊ะ ไม่รู้จะนับถือของใครดี เห็นมีแต่ว่าของตัวดี ของคนอื่นไม่ได้เรื่อง

วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าจารึกถึงหมู่บ้านนี้บ้าง ชาวบ้านก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง

หลักศรัทธา


ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จจาริก ถึงเกสปุตตนิคมของพวกกาลามะ ในแคว้นโกศล ชาวกาลามะ ได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์ จึงพากันไปเฝ้า แสดงอาการต่างๆกัน ในฐานะยังไม่เคยนับถือมาก่อน และได้ทูลถามว่า

ชาวกาลามะ : พระองค์ผู้เจริญ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มาสู่เกสปุตตนิคม ท่านเหล่านั้น แสดงเชิดชูแต่วาทะ (ลัทธิ) ของตนเท่านั้น แต่ย่อมกระทบ กระเทียบ ดูหมิ่น พูดกดวาทะฝ่ายอื่น ชักจูงไม่ให้เชื่อ สมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง ก็มาสู่เกสปุตตนิคม ท่านเหล่านั้น ก็แสดงเชิดชูแต่วาทะของตนเท่านั้น แต่ย่อมกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกดวาทะฝ่ายอื่น ชักจูงไม่ให้เชื่อ พวกข้าพระองค์ มีความเคลือบแคลงสงสัยว่า บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ

พระพุทธเจ้า : “กาลามชนทั้งหลาย เป็นการสมควรที่ท่านทั้งหลายจะเคลือบแคลง สมควรที่จะสงสัย ความเคลือบแคลงสงสัยของพวกท่านเกิดขึ้นในฐานะ กาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย

- อย่ายึดถือ โดยการฟัง (เรียน) ตามกันมา (อนุสสวะ)
- อย่ายึดถือ โดยการถือสืบๆกันมา (ปรัมปรา)
- อย่ายึดถือ โดยการเล่าลือ (อิติกิรา)
- อย่ายึดถือ โดยการอ้างตำรา (ปิฎกสัมปทาน)
- อย่ายึดถือ โดยตรรก (ตักกะ)
- อย่ายึดถือ โดยอนุมาน (นยะ)
- อย่ายึดถือ โดยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (อาการปริวิตักกะ)
- อย่ายึดถือ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน (ทิฏฐินิชฌานักขันติ)
- อย่ายึดถือ เพราะเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ (ภัพพรูปตา)
- อย่ายึดถือ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (สมโณ โน ครูติ)


เมื่อใด ท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้ มีโทษ ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนติเตียน ธรรมเหล่านี้ ใครยึดถือปฏิบัติถึงที่แล้ว จะเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์ เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายพึงละเสีย ฯลฯ เมื่อใด ท่านทั้งหลาย รู้ด้วยตนเองว่า ธรรม เหล่านี้ เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนสรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ ใครยึดถือปฏิบัติถึงที่แล้ว จะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายพึงถือปฏิบัติบำเพ็ญ ธรรมเหล่านั้น”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 06:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
เหมือนกันนั่นแหละบอกแล้วว่าให้ใช้หลักกาลามสูตร10
ตรงขณะต้องเป็นผู้ตรงจริงๆถึงจะได้สาระจากพระธรรม
ปัจจุบันขณะเท่านั้นที่รู้ได้ถามจริงๆเถอะค่ะฟังตรงปัจจุบัน
เคยทำบ้างหรือเปล่าคำตถาคตตรงอย่างยิ่งยวดใครไม่ฟัง
เลยปัจจุบันขณะตลอดเลยคิดแต่จะไปทำลืมว่าไม่ใช่ให้เชื่อ
แต่ให้ฟังแล้วไตร่ตรองเปรียบเทียบสิ่งที่เคยฟังมาก่อนถึงจะรู้
:b32: :b32:


อ้างบ่อยกาลามสูตร กาลามสูตร กาลามสูตร ไหนลองยกมาให้ทัศนาหน่อยดิ กาลามสุตร

Kiss
:b32:
ทำกาลามสูตรเดี๋ยวนี้เลยไม่ใส่อคติในการมีทิฏฐิมานะว่าคนพูดเป็นอุบาสิกาเข้าใจไหมคะ
มี2คลิปนี้ฟังแล้วพิจารณาตามให้ทันทุกคำไม่ใส่อารมณ์ตัวเองแทรกเข้าไปแม้แต่คำเดียว
แล้วมาวิจารณ์ให้ฟังหน่อยสิว่า2คลิปนี้ต่างกันอย่างไรบ้างเรียกว่าศึกษาไงคะจะได้คุยกันได้
:b32: :b32:
:b4:
https://youtu.be/ShmIKRyaw6g
:b4:
https://youtu.be/SK8MZqZ3lRw



คุณโรสบอกให้ทำกาลามสูตร ทำกาลามสูตร เอ๊ะ เหมือนเข้าใจอะไรผิด กาลามสูตรท่านแสดงถึงหลักของศรัทธา ขอย้อนกลับไปเมื่อ 2600 กว่าปีโน่นหน่อย สมัยนั้นนะ มีเจ้าลัทธิมากมายที่เผยแผ่ลัทธิคำสอนของตน เจ้าลัทธินี้ว่ายังงั้น คนนั้นว่ายังงี้ ของตัวดี ของคนอื่นไม่เข้าท่า ชาวบ้าน คือ ชาวกาลามะก็งงเด๊ะ ไม่รู้จะนับถือของใครดี เห็นมีแต่ว่าของตัวดี ของคนอื่นไม่ได้เรื่อง

วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าจารึกถึงหมู่บ้านนี้บ้าง ชาวบ้านก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง

หลักศรัทธา


ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จจาริก ถึงเกสปุตตนิคมของพวกกาลามะ ในแคว้นโกศล ชาวกาลามะ ได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์ จึงพากันไปเฝ้า แสดงอาการต่างๆกัน ในฐานะยังไม่เคยนับถือมาก่อน และได้ทูลถามว่า

ชาวกาลามะ : พระองค์ผู้เจริญ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มาสู่เกสปุตตนิคม ท่านเหล่านั้น แสดงเชิดชูแต่วาทะ (ลัทธิ) ของตนเท่านั้น แต่ย่อมกระทบ กระเทียบ ดูหมิ่น พูดกดวาทะฝ่ายอื่น ชักจูงไม่ให้เชื่อ สมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง ก็มาสู่เกสปุตตนิคม ท่านเหล่านั้น ก็แสดงเชิดชูแต่วาทะของตนเท่านั้น แต่ย่อมกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกดวาทะฝ่ายอื่น ชักจูงไม่ให้เชื่อ พวกข้าพระองค์ มีความเคลือบแคลงสงสัยว่า บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ

พระพุทธเจ้า : “กาลามชนทั้งหลาย เป็นการสมควรที่ท่านทั้งหลายจะเคลือบแคลง สมควรที่จะสงสัย ความเคลือบแคลงสงสัยของพวกท่านเกิดขึ้นในฐานะ กาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย

- อย่ายึดถือ โดยการฟัง (เรียน) ตามกันมา (อนุสสวะ)
- อย่ายึดถือ โดยการถือสืบๆกันมา (ปรัมปรา)
- อย่ายึดถือ โดยการเล่าลือ (อิติกิรา)
- อย่ายึดถือ โดยการอ้างตำรา (ปิฎกสัมปทาน)
- อย่ายึดถือ โดยตรรก (ตักกะ)
- อย่ายึดถือ โดยอนุมาน (นยะ)
- อย่ายึดถือ โดยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (อาการปริวิตักกะ)
- อย่ายึดถือ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน (ทิฏฐินิชฌานักขันติ)
- อย่ายึดถือ เพราะเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ (ภัพพรูปตา)
- อย่ายึดถือ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (สมโณ โน ครูติ)


เมื่อใด ท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้ มีโทษ ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนติเตียน ธรรมเหล่านี้ ใครยึดถือปฏิบัติถึงที่แล้ว จะเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์ เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายพึงละเสีย ฯลฯ เมื่อใด ท่านทั้งหลาย รู้ด้วยตนเองว่า ธรรม เหล่านี้ เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนสรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ ใครยึดถือปฏิบัติถึงที่แล้ว จะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายพึงถือปฏิบัติบำเพ็ญ ธรรมเหล่านั้น”

tongue
เดี๋ยวนี้เลยที่ไม่รู้ว่าทุกข์เกิดแล้วสะสมอวิชชาแล้ว
จำผิดแล้วยึดบัญญัติและเรื่องราวสะสมเรื่องราวค่ะ
อวิชชาคือเดี๋ยวนี้ที่ไม่รู้ว่าทุกคำในพระไตรปิฎกมีแต่
ไม่ได้เกิดพร้อมกับคนทั้งตัวเกิดได้กับจิตทีละ1ดวงค่ะ
ตรงขณะก่อนดับแค่1ดวงที่ตรงจริงคือสิ่งที่กำลังมีจริงๆ
คือธัมมะแต่ละ1ดวงจิตหลากหลายตามการสะสมวิปลาส
แปลว่าเมื่อรู้ไม่ทันจิตแต่ละ1ดวงที่กำลังปรากฏจึงมีกิเลสค่ะ
ไม่รู้ความจริงตรงสัจจะที่กำลังมีแปลว่ามีอกุศลมากมีโมหะมากคร่าาา
:b32:
:b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 129 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 31 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร