วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 129 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 06:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
ดังนั้นการศึกษาคำสอนคือสิกขาต้องเป็นการสะสมปัญญาคือเข้าใจถูกตาม
ทีละคำตรงขณะตรงจริงที่กายใจตนกำลังมีไม่ใช่การเรียนแบบวิชาการทั่วไป
ที่ไปจำคำเอามาท่องเอามาแปลตีความเป็นเรื่องราวมันไม่ตรงจริงตัวธัมมะที่ตนมี
ประมาทการฟังจากผู้รู้ที่กล่าวคำจริงให้เข้าใจได้นั่นแหละจึงไม่รู้ว่าตถาคตตรงไงคะ
การฟังไม่ทำให้เดือดร้อนด้วยความมีตัวตนคิดจะไปทำเพราะกำลังฟังเข้าใจอยู่เกิดปัญญา
https://youtu.be/_ksafrZPQqk
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 07:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
เหมือนกันนั่นแหละบอกแล้วว่าให้ใช้หลักกาลามสูตร10
ตรงขณะต้องเป็นผู้ตรงจริงๆถึงจะได้สาระจากพระธรรม
ปัจจุบันขณะเท่านั้นที่รู้ได้ถามจริงๆเถอะค่ะฟังตรงปัจจุบัน
เคยทำบ้างหรือเปล่าคำตถาคตตรงอย่างยิ่งยวดใครไม่ฟัง
เลยปัจจุบันขณะตลอดเลยคิดแต่จะไปทำลืมว่าไม่ใช่ให้เชื่อ
แต่ให้ฟังแล้วไตร่ตรองเปรียบเทียบสิ่งที่เคยฟังมาก่อนถึงจะรู้
:b32: :b32:


อ้างบ่อยกาลามสูตร กาลามสูตร กาลามสูตร ไหนลองยกมาให้ทัศนาหน่อยดิ กาลามสุตร

Kiss
:b32:
ทำกาลามสูตรเดี๋ยวนี้เลยไม่ใส่อคติในการมีทิฏฐิมานะว่าคนพูดเป็นอุบาสิกาเข้าใจไหมคะ
มี2คลิปนี้ฟังแล้วพิจารณาตามให้ทันทุกคำไม่ใส่อารมณ์ตัวเองแทรกเข้าไปแม้แต่คำเดียว
แล้วมาวิจารณ์ให้ฟังหน่อยสิว่า2คลิปนี้ต่างกันอย่างไรบ้างเรียกว่าศึกษาไงคะจะได้คุยกันได้
:b32: :b32:
:b4:
https://youtu.be/ShmIKRyaw6g
:b4:
https://youtu.be/SK8MZqZ3lRw



คุณโรสบอกให้ทำกาลามสูตร ทำกาลามสูตร เอ๊ะ เหมือนเข้าใจอะไรผิด กาลามสูตรท่านแสดงถึงหลักของศรัทธา ขอย้อนกลับไปเมื่อ 2600 กว่าปีโน่นหน่อย สมัยนั้นนะ มีเจ้าลัทธิมากมายที่เผยแผ่ลัทธิคำสอนของตน เจ้าลัทธินี้ว่ายังงั้น คนนั้นว่ายังงี้ ของตัวดี ของคนอื่นไม่เข้าท่า ชาวบ้าน คือ ชาวกาลามะก็งงเด๊ะ ไม่รู้จะนับถือของใครดี เห็นมีแต่ว่าของตัวดี ของคนอื่นไม่ได้เรื่อง

วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าจารึกถึงหมู่บ้านนี้บ้าง ชาวบ้านก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง

หลักศรัทธา


ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จจาริก ถึงเกสปุตตนิคมของพวกกาลามะ ในแคว้นโกศล ชาวกาลามะ ได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์ จึงพากันไปเฝ้า แสดงอาการต่างๆกัน ในฐานะยังไม่เคยนับถือมาก่อน และได้ทูลถามว่า

ชาวกาลามะ : พระองค์ผู้เจริญ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มาสู่เกสปุตตนิคม ท่านเหล่านั้น แสดงเชิดชูแต่วาทะ (ลัทธิ) ของตนเท่านั้น แต่ย่อมกระทบ กระเทียบ ดูหมิ่น พูดกดวาทะฝ่ายอื่น ชักจูงไม่ให้เชื่อ สมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง ก็มาสู่เกสปุตตนิคม ท่านเหล่านั้น ก็แสดงเชิดชูแต่วาทะของตนเท่านั้น แต่ย่อมกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกดวาทะฝ่ายอื่น ชักจูงไม่ให้เชื่อ พวกข้าพระองค์ มีความเคลือบแคลงสงสัยว่า บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ

พระพุทธเจ้า : “กาลามชนทั้งหลาย เป็นการสมควรที่ท่านทั้งหลายจะเคลือบแคลง สมควรที่จะสงสัย ความเคลือบแคลงสงสัยของพวกท่านเกิดขึ้นในฐานะ กาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย

- อย่ายึดถือ โดยการฟัง (เรียน) ตามกันมา (อนุสสวะ)
- อย่ายึดถือ โดยการถือสืบๆกันมา (ปรัมปรา)
- อย่ายึดถือ โดยการเล่าลือ (อิติกิรา)
- อย่ายึดถือ โดยการอ้างตำรา (ปิฎกสัมปทาน)
- อย่ายึดถือ โดยตรรก (ตักกะ)
- อย่ายึดถือ โดยอนุมาน (นยะ)
- อย่ายึดถือ โดยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (อาการปริวิตักกะ)
- อย่ายึดถือ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน (ทิฏฐินิชฌานักขันติ)
- อย่ายึดถือ เพราะเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ (ภัพพรูปตา)
- อย่ายึดถือ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (สมโณ โน ครูติ)


เมื่อใด ท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้ มีโทษ ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนติเตียน ธรรมเหล่านี้ ใครยึดถือปฏิบัติถึงที่แล้ว จะเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์ เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายพึงละเสีย ฯลฯ เมื่อใด ท่านทั้งหลาย รู้ด้วยตนเองว่า ธรรม เหล่านี้ เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนสรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ ใครยึดถือปฏิบัติถึงที่แล้ว จะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายพึงถือปฏิบัติบำเพ็ญ ธรรมเหล่านั้น”

tongue
เดี๋ยวนี้เลยที่ไม่รู้ว่าทุกข์เกิดแล้วสะสมอวิชชาแล้ว
จำผิดแล้วยึดบัญญัติและเรื่องราวสะสมเรื่องราวค่ะ
อวิชชาคือเดี๋ยวนี้ที่ไม่รู้ว่าทุกคำในพระไตรปิฎกมีแต่
ไม่ได้เกิดพร้อมกับคนทั้งตัวเกิดได้กับจิตทีละ1ดวงค่ะ
ตรงขณะก่อนดับแค่1ดวงที่ตรงจริงคือสิ่งที่กำลังมีจริงๆ
คือธัมมะแต่ละ1ดวงจิตหลากหลายตามการสะสมวิปลาส
แปลว่าเมื่อรู้ไม่ทันจิตแต่ละ1ดวงที่กำลังปรากฏจึงมีกิเลสค่ะ
ไม่รู้ความจริงตรงสัจจะที่กำลังมีแปลว่ามีอกุศลมากมีโมหะมากคร่าาา
:b32:
:b32: :b32:


ถึงขนาดนี้แล้วยังคิดออกไปนอกเรื่องนอกลู่นอกทาง ถึงว่าไงว่า เจ้าสำนักบ้านธัมมะ เอาความคิดของตัวเองไปใส่ปากตถาคต คิกๆๆ บอกไม่เชื่อ ทำไปทำมาที่คุณโรสว่าคำตถาคต มันก็คือความคิดของแม่บริหารฯ ทั้งเพทั้งระยองเกาะเสม็ด คริกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 12:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
:b32:
เหมือนกันนั่นแหละบอกแล้วว่าให้ใช้หลักกาลามสูตร10
ตรงขณะต้องเป็นผู้ตรงจริงๆถึงจะได้สาระจากพระธรรม
ปัจจุบันขณะเท่านั้นที่รู้ได้ถามจริงๆเถอะค่ะฟังตรงปัจจุบัน
เคยทำบ้างหรือเปล่าคำตถาคตตรงอย่างยิ่งยวดใครไม่ฟัง
เลยปัจจุบันขณะตลอดเลยคิดแต่จะไปทำลืมว่าไม่ใช่ให้เชื่อ
แต่ให้ฟังแล้วไตร่ตรองเปรียบเทียบสิ่งที่เคยฟังมาก่อนถึงจะรู้
:b32: :b32:


อ้างบ่อยกาลามสูตร กาลามสูตร กาลามสูตร ไหนลองยกมาให้ทัศนาหน่อยดิ กาลามสุตร

Kiss
:b32:
ทำกาลามสูตรเดี๋ยวนี้เลยไม่ใส่อคติในการมีทิฏฐิมานะว่าคนพูดเป็นอุบาสิกาเข้าใจไหมคะ
มี2คลิปนี้ฟังแล้วพิจารณาตามให้ทันทุกคำไม่ใส่อารมณ์ตัวเองแทรกเข้าไปแม้แต่คำเดียว
แล้วมาวิจารณ์ให้ฟังหน่อยสิว่า2คลิปนี้ต่างกันอย่างไรบ้างเรียกว่าศึกษาไงคะจะได้คุยกันได้
:b32: :b32:
:b4:
https://youtu.be/ShmIKRyaw6g
:b4:
https://youtu.be/SK8MZqZ3lRw



คุณโรสบอกให้ทำกาลามสูตร ทำกาลามสูตร เอ๊ะ เหมือนเข้าใจอะไรผิด กาลามสูตรท่านแสดงถึงหลักของศรัทธา ขอย้อนกลับไปเมื่อ 2600 กว่าปีโน่นหน่อย สมัยนั้นนะ มีเจ้าลัทธิมากมายที่เผยแผ่ลัทธิคำสอนของตน เจ้าลัทธินี้ว่ายังงั้น คนนั้นว่ายังงี้ ของตัวดี ของคนอื่นไม่เข้าท่า ชาวบ้าน คือ ชาวกาลามะก็งงเด๊ะ ไม่รู้จะนับถือของใครดี เห็นมีแต่ว่าของตัวดี ของคนอื่นไม่ได้เรื่อง

วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าจารึกถึงหมู่บ้านนี้บ้าง ชาวบ้านก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง

หลักศรัทธา


ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จจาริก ถึงเกสปุตตนิคมของพวกกาลามะ ในแคว้นโกศล ชาวกาลามะ ได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์ จึงพากันไปเฝ้า แสดงอาการต่างๆกัน ในฐานะยังไม่เคยนับถือมาก่อน และได้ทูลถามว่า

ชาวกาลามะ : พระองค์ผู้เจริญ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มาสู่เกสปุตตนิคม ท่านเหล่านั้น แสดงเชิดชูแต่วาทะ (ลัทธิ) ของตนเท่านั้น แต่ย่อมกระทบ กระเทียบ ดูหมิ่น พูดกดวาทะฝ่ายอื่น ชักจูงไม่ให้เชื่อ สมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง ก็มาสู่เกสปุตตนิคม ท่านเหล่านั้น ก็แสดงเชิดชูแต่วาทะของตนเท่านั้น แต่ย่อมกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกดวาทะฝ่ายอื่น ชักจูงไม่ให้เชื่อ พวกข้าพระองค์ มีความเคลือบแคลงสงสัยว่า บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ

พระพุทธเจ้า : “กาลามชนทั้งหลาย เป็นการสมควรที่ท่านทั้งหลายจะเคลือบแคลง สมควรที่จะสงสัย ความเคลือบแคลงสงสัยของพวกท่านเกิดขึ้นในฐานะ กาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย

- อย่ายึดถือ โดยการฟัง (เรียน) ตามกันมา (อนุสสวะ)
- อย่ายึดถือ โดยการถือสืบๆกันมา (ปรัมปรา)
- อย่ายึดถือ โดยการเล่าลือ (อิติกิรา)
- อย่ายึดถือ โดยการอ้างตำรา (ปิฎกสัมปทาน)
- อย่ายึดถือ โดยตรรก (ตักกะ)
- อย่ายึดถือ โดยอนุมาน (นยะ)
- อย่ายึดถือ โดยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (อาการปริวิตักกะ)
- อย่ายึดถือ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน (ทิฏฐินิชฌานักขันติ)
- อย่ายึดถือ เพราะเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ (ภัพพรูปตา)
- อย่ายึดถือ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (สมโณ โน ครูติ)


เมื่อใด ท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้ มีโทษ ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนติเตียน ธรรมเหล่านี้ ใครยึดถือปฏิบัติถึงที่แล้ว จะเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์ เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายพึงละเสีย ฯลฯ เมื่อใด ท่านทั้งหลาย รู้ด้วยตนเองว่า ธรรม เหล่านี้ เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนสรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ ใครยึดถือปฏิบัติถึงที่แล้ว จะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายพึงถือปฏิบัติบำเพ็ญ ธรรมเหล่านั้น”

tongue
เดี๋ยวนี้เลยที่ไม่รู้ว่าทุกข์เกิดแล้วสะสมอวิชชาแล้ว
จำผิดแล้วยึดบัญญัติและเรื่องราวสะสมเรื่องราวค่ะ
อวิชชาคือเดี๋ยวนี้ที่ไม่รู้ว่าทุกคำในพระไตรปิฎกมีแต่
ไม่ได้เกิดพร้อมกับคนทั้งตัวเกิดได้กับจิตทีละ1ดวงค่ะ
ตรงขณะก่อนดับแค่1ดวงที่ตรงจริงคือสิ่งที่กำลังมีจริงๆ
คือธัมมะแต่ละ1ดวงจิตหลากหลายตามการสะสมวิปลาส
แปลว่าเมื่อรู้ไม่ทันจิตแต่ละ1ดวงที่กำลังปรากฏจึงมีกิเลสค่ะ
ไม่รู้ความจริงตรงสัจจะที่กำลังมีแปลว่ามีอกุศลมากมีโมหะมากคร่าาา
:b32:
:b32: :b32:


ถึงขนาดนี้แล้วยังคิดออกไปนอกเรื่องนอกลู่นอกทาง ถึงว่าไงว่า เจ้าสำนักบ้านธัมมะ เอาความคิดของตัวเองไปใส่ปากตถาคต คิกๆๆ บอกไม่เชื่อ ทำไปทำมาที่คุณโรสว่าคำตถาคต มันก็คือความคิดของแม่บริหารฯ ทั้งเพทั้งระยองเกาะเสม็ด คริกๆๆ

rolleyes
พฤติกรรมที่ไปทำเพราะความอยากถึงนิพพานอยากรู้ใช่ไหมถึงไปทำ
ก็บอกแล้วไงคะว่ารู้ตามคำสอนต้องตามจริงๆทีละคำตรงขณะคือไม่มีใคร
รู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดสภาพธรรมไหนให้รู้ตรงตามเสียงที่กำลังได้ยินต้องทำตาม
เหมือนครั้งพุทธกาลไงคะลองให้ใช้ความรู้สึกคือเซ้นต์ในการฟังโดยใช้กาลามสูตร
ใส่ลงไปในตัวคนพูดแล้วให้เราคิดว่าฟังจากตถาคตเทียบดูว่าฟังแล้วเข้าใจจิตตรงจริงไหม
เพราะครั้งพุทธกาลไม่มีใครไปอ่านมาล่วงหน้าแล้วเรียกว่าปัญญาค่ะมีแต่ฟังตถาคตกล่าวแล้วเกิดปัญญา
บรรลุตามลำดับที่ฟังในแต่ละครั้งดังนั้นการสะสมปัญญาที่ทำสมัยนี้ก็ต้องฟังตามเป็นจริงที่ใช้ตัวเองฟังค่ะ
ฟังตามปกติคิดตามปกติเข้าใจตรงคำตรงขณะตรงจริงที่ตนมีค่อยเอามาเทียบตำรา(3ปิฎก=ปัญญาใคร)
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 13:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กาลามสูตร สูตรหนึ่งในคัมภีร์ติกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสสอนชนชาวกาลามะแห่งเกสปุตตนิคมในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุ ตามหลัก ๑๐ ข้อ คือ อย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมา, ด้วยการถือสืบๆกันมา, ด้วยการเล่าลือ, ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์, ด้วยตรรกะ, ด้วยการอนุมาน, ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล, เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน, เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ, เพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา, ต่อเมื่อใด พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่ มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละ หรือถือปฏิบัติตามนั้น
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เกสปุตติยสูตร หรือเกสปุตตสูตร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 13:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

พฤติกรรมที่ไปทำเพราะความอยากถึงนิพพานอยากรู้ใช่ไหมถึงไปทำ
ก็บอกแล้วไงคะว่ารู้ตามคำสอนต้องตามจริงๆทีละคำตรงขณะคือไม่มีใคร
รู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดสภาพธรรมไหนให้รู้ตรงตามเสียงที่กำลังได้ยินต้องทำตาม
เหมือนครั้งพุทธกาลไงคะลองให้ใช้ความรู้สึกคือเซ้นต์ในการฟังโดยใช้กาลามสูตร
ใส่ลงไปในตัวคนพูดแล้วให้เราคิดว่าฟังจากตถาคตเทียบดูว่าฟังแล้วเข้าใจจิตตรงจริงไหม
เพราะครั้งพุทธกาลไม่มีใครไปอ่านมาล่วงหน้าแล้วเรียกว่าปัญญาค่ะมีแต่ฟังตถาคตกล่าวแล้วเกิดปัญญา
บรรลุตามลำดับที่ฟังในแต่ละครั้งดังนั้นการสะสมปัญญาที่ทำสมัยนี้ก็ต้องฟังตามเป็นจริงที่ใช้ตัวเองฟังค่ะ
ฟังตามปกติคิดตามปกติเข้าใจตรงคำตรงขณะตรงจริงที่ตนมีค่อยเอามาเทียบตำรา(3ปิฎก=ปัญญาใคร)



เราพูดถึงกาลามสูตร กาลามสูตร กาลามสูตร กาลามสูตร กัน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 16:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กาลามสูตร สูตรหนึ่งในคัมภีร์ติกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสสอนชนชาวกาลามะแห่งเกสปุตตนิคมในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผล ตามหลัก ๑๐ ข้อ คือ อย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมา, ด้วยการถือสืบๆกันมา, ด้วยการเล่าลือ, ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์, ด้วยตรรกะ, ด้วยการอนุมาน, ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล, เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน, เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ, เพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา, ต่อเมื่อใด พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่ มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละ หรือถือปฏิบัติตามนั้น
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เกสปุตติยสูตร หรือเกสปุตตสูตร


นี่คือเนื้อหาสาระของกาลามสูตร คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 16:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

พฤติกรรมที่ไปทำเพราะความอยากถึงนิพพานอยากรู้ใช่ไหมถึงไปทำ
ก็บอกแล้วไงคะว่ารู้ตามคำสอนต้องตามจริงๆทีละคำตรงขณะคือไม่มีใคร
รู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดสภาพธรรมไหนให้รู้ตรงตามเสียงที่กำลังได้ยินต้องทำตาม
เหมือนครั้งพุทธกาลไงคะลองให้ใช้ความรู้สึกคือเซ้นต์ในการฟังโดยใช้กาลามสูตร
ใส่ลงไปในตัวคนพูดแล้วให้เราคิดว่าฟังจากตถาคตเทียบดูว่าฟังแล้วเข้าใจจิตตรงจริงไหม
เพราะครั้งพุทธกาลไม่มีใครไปอ่านมาล่วงหน้าแล้วเรียกว่าปัญญาค่ะมีแต่ฟังตถาคตกล่าวแล้วเกิดปัญญา
บรรลุตามลำดับที่ฟังในแต่ละครั้งดังนั้นการสะสมปัญญาที่ทำสมัยนี้ก็ต้องฟังตามเป็นจริงที่ใช้ตัวเองฟังค่ะ
ฟังตามปกติคิดตามปกติเข้าใจตรงคำตรงขณะตรงจริงที่ตนมีค่อยเอามาเทียบตำรา(3ปิฎก=ปัญญาใคร)



เราพูดถึงกาลามสูตร กาลามสูตร กาลามสูตร กาลามสูตร กัน :b1:

:b12:
ไปหาใครก็เชื่อและทำตามผู้นั้นต่างจากคบคำตถาคตฟังค่ะ
ก็ตั้งต้นให้มันตรงสิคะคุณที่คุณไปไหนไปทำอะไรก็ตาม
ไปเพราะคุณต้องการไปไงคะก็ดูเหตุผลว่าไปทำอะไรคะ
ไปหาทำงานไปร้านอาหารไปห้างสรรพสินค้าปกติไปค่ะ
ชาวบ้านทั่วโลกคือคนที่อยู่อาศัยที่บ้านน่ะค่ะจะไปไหนๆ
เดินทางต้องใช้เงินเป็นปกติทำมาหากินหาเงินได้ทั่วโลก
แต่การสละออกบวชเป็นการหยุดแสวงหาไม่ต้องหาไงคะ
ตถาคตเตรียมไว้ให้หมดแล้วนี่ต้องการออกจากบ้านเรือน
มาอยู่วัดจำวัดไม่ใช่ไปตลาดห้งสรรพสินค้าค่ะแต่ไปเดิน
บิณฑบาตเต็มบาตรแล้วก็กลับไปจำวัดเพื่ออบรมกายใจ
ตามคำสอนมีกิจแค่2อย่างคือ1คันธธุระและ2วิปัสสนาธุระ
ไม่ใช่ตะลอนไปทั่วโลกด้วยความไม่เข้าใจไปทำผิดๆน่ะค่ะ
ตื่นเช้ามาจะไปซื้อหาอาหารชงกาแฟกินเองก็ไม่ได้ซื้อไม่ได้
เพราะไม่มีเงินไม่มีสมบัติมาอยู่วัดอาศัยฟรีเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง
ไม่สะสมอะไรเลยสร้างวัตถุมากๆรู้อะไรไหมคะขนคนเข้าวัดมากๆ
เพื่อให้คนขนลาภสักการะเข้าไปให้มากๆทำถูกไหมไม่สำรวมอะไรเลย
ตาเนื้อเห็นเหมือนกันหมดเข้าใจไหมคะมีตถาคตคนเดียวที่เห็นสีคนอื่นเห็นผิดไงคะ
:b17:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 16:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

พฤติกรรมที่ไปทำเพราะความอยากถึงนิพพานอยากรู้ใช่ไหมถึงไปทำ
ก็บอกแล้วไงคะว่ารู้ตามคำสอนต้องตามจริงๆทีละคำตรงขณะคือไม่มีใคร
รู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดสภาพธรรมไหนให้รู้ตรงตามเสียงที่กำลังได้ยินต้องทำตาม
เหมือนครั้งพุทธกาลไงคะลองให้ใช้ความรู้สึกคือเซ้นต์ในการฟังโดยใช้กาลามสูตร
ใส่ลงไปในตัวคนพูดแล้วให้เราคิดว่าฟังจากตถาคตเทียบดูว่าฟังแล้วเข้าใจจิตตรงจริงไหม
เพราะครั้งพุทธกาลไม่มีใครไปอ่านมาล่วงหน้าแล้วเรียกว่าปัญญาค่ะมีแต่ฟังตถาคตกล่าวแล้วเกิดปัญญา
บรรลุตามลำดับที่ฟังในแต่ละครั้งดังนั้นการสะสมปัญญาที่ทำสมัยนี้ก็ต้องฟังตามเป็นจริงที่ใช้ตัวเองฟังค่ะ
ฟังตามปกติคิดตามปกติเข้าใจตรงคำตรงขณะตรงจริงที่ตนมีค่อยเอามาเทียบตำรา(3ปิฎก=ปัญญาใคร)



เราพูดถึงกาลามสูตร กาลามสูตร กาลามสูตร กาลามสูตร กัน :b1:

:b12:
ไปหาใครก็เชื่อและทำตามผู้นั้นต่างจากคบคำตถาคตฟังค่ะ
ก็ตั้งต้นให้มันตรงสิคะคุณที่คุณไปไหนไปทำอะไรก็ตาม
ไปเพราะคุณต้องการไปไงคะก็ดูเหตุผลว่าไปทำอะไรคะ
ไปหาทำงานไปร้านอาหารไปห้างสรรพสินค้าปกติไปค่ะ
ชาวบ้านทั่วโลกคือคนที่อยู่อาศัยที่บ้านน่ะค่ะจะไปไหนๆ
เดินทางต้องใช้เงินเป็นปกติทำมาหากินหาเงินได้ทั่วโลก
แต่การสละออกบวชเป็นการหยุดแสวงหาไม่ต้องหาไงคะ
ตถาคตเตรียมไว้ให้หมดแล้วนี่ต้องการออกจากบ้านเรือน
มาอยู่วัดจำวัดไม่ใช่ไปตลาดห้งสรรพสินค้าค่ะแต่ไปเดิน
บิณฑบาตเต็มบาตรแล้วก็กลับไปจำวัดเพื่ออบรมกายใจ
ตามคำสอนมีกิจแค่2อย่างคือ1คันธธุระและ2วิปัสสนาธุระ
ไม่ใช่ตะลอนไปทั่วโลกด้วยความไม่เข้าใจไปทำผิดๆน่ะค่ะ
ตื่นเช้ามาจะไปซื้อหาอาหารชงกาแฟกินเองก็ไม่ได้ซื้อไม่ได้
เพราะไม่มีเงินไม่มีสมบัติมาอยู่วัดอาศัยฟรีเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง
ไม่สะสมอะไรเลยสร้างวัตถุมากๆรู้อะไรไหมคะขนคนเข้าวัดมากๆ
เพื่อให้คนขนลาภสักการะเข้าไปให้มากๆทำถูกไหมไม่สำรวมอะไรเลย
ตาเนื้อเห็นเหมือนกันหมดเข้าใจไหมคะมีตถาคตคนเดียวที่เห็นสีคนอื่นเห็นผิดไงคะ
:b17:
:b32: :b32:



คิกๆๆ เราพูดกาลามสูตร กาลามสูตร กาลามสูตร กัน :b13: เนื้อหาสาระกาลามสูตร ที่คุณโรสพูดถึงบ้อยบ่อย สาระเพียงนี้

กาลามสูตร สูตรหนึ่งในคัมภีร์ติกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสสอนชนชาวกาลามะแห่งเกสปุตตนิคมในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผล ตามหลัก ๑๐ ข้อ คือ อย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมา, ด้วยการถือสืบๆกันมา, ด้วยการเล่าลือ, ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์, ด้วยตรรกะ, ด้วยการอนุมาน, ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล, เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน, เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ, เพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา, ต่อเมื่อใด พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่ มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละ หรือถือปฏิบัติตามนั้น
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เกสปุตติยสูตร หรือเกสปุตตสูตร

(จบข่าว)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 19:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


เนื้อหาของกาลามะสูตร ไม่ใช่อย่างที่คุณกรัชกายโพสต์ข้างบนค่ะ

ผิวเผินอาจดูเหมือนกัน แต่มีสิ่งที่ต่างกันอยู่มาก คือ

เนื้อหาของพระสูตร ที่พระพุทธองค์ตรัสนั้น จำไว้ว่า มีความ งามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย ราบเรียบเสมอกัน

ไม่มีตัวเล็ก ตัวใหญ่ ไม่มีสีสัน ในบางช่วง ในบางประโยค ในบางอักษร ค่ะ

สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่จะปล่อยผ่านไป แต่สำคัญยิ่ง สำหรับผู้ที่ปฎิบัติ ผู้ศึกษา และบุคคลทั่วไปทั้งหมด


เพราะเมื่อพระธรรมอันบริสุทธ์เข้าไปสถิตในสันดานปุถุชน และโดยเอาอัตตาเข้าไปเสริม
ก็จะวิปริต ผิดเพี้ยนไปทันทีค่ะ

อย่าทำให้ความบริสุทธิ์แปดเปื้อนไป ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ค่ะ








โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 19:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

พฤติกรรมที่ไปทำเพราะความอยากถึงนิพพานอยากรู้ใช่ไหมถึงไปทำ
ก็บอกแล้วไงคะว่ารู้ตามคำสอนต้องตามจริงๆทีละคำตรงขณะคือไม่มีใคร
รู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดสภาพธรรมไหนให้รู้ตรงตามเสียงที่กำลังได้ยินต้องทำตาม
เหมือนครั้งพุทธกาลไงคะลองให้ใช้ความรู้สึกคือเซ้นต์ในการฟังโดยใช้กาลามสูตร
ใส่ลงไปในตัวคนพูดแล้วให้เราคิดว่าฟังจากตถาคตเทียบดูว่าฟังแล้วเข้าใจจิตตรงจริงไหม
เพราะครั้งพุทธกาลไม่มีใครไปอ่านมาล่วงหน้าแล้วเรียกว่าปัญญาค่ะมีแต่ฟังตถาคตกล่าวแล้วเกิดปัญญา
บรรลุตามลำดับที่ฟังในแต่ละครั้งดังนั้นการสะสมปัญญาที่ทำสมัยนี้ก็ต้องฟังตามเป็นจริงที่ใช้ตัวเองฟังค่ะ
ฟังตามปกติคิดตามปกติเข้าใจตรงคำตรงขณะตรงจริงที่ตนมีค่อยเอามาเทียบตำรา(3ปิฎก=ปัญญาใคร)



เราพูดถึงกาลามสูตร กาลามสูตร กาลามสูตร กาลามสูตร กัน :b1:

:b12:
ไปหาใครก็เชื่อและทำตามผู้นั้นต่างจากคบคำตถาคตฟังค่ะ
ก็ตั้งต้นให้มันตรงสิคะคุณที่คุณไปไหนไปทำอะไรก็ตาม
ไปเพราะคุณต้องการไปไงคะก็ดูเหตุผลว่าไปทำอะไรคะ
ไปหาทำงานไปร้านอาหารไปห้างสรรพสินค้าปกติไปค่ะ
ชาวบ้านทั่วโลกคือคนที่อยู่อาศัยที่บ้านน่ะค่ะจะไปไหนๆ
เดินทางต้องใช้เงินเป็นปกติทำมาหากินหาเงินได้ทั่วโลก
แต่การสละออกบวชเป็นการหยุดแสวงหาไม่ต้องหาไงคะ
ตถาคตเตรียมไว้ให้หมดแล้วนี่ต้องการออกจากบ้านเรือน
มาอยู่วัดจำวัดไม่ใช่ไปตลาดห้งสรรพสินค้าค่ะแต่ไปเดิน
บิณฑบาตเต็มบาตรแล้วก็กลับไปจำวัดเพื่ออบรมกายใจ
ตามคำสอนมีกิจแค่2อย่างคือ1คันธธุระและ2วิปัสสนาธุระ
ไม่ใช่ตะลอนไปทั่วโลกด้วยความไม่เข้าใจไปทำผิดๆน่ะค่ะ
ตื่นเช้ามาจะไปซื้อหาอาหารชงกาแฟกินเองก็ไม่ได้ซื้อไม่ได้
เพราะไม่มีเงินไม่มีสมบัติมาอยู่วัดอาศัยฟรีเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง
ไม่สะสมอะไรเลยสร้างวัตถุมากๆรู้อะไรไหมคะขนคนเข้าวัดมากๆ
เพื่อให้คนขนลาภสักการะเข้าไปให้มากๆทำถูกไหมไม่สำรวมอะไรเลย
ตาเนื้อเห็นเหมือนกันหมดเข้าใจไหมคะมีตถาคตคนเดียวที่เห็นสีคนอื่นเห็นผิดไงคะ
:b17:
:b32: :b32:



คิกๆๆ เราพูดกาลามสูตร กาลามสูตร กาลามสูตร กัน :b13: เนื้อหาสาระกาลามสูตร ที่คุณโรสพูดถึงบ้อยบ่อย สาระเพียงนี้

กาลามสูตร สูตรหนึ่งในคัมภีร์ติกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสสอนชนชาวกาลามะแห่งเกสปุตตนิคมในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผล ตามหลัก ๑๐ ข้อ คือ อย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมา, ด้วยการถือสืบๆกันมา, ด้วยการเล่าลือ, ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์, ด้วยตรรกะ, ด้วยการอนุมาน, ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล, เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน, เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ, เพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา, ต่อเมื่อใด พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่ มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละ หรือถือปฏิบัติตามนั้น
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เกสปุตติยสูตร หรือเกสปุตตสูตร

(จบข่าว)

:b1:
เข้าใจสภาพธรรมไหมคะทั้งหมดเลยคือเดี๋ยวนี้ไงคะที่ไม่มีกาลามสูตร10
กาลามาสูตร10ไม่ได้อยู่ในตำราตอนนั้นกับชาวกาลามะค่ะแต่คือขณะนี้
ที่ทุกคนที่กำลังไม่รู้แล้วไปทำตามคนนั้นคนนี้บอกโดยขาดการฟังไงคะ
การพึ่งพระรัตนตรัยคือการพึ่งพระศาสดาคือคำสอนๆแทนตถาคตไงคะ
เพราะฉะนั้นการอ่านแล้วไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบหยิบยกมาเอาไปทำผิด
เหตุผลคือไม่เข้าใจรึว่าทรงบอกให้ฟังให้เข้าใจเท่านั้นแล้วความเข้าใจนั้น
สังขารขันธ์ขณะที่กำลังเข้าใจนั่นเองจึงจะทำหน้าที่ปรุงแต่งจิตถูกตามได้
ไม่มีตัวเราต้องเดินทางไปไหนอีกมีหน้าที่เดียวคือเดินทางไปเข้าเฝ้าฟังธรรม
ถ้าครั้งพุทธกาลก็ฟังที่พระวิหารเวฬุวันแล้วแยกย้ายกันกลับบ้านผู้บวชก็จำวัด
สมัยนี้เหมือนกันค่ะถ้าฟังพระพุทธพจน์เข้าใจคำสอนแล้วก็ไปทำหน้าที่ตนตามปกติ
ไม่ได้มีใครไปนั่งนุ่งห่มขาวทำตามๆกันให้คนอื่นสอนอีกเพราะตถาคตไม่สอนให้ไปตามใคร
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 20:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b1:
นัยยะเดียวกันถ้าตถาคตบอกว่าภิกษุในพระธรรมและพระวินัย
ห้ามรับเงินไม่ยินดีในเงินและทองไม่รับแม้แต่สิ่งที่ใช้แทนเงิน
แล้วคิดสิคะว่าคนที่ถวายก็คือถวายสิ่งไม่สมควรแปลว่าทำผิด
ในเมื่อไม่รู้ว่าผิดก็คิดว่าดีและถูกก็ทำต่อถวายต่อรู้ไหมส่งผู้รับ
ให้ไปลำบากในแดนนรกเห็นโทษไหมว่าตนไม่มีกาลามสูตร10
ทำตามๆกันคิดว่าเป็นบุญเกณฑ์กันไปเรี่ยไรแจกซองขาวไงคะ
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 20:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
:b1:
นัยยะเดียวกันถ้าตถาคตบอกว่าภิกษุในพระธรรมและพระวินัย
ห้ามรับเงินไม่ยินดีในเงินและทองไม่รับแม้แต่สิ่งที่ใช้แทนเงิน
แล้วคิดสิคะว่าคนที่ถวายก็คือถวายสิ่งไม่สมควรแปลว่าทำผิด
ในเมื่อไม่รู้ว่าผิดก็คิดว่าดีและถูกก็ทำต่อถวายต่อรู้ไหมส่งผู้รับ
ให้ไปลำบากในแดนนรกเห็นโทษไหมว่าตนไม่มีกาลามสูตร10
ทำตามๆกันคิดว่าเป็นบุญเกณฑ์กันไปเรี่ยไรแจกซองขาวไงคะ
:b12:
:b32: :b32:


เรากำลังพูดเรื่องกาลามสูตร ของชาวบ้านกาลาามชน พูดเรื่องกาลามสูตร ของชาวบ้านกาลาามชน พูดเรื่องกาลามสูตร ของชาวบ้านกาลาามชน กัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
เนื้อหาของกาลามะสูตร ไม่ใช่อย่างที่คุณกรัชกายโพสต์ข้างบนค่ะ

ผิวเผินอาจดูเหมือนกัน แต่มีสิ่งที่ต่างกันอยู่มาก คือ

เนื้อหาของพระสูตร ที่พระพุทธองค์ตรัสนั้น จำไว้ว่า มีความ งามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย ราบเรียบเสมอกัน

ไม่มีตัวเล็ก ตัวใหญ่ ไม่มีสีสัน ในบางช่วง ในบางประโยค ในบางอักษร ค่ะ

สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่จะปล่อยผ่านไป แต่สำคัญยิ่ง สำหรับผู้ที่ปฎิบัติ ผู้ศึกษา และบุคคลทั่วไปทั้งหมด


เพราะเมื่อพระธรรมอันบริสุทธ์เข้าไปสถิตในสันดานปุถุชน และโดยเอาอัตตาเข้าไปเสริม
ก็จะวิปริต ผิดเพี้ยนไปทันทีค่ะ

อย่าทำให้ความบริสุทธิ์แปดเปื้อนไป ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ค่ะ




พระพุทธเจ้าแนะหลักศรัทธาให้กาลามชน คิกๆๆ มันเห็นๆ อ้าวฉายอีกรอบหนึ่ง :b32: ดูฟรีไม่เสียตัง


ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จจาริก ถึงเกสปุตตนิคมของพวกกาลามะ ในแคว้นโกศล ชาวกาลามะ ได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์ จึงพากันไปเฝ้า แสดงอาการต่างๆกัน ในฐานะยังไม่เคยนับถือมาก่อน และได้ทูลถามว่า

ชาวกาลามะ : พระองค์ผู้เจริญ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มาสู่เกสปุตตนิคม ท่านเหล่านั้น แสดงเชิดชูแต่วาทะ (ลัทธิ) ของตนเท่านั้น แต่ย่อมกระทบ กระเทียบ ดูหมิ่น พูดกดวาทะฝ่ายอื่น ชักจูงไม่ให้เชื่อ
สมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง ก็มาสู่เกสปุตตนิคม ท่านเหล่านั้น ก็แสดงเชิดชูแต่วาทะของตนเท่านั้น แต่ย่อมกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกดวาทะฝ่ายอื่น ชักจูงไม่ให้เชื่อ
พวกข้าพระองค์ มีความเคลือบแคลงสงสัยว่า บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ

พระพุทธเจ้า : “กาลามชนทั้งหลาย เป็นการสมควรที่ท่านทั้งหลายจะเคลือบแคลง สมควรที่จะสงสัย ความเคลือบแคลงสงสัยของพวกท่านเกิดขึ้นในฐานะ กาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย

- อย่ายึดถือ โดยการฟัง (เรียน) ตามกันมา (อนุสสวะ)
- อย่ายึดถือ โดยการถือสืบๆกันมา (ปรัมปรา)
- อย่ายึดถือ โดยการเล่าลือ (อิติกิรา)
- อย่ายึดถือ โดยการอ้างตำรา (ปิฎกสัมปทาน)
- อย่ายึดถือ โดยตรรก (ตักกะ)
- อย่ายึดถือ โดยอนุมาน (นยะ)
- อย่ายึดถือ โดยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (อาการปริวิตักกะ)
- อย่ายึดถือ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน (ทิฏฐินิชฌานักขันติ)
- อย่ายึดถือ เพราะเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ (ภัพพรูปตา)
- อย่ายึดถือ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (สมโณ โน ครูติ)

เมื่อใด ท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้ มีโทษ ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนติเตียน ธรรมเหล่านี้ ใครยึดถือปฏิบัติถึงที่แล้ว จะเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์ เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายพึงละเสีย ฯลฯ เมื่อใด ท่านทั้งหลาย รู้ด้วยตนเองว่า ธรรม เหล่านี้ เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนสรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ ใครยึดถือปฏิบัติถึงที่แล้ว จะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายพึงถือปฏิบัติบำเพ็ญ ธรรมเหล่านั้น”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 21:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ต่อให้อีกหน่อย อาจจะเข้าใจก็ได้ ถ้าไม่เข้าใจกันอีก ก็ไปนับถือพระเจ้าเถอะ :b32:



ในกรณีที่ผู้ฟังยังไม่รู้ ไม่เข้าใจ และยังไม่มีความเชื่อในเรื่องใดๆ ก็ไม่ทรงชักจูงความเชื่อ เป็นแต่ทรงสอนให้พิจารณาตัดสินเอาตามเหตุผลที่เขาเห็นได้ด้วยตนเอง เช่น ในเรื่องความเชื่อทางจริยธรรมเกี่ยวกับชาตินี้ ชาติหน้า ก็มีความในตอนท้ายของสูตรเดียวกันนั้นว่า


กาลามชนทั้งหลาย อริยสาวกนั้น ผู้มีจิตปราศจากเวรอย่างนี้ มีจิตปราศจากความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตบริสุทธิ์อย่างนี้ ย่อมได้ประสบความอุ่นใจถึง ๔ ประการ ตั้งแต่ในปัจจุบันนี้แล้ว คือ

“ถ้าปรโลกมีจริง ผลวิบากของกรรมที่ทำไว้ดีทำไว้ชั่วมีจริง การที่ว่าเมื่อเราแตกกายทำลายขันธ์ไปแล้ว จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ก็ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปได้” นี้เป็นความอุ่นใจประการที่ ๑ ที่เขาได้รับ

“ถ้าปรโลกไม่มี ผลวิบากของกรรมที่ทำไว้ดีทำไว้ชั่วไม่มี เราก็ครองตนอยู่โดยไม่มีทุกข์ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน เป็นสุขอยู่แต่ในชาติปัจจุบันนี้แล้ว” นี้เป็นความอุ่นใจประการที่ ๒ ที่เขาได้รับ

“ก็ถ้า เมื่อคนทำความชั่ว ก็เป็นอันทำไซร้ เรามิได้คิดการชั่วร้ายต่อใครๆ ที่ไหนทุกข์จักมาถูกต้องเราผู้มิได้ทำบาปกรรมเล่า” นี้เป็นความอุ่นใจประการที่ ๓ ที่เขาได้รับ

“ก็ถ้า เมื่อคนทำความชั่ว ก็ไม่ชื่อว่าเป็นอันทำไซร้ ในกรณีนี้ เราก็มองเห็นตนเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งสองด้าน” นี้เป็นความอุ่นใจประการที่ ๔ ที่เขาได้รับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2018, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้นับถือในลัทธิศาสนา หรือหลักคำสอนใดๆ พระองค์จะตรัสธรรมเป็นกลางๆ เป็นการเสนอแนะความจริงให้เขาคิด ด้วยความปรารถนาดี เพื่อประโยชน์แก่ตัวเขาเอง โดยมิต้องคำนึง ว่าหลักธรรมนั้นเป็นของผู้ใด โดยให้เขาเป็นตัวของเขาเอง ไม่มีการชักจูงให้เขาเชื่อให้เขาเลื่อมใสต่อพระองค์ หรือให้เข้ามาสู่อะไรสักอย่างที่อาจจะเรียกว่าศาสนาของพระองค์

พึงสังเกตด้วย ว่าจะไม่ทรงอ้างพระองค์ หรืออำนาจเหนือธรรมชาติพิเศษอันใดเป็นเครื่องยืนยันคำสอนของพระองค์ นอกจากเหตุผลและข้อเท็จจริงที่ให้เขาพิจารณาเห็นด้วยปัญญาของเขาเอง และ
พึงสังเกตด้วยว่า ทรงสอนหลักการปฏิบัติพื้นๆที่เรียกว่า อปัณณกตา คือ ใน เรื่องที่มนุษย์ทั่วไปไม่รู้ จะเป็นเรื่องที่เรียกว่าเหนือธรรมชาติก็ตาม หรือแม้แต่เรื่องสามัญที่ไม่รู้แน่ชัด พึงเลือกเอาการปฏิบัติที่ไม่พลาด แน่ๆ ไม่ต้องมัวคาดมัวเดา


ตัวอย่าง ดังในเรื่องชาดกว่า พวกกองเกวียนเดินทางผ่านทะเลทราย ต้องบรรทุกน้ำไปหนักมาก ระหว่างทาง พวกหนึ่งเจอคนปลอมจะหลอกเอาเป็นเหยื่อ บอกว่า ไปข้างหน้าอีกไม่ไกล จะมีชุมชนใหญ่ มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ น้ำที่บรรทุกมานี้หนักเปล่าๆ ทิ้งไปเสียเถิด ค่อยไปเอาข้างหน้า แถมแสดงหลักฐานเท็จให้ดู พวกกองเกวียนดีใจ เอาตุ่มไหใส่น้ำทิ้งหมด แล้วเดินทาง ต่อไปอีกเท่าไรๆ ก็ไม่เจอน้ำ จนอดตายหมด เป็นเหยื่อเขาไป

ส่วนกองเกวียนอีกพวกหนึ่ง โดนหลอกด้วยหลักฐานเท็จเหมือนกัน แต่ถือหลักอปัณณกตานี้ว่า ถ้าไม่รู้จริงประจักษ์ ก็ไม่ยอมตามตรรกะหรือการ คาดเดา เมื่ออันที่แน่ๆ มีอยู่แล้ว คือนำที่บรรทุกมาในเกวียนนั่นแหละ ก็บรรทุกไป จนกว่าจะเจอแหล่งน้ำที่ว่านั้นจริง ก็เติมได้ พวกที่ใช้ ปัญญา และอะไรที่ประจักษ์ได้ ก็ให้ประจักษ์ ถือหลักอปัณณกตานี้ ก็พา กองเกวียนเดินทางไปถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพ * (อปัณณกชาดก.ชา. 1/153)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 129 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 40 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร