วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 03:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2018, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
Rosarin
ภิกษุคือสละกิจแบบคฤหัสถ์ไม่มีงานอื่นใดนอกจากศึกษาคำสอนอย่างเดียวคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระ
จะมามัวหาเงินทำสังคมสงเคราะห์น่ะไม่ได้นะคะเพราะเลี้ยงตนด้วยก้อนข้าวชาวบ้านไม่ใช่หรือคะ
ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้นอนวัดคือภิกษุและภิกษุณีเท่านั้นค่ะแล้ว สมัยนี้อนุญาตสีกานอนวัดผิดไหมเจ้าคะ
สละออกบวชคือบรรพชาจึงนอนวัดได้ ประมาทคำสอนไหมคิดไหมรอบคอบกันมากเลยนะคะ ชีพราหมณ์
มีแต่สีกาเดินเพ่นพ่านเต็มวัดฉลาดกันมากเลยที่เกณฑ์ชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่เข้าไปบวชแล้วคิดว่าได้บุญ


วัดที่เขาจัดให้มีบวชจะเรียกว่าชีพราหมณ์ หรือเรียกอะไรก็แล้วแต่ บวชเณรภาคฤดูร้อนฤดูหนาวแล้วแต่ เขามีที่พักให้เป็นสัดเป็นส่วน เขาไม่ได้ให้ไปนอนกับพระกับเณร :b16: ซึ่งหลายๆวัดก็ทำกันอยู่

อ้างคำพูด:
มีแต่สีกาเดินเพ่นพ่านเต็มวัดฉลาดกันมากเลยที่เกณฑ์ชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่เข้าไปบวชแล้วคิดว่าได้บุญ


แต่บ้านธัมมะคิดแยกคนออกจากวัด แยกวัดออกจากพุทธศาสนิกชน มันก็บรรลัยทั้งวัดทั้งบ้านทั้งชุมชนพุทธเท่านั้นน่าซี่คุณโรส :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2018, 08:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขนบธรรมเนียมเหล่านี้เกิดจากชุมชนพุทธกับวัดร่วมกันสร้างสรรค์

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2018, 08:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโรสศิษย์บ้านธัมมะซึ่งนำโดยนางสุจินต์ บริหารสุวรรณภูมิ ต้องคิดให้กว้าง อย่าคิดแคบๆ

อ้างคำพูด:
ภิกษุคือสละกิจแบบคฤหัสถ์ไม่มีงานอื่นใดนอกจากศึกษาคำสอนอย่างเดียวคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระ


ที่วัดในประเทศไทยชักชวนอุบาสกอุบาสิกา กุลบุตรกุลธิดา เข้าวัดบวชในรูปแบบต่างๆดังกล่าว ก็เพื่อไปฝึกไปศึกษาคันถธุระ วิปัสสนาธุระนั่นเองแล เขาไปได้เข้าไปนอนกันเฉยๆนะ คุณโรสแม่บริหารฯ เคยเข้าไปร่วมกิจกรรมกับเขาไหม

1. ไม่เคย
2. เคย

ตอบตรงๆ ข้อไหน 1 หรือ 2 :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2018, 11:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin
ภิกษุคือสละกิจแบบคฤหัสถ์ไม่มีงานอื่นใดนอกจากศึกษาคำสอนอย่างเดียวคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระ
จะมามัวหาเงินทำสังคมสงเคราะห์น่ะไม่ได้นะคะเพราะเลี้ยงตนด้วยก้อนข้าวชาวบ้านไม่ใช่หรือคะ
ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้นอนวัดคือภิกษุและภิกษุณีเท่านั้นค่ะแล้ว สมัยนี้อนุญาตสีกานอนวัดผิดไหมเจ้าคะ
สละออกบวชคือบรรพชาจึงนอนวัดได้ ประมาทคำสอนไหมคิดไหมรอบคอบกันมากเลยนะคะ ชีพราหมณ์
มีแต่สีกาเดินเพ่นพ่านเต็มวัดฉลาดกันมากเลยที่เกณฑ์ชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่เข้าไปบวชแล้วคิดว่าได้บุญ


วัดที่เขาจัดให้มีบวชจะเรียกว่าชีพราหมณ์ หรือเรียกอะไรก็แล้วแต่ บวชเณรภาคฤดูร้อนฤดูหนาวแล้วแต่ เขามีที่พักให้เป็นสัดเป็นส่วน เขาไม่ได้ให้ไปนอนกับพระกับเณร :b16: ซึ่งหลายๆวัดก็ทำกันอยู่

อ้างคำพูด:
มีแต่สีกาเดินเพ่นพ่านเต็มวัดฉลาดกันมากเลยที่เกณฑ์ชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่เข้าไปบวชแล้วคิดว่าได้บุญ


แต่บ้านธัมมะคิดแยกคนออกจากวัด แยกวัดออกจากพุทธศาสนิกชน มันก็บรรลัยทั้งวัดทั้งบ้านทั้งชุมชนพุทธเท่านั้นน่าซี่คุณโรส :b32:

:b12:
ไปนั่งขัดสมาธิหลับตาแล้วก็ฟังพระเทศนาเรื่อยเปื่อย
จะเข้าใจชวนะ7หรือคะก็กำลังมีกำลังเกิดดับมีแล้วไง
ที่ไปทำพาคนอื่นทำผิดๆอยู่นั่น่ะทำมิจฉาสมาธิไงคะ
ให้นั่งเองจะรู้เอง :b32: ตถาคตให้ฟังพระพุทธพจน์
ด้วยหูตนเองจะได้รู้ว่าตนสะสมเข้าใจมามากแค่ไหน
แล้วก็ใช้ตาที่ไม่บอดดูพฤติกรรมตนเองและคนอื่นๆ
เทียบตามคำจริงที่กำลังฟังโดยไม่ลำเอียงเข้าข้างใคร
จะไปนั่งหลับตาแล้วรู้ความจริงเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่ทศพลญาณไงอิอิ
ฟังพระพุทธพจน์คือได้เกิดเป็นมนุษย์ได้ฟังพระสัทธรรมนะจ๊ะนะจ๊ะนะจ๊ะ
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2018, 11:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สำนักบ้านธัมมะ และศิษย์แห่งนั้น ดูหลัก

พระภิกษุสงฆ์ หรือสมณะชีพราหมณ์ ก็พึงทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรของชาวบ้าน ดังจะเห็นว่า หน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์ต่อกุลบุตร ตามหลักทิศเบื้องบน ตรงกันทุกข้อกับลักษณะมิตรแท้ ประเภทมิตรแนะนำประโยชน์จะว่า พระสงฆ์เป็นมิตรแท้ ประเภทมิตรแนะนำประโยชน์ ก็ได้ แต่หน้าที่ของพระสงฆ์นั้น มีเพิ่มมาอีก ๒ ข้อ รวมเป็น ๖ ข้อ คือ (ที.ปา.11/204/206)

๑. ห้ามปราม (สอนให้เว้น) จากความชั่ว
๒. (แนะนำสั่งสอน) ให้ตั้งอยู่ในความดี
๓. อนุเคราะห์ด้วยความปรารถนาดี (เพิ่ม)
๔. ให้ได้ฟังได้รู้สิ่งที่ยังไม่เคยรู้ไม่เคยฟัง
๕. (ชี้แจงอธิบาย) ทำสิ่งที่เคยฟังแล้ว ให้เข้าใจแจ่มแจ้ง (เพิ่ม)
๖. บอกทางสวรรค์ (สอนวิธีดำเนินชีวิตให้ประสบความสุข)

หน้าที่ของพระสงฆ์นี้ เป็นไปตามความสัมพันธ์ต่อกันระหว่างพระสงฆ์กับชาวบ้าน ดังพุทธพจน์ว่า

"ภิกษุทั้งหลาย พราหมณ์คหบดีทั้งหลาย เป็นผู้มีอุปการะมากแก่เธอทั้งหลาย เป็นผู้บำรุงเธอทั้งหลายด้วย จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร

"แม้พวกเธอก็จงเป็น ผู้มีอุปการะมากแก่พราหมณ์คหบดีทั้งหลาย โดยแสดงธรรม อันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง แก่พราหมณ์คหบดีเหล่านั้น

"ภิกษุทั้งหลาย คฤหัสถ์ และบรรพชิต อาศัยซึ่งกันและกัน อยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อมุ่งหมายจะสลัดเสียซึ่งโอฆะ เพื่อทำความจบสิ้นทุกข์โดยชอบด้วยประการฉะนี้

"ผู้ครองเรือน และผู้ไร้เรือน ทั้งสองฝ่าย อาศัยซึ่งกันและกัน ย่อมบำเพ็ญให้สัมฤทธิ์ซึ่งสัทธรรม ที่เป็นโยคเกษมอันยอดเยี่ยม ฯลฯ” (ขุ.อิติ.25/287/314)

และมีพุทธพจน์อีกแห่งหนึ่ง ยืนยันการช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ชาวบ้าน (โดยทางที่ชอบธรรม) ว่า

"ถูกอย่างนั้น นายบ้าน ตถาคตสรรเสริญการเอื้อเอ็นดู สรรเสริญการช่วยรักษา สรรเสริญการอนุเคราะห์แก่สกุลทั้งหลาย โดยอเนกปริยาย"(สั.สฬ.18/621/399)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2018, 11:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin
ภิกษุคือสละกิจแบบคฤหัสถ์ไม่มีงานอื่นใดนอกจากศึกษาคำสอนอย่างเดียวคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระ
จะมามัวหาเงินทำสังคมสงเคราะห์น่ะไม่ได้นะคะเพราะเลี้ยงตนด้วยก้อนข้าวชาวบ้านไม่ใช่หรือคะ
ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้นอนวัดคือภิกษุและภิกษุณีเท่านั้นค่ะแล้ว สมัยนี้อนุญาตสีกานอนวัดผิดไหมเจ้าคะ
สละออกบวชคือบรรพชาจึงนอนวัดได้ ประมาทคำสอนไหมคิดไหมรอบคอบกันมากเลยนะคะ ชีพราหมณ์
มีแต่สีกาเดินเพ่นพ่านเต็มวัดฉลาดกันมากเลยที่เกณฑ์ชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่เข้าไปบวชแล้วคิดว่าได้บุญ


วัดที่เขาจัดให้มีบวชจะเรียกว่าชีพราหมณ์ หรือเรียกอะไรก็แล้วแต่ บวชเณรภาคฤดูร้อนฤดูหนาวแล้วแต่ เขามีที่พักให้เป็นสัดเป็นส่วน เขาไม่ได้ให้ไปนอนกับพระกับเณร :b16: ซึ่งหลายๆวัดก็ทำกันอยู่

อ้างคำพูด:
มีแต่สีกาเดินเพ่นพ่านเต็มวัดฉลาดกันมากเลยที่เกณฑ์ชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่เข้าไปบวชแล้วคิดว่าได้บุญ


แต่บ้านธัมมะคิดแยกคนออกจากวัด แยกวัดออกจากพุทธศาสนิกชน มันก็บรรลัยทั้งวัดทั้งบ้านทั้งชุมชนพุทธเท่านั้นน่าซี่คุณโรส :b32:

:b12:
ไปนั่งขัดสมาธิหลับตาแล้วก็ฟังพระเทศนาเรื่อยเปื่อย
จะเข้าใจชวนะ7หรือคะก็กำลังมีกำลังเกิดดับมีแล้วไง
ที่ไปทำพาคนอื่นทำผิดๆอยู่นั่น่ะทำมิจฉาสมาธิไงคะ
ให้นั่งเองจะรู้เอง :b32: ตถาคตให้ฟังพระพุทธพจน์
ด้วยหูตนเองจะได้รู้ว่าตนสะสมเข้าใจมามากแค่ไหน
แล้วก็ใช้ตาที่ไม่บอดดูพฤติกรรมตนเองและคนอื่นๆ
เทียบตามคำจริงที่กำลังฟังโดยไม่ลำเอียงเข้าข้างใคร
จะไปนั่งหลับตาแล้วรู้ความจริงเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่ทศพลญาณไงอิอิ
ฟังพระพุทธพจน์คือได้เกิดเป็นมนุษย์ได้ฟังพระสัทธรรมนะจ๊ะนะจ๊ะนะจ๊ะ
:b32: :b32: :b32:



มาอีกแระชวนะ 7 คิกๆๆ

ลิงค์ด้านล่างเปลี่ยนชื่อให้ใหม่"บ้านธัมมะคิดอย่างนี้ ทั้งชาตินี้และชาติไหนๆ ไม่มีวันไม่ทางปฏิบัติกรรมฐานได้"

viewtopic.php?f=1&t=56260

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 31 ก.ค. 2018, 11:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2018, 11:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ขนบธรรมเนียมเหล่านี้เกิดจากชุมชนพุทธกับวัดร่วมกันสร้างสรรค์

รูปภาพ

คำสอนพระพุทธเจ้าเป็นความจริงที่กายใจทุกคนกำลังมีแต่ไม่รู้ทุกอย่างที่มี
มีบ้านรถที่ดินทรัพย์สินเงินทองมีหมดยกเว้นปัญญาน๊ะปัญญาเกิดเองไมได้
เพราะความจริงต้องอาศัยการฟังด้วยหูเพื่อสะสมความเข้าใจตามทีละ1คำ
https://youtu.be/qr4fegHanAo
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2018, 11:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ขนบธรรมเนียมเหล่านี้เกิดจากชุมชนพุทธกับวัดร่วมกันสร้างสรรค์

https://f.ptcdn.info/867/058/000/pckpp1 ... kNkC-o.jpg

คำสอนพระพุทธเจ้าเป็นความจริงที่กายใจทุกคนกำลังมีแต่ไม่รู้ทุกอย่างที่มี
มีบ้านรถที่ดินทรัพย์สินเงินทองมีหมดยกเว้นปัญญาน๊ะปัญญาเกิดเองไมได้
เพราะความจริงต้องอาศัยการฟังด้วยหูเพื่อสะสมความเข้าใจตามทีละ1คำ
https://youtu.be/qr4fegHanAo


เขาทำนั่นก็ใช้ปัญญานะน่า คนไม่เคยฝึกหัดทำ ทำไม่เป็นทำไม่ได้นะ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2018, 11:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin
ภิกษุคือสละกิจแบบคฤหัสถ์ไม่มีงานอื่นใดนอกจากศึกษาคำสอนอย่างเดียวคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระ
จะมามัวหาเงินทำสังคมสงเคราะห์น่ะไม่ได้นะคะเพราะเลี้ยงตนด้วยก้อนข้าวชาวบ้านไม่ใช่หรือคะ
ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้นอนวัดคือภิกษุและภิกษุณีเท่านั้นค่ะแล้ว สมัยนี้อนุญาตสีกานอนวัดผิดไหมเจ้าคะ
สละออกบวชคือบรรพชาจึงนอนวัดได้ ประมาทคำสอนไหมคิดไหมรอบคอบกันมากเลยนะคะ ชีพราหมณ์
มีแต่สีกาเดินเพ่นพ่านเต็มวัดฉลาดกันมากเลยที่เกณฑ์ชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่เข้าไปบวชแล้วคิดว่าได้บุญ


วัดที่เขาจัดให้มีบวชจะเรียกว่าชีพราหมณ์ หรือเรียกอะไรก็แล้วแต่ บวชเณรภาคฤดูร้อนฤดูหนาวแล้วแต่ เขามีที่พักให้เป็นสัดเป็นส่วน เขาไม่ได้ให้ไปนอนกับพระกับเณร :b16: ซึ่งหลายๆวัดก็ทำกันอยู่

อ้างคำพูด:
มีแต่สีกาเดินเพ่นพ่านเต็มวัดฉลาดกันมากเลยที่เกณฑ์ชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่เข้าไปบวชแล้วคิดว่าได้บุญ


แต่บ้านธัมมะคิดแยกคนออกจากวัด แยกวัดออกจากพุทธศาสนิกชน มันก็บรรลัยทั้งวัดทั้งบ้านทั้งชุมชนพุทธเท่านั้นน่าซี่คุณโรส :b32:

:b12:
ไปนั่งขัดสมาธิหลับตาแล้วก็ฟังพระเทศนาเรื่อยเปื่อย
จะเข้าใจชวนะ7หรือคะก็กำลังมีกำลังเกิดดับมีแล้วไง

ที่ไปทำพาคนอื่นทำผิดๆอยู่นั่น่ะทำมิจฉาสมาธิไงคะ
ให้นั่งเองจะรู้เอง :b32: ตถาคตให้ฟังพระพุทธพจน์
ด้วยหูตนเองจะได้รู้ว่าตนสะสมเข้าใจมามากแค่ไหน
แล้วก็ใช้ตาที่ไม่บอดดูพฤติกรรมตนเองและคนอื่นๆ
เทียบตามคำจริงที่กำลังฟังโดยไม่ลำเอียงเข้าข้างใคร
จะไปนั่งหลับตาแล้วรู้ความจริงเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่ทศพลญาณไงอิอิ
ฟังพระพุทธพจน์คือได้เกิดเป็นมนุษย์ได้ฟังพระสัทธรรมนะจ๊ะนะจ๊ะนะจ๊ะ
:b32: :b32: :b32:



เรื่องชวนะ 7 ขณะ 8 ขณะอะไรนี่ ลงไว้ที่นี่

viewtopic.php?f=1&t=56174

พร้อมคำถามด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2018, 11:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชวนะ "การแล่นไป" "การไปเร็ว" "การสว่างวาบ" ความเร็ว, ความไว, จิตขณะที่แล่นไปในวิถี ทำหน้าที่รับรู้เสพอารมณ์ทางทวารทั้งหลาย (ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือใจ)

เป็นวิถีจิตในช่วง หรือขั้นตอนที่ทำกรรม (เป็นกุศลชวนะ หรือ อกุศลชวนะ แต่ถ้าเป็นจิตของพระอรหันต์ ก็ไม่ทำกรรม เป็นกิริยาชวนะ) จึงถือว่าอยู่ในช่วงที่สำคัญ, โดยทั่วไป และอย่างมากที่สุด
ปุถุชนในกามภูมิ มีชวนจิตเกิดขึ้น ๗ ขณะ แล้วเกิดตทารมณ์ (ตทาลัมพณะ หรือตทาลัมพนะ ก็เรียก) เป็นวิปากจิตขึ้นมา ๒ ขณะ แล้วก็เกิดเป็นภวังคจิต เรียกกันว่า ตกภวังค์ เป็นอันสิ้นสุดวิถีจิต คือสิ้นสุดการรับอารมณ์ไปวิถีหนึ่ง,

ที่ว่ามานี้ เป็นกรณีที่ รับอารมณ์ที่มีกำลังแรงหรือเด่นชัดมาก (ถ้าเป็นอารมณ์ใหญ่มากทางปัญจทวาร คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เรียกว่า อติมหันตารมณ์ ถ้าเป็นอารมณ์เด่นชัดทางมโนทวาร เรียกว่า วิภูตารมณ์)
แต่ถ้าอารมณ์ที่รับนั้นมีกำลังไม่มากนัก หรือไม่เด่นชัด (คือเป็นมหันตารมณ์ทางปัญจทวาร หรือเป็นอวิภูตารมณ์ทางมโนทวาร)
พอชวนจิตขณะที่ ๗ ดับไป ก็เกิดเป็นภวังคจิตต่อเลย (เรียกว่าตกภวังค์) ไม่มีตทารมณ์เกิดขึ้น, ยิ่งกว่านั้น

ในทางปัญจทวาร ถ้าอารมณ์ที่กระทบ มีกำลังน้อย (เป็นปริตตารมณ์) หรืออ่อนกำลังอย่างยิ่ง (เป็นอติปริตตารมณ์) วิถีจิตจะเกิดขึ้นน้อยขณะ แล้วเกิดเป็นภวังคจิต (ตกภวังค์) โดยไม่มีชวนจิต เกิดขึ้นเลย, ที่ว่ามานั้น เป็นการพูดทั่วไป

ยัง มีข้อพิเศษหลายอย่าง เช่น ในกามภูมินี้แหละ ในกรณีที่อารมณ์อ่อนกำลังชวนจิตเกิดเพียง ๕ ขณะ ในเวลาเป็นลม สลบ ง่วงจัด เมาเหล้า เป็นต้น หรือกรณีมีปสาทวัตถุอ่อนกำลัง ยิ่งอย่างทารกในครรภ์หรือเพิ่งเกิด ชวนจิตเกิดขึ้นเพียง ๔-๕ ขณะ

ส่วน ในภูมิที่สูงขึ้นไป เช่น ในการบรรลุฌานแต่ละขั้นครั้งแรก ในการทำกิจแห่งอภิญญา ในการสำเร็จกิจแห่งมรรค และในเวลาออกจากนิโรธสมาบัติ ชวนจิตเกิดขึ้นขณะเดียว (แต่ในเวลาเข้านิโรธสมาบัติชวนจิตเกิดขึ้น ๒ ขณะ)

สำหรับผู้ ชำนาญในฌาน ชวนจิต (อัปปนาชวนะ) จะเกิด ดับ ต่อเนื่องไปตลอดเวลาที่อยู่ในฌานนั้น อาจจะตลอดทั้งวัน ไม่มีกำหนดจำนวนขณะ (เป็นอัปปนาวิถี ตลอดเวลาที่ฌานจิตยังสืบต่อติดเนื่องกันไป) จนกว่าจะเกิดเป็นภวังคจิตขึ้นมา สันตติของฌานจิตก็ขาดตอน เรียกว่าตกภวังค์ คือออกจากฌาน,


คำว่า "ชวนะ" นี้ ใช้หมายถึงจิต ซึ่งทำหน้าที่รับอารมณ์ในวิถี ก็ได้ หมายถึง การทำหน้าที่ของจิตในการรับอารมณ์นั้น ก็ได้
ถ้าต้องการความหมายให้จำเพาะชัดลงไป ก็เติมคำกำกับลงไปว่า "ชวนจิต" หรือ "ชวนกิจ" ตามลำดับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2018, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยบอกแล้วว่า ลืมตาก็ไม่รู้ กะพริบตาก็ไม่รู้ ต้องหลับตาจึงรู้

ภาคปฏิบัติ มิใช่ไปนั่งแจกแจงวิสยรูป ๗ กายใจ จิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ เป็นต้น อย่างบ้านธัมมะและคุณโรสว่า ไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่ขอรับ ถ้าใครก็แล้วแต๊ คิกๆ ไปนั่งคิดนั่งวาดภาพตามตำราแล้วกระพริบตาเอาอย่างนั้น อย่างเก่งก็ได้แต่ความฟุ้งซ่าน คือ ฟุ้งซ่านทำ :b12: จริงๆนะไม่ใช่พูดเล่น เรื่องอื่นๆเล่นพอเล่นๆได้ แต่เรื่องเอาจริงนะขอรรับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 31 ก.ค. 2018, 11:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2018, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คุณโรสศิษย์บ้านธัมมะซึ่งนำโดยนางสุจินต์ บริหารสุวรรณภูมิ ต้องคิดให้กว้าง อย่าคิดแคบๆ

อ้างคำพูด:
ภิกษุคือสละกิจแบบคฤหัสถ์ไม่มีงานอื่นใดนอกจากศึกษาคำสอนอย่างเดียวคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระ


ที่วัดในประเทศไทยชักชวนอุบาสกอุบาสิกา กุลบุตรกุลธิดา เข้าวัดบวชในรูปแบบต่างๆดังกล่าว ก็เพื่อไปฝึกไปศึกษาคันถธุระ วิปัสสนาธุระนั่นเองแล เขาไปได้เข้าไปนอนกันเฉยๆนะ คุณโรสแม่บริหารฯ เคยเข้าไปร่วมกิจกรรมกับเขาไหม

1. ไม่เคย
2. เคย

ตอบตรงๆ ข้อไหน 1 หรือ 2 :b32:

:b32: :b32: :b32:
ให้ทุกคนเลือกให้ถูกก่อนว่าตนเป็นเพศตามคำสอนเพศไหนมี2แบบ
:b16:
1บรรพชิตคือภิกษุกับภิกษุณีครองวัดกินอยู่หลับนอนที่วัดเพราะพระพุทธเจ้าอนุญาต
และมีหน้าที่คันถธุระและวิปัสสนาธุระไม่เร่ร่อนพเนจรไปนอนนอกวัดคือจำวัดนะจ๊ะ
แล้วก็สละสมบัติญาติพี่น้องเพื่อมามักน้อยสันโดษไม่เบียดเบียนทั้งคนและสัตว์ค่ะ
และทุกคนที่บรรพชาต้องบิณฑบาตเพื่ออาหารของตนเองไม่เผื่อใครเพราะมีมาก
ก็ต้องสละหมดก่อนเที่ยงเก็บสะสมแม้แต่เกลือก็เก็บไม่ได้เลยเพราะแสดงถึงโลภ
ไม่ต้องซื้อหาอะไรเลยแม้ชงกาแฟเองก็มิได้(จะตุนจะหาคนมานอนวัดเพื่อทำถวายรึ)
พระพุทธเจ้าให้วัดเป็นที่อยู่จำวัดของบรรพชิตเท่านั้นคิดให้ตรงว่าตนทำผิดอย่างไร
:b1:
2ฆราวาสหรือคฤหัสถ์ครองคฤหาสน์กินอยู่หลับนอนที่บ้านตัวเองมีหน้าที่
ศึกษาคำสอนทำมาหากินเลี้ยงชีพและครอบครัวสงเคราะห์บรรพชิตด้วย
สงเคราะห์ได้ทุกแบบโดยใช้เงินทองซื้อหามาแจกได้โดยไม่มีอาบัตินะจ๊ะ
แม่ชีคืออุบาสิกานะคะๆๆๆสมควรกลับไปอยู่เรือนตัวเองมีปัญญาคิดถูกตรงไหมคะ
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2018, 11:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คุณโรสศิษย์บ้านธัมมะซึ่งนำโดยนางสุจินต์ บริหารสุวรรณภูมิ ต้องคิดให้กว้าง อย่าคิดแคบๆ

อ้างคำพูด:
ภิกษุคือสละกิจแบบคฤหัสถ์ไม่มีงานอื่นใดนอกจากศึกษาคำสอนอย่างเดียวคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระ


ที่วัดในประเทศไทยชักชวนอุบาสกอุบาสิกา กุลบุตรกุลธิดา เข้าวัดบวชในรูปแบบต่างๆดังกล่าว ก็เพื่อไปฝึกไปศึกษาคันถธุระ วิปัสสนาธุระนั่นเองแล เขาไปได้เข้าไปนอนกันเฉยๆนะ คุณโรสแม่บริหารฯ เคยเข้าไปร่วมกิจกรรมกับเขาไหม

1. ไม่เคย
2. เคย

ตอบตรงๆ ข้อไหน 1 หรือ 2 :b32:

:b32: :b32: :b32:
ให้ทุกคนเลือกให้ถูกก่อนว่าตนเป็นเพศตามคำสอนเพศไหนมี2แบบ
:b16:
1บรรพชิตคือภิกษุกับภิกษุณีครองวัดกินอยู่หลับนอนที่วัดเพราะพระพุทธเจ้าอนุญาต
และมีหน้าที่คันถธุระและวิปัสสนาธุระไม่เร่ร่อนพเนจรไปนอนนอกวัดคือจำวัดนะจ๊ะ
แล้วก็สละสมบัติญาติพี่น้องเพื่อมามักน้อยสันโดษไม่เบียดเบียนทั้งคนและสัตว์ค่ะ
และทุกคนที่บรรพชาต้องบิณฑบาตเพื่ออาหารของตนเองไม่เผื่อใครเพราะมีมาก
ก็ต้องสละหมดก่อนเที่ยงเก็บสะสมแม้แต่เกลือก็เก็บไม่ได้เลยเพราะแสดงถึงโลภ
ไม่ต้องซื้อหาอะไรเลยแม้ชงกาแฟเองก็มิได้(จะตุนจะหาคนมานอนวัดเพื่อทำถวายรึ)
พระพุทธเจ้าให้วัดเป็นที่อยู่จำวัดของบรรพชิตเท่านั้นคิดให้ตรงว่าตนทำผิดอย่างไร
:b1:
2ฆราวาสหรือคฤหัสถ์ครองคฤหาสน์กินอยู่หลับนอนที่บ้านตัวเองมีหน้าที่
ศึกษาคำสอนทำมาหากินเลี้ยงชีพและครอบครัวสงเคราะห์บรรพชิตด้วย
สงเคราะห์ได้ทุกแบบโดยใช้เงินทองซื้อหามาแจกได้โดยไม่มีอาบัตินะจ๊ะ
แม่ชีคืออุบาสิกานะคะๆๆๆสมควรกลับไปอยู่เรือนตัวเองมีปัญญาคิดถูกตรงไหมคะ
:b12:
:b4: :b4:


ถามอย่างตอบอย่าง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2018, 11:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คุณโรสศิษย์บ้านธัมมะซึ่งนำโดยนางสุจินต์ บริหารสุวรรณภูมิ ต้องคิดให้กว้าง อย่าคิดแคบๆ

อ้างคำพูด:
ภิกษุคือสละกิจแบบคฤหัสถ์ไม่มีงานอื่นใดนอกจากศึกษาคำสอนอย่างเดียวคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระ


ที่วัดในประเทศไทยชักชวนอุบาสกอุบาสิกา กุลบุตรกุลธิดา เข้าวัดบวชในรูปแบบต่างๆดังกล่าว ก็เพื่อไปฝึกไปศึกษาคันถธุระ วิปัสสนาธุระนั่นเองแล เขาไปได้เข้าไปนอนกันเฉยๆนะ คุณโรสแม่บริหารฯ เคยเข้าไปร่วมกิจกรรมกับเขาไหม

1. ไม่เคย
2. เคย

ตอบตรงๆ ข้อไหน 1 หรือ 2 :b32:

:b32: :b32: :b32:
ให้ทุกคนเลือกให้ถูกก่อนว่าตนเป็นเพศตามคำสอนเพศไหนมี2แบบ
:b16:
1บรรพชิตคือภิกษุกับภิกษุณีครองวัดกินอยู่หลับนอนที่วัดเพราะพระพุทธเจ้าอนุญาต
และมีหน้าที่คันถธุระและวิปัสสนาธุระไม่เร่ร่อนพเนจรไปนอนนอกวัดคือจำวัดนะจ๊ะ
แล้วก็สละสมบัติญาติพี่น้องเพื่อมามักน้อยสันโดษไม่เบียดเบียนทั้งคนและสัตว์ค่ะ
และทุกคนที่บรรพชาต้องบิณฑบาตเพื่ออาหารของตนเองไม่เผื่อใครเพราะมีมาก
ก็ต้องสละหมดก่อนเที่ยงเก็บสะสมแม้แต่เกลือก็เก็บไม่ได้เลยเพราะแสดงถึงโลภ
ไม่ต้องซื้อหาอะไรเลยแม้ชงกาแฟเองก็มิได้(จะตุนจะหาคนมานอนวัดเพื่อทำถวายรึ)
พระพุทธเจ้าให้วัดเป็นที่อยู่จำวัดของบรรพชิตเท่านั้นคิดให้ตรงว่าตนทำผิดอย่างไร
:b1:
2ฆราวาสหรือคฤหัสถ์ครองคฤหาสน์กินอยู่หลับนอนที่บ้านตัวเองมีหน้าที่
ศึกษาคำสอนทำมาหากินเลี้ยงชีพและครอบครัวสงเคราะห์บรรพชิตด้วย
สงเคราะห์ได้ทุกแบบโดยใช้เงินทองซื้อหามาแจกได้โดยไม่มีอาบัตินะจ๊ะ
แม่ชีคืออุบาสิกานะคะๆๆๆสมควรกลับไปอยู่เรือนตัวเองมีปัญญาคิดถูกตรงไหมคะ
:b12:
:b4: :b4:



นี่แหละถึงบอกว่า บ้านธัมมะ โดยแม่บริหารฯ คิดแยกวัดกับชาวบ้าน นี่ชัดเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2018, 11:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บ้านธัมมะ นำโดยแม่บริหารฯ มีแผนแยกวัดกับชาวบ้านออกจากกัน ถ้ามองให้ลึกเหมือนปราถนาดีแต่ประสงค์ร้ายนะ คิกๆๆ ทำไมล่ะ? เพราะแยกชาวบ้านออกจากวัดได้แล้ว วัดทั่วไทยก็ร้างดิ ทำไมล่ะ? อ้าวก็พระในวัดก็ลูกชาวบ้านในชุมชนชาวพุทธนั่นเอง เมื่อชาวพุทธไม่เข้าวัดไม่ไปวัดไม่บวชแล้ว ต่างคนต่างอยู่วัดก็ร้างเท่านั้นเอง นี่ถึงได้บอกว่า ปรารถนาแต่ประสงค์ร้าย :b14: แม่นี่เหมือนอยู่ในแก๊งมโนทวาราวัชชนะนะ แก๊งนกหวีดสวนลุมพินีวัน :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 108 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร