ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

เมยอยากบอก..
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=56589
หน้า 1 จากทั้งหมด 2

เจ้าของ:  สายน้ำเมย [ 30 ก.ย. 2018, 13:35 ]
หัวข้อกระทู้:  เมยอยากบอก..

กระทู้เดิมมันหาย..เริ่มไหม่คะ..เมยอยากพูดอะไร เมยจะมาพูดในนี้

เพราะปกติไม่ค่อยอ่านกระทู้อื่นๆอยู่แล้ว..ที่ไม่ได้ เกี่ยวข้องกับตนเอง.. :b43:

เจ้าของ:  สายน้ำเมย [ 30 ก.ย. 2018, 13:45 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมยอยากบอก..

อายุเราก็เท่านี้....กี่ปีผ่านมาแล้ว

สอนตัวเองไปได้เท่าไหร่...
.
.
.
ถ้าอายุเราผ่านมาเท่านี้ สอนตัวเองให้ดียังไม่ได้ในเส้นทางอริยมรรค

ก็อย่าเพิ่งไปสอนใคร..เจียมตัวเอง เจียมตัวตนไว้
.
.
.
พึ่งบอกตัวเองว่า สอนตนให้รอดได้ก่อน รอดแล้วเราค่อยเผื่อแผ่ออกไป
.
.
.
เหมือนดั่งพระสัมมาฯ :b8: ที่พาตนเองตรัสรู้ก่อน :b8:

แล้วจึงออกเผยแผ่พระศาสนา เพื่อพาคนออกจากวัฏฏะ.. :b42:



หรือ



อยากแบ่งปัน..

ก็แบ่งปันในฐานะ เพื่อนร่วมทาง ที่กำลังเดินอยู่ ไม่ชี้ใครๆ

ชี้ตัวเอง และหาข้อพร่องของตัวเองเป็นหลัก
.
.
.
บอกตนไว้...เรายังสอนตนเองให้ได้ดียังไม่ได้...อย่าเพิ่งไปสอนคนอื่น :b42:

เจ้าของ:  สายน้ำเมย [ 01 ต.ค. 2018, 13:04 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมยอยากบอก..

เมื่อเราแผ่เมตตาออกไป..แผ่ไปให้ทุกรูปทุกนามแล้ว

อย่าลืม..แผ่ให้ธาตุขันธ์ตัวเอง ด้วยนะ :b36:

การแผ่เมตตา เราแผ่เมตตาให้ธาตุให้ขันธ์ของตัวเราเอง


ไม่ใช่


แผ่ให้ตัวเราเอง..มันคนละเรื่อง คนละเหตุปัจจัย

แผ่เมตตาให้ธาตุให้ขันธ์เราเอง ให้มันเย็น..ให้มันอยู่สบาย ตามครรลองของมัน ตามเหตุปัจจัยของมัน

โดยเรา ไม่ได้เอาลมหายใจของเรา ไปแทรกแซงในธาตุขันธ์นั้น

ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติตามครรลอง อันควร ตามที่มันจะเป็นไป ตามเหตุปัจจัยที่มี
.
.
.
มันถึงว่าได้ว่า...ทุกอย่าง เป็น...ธรรมชาติ... :b53: :b55: :b53:

เจ้าของ:  สายน้ำเมย [ 03 ต.ค. 2018, 11:16 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมยอยากบอก..

...ความสงบ...

เมื่อเราสงบ หรือ ถึงความสงบแล้ว...

ก็ให้อยู่กับความสงบนั้น

เมื่ออยู่ถึงความสงบ เราสงบ มันจะมีคำถามว่า แล้วไงต่อ... ไม่แล้วไงต่อนะ..

อยู่กับความสงบไป จนจิตมันอิ่ม จนมันถอนของมันเอง
.
.
.
การอยู่ในความสงบ เมืื่ออยู่สักพัก สติเราจะบอกว่า แล้วทำอะไรต่อไป..

ให้รู้ตัว และบอกตัวเองไว้เลยว่า เราจะไม่ไปต่อ หรือ ทำอะไรต่อไป..เราจะอยู่กับความสงบนั้น..ไปเรื่อยๆ

...และเรื่อยๆไป...

..จน..
.
.
.
จนมันถอนของมันเอง..ถึงตอนนี้เราก็ไม่จำเป็นต้องฝืนอะไร ปล่อยให้มันถอยออกมา ตามครรลอง

เพราะจิตอิ่มจากความสงบแล้ว
.
.
.
และเมื่อ..เมื่อเราสงบแล้ว และอยู่ในความสงบแล้ว และมันมีคำพูดในจิตว่า แล้วไงต่อ..

ถ้าสติบอกตนเองว่า ให้อยู่กับความสงบนั้นต่อไป..แต่จิตมันดิ้น อยากไปต่อ..

เราลองดัดมันนิดหน่อย ว่าเราคุมมันให้อยู่กับความสงบนั้นต่อได้ไหม

ถ้าได้ ก็อยู่กับความสงบต่อไป...ถ้าไม่ ก็ไม่ต้องฝืน ถอยออกมา ตามที่จิตมันอยากดิ้น
.
.
.
เพราะเมื่อเราอยู่กับความสงบของจิตไม่ได้ เราก็สามารถมาดูจิตตามความเป็นจริงได้

จะดูว่า อ่อ มันดิ้นไปแบบไหน ยังไง เราก็สามารถหยิบ หมวดกายเวทนาจิตธรรม มาดูต่อ ไปต่อไปได้..
.
.
.
การที่จิตอยู่ในความสงบ สมถะ หรือ ในฌาน มันเป็นการเพาะกำลังจิต เพื่อให้จิตมีกำลัง

ในการออกมาดู กายเวทนาจิตธรรมนี่แหละ..ดูตามความเป็นจริงของจิต..ว่า..

จิตเราตอนนี้ ปัจจุบันขณะเป็นอย่างไร..โกรธก็รุ้ตัวอยู่ว่าขณะนี้เราโกรธอยู่

ใจหมองอยู่ก็รู้ตัวว่า ตอนนี้ใจเราหมองอยู่

การรู้ตัว รู้ตัวตนของเราว่า ตอนนี้เราใจหมองอยู่นะ..นี่เป็นการสำเหนียง เป็นการฝึกสัมปชัญญะ

การกำหนดรู้ตัว ว่าตอนนี้ เรารู้อะไรในจิตในกาย ตรงนี้เป็นสติ..ฝึกสติเพื่อไปถึงสัมปชัญญะ
.
.
.
ดังนั้น เมื่อเราอยู่กับสงบไม่ได้ เราก็ออกมาดูจิตตามความเป็นจริงของจิตที่มันเป็น

เพื่อให้จิตเรายอมรับตัวเองว่า จิตเรามีกิเลสตัวนี้ตอนนี้ จิตเรามีอารมณ์อย่างนี้ตอนนี้

การรู้ตามความเป็นจริงในขณะปัจจุบัน มันเป็นการเดินตามกรรมฐานของพระสัมมาฯ

เพื่อสอนเข้าไปในจิตของตัวเอง..ให้จิตมันเกิดความรู้สึกตัว แล้วค่อยๆตื่นและฉลาดขึ้น
.
.
..ทุกอย่างมันต้องใช้เวลา..
.
.
สงบได้สงบ แต่เราจะไม่จมแช่หรือยึดกับความสงบนั้น เพราะการสงบของจิตนานๆ

จะทำให้จิตมีกำลัง มีแรง ที่จะไปดู กายเวทนาจิตธรรม ได้นานและมีสายตาที่คม

และมีกำลังที่จะจับธรรมตัวๆนั้นให้อยู่มือ เพื่อให้เห็นได้ชัดๆทุกแง่ทุกมุม เพื่อให้ปัญญาเกิด
.
.
.
จะเห็นได้ว่า ธรรมทุกธรรมเชื่อมถึงกันได้หมด..ฌานทำให้จิตมีกำลังไปดูสติปัฎฐานสี่

สติปัฎฐานสี่จะมีกำลังปัญญาญานคมกล้า ต้องใช้กำลังจิตที่มีกำลัง ซึ่งก็ได้จากฌานนี่แหละ
.
.
.
ธรรมทุกๆตัวที่เราฝึกเราทำ จึงไม่เสียเปล่า มันสามารถเอื้อนำมา่ใช้ได้หมด

เพียงแค่เราไม่ยึดถือยึดมั่น..ใช้ทุกตัวเป็นเครื่องมือเท่านั้น...

เพื่อให้ไปถึง ในคำว่า..อสังขารธรรม :b8: :b42:

เจ้าของ:  สายน้ำเมย [ 03 ต.ค. 2018, 13:53 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมยอยากบอก..

...อรูปฌาน...

เมื่อเราเดินอรูปฌานไปเรื่อยๆ จนสุด..เมื่อสุดกำลังอรูปณานจะทะลุ..ทะลุไปเจอสมมุติ :b42:

เมื่อเจอสมมุติ จะอยู่ในสภาวะเอ๋อ..เอ๋อเพราะสภาวะสมมุติ

ให้ตั้งสติ ให้รู้ตัวให้มากในช่วงนี้..อย่าไหลไปกับสภาวะสมมุติ

บอกตนเองให้รู้ระลึกเสมอว่า..ที่เราเจอสภาวะแบบนี้ เพราะเกิดจากสภาวะที่เห็นอรูปเต็มอัตรา
.
.
.
แจ้งในอรูปแล้ว :b55:
.
.
.
เมื่อชัดในอรูป จนไปชัดที่สมมุติ..มันจะวนอยู่อย่างนี้ไม่มีกำลังไปต่อได้
.
.
.
ให้ถอนกำลังอรูปลง เพราะกำลังอรูปไม่มีกำลังผลักดันให้เราเดินไปต่อได้

เมื่อเริ่มวนในสมมุติและหาทางออกไม่ได้

ให้ถอนกำลังลงมารูป ในรูปฌาน ให้วนอยู่ในขันธ์ห้า

ยึดรูปเป็นหลักใหญ่ เพื่อเพาะกำลัง และพิจารณาให้เกิดปัญญา

ปัญญาที่เราพิจารณาในรูป ในขันธ์ห้านี่แหละ จะเป็นตัวส่ง กำลังของปัญญาญานของเรา

ให้มีกำลังให้คมขึ้น :b39:
.
.
.
อย่าสนใจอรูปฌาน..ให้ยึดรูปฌาน ให้วนอยู่ในกายเป็นหลัก

จะพิจารณาในหมวดสติปัฎฐานสี่ก็ได้ แต่ให้อยู่ในหมวดกาย เพราะหมวดกายมี 6 บรรพให้พิจารณา

ที่บอกว่า อย่าสนใจอรูปฌาน เพราะเมืื่อจิตเราเผลอ มันจะไปอรูปฌานได้เอง

แต่พอรู้สึกตัว ให้ถอนอรูปฌานนะ..ลงมาอยู่ที่รูปฌานเสมอ

เพื่อฝึกจิตให้ชินกับรูปฌาน ชินกับการพิจารณาขันธ์ห้า

เพราะในอรูปฌาน ไม่มีรูปขันธ์ให้พิจารณา..และไม่มีกายเวทนาจิตธรรมให้พิจารณา

ให้เกาะรูปขันธ์เข้าไว้..เพื่อพิจารณา กาย เวทนาจิตธรรม ที่มีอยู่ในขันธ์ทั้งห้า
.
.
.
เมื่อเผลอมันจะไปอรูปฌาน พอรู้สึกตัว เราจะถอนลงมารูปฌาน

พอเราทำจนจิตชิน พอนึก มันจะลดกำลังลงมาที่รูปฌานได้เอง

เมื่อนึกบ่อยๆ จนจิตชิน ต่อไปมันจะเพิกรูปฌานได้ เป็นอัตโนมัติ :b43:

เพืยงครั้งแรกๆที่เราต้องฝึกให้จิตเกิดความเคยชิน ให้ลงมาที่รูปฌานเสมอๆแค่นั้นเอง
.
.
.
กลับมาที่อรูปฌาน..เมือจิตเราเผลอ มันจะไปตามความเคยชินไปที่อรูปฌาน

มันจะไต่ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่รูปฌานหนึ่งจนไปถึง อรูปฌานหนึ่ง จนไปถึง อรูปฌานสี่

จนทะลุอรูปฌานสี่ ไปเจอ สภาวะสมมุติ ถึงตอนนี้กำลังเราจะเพิ่มขึ้น :b40:

สามารถพิจารณาธรรมในสภาวะสมมุติได้มากขึ้น เทียบรูปกับอรูปในจิต ได้มากขึ้น

เห็นได้รอบขึ้น...กว้างขึ้น...เมื่อตันในสมมติอีก ให้เพิก หรือถอนกำลังลง

ลงมาอยู่ที่รูปฌานหรือในขันธ์ห้าในกายอีก...ทำแบบนี้ซ้ำๆ จนกำลังพอ..
.
.
.
่จนท้ายสุด เมื่อเราถึงสภาวะสมมติ เราสามารถพิจารณาธรรมในสมมุติได้

เห็นรูปและอรูปได้ชัด เทียบกันชัดเจน ปัญญาเราเกิด ในกาย

เห็นชัดว่า อ่อ ขันธ์ห้าเราก็สมมุติ เขาและเราเหมือนกัน..

เหตุใดเราจึงโง่ มีการเปรียบเทียบเกิดขึ้น ว่าเขาดีกว่าเรา เขาเสมอเรา เขาโง่กว่าเรา..
.
.
.
แท้จริงเราโง่เอง.. :b55:

ทั้งๆที่ขันธ์ทั้งห้าทั้งเขาและเราเหมือนกันแท้ๆ แต่เราก็ยังมีการเปรียบเทียบอยู่นั่นแล้ว

เทียบสิ่งสองสิ่ง เทียบเธอและฉันอยู่เสมอ...

พิจารณา ให้รอบให้แจ้งอย่างนี้ ในที่สุดก็จะหลุดภาวะการเอ๋อ ของสภาวะของสมมุติได้
.
.
.
กำลังที่ทำให้หลุดสภาวะสมมุติ หรือการเอ๋อได้ เกิดจากการพิจารณาในกาย

กายในกาย ในขันธ์ทั้งห้า เท่านั้น...มันจึงมีกำลังผลักดันให้เราไปแจ้งในอรูปได้มากขึ้น

ไม่ใช่ อรูปฌานมีกำลัง แล้วจะผลักดันให้หลุดสภาวะสมมุติได้
.
.
.
อรูปฌานสุดแค่ อรูปสี่ แล้วก็นิ่ง นิ่งแล้วก็ถอนกำลัง..

มันไม่ต่างกับ เมื่อเราถึง รูปฌานสี่ และจมแช่อยู่ในสภาวะนั้นจนอิ่ม แล้วถอนกำลังลงมาหรอก

จิตอิ่มแล้วมันก็ถอนของมันเอง อรูปฌานก็เช่นกัน...มันจึงเกิดอาการ..วน..เกิดขึ้น..
.
.
.
วนแล้ววนเล่า ใน รูปฌานหนึ่ง ถึงอรูปฌานสี่..วนอยู่อย่างนี้ตลอดปีตลอดชาติ

ไม่ต่างกับพระอาจารย์ทั้งสองของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย :b8:

กำลังที่ผลักให้ออกจากสมมุติได้ มีทางเดียว คือ ลงมาพิจารณาขันธ์ทั้งห้า

มาอยู่ในรูป...มันเป็นทางเดียวที่ถึงจะทำให้เราเดินต่อ

ทะลุทางตัน ของเราให้เดินไปต่อได้ :b36: :b55: :b53:

เจ้าของ:  สายน้ำเมย [ 04 ต.ค. 2018, 14:10 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมยอยากบอก..

ในพุทธศาสนาคำว่า สัมมาและมิจจา สามารถแยกได้จาก..

ทางสัมมาจะมุ่งเข้าตรงละสังโยชน์เพื่อเข้าถึงพระนิพพานเพียงอย่างเดียว :b42:

ส่วนมิจฉา คือ ทุกทางที่ทำ แล้วไม่มุ่งตรงสู่ การละสังโยชน์ ..:b55:

ใจความหลักๆของสัมมาและมิจฉา มีแค่นี้เอง
.
.
.
อรูปก็เช่นกัน..อรูปมีสองทางคือ ทางมิจฉา และทางสัมมา
.
.
.
ทางมิจฉาของอรูปคือ อรูปฌาน

จริงๆ อรูปฌาน เป็นเพียงสภาวะๆหนึ่งเท่านั้นนเอง แต่เราไปยึดมั่นถือมั่น

มันจึงกลายเป็นสังโยชน์ไป..

ถ้าเราใช้อรูปฌานเป็นเพียงเครื่องมือ..

อรูปฌานจะ เป็นสภาวะธรรมหนึ่งเท่านั้น เพื่อผ่านไปหาสภาวะธรรมตัวอื่นๆต่อไป.. :b54: :b48:
.
.
.
ส่วนทางสัมมาของอรูป คือ..อรูปที่อยู่ในขันธ์ห้าทั้งหมด

คือ เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาน

จะเห็นได้ว่า ทุกตัวของอรูปจะอยู่ในกายของเราทั้งสิ้น

และเราใช้ อรูปพวกนี้ พิจารณาตามหมวดกรรมฐาน

เพืื่อให้จิตแจ้งในไตรลักษณ์และอริยสัจจ์สี่
.
.
.
เมื่อเห็นแจ้งได้ในทั้งรูปและอรูป..ที่มีในขันธ์ทั้งห้าได้แล้ว...

กิเลส ตัณหา อุปาทานมันจะละออก..

มันถึงจะเห็นแจ้งใน อสังขารธรรมได้ :b8: :b42:

เจ้าของ:  โลกสวย [ 04 ต.ค. 2018, 18:09 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมยอยากบอก..

ขอบพระคุณค่ะ

เมื่อไร อยากลงมือปฎิบัติ นะคะ
มาบอกเมได้


เจ้าของ:  สายน้ำเมย [ 04 ต.ค. 2018, 18:30 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมยอยากบอก..

โลกสวย เขียน:
ขอบพระคุณค่ะ

เมื่อไร อยากลงมือปฎิบัติ นะคะ
มาบอกเมได้



:b37: :b38: :b36: :b53:

เจ้าของ:  สายน้ำเมย [ 05 ต.ค. 2018, 15:59 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมยอยากบอก..

...ความเท่าทัน...

เราควรให้ความสำคัญกับการเท่าทัน..

เท่าทันความคิดตัวเองในตอนนี้ ว่าคิดนึกอะไรอยู่..

เท่าทันการพูดการโพสของเรา ว่า ตอนนี้ มันเป็นยังไง..

คิดนึก พูดออกไป เบียดเบียนเขาไหม..พูดแล้วจะเกิดผลอะไรตามมา..

ขณะที่นึกคิดในการเบียดเบียนเขานั้น..กิเลสตัวไหนเกิดในจิตเราบ้าง..

มีตัวไหนบ้างทำงานอยู่ 1234..ว่ากันไป..



การเท่าทันความคิดตัวเอง

ทำให้เราได้นึกคิดให้รอบก่อน ก่อนลงมือทำสิ่งใด..

ทำให้เราเห็นตัวเอง ว่า สิ่งที่เกิดในจิต ขณะที่เราคิดนึก มีอะไรบ้าง..

มันทำให้เกิดการทบทวนตัวเอง เกิดการยับยั้งช่างใจ

และสามารถหาหนทางแก้ไขจิตตัวเองได้ทัน ก่อนที่เราจะลงมือสร้างกรรมลงไป.. :b55:

ปัญญาจะค่อยๆเกิดขึ้นมา เมื่อเราเท่าทันความคิดของตัวเอง :b39:


หรือ


เมื่อเราลงมือกระทำกิจใดๆแล้ว

การรู้เท่าทันกิจที่เราได้ลงมือกระทำลงไป

จะทำให้เราเกิดความไม่ยึดถือมั่นในกิจนั้นๆ

ด้วยปัญญาที่เกิดขึ้นทุกขณะๆที่เราลงมือทำกิจ
.
.
.
การเท่าทันความคิดตัวเอง หรือเท่าทันการกระทำของตัวเองที่ขณะทำอยู่นั้น

มันเป็นผลของการฝึกสติ ตามฐานกายเวทนาจิตธรรม ที่พระสัมมาฯได้บอกสอนไว้ :b8:

เมื่อฝึกจนมีสติมีกำลัง ผลจึงเกิดขึ้น ความเท่าทัันเกิดขึ้น
.
.
.
เราจึงสามารถนำมันมาใช้ได้ :b55:

เจ้าของ:  โลกสวย [ 05 ต.ค. 2018, 19:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมยอยากบอก..

สายน้ำเมย เขียน:
...ความเท่าทัน...

เราควรให้ความสำคัญกับการเท่าทัน..

เท่าทันความคิดตัวเองในตอนนี้ ว่าคิดนึกอะไรอยู่..

เท่าทันการพูดการโพสของเรา ว่า ตอนนี้ มันเป็นยังไง..

คิดนึก พูดออกไป เบียดเบียนเขาไหม..พูดแล้วจะเกิดผลอะไรตามมา..

ขณะที่นึกคิดในการเบียดเบียนเขานั้น..กิเลสตัวไหนเกิดในจิตเราบ้าง..

มีตัวไหนบ้างทำงานอยู่ 1234..ว่ากันไป..



การเท่าทันความคิดตัวเอง

ทำให้เราได้นึกคิดให้รอบก่อน ก่อนลงมือทำสิ่งใด..

ทำให้เราเห็นตัวเอง ว่า สิ่งที่เกิดในจิต ขณะที่เราคิดนึก มีอะไรบ้าง..

มันทำให้เกิดการทบทวนตัวเอง เกิดการยับยั้งช่างใจ

และสามารถหาหนทางแก้ไขจิตตัวเองได้ทัน ก่อนที่เราจะลงมือสร้างกรรมลงไป.. :b55:

ปัญญาจะค่อยๆเกิดขึ้นมา เมื่อเราเท่าทันความคิดของตัวเอง :b39:


หรือ


เมื่อเราลงมือกระทำกิจใดๆแล้ว

การรู้เท่าทันกิจที่เราได้ลงมือกระทำลงไป

จะทำให้เราเกิดความไม่ยึดถือมั่นในกิจนั้นๆ

ด้วยปัญญาที่เกิดขึ้นทุกขณะๆที่เราลงมือทำกิจ
.
.
.
การเท่าทันความคิดตัวเอง หรือเท่าทันการกระทำของตัวเองที่ขณะทำอยู่นั้น

มันเป็นผลของการฝึกสติ ตามฐานกายเวทนาจิตธรรม ที่พระสัมมาฯได้บอกสอนไว้ :b8:

เมื่อฝึกจนมีสติมีกำลัง ผลจึงเกิดขึ้น ความเท่าทัันเกิดขึ้น
.
.
.
เราจึงสามารถนำมันมาใช้ได้ :b55:



การเท่าทันความคิดตัวเอง หรือเท่าทันการกระทำของตัวเองที่ขณะทำอยู่นั้น

มันเป็นผลของการฝึกสติ ตามฐานกายเวทนาจิตธรรม ที่พระสัมมาฯได้บอกสอนไว้ :b8:

เมื่อฝึกจนมีสติมีกำลัง ผลจึงเกิดขึ้น ความเท่าทัันเกิดขึ้น



พี่สายน้ำเมยคะ

อันนี้เม งง มากเรยค่ะ

ว่าความเท่าทัน ที่พี่สายน้ำเมยได้พูดมานั้น นั้น คืออะไรกันแน่


เป็นสติ ที่ความคิดออกมาเท่าไร มากเท่าไร นานเท่าไร ก็มีกำลัง ที่จะติดตามไปกะความคิดไป จนเท่ากัน ทันกัน กะความคิด
หรือเปล่าคะ ?




เจ้าของ:  โลกสวย [ 05 ต.ค. 2018, 19:22 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมยอยากบอก..

สายน้ำเมย เขียน:
...อรูปฌาน...

เมื่อเราเดินอรูปฌานไปเรื่อยๆ จนสุด..เมื่อสุดกำลังอรูปณานจะทะลุ..ทะลุไปเจอสมมุติ :b42:

เมื่อเจอสมมุติ จะอยู่ในสภาวะเอ๋อ..เอ๋อเพราะสภาวะสมมุติ

ให้ตั้งสติ ให้รู้ตัวให้มากในช่วงนี้..อย่าไหลไปกับสภาวะสมมุติ

บอกตนเองให้รู้ระลึกเสมอว่า..ที่เราเจอสภาวะแบบนี้ เพราะเกิดจากสภาวะที่เห็นอรูปเต็มอัตรา
.
.
.
แจ้งในอรูปแล้ว :b55:
.
.
.
เมื่อชัดในอรูป จนไปชัดที่สมมุติ..มันจะวนอยู่อย่างนี้ไม่มีกำลังไปต่อได้
.
.
.
ให้ถอนกำลังอรูปลง เพราะกำลังอรูปไม่มีกำลังผลักดันให้เราเดินไปต่อได้

เมื่อเริ่มวนในสมมุติและหาทางออกไม่ได้

ให้ถอนกำลังลงมารูป ในรูปฌาน ให้วนอยู่ในขันธ์ห้า

ยึดรูปเป็นหลักใหญ่ เพื่อเพาะกำลัง และพิจารณาให้เกิดปัญญา

ปัญญาที่เราพิจารณาในรูป ในขันธ์ห้านี่แหละ จะเป็นตัวส่ง กำลังของปัญญาญานของเรา

ให้มีกำลังให้คมขึ้น :b39:
.
.
.
อย่าสนใจอรูปฌาน..ให้ยึดรูปฌาน ให้วนอยู่ในกายเป็นหลัก

จะพิจารณาในหมวดสติปัฎฐานสี่ก็ได้ แต่ให้อยู่ในหมวดกาย เพราะหมวดกายมี 6 บรรพให้พิจารณา

ที่บอกว่า อย่าสนใจอรูปฌาน เพราะเมืื่อจิตเราเผลอ มันจะไปอรูปฌานได้เอง

แต่พอรู้สึกตัว ให้ถอนอรูปฌานนะ..ลงมาอยู่ที่รูปฌานเสมอ

เพื่อฝึกจิตให้ชินกับรูปฌาน ชินกับการพิจารณาขันธ์ห้า

เพราะในอรูปฌาน ไม่มีรูปขันธ์ให้พิจารณา..และไม่มีกายเวทนาจิตธรรมให้พิจารณา

ให้เกาะรูปขันธ์เข้าไว้..เพื่อพิจารณา กาย เวทนาจิตธรรม ที่มีอยู่ในขันธ์ทั้งห้า
.
.
.
เมื่อเผลอมันจะไปอรูปฌาน พอรู้สึกตัว เราจะถอนลงมารูปฌาน

พอเราทำจนจิตชิน พอนึก มันจะลดกำลังลงมาที่รูปฌานได้เอง

เมื่อนึกบ่อยๆ จนจิตชิน ต่อไปมันจะเพิกรูปฌานได้ เป็นอัตโนมัติ :b43:

เพืยงครั้งแรกๆที่เราต้องฝึกให้จิตเกิดความเคยชิน ให้ลงมาที่รูปฌานเสมอๆแค่นั้นเอง
.
.
.
กลับมาที่อรูปฌาน..เมือจิตเราเผลอ มันจะไปตามความเคยชินไปที่อรูปฌาน

มันจะไต่ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่รูปฌานหนึ่งจนไปถึง อรูปฌานหนึ่ง จนไปถึง อรูปฌานสี่

จนทะลุอรูปฌานสี่ ไปเจอ สภาวะสมมุติ ถึงตอนนี้กำลังเราจะเพิ่มขึ้น :b40:

สามารถพิจารณาธรรมในสภาวะสมมุติได้มากขึ้น เทียบรูปกับอรูปในจิต ได้มากขึ้น

เห็นได้รอบขึ้น...กว้างขึ้น...เมื่อตันในสมมติอีก ให้เพิก หรือถอนกำลังลง

ลงมาอยู่ที่รูปฌานหรือในขันธ์ห้าในกายอีก...ทำแบบนี้ซ้ำๆ จนกำลังพอ..
.
.
.
่จนท้ายสุด เมื่อเราถึงสภาวะสมมติ เราสามารถพิจารณาธรรมในสมมุติได้

เห็นรูปและอรูปได้ชัด เทียบกันชัดเจน ปัญญาเราเกิด ในกาย

เห็นชัดว่า อ่อ ขันธ์ห้าเราก็สมมุติ เขาและเราเหมือนกัน..

เหตุใดเราจึงโง่ มีการเปรียบเทียบเกิดขึ้น ว่าเขาดีกว่าเรา เขาเสมอเรา เขาโง่กว่าเรา..
.
.
.
แท้จริงเราโง่เอง.. :b55:

ทั้งๆที่ขันธ์ทั้งห้าทั้งเขาและเราเหมือนกันแท้ๆ แต่เราก็ยังมีการเปรียบเทียบอยู่นั่นแล้ว

เทียบสิ่งสองสิ่ง เทียบเธอและฉันอยู่เสมอ...

พิจารณา ให้รอบให้แจ้งอย่างนี้ ในที่สุดก็จะหลุดภาวะการเอ๋อ ของสภาวะของสมมุติได้
.
.
.
กำลังที่ทำให้หลุดสภาวะสมมุติ หรือการเอ๋อได้ เกิดจากการพิจารณาในกาย

กายในกาย ในขันธ์ทั้งห้า เท่านั้น...มันจึงมีกำลังผลักดันให้เราไปแจ้งในอรูปได้มากขึ้น

ไม่ใช่ อรูปฌานมีกำลัง แล้วจะผลักดันให้หลุดสภาวะสมมุติได้
.
.
.
อรูปฌานสุดแค่ อรูปสี่ แล้วก็นิ่ง นิ่งแล้วก็ถอนกำลัง..

มันไม่ต่างกับ เมื่อเราถึง รูปฌานสี่ และจมแช่อยู่ในสภาวะนั้นจนอิ่ม แล้วถอนกำลังลงมาหรอก

จิตอิ่มแล้วมันก็ถอนของมันเอง อรูปฌานก็เช่นกัน...มันจึงเกิดอาการ..วน..เกิดขึ้น..
.
.
.
วนแล้ววนเล่า ใน รูปฌานหนึ่ง ถึงอรูปฌานสี่..วนอยู่อย่างนี้ตลอดปีตลอดชาติ

ไม่ต่างกับพระอาจารย์ทั้งสองของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย :b8:

กำลังที่ผลักให้ออกจากสมมุติได้ มีทางเดียว คือ ลงมาพิจารณาขันธ์ทั้งห้า

มาอยู่ในรูป...มันเป็นทางเดียวที่ถึงจะทำให้เราเดินต่อ

ทะลุทางตัน ของเราให้เดินไปต่อได้ :b36: :b55: :b53:




"อรูปฌานสุดแค่ อรูปสี่ แล้วก็นิ่ง นิ่งแล้วก็ถอนกำลัง..

มันไม่ต่างกับ เมื่อเราถึง รูปฌานสี่ และจมแช่อยู่ในสภาวะนั้นจนอิ่ม แล้วถอนกำลังลงมาหรอก

จิตอิ่มแล้วมันก็ถอนของมันเอง อรูปฌานก็เช่นกัน...มันจึงเกิดอาการ..วน..เกิดขึ้น.."


แบบ อันนี้

เมก็ งง มากเรยค่ะ พี่สายน้ำเมย

จิตนั่นอิ่ม หรือกลับยิ่ง หิวโหย โรยแรง

จนต้องออกไป แสวงหาอาหารจากที่อื่นมาเพิ่มเติมอีก หรือเปล่าคะ ?


เจ้าของ:  โลกสวย [ 05 ต.ค. 2018, 19:36 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมยอยากบอก..

"มันเป็นผลของการฝึกสติ ตามฐานกายเวทนาจิตธรรม ที่พระสัมมาฯได้บอกสอนไว้"


อันนี้เม ก็ งง มากเรยค่ะ

ว่า "ฐานกายเวทนาจิตธรรม "

คำว่าฐานนี้ อยู่ที่ไหน ลักษณะ ยังไงคะ ?


เจ้าของ:  สายน้ำเมย [ 05 ต.ค. 2018, 20:31 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมยอยากบอก..

โลกสวย เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
...ความเท่าทัน...

เราควรให้ความสำคัญกับการเท่าทัน..

เท่าทันความคิดตัวเองในตอนนี้ ว่าคิดนึกอะไรอยู่..

เท่าทันการพูดการโพสของเรา ว่า ตอนนี้ มันเป็นยังไง..

คิดนึก พูดออกไป เบียดเบียนเขาไหม..พูดแล้วจะเกิดผลอะไรตามมา..

ขณะที่นึกคิดในการเบียดเบียนเขานั้น..กิเลสตัวไหนเกิดในจิตเราบ้าง..

มีตัวไหนบ้างทำงานอยู่ 1234..ว่ากันไป..



การเท่าทันความคิดตัวเอง

ทำให้เราได้นึกคิดให้รอบก่อน ก่อนลงมือทำสิ่งใด..

ทำให้เราเห็นตัวเอง ว่า สิ่งที่เกิดในจิต ขณะที่เราคิดนึก มีอะไรบ้าง..

มันทำให้เกิดการทบทวนตัวเอง เกิดการยับยั้งช่างใจ

และสามารถหาหนทางแก้ไขจิตตัวเองได้ทัน ก่อนที่เราจะลงมือสร้างกรรมลงไป.. :b55:

ปัญญาจะค่อยๆเกิดขึ้นมา เมื่อเราเท่าทันความคิดของตัวเอง :b39:


หรือ


เมื่อเราลงมือกระทำกิจใดๆแล้ว

การรู้เท่าทันกิจที่เราได้ลงมือกระทำลงไป

จะทำให้เราเกิดความไม่ยึดถือมั่นในกิจนั้นๆ

ด้วยปัญญาที่เกิดขึ้นทุกขณะๆที่เราลงมือทำกิจ
.
.
.
การเท่าทันความคิดตัวเอง หรือเท่าทันการกระทำของตัวเองที่ขณะทำอยู่นั้น

มันเป็นผลของการฝึกสติ ตามฐานกายเวทนาจิตธรรม ที่พระสัมมาฯได้บอกสอนไว้ :b8:

เมื่อฝึกจนมีสติมีกำลัง ผลจึงเกิดขึ้น ความเท่าทัันเกิดขึ้น
.
.
.
เราจึงสามารถนำมันมาใช้ได้ :b55:



การเท่าทันความคิดตัวเอง หรือเท่าทันการกระทำของตัวเองที่ขณะทำอยู่นั้น

มันเป็นผลของการฝึกสติ ตามฐานกายเวทนาจิตธรรม ที่พระสัมมาฯได้บอกสอนไว้ :b8:

เมื่อฝึกจนมีสติมีกำลัง ผลจึงเกิดขึ้น ความเท่าทัันเกิดขึ้น



พี่สายน้ำเมยคะ

อันนี้เม งง มากเรยค่ะ

ว่าความเท่าทัน ที่พี่สายน้ำเมยได้พูดมานั้น นั้น คืออะไรกันแน่


เป็นสติ ที่ความคิดออกมาเท่าไร มากเท่าไร นานเท่าไร ก็มีกำลัง ที่จะติดตามไปกะความคิดไป จนเท่ากัน ทันกัน กะความคิด
หรือเปล่าคะ ?





ในเวลาปฎิบัติ...กำลังทำอยู่...เราจะนึกบัญญัติไม่ออกหรอกคะ

เพราะเราจะใช้จิต ความรู้สึกในใจเราเป็นใหญ่ตอนพิจารณาธรรม..

เวลาเรานึกออก มันจะเป็นคำบ้านๆเท่านั้น
.
.
เท่าทันกิเลสในจิตเราตอนนั้น เท่าทันสังขารเราที่กำลังทำงานอยู่ตอนนั้น

เท่าทันเวทนา สัญญา เราในตอนนั้น...

ความเท่าทัน มันเกิดจากการรู้รอบแล้ว หรือรู้รอบในขันธ์ทั้งห้าเพียงบางส่วน
.
.
.
การรู้เท่าทัน หรือรู้รอบ...เมื่อเรามาทบทวนเข้ากับบัญญัติ

จะตรงกับคำว่า...สัมปชัญญะ...พอดีคะ

ลักษณะของการเท่าทันของเรา เมื่อเทียบเข้า บัญญัติที่ได้บรรยายไว้

จะตรงกับ..คำว่า สัมปชัญญะ..เป๊ะ...ไม่ขาดไม่เกิน
.
.
.
เวลากำลังปฎิบัติจะใช้อีกคำหนึ่ง

แต่เมื่อเทียบบัญญัติ จะตรงกับอีกอักษรหนึ่งเท่านั้นเอง

ต่างกันแค่อักษรและพยัญชนะ เท่านั้นเองนะคะ :b48: :b53:
.
.
.
ไม่แน่ใจว่าตอบตรงกับคำถามไหมนะคะ.. :b53:

สติคือการระลึกรู้ กำหนดรู้ เจาะจงที่จะไปรู้(สมถะ)

ตัวรู้ตัวทั่วพร้อม พร้อมไปทั้งกายใจว่า..อะไรกำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้..

ตัวนี้ สัมปชัญญะ(ปัญญา หรืออีกชื่อหนึ่งว่า..ปัญญาญาน) :b53:

เจ้าของ:  สายน้ำเมย [ 05 ต.ค. 2018, 20:47 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมยอยากบอก..

โลกสวย เขียน:
"มันเป็นผลของการฝึกสติ ตามฐานกายเวทนาจิตธรรม ที่พระสัมมาฯได้บอกสอนไว้"


อันนี้เม ก็ งง มากเรยค่ะ

ว่า "ฐานกายเวทนาจิตธรรม "

คำว่าฐานนี้ อยู่ที่ไหน ลักษณะ ยังไงคะ ?



สติที่อยู่ในฐานกายเวทนาจิตธรรม คือ

การฝึกสติในหมวดต่างๆ ของสติปัฎฐานสี่คะ

คือ หมวดกายา มี หกบรรพย่อย หมวดเวทนา หมวดจิตตา และหมวดธรรมมา
.
.
.
สติปัฎฐานสี่ เมื่อสติเกิดตามฐานต่างๆได้เป็นอัตโนมัติ แรกๆจะเป็นสมถะอยู่

เมื่อจิตเราตั้งมั่นในฐานทั้งสี่ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยที่เกิดนานๆ

ปัญญาเราจะค่อยๆเกิดขึ้นมาคะ..

มันจะค่อยๆเท่าทัน การทำงานของขันธ์ห้า

มันจะค่อยๆเท่าทันกิเลสตัณหาอุปาทาน ที่เจือมาพร้อมกับการทำงานของขันธ์ห้า

หรือพูดง่ายๆ เราจะพูดว่า

เราจะค่อยๆเห็นกิเลสที่มันเจือมากับอารมณ์ของเรา ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
.
.
เมื่อมันเห็นชัด ด้วย สติ(ปัฏฐาน)...

สติที่ตั้งมั่นในฐานทั้งสี่นานๆ(สมาธิเกิด)...

มันก็ค่อยๆรู้เท่าทันการทำงานของขันธ์ห้าและเท่าทันกิเลส

ที่เจือมากับขันธ์ห้าจึงเกิดขึ้น(ปัญญา)..

ซึ่งมันจะเป็นไปตามลำดับ ของ อินทรีย์ห้าและพละห้าคะ

เจ้าของ:  โลกสวย [ 05 ต.ค. 2018, 21:10 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เมยอยากบอก..

ขอบพระคุณค่ะ พี่สายน้ำเมย

ขออนุโมทนาด้วยนะคะ

ไม่เป็นไรค่ะ ตอบไม่ตรงที่เมถามหรอกค่ะ

แต่เมว่าอย่างนี้ ค่ะ

ฐานของสติ ในสติปัฎฐาน จะเป็นตัวทำให้รู้ ว่าทำอยู่อย่างมีสติ หรือสติขาดหลุดลอยไปนอกฐาน

สติ ที่มีกำลัง คือ สติ ที่มั่น ไม่เอนเอียง ไม่ได้ตามความคิดไป สติไม่ขาด ไม่หลุดลอยไปกับความคิด

อาหารของสติ คือเวลาที่สติรู้ตัว ทั่วพร้อมอยุ่ ว่า ไม่ไหลเข้าใป และขนะหลุดออกจากพันธนาการค่ะ


หน้า 1 จากทั้งหมด 2 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/