วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 18:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 356 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12 ... 24  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 16:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
สาธุ งั้น ความอุ่นใจ ๔ นี้ก็ใช้ได้กับที่ท่านเอกอนกล่าวว่า ถ้าสละแล้วไปนิพพานไม่ได้ และหากนิพพานไม่มีจริง สละแล้วไม่ได้บุญ ไม่ได้กุศล หรือตายแล้วสูญเพราะไม่มีโลกหน้าอีก หรือเวียนว่ายตายเกิดไม่สิ้นสุด สละให้คนที่ชัง คนที่ไม่รู้จัก จะยังสละอยู่มั้ย สละเพื่ออะไร ใช่มั้ยครับ


บางทีอ่านคำถาม เอกอนก็จะยังคงมีความงงงงคำถามอยู่บ้าง :b32: :b9:
คือเรื่องความอุ่นใจ 4 มันคงจะมีพัฒนาการของมันน่ะ
จากความเชื่อว่าทำดีจะได้ดี ก็เป็นความอุ่นใจว่าทำดีจะต้องมีทีไปอันดี
จากความอุ่นใจที่คุ้นชิน มันก็เป็นความไม่กังวล มันจะมีความลาดไปของพัฒนาการของมัน

ความอุ่นใจ 4 มันเป็นการชี้ไปในผลไปในอนาคต
ซึ่งในการปฏิบัติ เราต้อง ตัดอาลัยในอดีต ตัดอาลัยในอนาคต

ซึ่งไม่ได้อยู่ในธรรมบท อุ่นใจ ว่าจะต้องตัด
แต่มันเป็นสิ่งที่อยู่ในธรรมบทอื่น เพื่อการก้าวข้ามผ่าน

การตัดความกังวลไปในอดีต-อนาคต
จิตจะตั้งอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ที่จะรับรู้ผล
อย่างเราเดิน ๆ ไป แล้วเรายื่นแอปเปิ้ลให้เด็ก เด็กหันมาทำหน้าแปลกใจ
แต่ก็ยืนมือมารับ ส่งยิ้มกว้างกลับมา พร้อมกับกล่าวขอบคุณครับ ... :b32:
ผล ณ เวลานั้นที่ปรากฎ ความไม่กังวลไปในอดีต และอนาคต มันทำให้จิตซึมซับกับผล ณ ปัจจุบัน
ณ ช่วงเวลานั้น ถ้าใคร In จัด ๆ บางทีก็อาจจะรู้สึกแทบจะเหมือนว่า
เรากับเด็กมีการเชื่อมใจสู่ใจ ชั่วขณะ

ซึ่งถ้าเราไปคิดถึง สวรรค์ นิพพาน โน่น นี่ นั่น
เราจะเห็นผลที่อยู่ต่อหน้าที่กำลังปรากฏเป็นสิ่งที่ไม่ใช่
เราจะไม่เข้าไปสัมผัส และไม่เข้าไปซึมซับมัน อาจะเข้าไป
แต่ทิฐิมันจะดึงเราออกไป เพราะมันมองว่า ไม่ใช่

นี่คือการเปรียบเทียบกับสิ่งที่มองเห็น จับต้องได้

ในเรื่องของการปฏิบัติ มันก็จะคล้าย ๆ กับว่า เราจะทำยังไง
ให้ธรรมชาติเปิดรอยยิ้มกลับมาให้เรา และทำให้เกิดความรู้สึกที่เราเป็นหนึ่งเดียวกับธรรม
ถ้าได้ทำแล้ว และมันปรากฏ ก็แค่ซึมซับสิ่งที่ปรากฏ ณ ตรงนั้น ตอนนั้น
ผู้ปฏิบัติต้องทรงตัวอยู่ในอารมณ์ปัจจุบันที่ปรากฏ ไม่ให้ทิฐิใดลากไป

แล้วคราวนี้จะบอกอะไรกับตัวเอง ก็ค่อยบอก เน๊อะ :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 05 ธ.ค. 2018, 16:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 16:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แค่อากาศ เขียน:

.. แต่ถ้าขณะนั้นมีญาณรู้ล่ะครับว่าต้องสละอย่างนี้เพื่อตัดตรงนี้ แล้วจะได้สิ่งนี้ๆกลับมา จึงสละอย่างนี้เป็นไปได้มั้ยครับ


ความเห็นนะ..ไม่น่าจะมีญาณ...อย่างนั้นหรอกครับ...

ที่ว่า ต้องสละอย่างนี้..เพื่อตัดตรงนี้....นี้.เป็นความคิดครับ...

ตอน..สละ..จริงๆ...จะไม่ได้ต้องการอะไร...

ก็มีปัญหาว่า...อ้าวแล้ว...ทานลูกทานเมีย..เพื่อโพธิญาณ..ละ?..มิใช่เพราะมีญาณรู้ว่า..ทำอย่างนี้เพื่อให้ได้อย่างนั้น..ไม่ใช่หรือ?

(เลยเป็นที่มาให้คนนอกโจมตีทำนองว่า...โพธิสัตว์พุทธเราเห็นแก่ตัว)

อันนี้...ไม่ทราบจริงๆว่าตอนนั้นพระโพธิสัตว์รู้สึกอย่างไร...ก็เป็นแต่เพียงการคาดเดา..ก็ไมรู้จริงไม่จริงอย่างไร...

แต่ในที่นี้..พูดถึงสาวกภูมิ...ความคิดว่า..สละอันนี้เพื่อจะตัดอะไรได้..นั้น...ยังไม่ใช่ญาณ...เป็นระดับความคิด...การสละนั้น...ก็กลายเป็นการฝึกตน..เฉยๆ

ถามว่า...การจะเอาพรหมวิหาร๔ มาเป็นวิปัสสนาได้มั้ย?

แต่ผมกลับเห็นว่าวิปัสสนาญาณ..ต่างหาก..ทำให้เกิดพรหมวิหาร๔ ได้สมบูรณ์..

คือ เราสัมผัสอยู่กับธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา
ก็แค่สัมผัส ก็จะเหมือนกับเราฟังเด็กพูดน่ะ เขาจะเดินเข้ามาสะกิดเราบอก
ขอน้ำส้มด้วยครับ :b12:

เมื่อปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ผู้ปฏิบัติจะได้รับแรงสะท้อนจากธรรมชาติ
และเมื่อปฏิบัติ ทวนกระแส นั่นคือ วิถีมันจะเป็นการค่อย ๆ คืนสู่สามัญ
กระแสของเราไปแตะกับธรรมด้วยวิถีสลัดคืน
ธรรมก็สะท้อนกลับมาหาเราด้วยพลังนั้น เหมือนเอกอนยิ้มให้อ๊บซ์ อ๊บซ์ก็ยิ้มกลับ
เมื่อเรากำลังสลัด ธรรมก็สะท้อนพลังกันกลับไปกลับมา
และธรรมจะสะท้อนสิ่งที่เป็นแรงที่เรายังยึดเหนี่ยวออกมาให้เราเห็น
ที่เห็น เพราะ เมื่อเราเดินจิตทวนกระแส ถ้าหากว่าสิ่งใดที่เกาะติดอยู่และเดินตามกระแสอยู่
จิตจะเห็น แล้วเขาจะรู้สึกคัน ๆ เอง :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 16:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แค่อากาศ เขียน:

.. แต่ถ้าขณะนั้นมีญาณรู้ล่ะครับว่าต้องสละอย่างนี้เพื่อตัดตรงนี้ แล้วจะได้สิ่งนี้ๆกลับมา จึงสละอย่างนี้เป็นไปได้มั้ยครับ


ความเห็นนะ..ไม่น่าจะมีญาณ...อย่างนั้นหรอกครับ...

ที่ว่า ต้องสละอย่างนี้..เพื่อตัดตรงนี้....นี้.เป็นความคิดครับ...

ตอน..สละ..จริงๆ...จะไม่ได้ต้องการอะไร...

ก็มีปัญหาว่า...อ้าวแล้ว...ทานลูกทานเมีย..เพื่อโพธิญาณ..ละ?..มิใช่เพราะมีญาณรู้ว่า..ทำอย่างนี้เพื่อให้ได้อย่างนั้น..ไม่ใช่หรือ?

(เลยเป็นที่มาให้คนนอกโจมตีทำนองว่า...โพธิสัตว์พุทธเราเห็นแก่ตัว)

อันนี้...ไม่ทราบจริงๆว่าตอนนั้นพระโพธิสัตว์รู้สึกอย่างไร...ก็เป็นแต่เพียงการคาดเดา..ก็ไมรู้จริงไม่จริงอย่างไร...

แต่ในที่นี้..พูดถึงสาวกภูมิ...ความคิดว่า..สละอันนี้เพื่อจะตัดอะไรได้..นั้น...ยังไม่ใช่ญาณ...เป็นระดับความคิด...การสละนั้น...ก็กลายเป็นการฝึกตน..เฉยๆ

ถามว่า...การจะเอาพรหมวิหาร๔ มาเป็นวิปัสสนาได้มั้ย?

แต่ผมกลับเห็นว่าวิปัสสนาญาณ..ต่างหาก..ทำให้เกิดพรหมวิหาร๔ ได้สมบูรณ์..



สาธุ ครับท่านกบเจริญใจดีแล้วครับ

ทำให้ผมนึกถึงอย่างหนึ่งว่า พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ต้องสบพลูกเมีย (มีในพุทธวงศ์) เพื่อทานบารมีโดยไม่หวั่นไหว นั้นต้องเป็นเพราะบารมีท่านสะสมมามากจนถึงคราวที่ควรสละใช่มั้ยครับ

สาธุ สาธุ สาธุ

อย่างนี้เราต้องทำมากเท่าไหรหนอถึงจะเต็มกำลังใจได้เนาะท่านกบ หรือต้องทำจาคานุสสติบ่อยๆหากเราไม่รู้บุพกรรมตน

s006 s006 s006

เช่นว่า..สมมติว่าคุณกบไม่รู้ธรรมไม่รู้พระพุทธศาสนา เมื่อสมัยยังหนุ่ม ยังไม่มีภรรยา ได้คบหาสาวสวยคนหนึ่งหมายหมั้นกันไว้ แล้วมีอันต้องเลิกรากันไปตามปะสาวัยรุ่น คุณกบก็เสียใจ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ มีใจเข้านึดครองสาวสวยคู่หมายหมั้นคนนั้นไม่ขาดกัน ยิ่งผูกยิ่งเสียใจทุกข์ทรมานแทบใจจะขาดดิ้น มาวันหนึ่งคุณกบเห็นสาวสวยกับแฟนใหม่โดยที่ใจยังยึกครองอยู่ทำให้ทุรนทุรายใจนัก ปารถนาให้เขากลับมา กลับมา กลับมา ไม่ยอมให้จากไป แต่ทำทุกวิธีก็หมดหนทางกลับคืนมาดังเดิม คนกบเสียใจระทมช่วงขณหนึ่งเกิดความรู้สึกนึกคิดแว๊บขึ้นว่า ขณะที่ใจคุณกบเข้ายึดครองสาวสวนนั้นคุณกบทุกข์ ในขณะเดียวกันเมื่อคุณกบเอาใจเข้ายึดครองเขาทั้งๆที่เลิกรากันแล้ว เมื่อเขาไปมีอะไรกับใคร ก็เท่ากับเราทำให้เขาผิดประพฤติผิด เพราะใจเรายังครอบครองเขาอยู่มีเขาในอานัติใจตนด้วยความเป็นคู่หมั้นคู่หมายนั้น ดังนี้แล้วหากเรายังเอาใจเข้ายึดคนองเธออยู่ไม่เพียงแต่เราที่ทุกข์ แจ่ยังทำให้เธอต้องมัวหมองด้วย หากเรารักเธอจริงเราก็ควรจะเอื้อเฟื้อสงเคราะห์แก่เธอ ทพความสละเธอเสียเพื่อความเศร้าหมองกายใจจะไม่เกิดมีแก่เธอ คุณกบก็ทำความสงเคราะห์นั้นแล้วสละคืนเธอไปให้มีชิวิตมีอิสระสุขที่เธอหมายปอง

แต่ขณะนั้นท่านกบกลับเกิดความรู้สึกวืดขึ้น แล้วเกิดกิริยาที่ตัด ดับ ว่างโล่ง ไม่มี จิตเปลื้องจากความหวงแหน ไม่มีใจเข้ายึดครองเธออีก คุณกบดำรงอยู่ด้วยจิตเกษมเปรมปรีย์ เบาเย็นใจ ซาบซ่านกายใจไม่เร่าร้อน

อย่างนี้ถือเป็นบารมีทานแสดงผลด้วยไหมครับ เพราะมีทานสะสมมาด้วยในกาลก่อน แม้เราจะไม่รู้ระลึกชาติไม่ได้ก็ตาม แต่เมื่อมันมีมากแล้วถึงคราวมันแสดงออกมาเอง..


..ถ้าจะกล่าวถึงความรู้สึกของพระโพธิสัตว์กับเรามันเทียบไม่ได่เลยเราแค่เศษในเศษในเศษฝุ่นติดปลายพระบาทของพระองค์ ผมเพียงแต่เทียบเคียงถึงความรู้สึก การกระทำในทางนี้ๆเป็นต้นหรือไม่

..คิดต่อตามปะสาคนหล่อครับท่านกบ อิอิ

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 05 ธ.ค. 2018, 16:45, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 16:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
ตั้งคำถามใหม่ต่อนะครับสมองกำลังเปิดกว้างครับ อิอิ

แล้วเอาพรหมวิหาร ๔ ให้เป็นวิปัสสนายังไงครับ


:b32: แต่ละคำถาม คำตอบมันยาวนะ

เพราะ แต่ละอย่างมันก็มีพัฒนาการ
เริ่มต้นปฏิบัติจะศีล ก็ศีลทะลุ ปะปุกันไป
มันก็เริ่มจาก ห้าม ถ้าแค่ ห้าม ไม่มีกำลัง
ก็ต้องเอาความเชื่อเรื่องบาป-บุญ เอาพรหมวิหารมาลากจูง
เมื่อมันเริ่มจะ ทรงตัวในศีลได้แล้วทางกาย-ทางวาจา
แต่ก็จะเห็นงานต่อไปที่ต้องทำ เพราะทางใจมันก็ยังมีของขึ้น :b32:

แต่นั่น กาย(วาจา) ระงับ นั่นแสดงว่า อาการทางกายสงบลงแล้ว
ซึ่งเมื่อมันสงบ ก็จะเป็นช่วงเวลาที่
ผู้ปฏิบัติเห็นชัดขึ้นว่ามันจะ ไม่สงบ มันก็เริ่มแสดงออกมาทางใจนี่ล่ะ

ซึ่งการทำศีล/พรหมวิหารให้เจริญ ตรงนี้ มันไม่ได้เล่นที่ศีลหรือพรหมวิหารโดยตรง
มันเป็นการไป พิจารณาในเรื่อง กิเลส
และ กิเลส ที่จะถูกหยิบนำมาเล่นตอนนี้คือ การพิจารณาในเรื่อง กามคุณ
คือ อารมณ์เกิดขึ้นที่จิต เห็นแล้ว แต่ผู้ปฏิบัติควบคุมไม่ให้มันส่งออกไปทาง กาย-วาจา ได้
ก็เป็นช่วงเวลาที่ จิตจะได้หยิบเอาอารมณ์นั้น ๆ ขึ้นมาพิจารณา กามคุณ
เชื่อเถอะว่า ทุกคนมีเรื่องให้พิจารณาเยอะ

ซึ่ง ศีล กับ พรหมวิหาร ก็จะเจริญขึ้น

การปฏิบัติที่เอกอนเข้าใจ คือ การใช้ธรรมเข้ามาพิจารณาขัดเกลาน่ะ

:b32:

ปล.ไว้ก่อน ความเห็นเอกอนอาจจะเพี้ยน ๆ แปลก ๆ ไปมากบ้าง น้อยมาก
คือ เอกอนก็พยายามว่าไปเรื่อยตามความเข้าใจ

ผู้อ่านที่ติดตาม อะไรที่พองามก็พิจารณาไป
อะไรที่เกินงาม :b32: ก็ละไว้ อย่าเก็บไปพิจารณาให้รก น๊ะจ๊ะ

:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 16:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ตั้งคำถามใหม่ต่อนะครับสมองกำลังเปิดกว้างครับ อิอิ

แล้วเอาพรหมวิหาร ๔ ให้เป็นวิปัสสนายังไงครับ


:b32: แต่ละคำถาม คำตอบมันยาวนะ

เพราะ แต่ละอย่างมันก็มีพัฒนาการ
เริ่มต้นปฏิบัติจะศีล ก็ศีลทะลุ ปะปุกันไป
มันก็เริ่มจาก ห้าม ถ้าแค่ ห้าม ไม่มีกำลัง
ก็ต้องเอาความเชื่อเรื่องบาป-บุญ เอาพรหมวิหารมาลากจูง
เมื่อมันเริ่มจะ ทรงตัวในศีลได้แล้วทางกาย-ทางวาจา
แต่ก็จะเห็นงานต่อไปที่ต้องทำ เพราะทางใจมันก็ยังมีของขึ้น :b32:

แต่นั่น กาย(วาจา) ระงับ นั่นแสดงว่า อาการทางกายสงบลงแล้ว
ซึ่งเมื่อมันสงบ ก็จะเป็นช่วงเวลาที่
ผู้ปฏิบัติเห็นชัดขึ้นว่ามันจะ ไม่สงบ มันก็เริ่มแสดงออกมาทางใจนี่ล่ะ

ซึ่งการทำศีล/พรหมวิหารให้เจริญ ตรงนี้ มันไม่ได้เล่นที่ศีลหรือพรหมวิหารโดยตรง
มันเป็นการไป พิจารณาในเรื่อง กิเลส
และ กิเลส ที่จะถูกหยิบนำมาเล่นตอนนี้คือ การพิจารณาในเรื่อง กามคุณ
คือ อารมณ์เกิดขึ้นที่จิต เห็นแล้ว แต่ผู้ปฏิบัติควบคุมไม่ให้มันส่งออกไปทาง กาย-วาจา ได้
ก็เป็นช่วงเวลาที่ จิตจะได้หยิบเอาอารมณ์นั้น ๆ ขึ้นมาพิจารณา กามคุณ
เชื่อเถอะว่า ทุกคนมีเรื่องให้พิจารณาเยอะ

ซึ่ง ศีล กับ พรหมวิหาร ก็จะเจริญขึ้น

การปฏิบัติที่เอกอนเข้าใจ คือ การใช้ธรรมเข้ามาพิจารณาขัดเกลาน่ะ

:b32:

ปล.ไว้ก่อน ความเห็นเอกอนอาจจะเพี้ยน ๆ แปลก ๆ ไปมากบ้าง น้อยมาก
คือ เอกอนก็พยายามว่าไปเรื่อยตามความเข้าใจ

ผู้อ่านที่ติดตาม อะไรที่พองามก็พิจารณาไป
อะไรที่เกินงาม :b32: ก็ละไว้ อย่าเก็บไปพิจารณาให้รก น๊ะจ๊ะ

:b13: :b13: :b13:



สาธุ สาธุ สาธุ ท่านเอกอนกล่าวไว้ดีแล้วครับเป็นการสืบต่อที่เจริญใจยิ่งครับ

----------------

5555 เราสนทนาธรรมให้เป็นความรู้แก่ผู้เข้ามาอ่าน แล้วเพื่อความเจริญใจ สั้น ยาวไม่สำคัญครับ
หนุกหนานๆๆๆๆ

อิอิ

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 05 ธ.ค. 2018, 16:50, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 16:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
สาธุ ครับท่านกบเจริญใจดีแล้วครับ

ทำให้ผมนึกถึงอย่างหนึ่งว่า พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ต้องสบพลูกเมีย (มีในพุทธวงศ์) เพื่อทานบารมีโดยไม่หวั่นไหว นั้นต้องเป็นเพราะบารมีท่านสะสมมามากจนถึงคราวที่ควรสละใช่มั้ยครับ

สาธุ สาธุ สาธุ

อย่างนี้เราต้องทำมากเท่าไหรหนอถึงจะเต็มกำลังใจได้เนาะท่านกบ หรือต้องทำจาคานุสสติบ่อยๆหากเราไม่รู้บุพกรรมตน



:b32: :b32: A-Gard อาลัย ลูกเมียเหย๋ออออ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 16:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
สาธุ ครับท่านกบเจริญใจดีแล้วครับ

ทำให้ผมนึกถึงอย่างหนึ่งว่า พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ต้องสบพลูกเมีย (มีในพุทธวงศ์) เพื่อทานบารมีโดยไม่หวั่นไหว นั้นต้องเป็นเพราะบารมีท่านสะสมมามากจนถึงคราวที่ควรสละใช่มั้ยครับ

สาธุ สาธุ สาธุ

อย่างนี้เราต้องทำมากเท่าไหรหนอถึงจะเต็มกำลังใจได้เนาะท่านกบ หรือต้องทำจาคานุสสติบ่อยๆหากเราไม่รู้บุพกรรมตน



:b32: :b32: A-Gard อาลัย ลูกเมียเหย๋ออออ



:b9: :b9: :b9: กล่าวถึงทำเนียมปฏิบัติในพุทธวงศ์น่ะครับ อิอิ โดยปรกติคนมีครอบครัวก็ต้องรักครอบครัวอยู่แล้ว อิอิ แต่เมื่อถึงจุดมันจะเห็้นอีกอย่างการสละหรือละนี้เพื้อเกื้อกูลเพื่อจะนำพาลูกเมีบ พ่อ แม่ คนที่เรารักถึงอมตะธรรมไม่ต้องทุกข์อีก

แต่ถ้าเป็นเทพเจ้า มหาเทพนี้ทรงมีเมียมีลูกได้ใช่มะครับ

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 16:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:

เช่นว่า..สมมติว่าคุณกบไม่รู้ธรรมไม่รู้พระพุทธศาสนา เมื่อสมัยยังหนุ่ม ยังไม่มีภรรยา ได้คบหาสาวสวยคนหนึ่งหมายหมั้นกันไว้ แล้วมีอันต้องเลิกรากันไปตามปะสาวัยรุ่น คุณกบก็เสียใจ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ มีใจเข้านึดครองสาวสวยคู่หมายหมั้นคนนั้นไม่ขาดกัน ยิ่งผูกยิ่งเสียใจทุกข์ทรมานแทบใจจะขาดดิ้น มาวันหนึ่งคุณกบเห็นสาวสวยกับแฟนใหม่โดยที่ใจยังยึกครองอยู่ทำให้ทุรนทุรายใจนัก ปารถนาให้เขากลับมา กลับมา กลับมา ไม่ยอมให้จากไป แต่ทำทุกวิธีก็หมดหนทางกลับคืนมาดังเดิม คนกบเสียใจระทมช่วงขณหนึ่งเกิดความรู้สึกนึกคิดแว๊บขึ้นว่า ขณะที่ใจคุณกบเข้ายึดครองสาวสวนนั้นคุณกบทุกข์ ในขณะเดียวกันเมื่อคุณกบเอาใจเข้ายึดครองเขาทั้งๆที่เลิกรากันแล้ว เมื่อเขาไปมีอะไรกับใคร ก็เท่ากับเราทำให้เขาผิดประพฤติผิด เพราะใจเรายังครอบครองเขาอยู่มีเขาในอานัติใจตนด้วยความเป็นคู่หมั้นคู่หมายนั้น ดังนี้แล้วหากเรายังเอาใจเข้ายึดคนองเธออยู่ไม่เพียงแต่เราที่ทุกข์ แจ่ยังทำให้เธอต้องมัวหมองด้วย หากเรารักเธอจริงเราก็ควรจะเอื้อเฟื้อสงเคราะห์แก่เธอ ทพความสละเธอเสียเพื่อความเศร้าหมองกายใจจะไม่เกิดมีแก่เธอ คุณกบก็ทำความสงเคราะห์นั้นแล้วสละคืนเธอไปให้มีชิวิตมีอิสระสุขที่เธอหมายปอง

แต่ขณะนั้นท่านกบกลับเกิดความรู้สึกวืดขึ้น แล้วเกิดกิริยาที่ตัด ดับ ว่างโล่ง ไม่มี จิตเปลื้องจากความหวงแหน ไม่มีใจเข้ายึดครองเธออีก คุณกบดำรงอยู่ด้วยจิตเกษมเปรมปรีย์ เบาเย็นใจ ซาบซ่านกายใจไม่เร่าร้อน

อย่างนี้ถือเป็นบารมีทานแสดงผลด้วยไหมครับ เพราะมีทานสะสมมาด้วยในกาลก่อน แม้เราจะไม่รู้ระลึกชาติไม่ได้ก็ตาม แต่เมื่อมันมีมากแล้วถึงคราวมันแสดงออกมาเอง..


..ถ้าจะกล่าวถึงความรู้สึกของพระโพธิสัตว์กับเรามันเทียบไม่ได่เลยเราแค่เศษในเศษในเศษฝุ่นติดปลายพระบาทของพระองค์ ผมเพียงแต่เทียบเคียงถึงความรู้สึก การกระทำในทางนี้ๆเป็นต้นหรือไม่

..คิดต่อตามปะสาคนหล่อครับท่านกบ อิอิ


อันนี้ รออ๊บซ์ มาตอบบบบบ ^^

จริง ๆ อยากอ่านความเห็น ตั๊บ ด้วย

:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 16:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
eragon_joe เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
สาธุ ครับท่านกบเจริญใจดีแล้วครับ

ทำให้ผมนึกถึงอย่างหนึ่งว่า พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ต้องสบพลูกเมีย (มีในพุทธวงศ์) เพื่อทานบารมีโดยไม่หวั่นไหว นั้นต้องเป็นเพราะบารมีท่านสะสมมามากจนถึงคราวที่ควรสละใช่มั้ยครับ

สาธุ สาธุ สาธุ

อย่างนี้เราต้องทำมากเท่าไหรหนอถึงจะเต็มกำลังใจได้เนาะท่านกบ หรือต้องทำจาคานุสสติบ่อยๆหากเราไม่รู้บุพกรรมตน



:b32: :b32: A-Gard อาลัย ลูกเมียเหย๋ออออ



:b9: :b9: :b9: กล่าวถึงทำเนียมปฏิบัติในพุทธวงศ์น่ะครับ อิอิ โดยปรกติคนมีครอบครัวก็ต้องรักครอบครัวอยู่แล้ว อิอิ แต่เมื่อถึงจุดมันจะเห็้นอีกอย่างการสละหรือละนี้เพื้อเกื้อกูลเพื่อจะนำพาลูกเมีบ พ่อ แม่ คนที่เรารักถึงอมตะธรรมไม่ต้องทุกข์อีก

แต่ถ้าเป็นเทพเจ้า มหาเทพนี้ทรงมีเมียมีลูกได้ใช่มะครับ


ไม่รู้จิ่ ถ้ามีโอกาสเจอ จะลองถามให้นะ ถ้าคุยกันรู้เรื่องนะ :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 17:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12: :b32: :b32: :b32:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 17:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:

..ดังนี้ผมจึงเชื่อว่าการสละของแต่ละคนไม่เท่ากัน ความอุ่นใจก็ไม่เท่ากัน เหมือนที่ท่านเอกอนกล่างว่าโมเมนท์แต่ละคนไม่เหมือนกัน
.. แต่ถ้าขณะนั้นมีญาณรู้ล่ะครับว่าต้องสละอย่างนี้เพื่อตัดตรงนี้ แล้วจะได้สิ่งนี้ๆกลับมา จึงสละอย่างนี้เป็นไปได้มั้ยครับ

ผมก็คิดไปเรื่อยตามปะสาคนหล่อนะครับ 555


เวลาที่ยุงกัด แล้วเรารู้สึกคัน เรายังเกาถูกที่

เรื่อง ธรรม เช่นกัน รูป-นาม ผู้ปฏิบัติรู้แน่ว่า มันคันตรงไหน

และต้องเกา หรือ ต้องทำยังไง ให้หายคัน

ตอนกำลังตรึกทบทวนหากระบวนการเกา และตอนที่ลองลงมือเกา
เราไม่รู้หรอกว่าเกาอย่างนั้นแล้วจะหายคันหรือไม่

แต่เมื่อ หายคัน นั่นล่ะ

ก็รู้ว่า หายคัน

เพราะ เกา แล้ว หายคัน บางครั้งจึงมีการเอา การคัน กับ การเกา มาเชื่อมต่อกัน

แต่ การคัน-การเกา-การหายคัน จะเป็น ปัจจัยอันแท้จริงต่อกันรึเปล่า ก็ยากจะบอกได้

เพราะ บางที อาการคันอาจจะหายไป เพราะอาการแผลติดเชื้อเป็นหนองเกิดขึ้นมาแทน
ก็ขยับกรรมวิธีจาก การเกา มาเป็น รักษาแผลติดเชื้อแทน

:b32: :b32: :b32:

ความอุ่นใจ จึงต่างกันไป มั๊ง เน๊อะ

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 18:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แค่อากาศ เขียน:

.. แต่ถ้าขณะนั้นมีญาณรู้ล่ะครับว่าต้องสละอย่างนี้เพื่อตัดตรงนี้ แล้วจะได้สิ่งนี้ๆกลับมา จึงสละอย่างนี้เป็นไปได้มั้ยครับ


ความเห็นนะ..ไม่น่าจะมีญาณ...อย่างนั้นหรอกครับ...

ที่ว่า ต้องสละอย่างนี้..เพื่อตัดตรงนี้....นี้.เป็นความคิดครับ...

ตอน..สละ..จริงๆ...จะไม่ได้ต้องการอะไร...

ก็มีปัญหาว่า...อ้าวแล้ว...ทานลูกทานเมีย..เพื่อโพธิญาณ..ละ?..มิใช่เพราะมีญาณรู้ว่า..ทำอย่างนี้เพื่อให้ได้อย่างนั้น..ไม่ใช่หรือ?

(เลยเป็นที่มาให้คนนอกโจมตีทำนองว่า...โพธิสัตว์พุทธเราเห็นแก่ตัว)

อันนี้...ไม่ทราบจริงๆว่าตอนนั้นพระโพธิสัตว์รู้สึกอย่างไร...ก็เป็นแต่เพียงการคาดเดา..ก็ไมรู้จริงไม่จริงอย่างไร...

แต่ในที่นี้..พูดถึงสาวกภูมิ...ความคิดว่า..สละอันนี้เพื่อจะตัดอะไรได้..นั้น...ยังไม่ใช่ญาณ...เป็นระดับความคิด...การสละนั้น...ก็กลายเป็นการฝึกตน..เฉยๆ

ถามว่า...การจะเอาพรหมวิหาร๔ มาเป็นวิปัสสนาได้มั้ย?

แต่ผมกลับเห็นว่าวิปัสสนาญาณ..ต่างหาก..ทำให้เกิดพรหมวิหาร๔ ได้สมบูรณ์..

คือ เราสัมผัสอยู่กับธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา
ก็แค่สัมผัส ก็จะเหมือนกับเราฟังเด็กพูดน่ะ เขาจะเดินเข้ามาสะกิดเราบอก
ขอน้ำส้มด้วยครับ :b12:

เมื่อปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ผู้ปฏิบัติจะได้รับแรงสะท้อนจากธรรมชาติ
และเมื่อปฏิบัติ ทวนกระแส นั่นคือ วิถีมันจะเป็นการค่อย ๆ คืนสู่สามัญ
กระแสของเราไปแตะกับธรรมด้วยวิถีสลัดคืน
ธรรมก็สะท้อนกลับมาหาเราด้วยพลังนั้น
เหมือนเอกอนยิ้มให้อ๊บซ์ อ๊บซ์ก็ยิ้มกลับ
เมื่อเรากำลังสลัด ธรรมก็สะท้อนพลังกันกลับไปกลับมา
และธรรมจะสะท้อนสิ่งที่เป็นแรงที่เรายังยึดเหนี่ยวออกมาให้เราเห็น
ที่เห็น เพราะ เมื่อเราเดินจิตทวนกระแส ถ้าหากว่าสิ่งใดที่เกาะติดอยู่และเดินตามกระแสอยู่
จิตจะเห็น แล้วเขาจะรู้สึกคัน ๆ เอง :b1:


:b32: :b32:

มันเหมือนเส้นเชือก...เส้นใย...ที่ตอนแรกมันไม่ปรากฏ...แต่พอขยับจะจากไป...เส้นเชือกที่โยงกับสิ่งนั้น..มันก็ตึงขึ้นมา..ก็รู้เองว่า..อ้อ..มันโยงกับสิ่งนั้น..มันโยงกับสิ่งนี้...มันก็รู้แต่ว่าต้องจัดการกับเชือก..เท่านั้น

มีใยเส้นหนึ่ง...เหนียวหนืด...ยึดได้...พุ่งไปสุดขอบนอกโลกก็ยึดกับโลกยึดสุดขีดก็ไม่ยอมขาด...จะเอากรรไกรมาตัดแล้วเชียว..ความคิดหนึ่งก็แว๊บขึ้นมา แห่ม..มันจะบรรลุง่ายเกินไป เด้วจะไร้รสชาติ...ขอมาวาดลวดลายซะหน่อย.. :b32: :b32:

ที่จริงแล้ว...มันไม่มีอะไรมากเลย...มันอาลัยอาวรณ์โลก..แค่นั้นเอง :b32:

ที่ต้องชี้ให้จิตเห็น..ว่า..นี้ทุกข์..นี้เหตุของทุกข์..นี้ทุกข์..นี้เหตุของทุกข์..ซ้ำ ๆ ๆ ๆ...ก็เพื่อแค่ตัดอาลัยในโลก

ทำไมมันถึงอาลัยในโลก?....ก็แค่เพราะมันเห็นว่า..จะดีมีความสุข..แม้แต่จะสำเร็จ..มันก็คิดว่า..สำเร็จแบบนั้นดี..แบบนี้ดี..เล้ย..
สัณชาติญาณก็ทำแต่งานมุ่งสู่โลกอย่างเดียว...เอกอนใช้คำอะไรนะ...อุปนิสัยใช่มั้ย?

ทำไมมันจึงคิดว่า...โลกจะดีมีความสุขละ?...ก็แค่มันโง่... :b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 18:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
eragon_joe เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แค่อากาศ เขียน:

.. แต่ถ้าขณะนั้นมีญาณรู้ล่ะครับว่าต้องสละอย่างนี้เพื่อตัดตรงนี้ แล้วจะได้สิ่งนี้ๆกลับมา จึงสละอย่างนี้เป็นไปได้มั้ยครับ


ความเห็นนะ..ไม่น่าจะมีญาณ...อย่างนั้นหรอกครับ...

ที่ว่า ต้องสละอย่างนี้..เพื่อตัดตรงนี้....นี้.เป็นความคิดครับ...

ตอน..สละ..จริงๆ...จะไม่ได้ต้องการอะไร...

ก็มีปัญหาว่า...อ้าวแล้ว...ทานลูกทานเมีย..เพื่อโพธิญาณ..ละ?..มิใช่เพราะมีญาณรู้ว่า..ทำอย่างนี้เพื่อให้ได้อย่างนั้น..ไม่ใช่หรือ?

(เลยเป็นที่มาให้คนนอกโจมตีทำนองว่า...โพธิสัตว์พุทธเราเห็นแก่ตัว)

อันนี้...ไม่ทราบจริงๆว่าตอนนั้นพระโพธิสัตว์รู้สึกอย่างไร...ก็เป็นแต่เพียงการคาดเดา..ก็ไมรู้จริงไม่จริงอย่างไร...

แต่ในที่นี้..พูดถึงสาวกภูมิ...ความคิดว่า..สละอันนี้เพื่อจะตัดอะไรได้..นั้น...ยังไม่ใช่ญาณ...เป็นระดับความคิด...การสละนั้น...ก็กลายเป็นการฝึกตน..เฉยๆ

ถามว่า...การจะเอาพรหมวิหาร๔ มาเป็นวิปัสสนาได้มั้ย?

แต่ผมกลับเห็นว่าวิปัสสนาญาณ..ต่างหาก..ทำให้เกิดพรหมวิหาร๔ ได้สมบูรณ์..

คือ เราสัมผัสอยู่กับธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา
ก็แค่สัมผัส ก็จะเหมือนกับเราฟังเด็กพูดน่ะ เขาจะเดินเข้ามาสะกิดเราบอก
ขอน้ำส้มด้วยครับ :b12:

เมื่อปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ผู้ปฏิบัติจะได้รับแรงสะท้อนจากธรรมชาติ
และเมื่อปฏิบัติ ทวนกระแส นั่นคือ วิถีมันจะเป็นการค่อย ๆ คืนสู่สามัญ
กระแสของเราไปแตะกับธรรมด้วยวิถีสลัดคืน
ธรรมก็สะท้อนกลับมาหาเราด้วยพลังนั้น
เหมือนเอกอนยิ้มให้อ๊บซ์ อ๊บซ์ก็ยิ้มกลับ
เมื่อเรากำลังสลัด ธรรมก็สะท้อนพลังกันกลับไปกลับมา
และธรรมจะสะท้อนสิ่งที่เป็นแรงที่เรายังยึดเหนี่ยวออกมาให้เราเห็น
ที่เห็น เพราะ เมื่อเราเดินจิตทวนกระแส ถ้าหากว่าสิ่งใดที่เกาะติดอยู่และเดินตามกระแสอยู่
จิตจะเห็น แล้วเขาจะรู้สึกคัน ๆ เอง :b1:


:b32: :b32:

มันเหมือนเส้นเชือก...เส้นใย...ที่ตอนแรกมันไม่ปรากฏ...แต่พอขยับจะจากไป...เส้นเชือกที่โยงกับสิ่งนั้น..มันก็ตึงขึ้นมา..ก็รู้เองว่า..อ้อ..มันโยงกับสิ่งนั้น..มันโยงกับสิ่งนี้...มันก็รู้แต่ว่าต้องจัดการกับเชือก..เท่านั้น

มีใยเส้นหนึ่ง...เหนียวหนืด...ยึดได้...พุ่งไปสุดขอบนอกโลกก็ยึดกับโลกยึดสุดขีดก็ไม่ยอมขาด...จะเอากรรไกรมาตัดแล้วเชียว..ความคิดหนึ่งก็แว๊บขึ้นมา แห่ม..มันจะบรรลุง่ายเกินไป เด้วจะไร้รสชาติ...ขอมาวาดลวดลายซะหน่อย.. :b32: :b32:

ที่จริงแล้ว...มันไม่มีอะไรมากเลย...มันอาลัยอาวรณ์โลก..แค่นั้นเอง :b32:

ที่ต้องชี้ให้จิตเห็น..ว่า..นี้ทุกข์..นี้เหตุของทุกข์..นี้ทุกข์..นี้เหตุของทุกข์..ซ้ำ ๆ ๆ ๆ...ก็เพื่อแค่ตัดอาลัยในโลก

ทำไมมันถึงอาลัยในโลก?....ก็แค่เพราะมันเห็นว่า..จะดีมีความสุข..แม้แต่จะสำเร็จ..มันก็คิดว่า..สำเร็จแบบนั้นดี..แบบนี้ดี..เล้ย..
สัณชาติญาณก็ทำแต่งานมุ่งสู่โลกอย่างเดียว...เอกอนใช้คำอะไรนะ...อุปนิสัยใช่มั้ย?

ทำไมมันจึงคิดว่า...โลกจะดีมีความสุขละ?...ก็แค่มันโง่... :b9: :b9: :b9:


:b32: :b32: :b32:

แหมมมม...ธรรมกระทู้นี้
มีหนังกะติ๊กด้วย

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 18:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:
หนังกะติก..สนุก..หนา..

แค่อากาศ เขียน:
s006 s006 s006

เช่นว่า..สมมติว่าคุณกบไม่รู้ธรรมไม่รู้พระพุทธศาสนา เมื่อสมัยยังหนุ่ม ยังไม่มีภรรยา ได้คบหาสาวสวยคนหนึ่งหมายหมั้นกันไว้ แล้วมีอันต้องเลิกรากันไปตามปะสาวัยรุ่น คุณกบก็เสียใจ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ มีใจเข้านึดครองสาวสวยคู่หมายหมั้นคนนั้นไม่ขาดกัน ยิ่งผูกยิ่งเสียใจทุกข์ทรมานแทบใจจะขาดดิ้น มาวันหนึ่งคุณกบเห็นสาวสวยกับแฟนใหม่โดยที่ใจยังยึกครองอยู่ทำให้ทุรนทุรายใจนัก ปารถนาให้เขากลับมา กลับมา กลับมา ไม่ยอมให้จากไป แต่ทำทุกวิธีก็หมดหนทางกลับคืนมาดังเดิม คนกบเสียใจระทมช่วงขณหนึ่งเกิดความรู้สึกนึกคิดแว๊บขึ้นว่า ขณะที่ใจคุณกบเข้ายึดครองสาวสวนนั้นคุณกบทุกข์ ในขณะเดียวกันเมื่อคุณกบเอาใจเข้ายึดครองเขาทั้งๆที่เลิกรากันแล้ว เมื่อเขาไปมีอะไรกับใคร ก็เท่ากับเราทำให้เขาผิดประพฤติผิด เพราะใจเรายังครอบครองเขาอยู่มีเขาในอานัติใจตนด้วยความเป็นคู่หมั้นคู่หมายนั้น ดังนี้แล้วหากเรายังเอาใจเข้ายึดคนองเธออยู่ไม่เพียงแต่เราที่ทุกข์ แจ่ยังทำให้เธอต้องมัวหมองด้วย หากเรารักเธอจริงเราก็ควรจะเอื้อเฟื้อสงเคราะห์แก่เธอ ทพความสละเธอเสียเพื่อความเศร้าหมองกายใจจะไม่เกิดมีแก่เธอ คุณกบก็ทำความสงเคราะห์นั้นแล้วสละคืนเธอไปให้มีชิวิตมีอิสระสุขที่เธอหมายปอง

แต่ขณะนั้นท่านกบกลับเกิดความรู้สึกวืดขึ้น แล้วเกิดกิริยาที่ตัด ดับ ว่างโล่ง ไม่มี จิตเปลื้องจากความหวงแหน ไม่มีใจเข้ายึดครองเธออีก คุณกบดำรงอยู่ด้วยจิตเกษมเปรมปรีย์ เบาเย็นใจ ซาบซ่านกายใจไม่เร่าร้อน

อย่างนี้ถือเป็นบารมีทานแสดงผลด้วยไหมครับ เพราะมีทานสะสมมาด้วยในกาลก่อน แม้เราจะไม่รู้ระลึกชาติไม่ได้ก็ตาม แต่เมื่อมันมีมากแล้วถึงคราวมันแสดงออกมาเอง..


..ถ้าจะกล่าวถึงความรู้สึกของพระโพธิสัตว์กับเรามันเทียบไม่ได่เลยเราแค่เศษในเศษในเศษฝุ่นติดปลายพระบาทของพระองค์ ผมเพียงแต่เทียบเคียงถึงความรู้สึก การกระทำในทางนี้ๆเป็นต้นหรือไม่

..คิดต่อตามปะสาคนหล่อครับท่านกบ อิอิ


คิดสละหรอ?..เปล่า.. :b13: :b13:

เสียใจกับเธอ..ที่เธอไม่ได้คนดีดีอย่างเรา..ต่างหาก.. :b32: :b32: :b32:

การสละ..เป็น....ต้องเข้าใจธรรม..
เมื่อเข้าใจธรรม..ลึกขึ้นไป..ลึกขึ้นไป..ก็จะสละได้เป็น...ละเอียดขึ้นไป..ละเอียดขึ้นไป..ตามกำลังความรู้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2018, 19:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรณา ความสงเคราะห์ นี้เราให้แก่ศีลได้ยังไงบ้างครับ
มุทิตา ความยินดี ความอิ่มใจ คงไว้ได้อยู่นี้ เราให้แก่ศีลยังไงบ้างครับ
อุเบกขา ความไม่ยินดียินร้าย ว่าด้วยกรรม เราให้เแก่ศีลยังไงบ้างครับ

ขอความรู้ด้วยครับ

โพสท์ไว้รอท่านกบ ครับ อิอิ


:b12: :b12: :b12:

ตอนผมพยายามจะรักษาศีล...ก็มีที่ปรึกษา..ที่ปรึกษาก็บอกเสมอๆ..ว่า..ต้องมีพรหมวิหาร..ก็จะรักษาศีลได้เอง

ผมมองที่ตัวเอง..ก็ว่า..พรหมวิหารเราก็มีแล้วนี้น่า.. :b32: :b32:

แต่..ก็เชื่อที่ปรึกษา..ละว่า..ต้องมีพรหมวิหาร...
แล้ว...ดูยังงัยว่า..มี..หรือยังไม่มี..555

ก็..ทำอยู่นาน.ล้มลุกคลุกคลาน...ไม่สำเร็จสักที.. ศีล..นี้นะ :b2: :b2:
เหลือข้อเดียวอยู่นั้นแหละ...ข้อ5
ทุกข์..หนักเลย

ไปวัดไปวา..หลายปี..ก็เพื่อหาหมัดเด็ด..มารักษาศีลนี้แหละ.. :b3:

สุดท้าย..ก็เจอหมัดเด็ด..
"มันทุกข์..แล้วจะทำมันไปทำไมละลูก "
(..ผิดศีลแล้วมันทุกข์..แล้วจะผิดศีลไปทำไม)

ใช่...มันทุกข์..แล้วจะทำมันทำไม..แจ๋ว..แจ๋ว.. :b17: :b17:

กลับบ้านมา..ก็คิดซิทีนี้..จะทำงัย...ไปเจอเพื่อน..มันทนเพื่อนอ้อนไม่ได้แน่..

ก็..กดไม่ออกไปไหน..จนกระทั้ง..แน่ใจแล้วว่า..ต่อให้เพื่อนๆอ่อดอ้อนยังงัย..ก็ทนได้แน่แน่..ถึงได้ออกจากถ่ำ..นั้นก็ปาเข้าไป 3 เดือน

ศีล...แรกเลย..มันต้องกดข่มใจก่อน..ละ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 356 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12 ... 24  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 144 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร