วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 20:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 356 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 24  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2018, 07:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

การสละ..เป็น....ต้องเข้าใจธรรม..
เมื่อเข้าใจธรรม..ลึกขึ้นไป..ลึกขึ้นไป..ก็จะสละได้เป็น...ละเอียดขึ้นไป..ละเอียดขึ้นไป..ตามกำลังความรู้


ก็ผมบอกว่าสมมติไงครับท่านอ๊บ 555
ว่าหากตอนนั้นท่านอ๊บไม่รู้ธรรม ไม่รู้พระพุทธศาสนาไงครับ แต่อาศัยบารมีเก่าอะครับ เป็นการเปรียบเปรยครับ

สาธุครับท่านอ๊บ..ผมเห็นจริงตามนั้นด้วยนะที่ท่านอ๊บกล่าวว่าวิปัสนาต่างหากที่ทำพรหมวิหาร ๔ ให้บริบูรณ์ ไม่ใช่พรหมวิหาร ๔ ทำวิปัสสนาให้บริบูรณ์

... แต่ถ้าในมุมกลับกันที่เป็นการเกื้อหนุนกันล่ะครับ

..ไว้ผมจะมาโม้เรื่องนี้ต่อครับ การเกื้อหนุนกันให้จ่างฝ่ายต่างบริบูรณ์

ตอนี้กระทู้เราเยอะจัดไหลไวมาก ผมตาลาย 5555 ใช้มือถือครับ 555

:b9: :b9: :b9:


ตามความรู้สึกผมนะ...ผมนี้..พรหมวิหาร 4 นี้แหละจะพาผมไปนิพพานได้.. :b32:

ผมจะไปได้ก็ผ่านช่องนี้..นีแหละ..ช่องพรหมวิหาร

อารมณ์ที่อยากเห็นคนอื่นมีความสุข...เห็นคนอื่นมีความสุขเราก็สุขไปด้วย

มันมีหลายเหตุการณ์ที่..วิปัสสนาญาณเกิดจากช่องทางนี้

แต่..ช่องทางนี้..ก็เกิดจากการที่ใจไหลไปตามธรรมจากความทรงจำ..

พอไปอยู่ในช่องนี้...ใจมันละเอียดดี..เข้าใจธรรมอะไรก็เข้าใจแบบประทับใจได้เลย...แล้วมันก็ไปจบที่..วางสิ่งที่คาใจทั้งหลายๆอย่างจากใจ.ไม่ได้อุ่นใจว่า...ได้บุญได้กุศล ตายไปจะไปสวรรค์.อะไร....และรู้ด้วยว่า..แม้กลับอยู่กับโลกจะยังทุกข์อยู่..ตอนจะตาย..อารมณ์นี้ใช้ได้เลย

สรุปว่า...ปัญญาที่เห็นกฏของกรรม...ความไม่เที่ยงของสังขารทั้งหลาย..เห็นทุกชีวิตเสมอกันด้วยความเป็นจิต..ทุกดวงจิตต้องการความสุข..แต่เพราะความไม่รู้ของจิต..เป็นเหตุให้ทำบาปกรรมเพราะความหลง..สุดท้ายต้องทุกข์เมื่อกรรมชั่วให้ผล...เห็น....ทำให้เกิดพรหมวิหารที่แท้จริง...แล้วพรหมวิหารธรรมนี้แหละ..ทำให้ใจเห็นธรรมกลับมาสอนจิตตน จนใจมันยอมรับธรรม..มันก็วางเอง...

อุเบกขาของพรหมวิหาร..ก็กลายเป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์

กลับมาที่...ความอุ่นใจ..
ความอุ่นใจ..นี้..มันเป็นผลของศีลกับธรรม.(จะว่าเป็นพรหมวิหารธรรม..ก็ได้)..คือ..มันสบายใจ..ไม่ว่าใครจะมาร้าย..สัตว์ร้ายจะเข้ามา...ใจก็สบายได้เพราะรู้ว่าเราไม่เบียดเบียนใคร..นี้ศีล..ที่ไม่เบียดเบียนเพราะพื้นใจเรามีความปรารถณาดีให้กับทุกคน..อันนี้..พรหมวิหาร....จะเรียกพรหมวิหาร 4 ทำให้อุ่นใจได้...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2018, 09:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: :b16: :b12: :b13: :b32: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2018, 17:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ต้องปรับจากความเห็นตรง ๆ เป็นความเห็นธรรมดา ๆ ซื่อ ๆ
เอาเป็นส่วน ๆ ไปเน๊อะ

คือการจะทำอะไรโดยเบื้องต้น สุจริต คำนี้เป็นคำที่มีความหมายสำหรับเอกอนก็คือ
นอกเป็นเช่นไร ในก็ให้เป็นเช่นนั้น
ไม่ใช่ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก ทำนองนั้น
คือ ใจคิดอย่าง กาย-วาจาทำอีกอย่าง
ตัวนี้ก็จะไปสัมพันธ์กับศีล ที่จะต้องเจริญทั้งศีลภายใน และศีลภายนอก(ศีลที่แสดง) ไปด้วยกันได้
ไม่ปีน ไม่เขย่งหน้า เขย่งหลัง
คือเอกอนสังเกตเวลาที่ทำสมาธิ แล้วนั่งมองจิตที่มันฟุ้งไปต่าง ๆ นานากว่ามันจะสงบลงได้
เอกอนขี้เกียจนั่งดูความฟุ้งน่ะ ก็เลยต้องจัดระเบียบกันตั้งแต่ภายนอก
กิจกรรมภายนอกอะไรที่ฟุ้ง ๆ ก็ทยอยละซะ มันจะได้ไม่ไปออกฤทธิ์ภายใน

เรื่องแบบนี้ก็คล้าย ๆ กับ พวกที่ชอบกินเผ็ด แล้วก็ไปลำบากท้องน่ะ (ลำบากทวาร :b32: )
ถ้าไม่อยากลำบากท้อง ก็เลือกกินที่มันถูกสุขลักษณะหน่อย

เป็นเรื่องที่ต้องฝึกอย่างง่าย ๆ
เอกอนแทบจะไม่เคยนินทาใครนะ จริงๆเป็นนิสัยที่ผู้หญิงชอบนะ :b32: จับกลุ่มนินทา
การจับกลุ่มนินทา มันเจริญงอกงามขึ้นได้ เพราะคิดไปในทางจะกล่าวถึงผู้อื่นในทางร้าย
เมื่อคิดแล้วก็คันปาก แล้วก็ไปหาคนจับกลุ่มนินทา เป็นกิจกรรมที่เอร็ดอร่อยมาก :b32:

ก็ฝึกที่จะไม่ไปจับกลุ่ม ฝึกที่จะสำรวมวาจา แรก ๆ ใจมันคอยคิด ก็สำรวม
ถ้าไม่นินทาจนชิน ผลพฤติกรรมมันก็โยงไปแตะศีล แตะสติ แตะสมาธิ โดยปริยาย
มันได้สติที่คอยสอดส่องสำรวมกาย-วาจา-ใจ อุปนิสัยตรึกไปในทางสำรวมก็ค่อย ๆ มีขึ้น
และค่อย ๆ แนบไปกับชีวิต เมื่อสติดูแลกำกับดีอยู่ ความฟุ้งไปในอกุศลจิตก็ค่อย ๆ ลดลง
สมาธิที่เป็นไปในชีวิตแต่ละวันมันก็มีขึ้น ทุกอย่างมันเป็นไปโดยแนบเนียน

ถ้าหากว่าเอกอนเล่า เอกอนจะเล่าเป็นจุด ๆ ไม่ถูก
เพราะเอกอนไม่ได้จับธรรมอะไรเพียง 1 ไว้แน่น
แต่จะนำธรรมมาใช่ร่วมกัน ประกอบกัน
และบริหารนอก บริหารในให้สัมพันธ์กัน

แค่อากาศ เขียน:
eragon_joe เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กระทู้ตอบนี้ เด๋วมาคุยกับท่านเอกอนต่อครับ ผมพิมพ์ในมือถือก๊อปปี้ลงๆๆๆ อาจมีเขียนวนคำซ้ำนะครับ ไม่ได้เปิด labtop


555 รอ


ท่านเอกอนแนะนำไว้ดีมากครับ เรื่อวการทำสะสมเหตุ ทำบ่อยก็กลายเป็นนิสัย เป็นจริต มี่สุดก็เป็นบารมีในตนติดตามไปทุกภพชาติ

ทีนี้กล่าวถึงพรหมวิหาร ๔ ท่านเอกอนมีวิธีทำไว้ในใจอย่างไรให้เข้าถึงครับ


:b32: การงดเว้นซึ่งการนินทาก็เป็นการเจริญพรหมวิหาร 4 นะ จริงมั๊ย

อ้างคำพูด:
ตรงนี้ต่อให้เป็นอุปนิสัยเราก็รู้ว่าขณะนั้นทำไว้ในใจยังไงใช่ไหมครับ คำถามต่อไปนี้จะสัมพันธ์กันกับกระทู้ท่านเอกอนที่ตอบผมล่าสุดครับ..


พรหมวิหารแทรกซึมเข้าไปในทุกอย่าง ความกตัญญูก็เป็น Moment หนึ่งของพรหมวิหาร
แม้เงินเดือนเราจะมีน้อย แต่บางคนก็รู้จักที่จะใช้จ่ายอย่างประหยัด
เพื่อที่จะมีเงินเดือนส่วนหนึ่งไว้เลี้ยงดูบิดามารดา

ผู้ปฏิบัติย่อมรู้นั่นล่ะ พรหมวิหารแทรกซึมไปกับชีวิตทั่วไปนี่ล่ะ

อ้างคำพูด:
คำถามที่ ๓ หรือ ๔ หรือ ๕ ไม่แน่ใจ อิอิ เอา ๓ ละกันครับ

๑. เมตตา ท่านเอกอนมนสิการไปยังไงเมื่อเจอสิ่งที่ชัง


ที่ราวตากผ้าบ้านเอกอนมีแตนมาทำรัง เขาก็ทำรังกันอย่างสุขสบายนะ
อยู่ในร่ม มีหลังคาบัง ลมไม่กวน ฝนไม่สาด รังก็นับว่าใหญ่ เพราะทำเลเหมาะ
เวลาเอกอนซักผ้าแล้วเอาผ้าไปตาก เอกอนต้องคอยระวัง
ด้วยความที่เอกอนคิดว่าเขาคงจะชินกับเอกอนแล้ว
แต่วันหนึ่งเอกอนซักผ้าห่ม :b32: เขาไม่ชินกับผ้าห่ม
เขาเห็นมันใหญ่ เขาก็เลยบินมาต่อยเอกอน :b32:

เจ็บจี๊ดเลย :b32: ก็ตกใจนิด ๆ เพราะไม่เคยโดนแมลงต่อยเลย ไม่รู้ว่าจะแพ้รึเปล่า
แต่เอกอนไม่รู้สึกเจ็บมากนัก ก็เริ่มเป็นห่วงว่า เขาจะตายมั๊ย ก็ไปเปิด google ดู
ok แตนต่อยได้หลายที เขาไม่ทิ้งเหล็กใน ดังนั้นเขาไม่ตาย :b32:

และเขาก็อยู่ตรงนั้นต่อไป ไม่ได้คิดจะไล่เขาเลย
จริง ๆ ก็ถือว่าเอกอนอาจจะเลือกทำไม่ถูก เพราะนับได้ว่าเขาเป็นสัตว์มีพิษ
แต่เอกอนมองว่าตรงนั้นเป็นอันตรายกับเอกอนโดยหลัก ๆ เพียงผู้เดียว
เพราะคงไม่มีใครเข้าไปยุ่งกับราวตากผ้าบ้านเอกอนให้โดนแตนต่อยหรอกเน๊อะ
มีแต่เอกอนเท่านั่นล่ะ ซึ่งเอกอนรับมือกับอันตรายนั้นได้

เอกอนเคยเจองูหลุดเลื้อยเข้ามาในสำนักงาน คือคนอื่นเห็นเขาก็จะไล่ตีให้ตาย
แต่วันนั้นเอกอนอยู่ด้วย เอกอนไม่ให้ฆ่า เอกอนให้คนช่วย ๆ กันจับมันไปปล่อย
แต่ไม่มีใครกล้าจับ เอกอนก็เลยต้องจับไปปล่อยเอย :b32:
แต่จริง ๆ มีลุง รปภ.ช่วย เขาบอกว่าเขาก็กลัว เป็นเขาเขาตีตายอย่างเดียว
แต่เขาเห็นเอกอนมีเมตตาจะเอาไปปล่อย
เขาก็เลยช่วยหาไม้มากดหัวงูให้นิ่ง และให้เอกอนจับไปปล่อย

เวลาคิดไปในเรื่องพรหมวิหาร มันง่าย
แต่เวลาเผชิญหน้ากับทางเลือกที่ภัยมาถึงตัว ความกลัวที่ต้องการกำจัดสิ่งนั้นไปให้พ้น
กับความเมตตา มันจะลงมาสู้กันให้เห็นในอารมณ์ตรงนั้นเลย ว่าอะไรจะชนะ

อ้างคำพูด:
๒. กรุณา ท่านเอกอนมนสิการไปยังไงเมื่อเจอสิ่วที่ชัง
๓. มุทิตา ท่ารเอกอนมนสิการไปยังไงเมื่อเจอสิ่งที่ชัง
๔. อุเบกขา ท่านเอกอนมนสิการไปยังไงเมื่อเจอสิ่งที่ชัง


3 ข้อนี้ เอกอนยังนึกไม่ออกว่า step จริง ๆ ของมันจะต้องเป็นไง
แต่ เอกอนเคยชังพี่ชายนะ แต่เมื่อวันหนึ่งเพื่อชีวิตความอยู่รอดของครอบครัว
เอกอนก็ต้องละทิฐิในความชังในตัวเขาออก
และหันมาเผชิญหน้าที่จะดูแลเขาด้วยหน้าที่ของเราต่อครอบครัว
ก็ต้องพยายามละทิฐิที่ชังเขา ก็ต้องมองให้เห็นโทษของความชัง
เช่นครอบครัวอาจแตกแยก ทุกอย่างก้าวไปสู่ความทุกข์
การชังก็ทุกข์นะ การพยายามละซึ่งความชังก็ทุกข์น่ะ
เพราะ หนึ่งคือฆ่าเขา กับอีกหนึ่งคือฆ่าเราเอง
การเผชิญหน้ากับคนที่เราชัง และเขาก็ชังเรา
มันก็ต้อง อุเบกขา อยู่พอสมควรล่ะ
เพราะมันไม่ใช่คิดปุ๊ป ทำได้ปั๊บ บางทีกว่าเขาจะเห็นคุณค่า
กว่าเราจะฆ่าตนเองจน เขาเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำ
มันก็เหมือนกับ เราฆ่าตัวเองทุกวัน และก็ลุกขึ้นมายิ้มสู้กับคู่กรณี
เหมือนดอกไม้ประหลาด ที่ต้องตายทุกคืน และก็ต้องตื่นมาบานในตอนกลางวันทุกวัน

อ้างคำพูด:
๕. แล้วถ้าเจอสิ่งที่ชังท่านเอกอนเปลี่ยนมนสิการไปในศีลแทนได้ไหมครับ เพราะเหตุใด

โดยมากเอกอนไม่ค่อยเจอสิ่งที่ชังนะ
ส่วนใหญ่จะสำรวมจิตไว้ได้อยู่
ถ้าเห็นความชังจะเกิด ก็ลดการเสวนา

อ้างคำพูด:
๖. ศีลในพระพุทธศาสนา คือ ผลของพรหมวิหาร ๔ ใช่หรือไม่ เพราะเหตุใด
๗. ถ้า ศีล..ของพระพุทธเจ้า คือ ผลของพรหมวิหาร ๔ ..ก็ด้วยเหตุว่า อินทรีย์สังวร เป็นอาหาร(คือเหตุปัจจัยสืบ)ของความสุจริต ความสุจริตเป็นเหตุปัจจัยของมหาสติปัฏฐาน แล้วอย่างนั้น พรหมวิหาร ๔ คือ ตัวเหตุปัจจัยที่ทำให้มหาสติบริบูรณ์ด้วยหรือไม่ครับ เพระเหตุใด


ก็ถ้าหากว่ามีพรหมวิหาร ก็แทบจะไม่ต้องกังวลเรื่องผิดศีลเลย

พรหมวิหาร ทำให้มหาสติปัฏฐานมีกำลังขึ้น ซึ่งจะทำให้บริบูรณ์หรือไม่

เอกอนไม่รู้นะ เผื่อใครจะเห็นว่าได้ เขาย่อมมีเหตุผลที่จะเห็นเช่นนั้น

แต่ในมุมที่เอกอนเข้าใจ เอกอนมองว่าพรหมวิหารเพียงทำให้อัตตาน้อยลงทุกที

แต่ไม่ได้ทำให้แจ้งในอนัตตา

:b10:

สิ่งที่ทำให้แจ้งอนัตา คือ ทุกข์ ต้องเห็นทุกข์ในอารมณ์นั้น
เมื่อ เห็นทุกข์ ก็เข้าสู่ สมุทัย นิโรธ มรรค
แจ้ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

คิดว่านะ ... :b5: :b6: :b14:

ทำไมตั้งคำถามยากแถะ ๆ

:b32: :b32: :b32:



ดึงข้อมูลของท่านเอกอนมาหน้านี้ก่อนนะครัรบเด๋วมาคุยต่อ

พวกเรากำลังทำให้การสนทนาธรรมนี้ เป็นการสนทนาธรรมแท้และเกื้อกูลพระพุทธศาสนาครับ
(คือคนหล่อคิดว่างั้นน่ะครับ อิอิ)

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2018, 07:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


A-gardนี่เก่งง่ะ ขนาดเอกอนหยิบยกไปเรื่อยเปื่อย
A-gard ยังโยงไปอิทธิบาท4ได้

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2018, 07:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิภังคสูตร
วิธีเจริญอิทธิบาท ๔

[๑๑๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อิทธิบาท ๔ เหล่านี้ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มาก
แล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ก็อิทธิบาท ๔ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างไร กระทำให้มาก
แล้วอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญอิทธิบาทประกอบด้วย
ฉันทสมาธิและปธานสังขาร ดังนี้ว่า ฉันทะของเราจักไม่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป
ไม่หดหู่ในภายใน ไม่ฟุ้งซ่านไปในภายนอก และเธอมีความสำคัญในเบื้องหลังและเบื้องหน้าอยู่
ว่า เบื้องหน้าฉันใด เบื้องหลังก็ฉันนั้น เบื้องหลังฉันใด เบื้องหน้าก็ฉันนั้น เบื้องล่างฉันใด
เบื้องบนก็ฉันนั้น เบื้องบนฉันใด เบื้องล่างก็ฉันนั้น กลางวันฉันใด กลางคืนก็ฉันนั้น กลาง
คืนฉันใด กลางวันก็ฉันนั้น เธอมีจิตเปิดเผย ไม่มีอะไรหุ้มห่อ อบรมจิต ให้สว่างอยู่
ย่อม
เจริญอิทธิบาทประกอบด้วยวิริยสมาธิ ... จิตตสมาธิ ... วิมังสาสมาธิและปธานสังขาร ดังนี้ว่า วิมังสา
ของเราจักไม่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป ไม่หดหู่ในภายใน ไม่ฟุ้งซ่านไปในภายนอก
และเธอมีความสำคัญในเบื้องหลังและเบื้องหน้าอยู่ว่า เบื้องหน้าฉันใด เบื้องหลังก็ฉันนั้น เบื้อง
หลังฉันใด เบื้องหน้าก็ฉันนั้น เบื้องล่างฉันใด เบื้องบนก็ฉันนั้น เบื้องบนฉันใด เบื้องล่างก็
ฉันนั้น กลางวันฉันใด กลางคืนก็ฉันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวันก็ฉันนั้น เธอมีจิตเปิดเผย
ไม่มีอะไรหุ้มห่อ อบรมจิตให้สว่างอยู่.



:b18: :b18: :b18:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 08 ธ.ค. 2018, 09:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2018, 08:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



คำถามที่ ๓.๑. เมตตา ท่านเอกอนมนสิการไปยังไงเมื่อเจอสิ่งที่ชัง


- เวลาที่เราเจอสิ่งที่ชัง มันจะร้อน ใช่มะ เกิดความโกรธ ขัดใจ ข้องใจ คิดร้าย เพ่งโทษใช่มะ

- เมตตาสำหรับคนที่ฝึกไหม่ หรือเคยเข้าได้ไม่บ่อยไม่เห็นคลองเก่าตน มักจะหมายเอาแต่ว่าเราต้องปารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข แล้วก็แผ่เมตตาบ้าง คิดแต่ว่าจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย(โดยมากคิดว่า ขอเขาอย่ามาจองเวรตนเองเลย) :b32: :b32: :b32: ทำให้บีบกดดันใจตนให้แตกปะทุ.. แท้จริงแล้วทุกอย่างมีคลองทำไว้ในใจ การปารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุขนั้นเป็นผลสืบต่อ ไม่ใช่การทำไว้ในใจ
- มนสิการเมตตา คือ ใจกว้าง (สั้นๆแค่นี้แหละ) เปิดใจกว้างแค่นั้นเอง จะว่าง่ายก็ไม่ง่าย จะยากก็ไม่ยาก ให้ทำไว้ในใจดังนี้..

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 11 ธ.ค. 2018, 12:23, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2018, 21:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: A-Gard แยกแยะอธิบายออกเป็นข้อ ๆ ได้

เขียนได้ดีกว่าเอกอนเยอะเลย

^^... รอติดตาม ... ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2018, 21:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นข่าวเมื่อกี้...ผู้ชายต่อยผู้หญิง..ต่อยไม่หยั่ง...ในคอนโด..บางใหญ่...

คิดในใจ..หากตูอยู่ตรง...มีงตาย

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2018, 21:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b1: A-Gard แยกแยะอธิบายออกเป็นข้อ ๆ ได้

เขียนได้ดีกว่าเอกอนเยอะเลย

^^... รอติดตาม ... ^^



5555 ผมก็มั่วๆไปครับ อาศัยผมทำบ่อยๆ เข้าถึงบ่อยๆจนชินเป็นอุปนิสัย แบบท่านเอกอนว่าแหละครับ มันเป็นจริตติดมาชาตินี้น่ะครับ แล้วพอปฏิบัติธรรม มันทันจิตตน หรือจิตตนช้าขึ้นก็ไม่รู้ มันก็เลยรู้วิธีมนสิการน่ะครับ

เคยมีนิมิตเห็นพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงมาสอนเจโตวิมุตติผม สอนกรรมฐานเข้าสมาบัติ ผมถึงบอกหว่าข้อนี้ๆผมไม่เคยเรียนรู้จากใครที่ไหน และไม่เคยท่องจำ มันพรั่งพรูขึ้นมาในหัวในใจเอง และผมเชื่อว่ามัผมคนเดียวด้วยซ้ำในยุคสมัยนี้ที่เอาพรหมวิหาร ๔ เข้าสติปัฏฐาน ๔ เป็นเจโตวิมุตติ จนมาเจอท่านเอกอนกับท่านอ๊บนี้แหละ ที่เหมือนกัน ผมดีใจมาก 555

บางทีพอเราระลึกถึงว่า ขอพระพุทธเจ้าจงเสด็จมาประทัพเหนือเศียรเกล้า พร้อมทั้งพระสาวกและครูบาอาจารย์ ช่วยชีชักนำทางให้ถึงกรรมฐาน ๔๐ วิโมกข์ ๘ ฌาณ 9 ญาณ 16 วิปัสนา 9 ผมจะจี๊ดๆๆๆๆๆในหูดังมาก แต่ความรู้มันเกิดขึ้นมาในใจเอง แล้วก็ทำบ่อยๆเนืองๆทำไปเรื่อยได้บ้างไม่ได้บ้างก็ช่าง แต่ทำสะสมตลอดไม่ขาด จนเห็นคลองเข้า ทำไว้ในใจให้เข้าถึงได้เป็น

เคยถามครูว่าไม่ว่าเราฝันหรือเข้าสมาธิเกิดนิมิตก็ตาม นิมิตเหล่านี้มันจริงแท้เพียงไรหนอ
ครูบาอาจารย์ท่านก็กรุณาสอนว่ามันมีทั้งจริงไม่จริง ให้กำหนดรู้ไปเรื่อย แต่ไม่หลงมัน เอามันมาใช้เพื่อเจริญเป็นแนวทางละอกุศลถึงกุศลลงทางสุจริตอะได้ แต่เราต้องรู้ว่าข้อนี้นิมิตไม่ใช่ของที่เป็นจริง แค่เราเอามาเพื่อพิจารณาลงธรรมให้เข้าถึงความสุจริต คือ สัมมาเท่านั้นเอง

แต่ก็ใช่ว่าจะถูกตรงเพราะผมยังแค่ปุถุชน ที่หน้าตาดี :b22: :b22: :b22:



กบนอกกะลา เขียน:
เห็นข่าวเมื่อกี้...ผู้ชายต่อยผู้หญิง..ต่อยไม่หยั่ง...ในคอนโด..บางใหญ่...

คิดในใจ..หากตูอยู่ตรง...มีงตาย

:b32: :b32: :b32:



หากผมอยู่ตรงนั้นจะช่วยคนชนะครับ 55555 ขำๆนะครับ แต่สงสารผู้หญิงนะ ผมก็ชั่วนะ และยังชั่วอยู่ ด้วยธรรมของพระพุทธเจ้านี้แหละทำผมให้เป็นคนดีขึ้นได้ :b8: :b8: :b8:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2018, 23:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
eragon_joe เขียน:
:b1: A-Gard แยกแยะอธิบายออกเป็นข้อ ๆ ได้

เขียนได้ดีกว่าเอกอนเยอะเลย

^^... รอติดตาม ... ^^



5555 ผมก็มั่วๆไปครับ อาศัยผมทำบ่อยๆ เข้าถึงบ่อยๆจนชินเป็นอุปนิสัย แบบท่านเอกอนว่าแหละครับ มันเป็นจริตติดมาชาตินี้น่ะครับ แล้วพอปฏิบัติธรรม มันทันจิตตน หรือจิตตนช้าขึ้นก็ไม่รู้ มันก็เลยรู้วิธีมนสิการน่ะครับ


:b32: :b32: :b32:

นั่นสิ่

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2018, 23:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:

กบนอกกะลา เขียน:
เห็นข่าวเมื่อกี้...ผู้ชายต่อยผู้หญิง..ต่อยไม่หยั่ง...ในคอนโด..บางใหญ่...

คิดในใจ..หากตูอยู่ตรง...มีงตาย

:b32: :b32: :b32:

หากผมอยู่ตรงนั้นจะช่วยคนชนะครับ 55555 ขำๆนะครับ


:b32: เอาเป็นว่า เอกอนจะยืนดูห่าง ๆ รอซ้ำเติม :b32: :b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 09 ธ.ค. 2018, 00:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2018, 00:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
เคยมีนิมิตเห็นพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงมาสอนเจโตวิมุตติผม สอนกรรมฐานเข้าสมาบัติ ผมถึงบอกว่าข้อนี้ๆผมไม่เคยเรียนรู้จากใครที่ไหน และไม่เคยท่องจำ มันพรั่งพรูขึ้นมาในหัวในใจเอง และผมเชื่อว่ามีผมคนเดียวด้วยซ้ำในยุคสมัยนี้ที่เอาพรหมวิหาร ๔ เข้าสติปัฏฐาน ๔ เป็นเจโตวิมุตติ จนมาเจอท่านเอกอนกับท่านอ๊บนี้แหละ ที่เหมือนกัน ผมดีใจมาก 555


:b32: น่าจะมีหลายคนอยู่น๊า ที่น่าจะมีประสบการณ์
ปฏิบัติไปและเคยเห็นพระพุทธองค์มาสอน
เพราะน่าจะเป็นความปราถนาของผู้ปฏิบัติทุกคน ที่เวลาไม่รู้จะไปยังไง
ก็มักจะละรึกถึงพระพุทธองค์ อยากให้พระพุทธองค์มาปรากฏ แล้วสอนธรรม
เอกอนก็เคย ครั้งเดียว

อ้างคำพูด:
เคยถามครูว่าไม่ว่าเราฝันหรือเข้าสมาธิเกิดนิมิตก็ตาม นิมิตเหล่านี้มันจริงแท้เพียงไรหนอ
ครูบาอาจารย์ท่านก็กรุณาสอนว่ามันมีทั้งจริงไม่จริง ให้กำหนดรู้ไปเรื่อย แต่ไม่หลงมัน เอามันมาใช้เพื่อเจริญเป็นแนวทางละอกุศลถึงกุศลลงทางสุจริตอะได้ แต่เราต้องรู้ว่าข้อนี้นิมิตไม่ใช่ของที่เป็นจริง แค่เราเอามาเพื่อพิจารณาลงธรรมให้เข้าถึงความสุจริต คือ สัมมาเท่านั้นเอง


ท่าทางคงจะได้เห็นอะไรมาเยอะ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2018, 08:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
เคยมีนิมิตเห็นพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงมาสอนเจโตวิมุตติผม สอนกรรมฐานเข้าสมาบัติ ผมถึงบอกว่าข้อนี้ๆผมไม่เคยเรียนรู้จากใครที่ไหน และไม่เคยท่องจำ มันพรั่งพรูขึ้นมาในหัวในใจเอง และผมเชื่อว่ามีผมคนเดียวด้วยซ้ำในยุคสมัยนี้ที่เอาพรหมวิหาร ๔ เข้าสติปัฏฐาน ๔ เป็นเจโตวิมุตติ จนมาเจอท่านเอกอนกับท่านอ๊บนี้แหละ ที่เหมือนกัน ผมดีใจมาก 555


:b32: น่าจะมีหลายคนอยู่น๊า ที่น่าจะมีประสบการณ์
ปฏิบัติไปและเคยเห็นพระพุทธองค์มาสอน
เพราะน่าจะเป็นความปราถนาของผู้ปฏิบัติทุกคน ที่เวลาไม่รู้จะไปยังไง
ก็มักจะละรึกถึงพระพุทธองค์ อยากให้พระพุทธองค์มาปรากฏ แล้วสอนธรรม
เอกอนก็เคย ครั้งเดียว

อ้างคำพูด:
เคยถามครูว่าไม่ว่าเราฝันหรือเข้าสมาธิเกิดนิมิตก็ตาม นิมิตเหล่านี้มันจริงแท้เพียงไรหนอ
ครูบาอาจารย์ท่านก็กรุณาสอนว่ามันมีทั้งจริงไม่จริง ให้กำหนดรู้ไปเรื่อย แต่ไม่หลงมัน เอามันมาใช้เพื่อเจริญเป็นแนวทางละอกุศลถึงกุศลลงทางสุจริตอะได้ แต่เราต้องรู้ว่าข้อนี้นิมิตไม่ใช่ของที่เป็นจริง แค่เราเอามาเพื่อพิจารณาลงธรรมให้เข้าถึงความสุจริต คือ สัมมาเท่านั้นเอง


ท่าทางคงจะได้เห็นอะไรมาเยอะ :b1:



ผมโม้เรียกร้องความสนใจเฉยๆครับ ไม่มีอะไร :b32: :b32: :b32:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 09 ธ.ค. 2018, 20:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2018, 19:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
อ้างคำพูด:

อ้างคำพูด:
๖. ศีลในพระพุทธศาสนา คือ ผลของพรหมวิหาร ๔ ใช่หรือไม่ เพราะเหตุใด
๗. ถ้า ศีล..ของพระพุทธเจ้า คือ ผลของพรหมวิหาร ๔ ..ก็ด้วยเหตุว่า อินทรีย์สังวร เป็นอาหาร(คือเหตุปัจจัยสืบ)ของความสุจริต ความสุจริตเป็นเหตุปัจจัยของมหาสติปัฏฐาน แล้วอย่างนั้น พรหมวิหาร ๔ คือ ตัวเหตุปัจจัยที่ทำให้มหาสติบริบูรณ์ด้วยหรือไม่ครับ เพระเหตุใด


ก็ถ้าหากว่ามีพรหมวิหาร ก็แทบจะไม่ต้องกังวลเรื่องผิดศีลเลย

พรหมวิหาร ทำให้มหาสติปัฏฐานมีกำลังขึ้น ซึ่งจะทำให้บริบูรณ์หรือไม่

เอกอนไม่รู้นะ เผื่อใครจะเห็นว่าได้ เขาย่อมมีเหตุผลที่จะเห็นเช่นนั้น

แต่ในมุมที่เอกอนเข้าใจ เอกอนมองว่าพรหมวิหารเพียงทำให้อัตตาน้อยลงทุกที

แต่ไม่ได้ทำให้แจ้งในอนัตตา

:b10:

สิ่งที่ทำให้แจ้งอนัตา คือ ทุกข์ ต้องเห็นทุกข์ในอารมณ์นั้น
เมื่อ เห็นทุกข์ ก็เข้าสู่ สมุทัย นิโรธ มรรค
แจ้ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

คิดว่านะ ... :b5: :b6: :b14:

ทำไมตั้งคำถามยากแถะ ๆ

:b32: :b32: :b32:



ดึงข้อมูลของท่านเอกอนมาหน้านี้ก่อนนะครัรบเด๋วมาคุยต่อ

พวกเรากำลังทำให้การสนทนาธรรมนี้ เป็นการสนทนาธรรมแท้และเกื้อกูลพระพุทธศาสนาครับ
(คือคนหล่อคิดว่างั้นน่ะครับ อิอิ)


รอ ผักกาด รูปหล่อ มาต่อ นะนี่ ^^

:b1: :b12: :b16: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2018, 20:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
อ้างคำพูด:

อ้างคำพูด:
๖. ศีลในพระพุทธศาสนา คือ ผลของพรหมวิหาร ๔ ใช่หรือไม่ เพราะเหตุใด
๗. ถ้า ศีล..ของพระพุทธเจ้า คือ ผลของพรหมวิหาร ๔ ..ก็ด้วยเหตุว่า อินทรีย์สังวร เป็นอาหาร(คือเหตุปัจจัยสืบ)ของความสุจริต ความสุจริตเป็นเหตุปัจจัยของมหาสติปัฏฐาน แล้วอย่างนั้น พรหมวิหาร ๔ คือ ตัวเหตุปัจจัยที่ทำให้มหาสติบริบูรณ์ด้วยหรือไม่ครับ เพระเหตุใด


ก็ถ้าหากว่ามีพรหมวิหาร ก็แทบจะไม่ต้องกังวลเรื่องผิดศีลเลย

พรหมวิหาร ทำให้มหาสติปัฏฐานมีกำลังขึ้น ซึ่งจะทำให้บริบูรณ์หรือไม่

เอกอนไม่รู้นะ เผื่อใครจะเห็นว่าได้ เขาย่อมมีเหตุผลที่จะเห็นเช่นนั้น

แต่ในมุมที่เอกอนเข้าใจ เอกอนมองว่าพรหมวิหารเพียงทำให้อัตตาน้อยลงทุกที

แต่ไม่ได้ทำให้แจ้งในอนัตตา

:b10:

สิ่งที่ทำให้แจ้งอนัตา คือ ทุกข์ ต้องเห็นทุกข์ในอารมณ์นั้น
เมื่อ เห็นทุกข์ ก็เข้าสู่ สมุทัย นิโรธ มรรค
แจ้ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

คิดว่านะ ... :b5: :b6: :b14:

ทำไมตั้งคำถามยากแถะ ๆ

:b32: :b32: :b32:



ดึงข้อมูลของท่านเอกอนมาหน้านี้ก่อนนะครัรบเด๋วมาคุยต่อ

พวกเรากำลังทำให้การสนทนาธรรมนี้ เป็นการสนทนาธรรมแท้และเกื้อกูลพระพุทธศาสนาครับ
(คือคนหล่อคิดว่างั้นน่ะครับ อิอิ)


รอ ผักกาด รูปหล่อ มาต่อ นะนี่ ^^

:b1: :b12: :b16: :b1:



:b29: :b29: :b29: :b18: :b18: :b18: rolleyes rolleyes rolleyes

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 356 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 24  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 49 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร