ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=56695 |
หน้า 3 จากทั้งหมด 24 |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 10 พ.ย. 2018, 19:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
ผม..ส่วนใหญ่..จะมาทางฝัน.. ตั้งแต่พยายาม..จะละสังโยชน์3 โน้น...เขาจะบอกเป็นสัญญลักษณ์..มาเป็นระยะๆ..เราจะรู้สึกได้ว่า..แต่ละสัญญาลักษณ์..นั้นหมายถึงอาไร.. เมื่อต้นปี...พวกหมอดูทั้งหลายก็ว่าราศีผมจะถูกราหูอม..รึไรนี้แหละ...คนใกล้ชิดเลยเอามาทัก...ไอ้เราก็กำลังเครียดกับการงานอยู่พอดี...มันก็มีโมโหนะซี... " ราหูจะอมหัวผมรึ...ผมก็จะกินหัวราหูคืนนะ ..ราหูเป็นใคร..คืนนี้มาบอกด้วย..ถ้าแน่จริง " เวลาโมโหนี้..มดก็หน้ามืดได้ พญาช้างใหญ่โตมาจากไหน..มันก็ไม่กลัวได้นะ . มา..จริงๆ..555.. เข้าไปดูใกล้ๆ ..ตัวใหญ่..เข้ม..แบบชายไทยโบราณ . เจอแล้ว..จะรออะไร ก็ขอ ซี..ขอ.." ไหน...ทำไมไม่ช่วยเหลือกันบ้างเลย " 555 มนุษย์....แทนที่จะขอดีดี..มีแดกดันเข้าไปด้วย.. ท่านก็พูดแบบไม่มองหน้า..ว่า.." ช่วย ไม่ใช่หน้าที่เรา ..คนที่จะช่วยคุณ..มีอยู่แล้ว " แล้วก็ชี้ไปทางซ้าย..ไกลๆ... ผมไม่มองตาม...แต่ก็รู้ได้ว่า .ใครคือคนที่จะช่วยผม .. คือ..พระพุทธเจ้า..ย่ากวนอิม..บรรดาท่านๆที่อยู่พระนิพพาน...นั้นแหละ แต่..ตื่นขึ้นมา..ก็ไปขอพระราหูโพธิสัตว์..อยู่ดี . |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 10 พ.ย. 2018, 19:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
กลับมาที่ เด จา วู.. เป็นบ่อย..ตอนเด็กๆ .ทำให้ไปค้นคว้าหาตำราดูว่าใครเข้าศึกษาว่าเกิดจากอะไร....ก็คล้ายๆที่คุณแค่อากาศว่า..นั้นแหละ .คือ...การที่สมองจำแต่เฉพาะโครงร่างคร่าวๆ...พอไปเจอเหตุการณ์ที่โครงร่างคล้ายกัน .สมองก็จะตีคว่มหมายว่า..เคยพบเคยเจอมาแล้ว... อันนี้..พวกนักจิตวิทยา..เขาว่า.. เด็กๆ..เราก็เชื่อ..เพราะเป็นเหตุเป็นผลดี... แต่.... อิอิ.. |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 10 พ.ย. 2018, 19:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
แค่อากาศ เขียน: มันก็เลยเป็นข้อดีให้พวกเรามีเรื่องได้มาสนทนากัน 555 มันก็ดีนะ..ผมว่าดีกว่าไปไล่แหย่กัน 555 ที่สำคัญมันสนุกตรงที่ไม่มีใครรู้ไปกับเรานอกจากคนที่เหมือนกัน เราก็พูดคุยกันสนุกในกลุ่มเเลยทีนี้ อิอิ แค่อากาศ เขียน: ผมเพิ่งนึกได้..เหมือนจะเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในเวบนี้ ผมตรงงอปลายยาวประบ่า เสื้อเชิ๊ตคอกลมสีขาว หรือเสื้อคอกระเช้าสีขาว กระโปรงนี่แหละไม่แน่ใจ หุ่นบางพอดี ไม่อ้วน ไม่อวบ จะดำเนินเรื่องราวสักอย่างกับผม ไม่แน่ใจว่า..มาหาเรื่องทะเลาะผม หรือจะคุยธรรมกันรู้เรื่องเป็นไปในแนวเดียวกันเข้าใจกันแบ่งปันสิ่งดีๆให้กัน เพราะผมจำไม่ได้แระ 555 คือพยายามไม่ใส่ใจมันเพราะคิดว่าตนเองไม่ถึงที่จะรู้เห็นอย่างนั้น ขนาดพระอริยะสงฆ์แต่ละระดับก็เห็นจริงเท็จต่างกัน ผมแค่คนหน้าตาดีไม่มีธรรม ไม่มีญาณ ไม่ถึงฌาณ เลยคิดว่าที่รู้เห็นก็คงไม่จริงหรือนึกคิดปรุงแต่งไปเอง เลยไม่ใส่ใจลืมๆมันไปแระ จริง ๆ ลานแห่งนี้ น่าอยู่นะ แต่เอกอนก็สังเกตเห็นว่าคนเข้ามาสนทนาธรรมกันค่อนข้างน้อย จะด้วยเหตุผลอะไร ก็ต่างคนต่างความคิด ก็คงจะด้วยเหตุผลมากมาย ที่คุยกันโดยมากมักจะเป็นเรื่องที่ ออกจะวิชาการ บางทีก็จะลึกในทางปฏิบัติมาก เป็นธรรมม๊ากมาก จนบางครั้งคนก็ค่อนข้างที่จะมาตามดู แต่ก็คงไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็นมากนัก เพราะเกรงว่า จะโชว์เปิ่น หรือโชว์ความผิดพลาด และก็อาจจะเกรงนักปาด เอกอนก็มีกลัวเช่นกัน และเอกอนก็ยังมีการแสดงความผิดพลาดอยู่เรื่อย ๆ นะ เพียงแต่ไม่ค่อยถูกเอาความ ... ซึ่งคนโดยมากก็คงจะกลัวเช่นกัน เพราะผู้ปฏิบัติธรรมก็มักจะเป็นผู้ที่กำลังก้าวเดิน เอกอนก็ชอบที่จะเปิดแง่มุมการสนทนาให้มันมีผ่อนคลายบ้าง เพราะจริง ๆ ผู้ปฏิบัติทุกคนล้วน ได้พบอะไรบางอย่างในการปฏิบัตินั่นล่ะ จะไปพูดคุยกับเพื่อนที่ทำงาน กับคนที่ไม่ได้ปฏิบัติ เขาก็ไม่รู้เรื่องไปกับเราด้วย ซึ่งสังคมในลานสนทนาธรรม ก็เป็นที่แห่งหนึ่งที่บางครั้งผู้ปฏิบัติจะได้มีโอกาสได้พูดคุย กับคนที่เขาพอจะเข้าใจกันได้น่ะ ให้ได้มีพื้นที่ที่ กล่าวถูกก็ได้รับการชื่นชมให้กำลังใจ ผิดก็ได้รับการปรับทัศนะและให้กำลังใจ ... มันก็ทำให้การปฏิบัตินั้น ในช่วงที่ยังไม่ถึงจุดหมาย อย่างน้อยเราก็ยังมีมิตรสหายร่วมทาง ช่วยกันประคับประคอง ลานแห่งนี้ การมีหลาย ๆ บรรยากาศ น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้สำนักธรรมแห่งนี้ร่มเย็นน่าอยู่ และคงจะน่าที่จะมีผู้มีความรู้เข้ามาเยี่ยมเยียน ... .... จริง ๆ ในอดีตมีคนที่คอยมาสร้างสีสรรให้กับลานมากมาย คนที่เอกอนนึกถึงอยู่เสมอ ๆ ก็ ท่านมู murano เพราะในลานแห่งนี้ ท่านมูจะมีความเด่นในเรื่องแนว sifi ท่านเช่นนั้นก็โผล่มาบ้าง แต่หลัง ๆ ค่อนข้างเงียบ ๆ ไม่ค่อยสนทนาสักเท่าไร ท่าน บุดดา ... จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ อีกหลาย ๆ ท่าน ... ซึ่งท่านเหล่านี้ในวันเก่า ๆ มักจะเข้ามาโชว์ลีลาให้เอกอนได้อมยิ้มบ่อย ๆ ซึ่งเอกอนก็ส่วนใหญ่จะได้เข้ามาติดตามความเคลื่อนไหว ดูลีลาไหวพริบของแต่ละท่านแล้ว และก็อดที่จะเข้าไปร่วมวงแซว ๆ แหย่ ๆ พวกท่านไม่ได้ ลานแห่งนี้ช่วงนั้น มีหลายรสชาด มีทั้งสาระ และไร้สาระ สาระน่ะคนอื่น ส่วนเอกอนจะไร้สาระเสียโดยมาก ... แต่ช่วงนี้เอกอนคิดถึง Bwitch ไม่รู้ทำไม คิดถึงมาหลายวันแล้ว ... |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 10 พ.ย. 2018, 19:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
กบนอกกะลา เขียน: ผม..ส่วนใหญ่..จะมาทางฝัน.. ตั้งแต่พยายาม..จะละสังโยชน์3 โน้น...เขาจะบอกเป็นสัญญลักษณ์..มาเป็นระยะๆ..เราจะรู้สึกได้ว่า..แต่ละสัญญาลักษณ์..นั้นหมายถึงอาไร.. เมื่อต้นปี...พวกหมอดูทั้งหลายก็ว่าราศีผมจะถูกราหูอม..รึไรนี้แหละ...คนใกล้ชิดเลยเอามาทัก...ไอ้เราก็กำลังเครียดกับการงานอยู่พอดี...มันก็มีโมโหนะซี... " ราหูจะอมหัวผมรึ...ผมก็จะกินหัวราหูคืนนะ ..ราหูเป็นใคร..คืนนี้มาบอกด้วย..ถ้าแน่จริง " |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 10 พ.ย. 2018, 19:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
เอกอน..นี้..แปลกปะหลาดจริง...เหมือนแม่ผมอยู่อย่าง..ซึ่งผมทำอย่างไม่ได้.. นับถือ..นับถือ.. |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 10 พ.ย. 2018, 20:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
กบนอกกะลา เขียน: คนไทยนี้...แปลกมากนะครับ...ยังกับว่า..เป็นชนชาติแห่งพระพุทธศาสนา..เป็นพื้นที่สุดท้ายก่อนจะหลุดออกจากโลก... คนไทย..นี้..ไม่ใช่ประเทศไทย..นะครับ...แต่คือชนชาติที่มีบ้านช่องหลังคาแหล่มๆ..สะโอดสะองค์..มีชดาแหลมเปียบ.. พระพุทธศาสนาไปเจริญที่ไหน..แสดงว่ามีคนไทยอยู่ที่นั้น..ครับ คือ ... มันไปลงแก๊บกันได้ยังไงก็ไม่รู้นะ ตอนที่เอกอนเล่าว่า สัญลักษณ์ทางธรรมแตกต่างกันไปน่ะ เอกอนก็ไม่อยากจะเล่าต่อว่ามีสัญลักษณ์ประมาณไหนบ้าง เพราะพูดไปคนอ่านตามอาจจะรับได้ยาก อย่างเช่น รูปสามเหลี่ยมแบบง่าย ๆ ซึ่งมันจะเป็นไปได้ยังไง ก็ให้ลองนึกว่าทุกอย่างมันล่มหลายหายไป จมดิน และเมื่ออยู่ ๆ จะถูกค้นพบ มันก็ค่อย ๆ พบจากสิ่งที่มันปรากฎเหนือผิวดินเป็นอันดับแรก ๆ อะไรที่โผล่ขึ้นมาก่อน เขาก็รีบคว้าไปว่านั่นคือ สัญลักษณ์ของหลักธรรมโบราณที่หายไป เมื่อขุดลงไปก็พบสัญลักษณ์ขึ้นเรื่อย ๆ ขุดกันลงไปจนกระทั่งถึงลูกนิมิตน่ะ ... การค้นพบในทุกสถานที่ จบลงที่ การขุดไปเจอลูกนิมิต วัตถุถูกขุดค้นขึ้นมาจดหมดทุกซอก ทุกอณู แต่ จิตใจของผู้คนยังไม่ถูกเติมเต็มด้วย สัจจะธรรม ... การโหยหาการค้นพบ สัจจะธรรม ยังคงเกาะกินผู้ค้นหาต่อไป ... |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 10 พ.ย. 2018, 20:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
กบนอกกะลา เขียน: เอกอน..นี้..แปลกปะหลาดจริง...เหมือนแม่ผมอยู่อย่าง..ซึ่งผมทำอย่างไม่ได้.. นับถือ..นับถือ.. ตรงที่ว่า เอกอนชอบเมากัญชาใช่ป่าว |
เจ้าของ: | แค่อากาศ [ 11 พ.ย. 2018, 12:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
ขออนุโมทนาสาธุกับท่านทั้งสองครับ ท่านทั้ง 2 มีความคิดในมุมมองที่เวลาผมคุยด้วยก็รู้สึกดีตามครับ ทำให้ผมกล้าคุยสตนทนาด้วย และกล้าคุยในหลายกระทู้ โดยมากผมจะอนุโมทนาท่านที่นำคำสอนหรือพระำไตรมาเผยแพร่ เพราะผมไม่ถึงจะพูดอะไรก็ลำบาก พอจะแสดงความเห็นก็คงยากจดจำเขามาไม่หมด 555 บางทีส่วนที่เราเข้าถึงกักอีกฝ่ายที่เขาเข้าถึงในแบบของเขามันต่างกัน แม้ทางเดียวกันก็เลยเกิดถกเถียงกันไป อีกประการคือพยายามอวด พยายามให้คนอื่นตามตนเลยเกิดขัดแย้ง แต่การคุยในกระทู้นี้ของเราดีนะครับมีแต่ความเอ็นดูรู้สึกดีครับ + |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 11 พ.ย. 2018, 13:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
eragon_joe เขียน: กบนอกกะลา เขียน: เอกอน..นี้..แปลกปะหลาดจริง...เหมือนแม่ผมอยู่อย่าง..ซึ่งผมทำอย่างไม่ได้.. นับถือ..นับถือ.. ตรงที่ว่า เอกอนชอบเมากัญชาใช่ป่าว คิก..คิก..คิก.. ผมยังเคยเอาคำเอกอน ..เรื่องการ touching ..ไปเล่าให้แม่ฟัง... |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 11 พ.ย. 2018, 13:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
แค่อากาศ เขียน: ขออนุโมทนาสาธุกับท่านทั้งสองครับ ท่านทั้ง 2 มีความคิดในมุมมองที่เวลาผมคุยด้วยก็รู้สึกดีตามครับ ทำให้ผมกล้าคุยสตนทนาด้วย และกล้าคุยในหลายกระทู้ โดยมากผมจะอนุโมทนาท่านที่นำคำสอนหรือพระำไตรมาเผยแพร่ เพราะผมไม่ถึงจะพูดอะไรก็ลำบาก พอจะแสดงความเห็นก็คงยากจดจำเขามาไม่หมด 555 บางทีส่วนที่เราเข้าถึงกักอีกฝ่ายที่เขาเข้าถึงในแบบของเขามันต่างกัน แม้ทางเดียวกันก็เลยเกิดถกเถียงกันไป อีกประการคือพยายามอวด พยายามให้คนอื่นตามตนเลยเกิดขัดแย้ง แต่การคุยในกระทู้นี้ของเราดีนะครับมีแต่ความเอ็นดูรู้สึกดีครับ + หลังๆมา..มันขี้เกียจ..ที่จะไปถกเถียง..มองมาที่ตัวเอง..มันก็ไม่ได้ดีอะไรหนักหนา..รู้สึกรำคาญตัวเองมากกว่า...กว่าจะไปรำคาญใคร...ตัวเรายังมีอะไรให้ปรับปรุง..เยอะ..ไม่มีกะใจจะไปปรับปรุงใคร.. |
เจ้าของ: | แค่อากาศ [ 11 พ.ย. 2018, 15:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
กบนอกกะลา เขียน: แค่อากาศ เขียน: ขออนุโมทนาสาธุกับท่านทั้งสองครับ ท่านทั้ง 2 มีความคิดในมุมมองที่เวลาผมคุยด้วยก็รู้สึกดีตามครับ ทำให้ผมกล้าคุยสตนทนาด้วย และกล้าคุยในหลายกระทู้ โดยมากผมจะอนุโมทนาท่านที่นำคำสอนหรือพระำไตรมาเผยแพร่ เพราะผมไม่ถึงจะพูดอะไรก็ลำบาก พอจะแสดงความเห็นก็คงยากจดจำเขามาไม่หมด 555 บางทีส่วนที่เราเข้าถึงกักอีกฝ่ายที่เขาเข้าถึงในแบบของเขามันต่างกัน แม้ทางเดียวกันก็เลยเกิดถกเถียงกันไป อีกประการคือพยายามอวด พยายามให้คนอื่นตามตนเลยเกิดขัดแย้ง แต่การคุยในกระทู้นี้ของเราดีนะครับมีแต่ความเอ็นดูรู้สึกดีครับ + หลังๆมา..มันขี้เกียจ..ที่จะไปถกเถียง..มองมาที่ตัวเอง..มันก็ไม่ได้ดีอะไรหนักหนา..รู้สึกรำคาญตัวเองมากกว่า...กว่าจะไปรำคาญใคร...ตัวเรายังมีอะไรให้ปรับปรุง..เยอะ..ไม่มีกะใจจะไปปรับปรุงใคร.. สาธุครับ คิดตรงกันเลยครับ |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 11 พ.ย. 2018, 16:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
แค่อากาศ เขียน: กบนอกกะลา เขียน: แค่อากาศ เขียน: ขออนุโมทนาสาธุกับท่านทั้งสองครับ ท่านทั้ง 2 มีความคิดในมุมมองที่เวลาผมคุยด้วยก็รู้สึกดีตามครับ ทำให้ผมกล้าคุยสตนทนาด้วย และกล้าคุยในหลายกระทู้ โดยมากผมจะอนุโมทนาท่านที่นำคำสอนหรือพระำไตรมาเผยแพร่ เพราะผมไม่ถึงจะพูดอะไรก็ลำบาก พอจะแสดงความเห็นก็คงยากจดจำเขามาไม่หมด 555 บางทีส่วนที่เราเข้าถึงกักอีกฝ่ายที่เขาเข้าถึงในแบบของเขามันต่างกัน แม้ทางเดียวกันก็เลยเกิดถกเถียงกันไป อีกประการคือพยายามอวด พยายามให้คนอื่นตามตนเลยเกิดขัดแย้ง แต่การคุยในกระทู้นี้ของเราดีนะครับมีแต่ความเอ็นดูรู้สึกดีครับ + หลังๆมา..มันขี้เกียจ..ที่จะไปถกเถียง..มองมาที่ตัวเอง..มันก็ไม่ได้ดีอะไรหนักหนา..รู้สึกรำคาญตัวเองมากกว่า...กว่าจะไปรำคาญใคร...ตัวเรายังมีอะไรให้ปรับปรุง..เยอะ..ไม่มีกะใจจะไปปรับปรุงใคร.. สาธุครับ คิดตรงกันเลยครับ ... เหมี๋ยนกาน... |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 12 พ.ย. 2018, 23:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
กบนอกกะลา เขียน: eragon_joe เขียน: กบนอกกะลา เขียน: เอกอน..นี้..แปลกปะหลาดจริง...เหมือนแม่ผมอยู่อย่าง..ซึ่งผมทำอย่างไม่ได้.. นับถือ..นับถือ.. ตรงที่ว่า เอกอนชอบเมากัญชาใช่ป่าว คิก..คิก..คิก.. ผมยังเคยเอาคำเอกอน ..เรื่องการ touching ..ไปเล่าให้แม่ฟัง... แล้วแม่ว่าไงล่ะ สงสัยแม่คงจะบอกว่า ท่าจะมีเล่นกาวด้วย คือเอกอนเคยอ่านการสนทนาธรรมที่อื่น ๆ บางคน เขาก็มีเล่าว่าไปเห็นอดีตชาติของตัวเอง บางคนก็เคยเห็นตัวเองเป็นสุนัขบ้าง แมวบ้าง เจ้าเมือง เจ้าหญิง แม่ค้าขนมจีน เอกอนก็เคยเห็นนะ และเอกอนก็วางทิ้งเอาไว้อย่างนั้น ยังไม่เคยกล้าเขาไปคุ้ยเขี่ย เพราะบางครั้งเราอาจจะยังไม่พร้อมและไม่เท่าทัน พอเห็นทีไร และมันนออกจะหนักที่จะรับมือ ก็ฝังกลบไว้ก่อนเลย เพราะ โลกธรรม จะสร้างสิ่งต่าง ๆ เพื่อล่อลวงเราให้อยู่กับ โลกธรรม ถ้าสิ่งธรรมดาล่อลวงเราไม่ได้ มันก็จะสร้างนิมิตที่ จนทุกวันนี้ ก็ยังฝังมันเอาไว้ ส่วนใหญ่สิ่งที่เห็นมักจะฝังเอาไว้ เพราะยังไม่พร้อมจริง ๆ อย่างกรณีน้องเม การเข้ามาของน้องเมทำให้สมาชิกลานปั่นป่วนพอสมควร เอกอนมีความรู้สึกที่ดีกับน้องเมและกลุ่มของน้องเมนะ เพราะเอกอนเคยเห็น กลุ่มนี้ในนิมิต คือเห็นปุ๊บก็รู้สึกได้น่ะ ซึ่งการแสดงที่หน้าลานอาจจะประหลาดอยู่มาก แต่เอกอนไม่รู้สึกประหลาด เพราะสิ่งที่เห็นมันยากที่จะอธิบาย และเอกอนก็อธิบายไม่ได้ด้วย "เดี๋ยวมันจะเสียเรื่อง" ต้องปล่อยให้ทุกอย่างต้องดำเนินไป ทุกวันนี้เทพบุตรเป็นมิจฉาฐิทิเยอะ ส่วนคนคุกก็มีหันมาสนใจธรรมะเพราะพระอาจารย์นวลจันทร์ ...เหมือนขั้วแม่เหล็กกำลังจะเตรียมพลิก... คล้าย "หยินกับหยาง" |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 13 พ.ย. 2018, 03:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
ตอนนี้..เพื่อนสนิทกำลังเป็น... อาการ..จำเรื่องเก่าๆได้...อาการไปรู้อะไรของคนอื่นได้.. |
เจ้าของ: | แค่อากาศ [ 13 พ.ย. 2018, 14:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์ ภาค เดจาวู ^^ |
จริงๆถ้ามองอย่างเข้าใจในเหตุปัจจัยของแต่ละคนก็เข้าใจเขาได้นะครับคุณเอกอน 555... เหมือนเรื่องน้องเมผมเจอบ่อย เรีนนมากจนอัตตาตัวหนังสือ แต่แทบจะไม่มีโอกาสให้เห็นสิ่งที่เรียนตามจริง เพราะรู้ด้วยสมมติความคิดทั้งหมด เมื่อเป็นดังนั้นก็เป็นปรกติที่จะหลงในหนังสือหลงความรู้ที่เรียน ..อุปมาเหมือนวิศวะกรสถาปัตยกรรมเรียนจบใหม่มีความรู้หลักการเพรียบพร้อม ได้วาดแปลนคำนวนโครงสร้างหนึ่งตามตำราเป๊ะๆ แต่ไม่เคยแม้แต่จะผะสงานที่ตนทำตามที่ออกแบบเรียนมา การดำเนินงานก็แค่คอยชี้สั่งช่างก่อสร้างให้ทำตามที่ตนรู้จากมหาลัยจากครู ..ซึ่งช่างก่อสร้างนั้นมีประสบการณ์สูงเคยทำงานมาเยอะมีประสบการณ์จากการลงมือทำจริงด้วยตนเอง เคยก่อสร้าง เคยตกแต่งงานมาหลายแบบหลายอย่าง หลายที่ เคยผิดพลาด เคยแก้ไขงานจนรู้หลักโครงสร้างในง่นทุกอย่าง ทั้งการรับน้ำหนักของเสาและคานในแบบต่างๆ รู้จุดที่ต้องยึดเป็นหลักในการทำโครงสร้างอาคารให้แข็งแรง รู้จุดที่ต้องใช้ขนาดเหล็กเพื่อรับน้ำหนักของโครงสร้างอาคาร รู้ขนาดของคานที่ควรสร้างเพื่อรับน้ำหนักของอาคารแต่ละขนาด รู้จุดที่ต้องเชื่อมต่อแบ่งรับน้ำหนักความสูงและน้ำหนักที่เหล็กรับได้ เป็นต้น ..แต่ช่างนั้นคำนวนเหมือนวิศวะกรไม่ได้ พูดใช้ภาษาหลักการไม่ได้ พูดทับศัพท์ไม่ได้เท่านั้นเอง ทำให้ช่างก่อสร้างรู้ตัวว่าตนมีความรู้น้อย ต้องเรียนรู้ให้มากกว่านี้ เป็นคนเปิดใจกว้างจะรับรู้ทุกอย่างที่เป็นประโยชน์แก่ตนและงาน ศึกษาในส่วนสำคัญๆที่ใช้ในงานเพิ่มเติมอยู่เสมอๆ ..ส่วนวิศวะนั้นถือว่าตนเรียนมาเยอะจบสูงมีใบประกาศทีครูดีมีชื่อเสียงหน้ามีตาโด่งดัง จึงทะนงตน หลงตน ถือตนไม่ยอมฟังใคร ทุกอย่างต้องเป็นในแบบตนเท่านั้นจึงจะถูก นอกนั้นผิดหมด ยิ่งอยู่กับช่างที่ไม่มีวุฒิการศึกษา จบ ป.๔ บ้าง, จบ ปวส.บ้าง ยิ่งหลงว่าตนสูงกว่าเขาไปใหญ่จนลืมนึกไปว่า ที่ช่างเหล่านั้นที่ยังทำงานได้อยู่ ก็เพราะมีประสบการณ์เยอะรู้เนื้องานและวิธีทำงาน วิธีแก้ไขงาน วันหนึ่งบริษัทที่วิศวะกรนั้นรับงานอยู่ มีโปรเจคงานให้สร้างอาคารออกแบบตกแต่ง วิศวะกรนั้นก็อยากทำให้สวยหรูโชว์ศักยภาพตน จึงอแกแบบโครงสร้างอาคารมางดงามโดยคำนวนทุกอย่างตามแบบที่เรียนมาจากครู แบบที่สร้างมานั้นอลังการมาก ได้รับการยอมรับจากหลายฝ่ายที่ตรวจสอบ แต่เมื่อแบบที่วศวะกรนั้นเขียนมาแล้วสั่งให้ทำช่างก่อสร้างทำ.. ช่างก่อสร้างดูแล้วพบว่าทั้งขนาดเหล็กและรูปทรงมันไม่สมกันมันรับกันไม่ได้โครงสร้างออกแบบมามีน้ำหนักลงเสามากไปขนาดของเหล็กและคานที่หล่อเล็กไปไม่แข็งแรงพอ รับน้ำหนักโครงสร้างไม่ได้ จำนวนเสาที่ค้ำจุนน้ำหนักก็น้อยไป รูปแบบโครงสร้างก็ไม่รับกับจุดกระจายน้ำหนักอาคาร ..เมื่อช่างบอกต่อวิศวะกร ..แล้ววิศวะกรก็โกรธแค้นร้อนว่าตนรู้จริงตนจบสูงคำนวนมาถูกต้องตามกฏของโครงสร้างน้ำหนัก(โดยไม่ยั้งคิดว่าช่างเขาเป็นคนเปิดกว้างใฝ่ศึกษาเรียนรู้ มีประสบการณ์จริง และศึกษาเรียนรู้มาบ้างเหมือนกัน) แล้ววิศวะกรก็ด่าตอกกลับช่างว่า..เอ็งจบแค่ ปวส.บ้าง. จบแค่ ป.๔ บ้าง พวกโง่บ้าง พวกกรรมกรไม่มีความรู้บ้าง เป็นแค่กรรมกรจะมารู้ดีกว่าคนจบสูงเป็นวิศวะกรได้อย่างไร จนเมื่ออาคารนั้นได้ก่อสร้างขึ้นโครงไปได้ไม่นานก็พังคลืนลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่วิศกรก็ไม่ฟังคำของช่าง ไม่ยอมต่อเติมเพิ่มเติมในส่วนที่ต้องรับและกระจายน้ำหนักรากฐานโครวสร้างของอาคาร ก็ทำให้การก่อสร้างล่าช้าไปอีก คนงานที่ก่อสร้างก็ตายขณะดำเนินงาน ช่างก็ที่รู้ว่าไปไม่รอดแล้วแม้เตือนแล้วแต่วิศวะกรก็ไม่ฟัง จึงลาออกจากงาน แล้วกคนงานก็ค่อยๆหนีหายไปเรื่อยๆ บริษัทที่รับงานก็ขาดทุน เกิดผลร้ายอื่นๆตามมา ..เปรียบน้องเมเป็นวิศวะกร ผู้รู้ที่ได้เห็นจริงที่น้องเมอวดข่มตำราก็เป็นเหมือนช่างก่อสร้างนั้น ..เมื่อเห็นดังนี้ก็ไม่มีอะไรให้ติดข้องใจน้องเมอีก ที่เห็นก็เพียงอัตตา มานะ อุปกิเลสนิวรณ์เท่านั้นเอง ซึ่งเป็นปรกติของคนที่ท่องจำมามากรู้อะไรโดยความคิดสมมติไปก็ว่าจริง เหมือนวิศวะกรที่เรียนมาสูงเรียนมากแต่ไม่เคยทำก็หลงมาก คือ หลงความคิดตนเองไม่เคยเห็นของจริง หรือแม้แต่นักปฏิบัติธรรมที่ได้สัมผัสอะไรมามากจนหลงสิ่งที่ตนรู้เพราะมันเห็นแต่มันไม่ลงใจนั่นเอง ก็เป็นแบบน้องเม ..ผมมีโอกาสได้เจอพระอริยะหลายๆระดับ เช่น - พระโสดาบัน ท่านไม่ถือตัวนะ ไม่หมกมุ่นธรรมด้วย แต่จิตท่านมันเจริญเองอยู่ทุกเมื่อ ท่านไม่เห็นตนเองต่างจากปุถุชนทั่วไปเลย ที่มีต่างก็คือศีลของตนสูงกว่าเขาแค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง - พระอริยะที่ระดับสูงขึ้น ท่านก็ไม่ยึดอะไรแม้ความเป็นตัวตนถือตนยังมีอยู่ แต่มีความอ่อนน้อมเอื้อเฟื้อใจดีมาก ไม่เป็นผู้มักโลภ มักโกรธ มักหลง มีอะไรก็ปล่อยผ่านไป - ส่วนพระอรหันต์นี้ ท่านยิ่งสุดๆเลย ไม่ถืออะไร ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น มีแต่ความเมตตากรุณาสงสารต่อสัตว์ไม่หลงตน ไม่โม้ว่าบรรลุธรรม ไม่เพ้อหลงธรรมอะไรก็ดีหมดถ้าน้อมเข้าธรรมเครื่องกุศลอันเป็นบุญบารมีใ้แก่ขันธ์ของสัตว์ที่ทำและนำพาไปสู่มรรคผลได้ เว้นแต่จำเป็นเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาแบบหลวงตามหาบัว เป็นต้น ท่านมีความจำเป็นที่ต้องประกาศ 1. เพื่อให้คนได้ทำบุญทำทานสะสมบารมีแก่ขันธ์ของตน 2. เพื่อสร้างความมั่นใจให้คนมาน้อมศึกษาธรรมปฏิบัติ ..เหมือนสมัยพุทธกาลมีพระที่ท่องจำตำราอภิรรม พระไตรได้เจนจบครบหมดแต่ปฏิบัติยังไม่ถึงธรรม แล้วมีความถือตัวสูง มีมานะมาก ว่าตนรู้พระไตรทั้งหมด ไม่ให้ความเคารพใครหน้าไหน ยึดหลงว่าตนสุดยอด ชอบคนสรรเสริญเยินยอ พอใจในลาภสักการะที่ได้รับจากการสาธยายธรรมในพระไตรปิฎกที่ตนท่องจำมา พระพุทธเจ้าทรงตรวจเห็น จึงทรงรับสั่งให้ไปอยู่กับพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ก็ไปทำอกุษลต่อพระเถระเพื่อสักการะตนอีกที่สุดก็จบลงด้วยเหตุชั่วนั้นสนองคืนตน พระใบลานเปล่านี้มีมากในสมัยพุทธกาล ก็เจอหนักๆให้ละอายไปหลายคน ส่วรคนที่ถึฃแล้วท่านไม่ดูถูกปัญญาแม้น้แยนิด ไม่ดูถูกแม้คนที่ได้แต่ท่องจำธรรม แต่จะมองเพียงรู้มากคิดเยอะจบไม่เป็น แต่หากน้อมลงปฏิบัติถึงธรรมได้จะดีมาก เมื่อตัวตนไม่มีไม่เหลือความเป็นตัวตนแม้ธรรมที่ท่องจำมา มีเพียงทางที่ไปถึง เกื้อกูลโลกและพระพุทธศาสนาได้ จะเป็นกำลังให้พระพุทธศาสนาได้ แต่หากท่านดูแล้วมานะทอฏฐิฝังลึกจนเป็นสันดารล้าฃไม่ได้ ท่านก็เห็นว่าบ้าธรรมยังดีกว่าข้าอย่างอื่นที่เป็นกรรมชั่ว ..ผมก็มองน้องเมแบบนี้ จะพูดก็ได้เพียง เก่งธรรมเยาะ รู้ธรรมเยอะนะ แต่ไม่รู้ตัวเองเลย ..คนรู้ธรรมกับคนถึงธรรมมันต่างกันอย่างนี้เอง ความเห็น ความคิด การพูดจา การกระทำ ความระลึกได้มันต่างกันมากโขเลยนะ อิอิ ..คนที่ถึงธรรมสัมผัสธรรมได้น่ะ ที่ผมเคยพบเจอนะ เวลาท่านพบเจออะไรก็เอาจะลงธรรมหมดแต่ไม่หมกมุ่นในธรรม สบายๆ มีใจเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน มีเจตนาละเว้นจากความเบียดเบียน ปล่อยวางง่าย ไม่ติดใจข้องแวะสิ่งใด ทำให้ไม่มีความคิดชั่ว ระลึกชั่วไม่ออก ก็เลยพูดแต่วจีถ้อยคำที่ดี ทำก็ดีตามไป จิตใจก็แจ่มใสเบาสบาย ไม่ตรึงเครียด - ทุกข์มีไว้ให้กำหนดรู้ ไม่ได้มีไว้ให้เสพย์ - สมุทัยเป็นสิ่งที่ควรละ ไม่ได้เป็นสิ่งที่เอาไว้ให้ยึดกอดเอามาเป็นเครื่องอยู่ของจิต - นิโรธเป็นสิ่งที่ควรทำให้เข้าถึง ไม่ได้เป็นที่เอาไว้ให้เพ้อฝัน - มรรคมีไว้ให้ทำ ไม่ได้มีไว้ให้ท่องจำ ..แม้ตัวผมเองก็ไม่ใช่คนที่ดี หรือสูงกว่าน้องเมหรือใครๆ มีเวทนา รัก โลภ โกรธ หลงเสมอกัน ที่สำคัญคือมีหูซ้ายข้างหนึ่งเหมือนกัน 555 ผมเองก็มีคนที่เกลียดชังผมบ้าง ให้เกียรติบ้าง สนิทบ้าง มีความเห็นตรงกันบ้าง ขัดกันบ้าง เคารพกันบ้าง ตบหัวแล้วลูบหลังกันบ้าง ..ถ้ามองในมุมกลับกันถ้าน้องเมเขามองเราแบบนี้เหมือนกันล่ะ แล้วน้องเมเขาจึงพยายามจะแนะนำเราล่ะ แต่เพียงแค่จิตใจเขายังกุศลไม่ดีพอ ทำให้การคิด การพูด การพิมพ์ข้อความจึงดูไม่เหมาะสมตามจิตใจไปไปด้วยก็ได้ แต่ลึกๆจิตใจเขาอาจจะดีก็ได้ หรือเขาออาจจะพูดคุยสนิทเฮฮาแบบเพื่อฝูงคนสนิทคุยกันก็ได้ ..ดังนั้นผมจะไปด่าใครก็ลำบาก ผมไม่ถึงธรรมไม่รู้ธรรมจะไปด่าบอกใครว่าผิด-ถูก ก็กระดากใจตน ทำได้แค่พูดในสิ่งที่ตนสัมผัสรู้เห็นได้บ้างนิดหน่อย อ้างคำพ่อแม่ครูบาอสจารบ์บ้างอ้างพระไตรบ้าง เอามาแนะนำก็จบแระ ถือว่าเอื้อเฟื้อกันแล้ว การแก้ความชั่วในตนมันเป็นเรื่องของเขามี่ต้องคิด การละกิเลสในตนมันเป็นเรื่องของเขาที่ต้องทำ มันเป็นทุกข์ของเขาไม่ใช่ของเรา ส่วนตัวเราก็ต้องหลบหลีกให้มาก 5555 คนมือถือสากปากถือศีลมีเยอะในโลกนี้ และหนึ่งในนั้นก็อาจจะเป็นเรารวมอยู่ด้วย ดังนั้นผมจึงคิดว่าผมสำรวมระวังตนดีกว่า อิอิ อย่างไรผมก็ขออภัยท่านเอกอน และท่านกบ พร้อมทั้งผู้รู้ทุกท่านด้วยครับ..หากผมพูดกล่าวไม่เหมาะควร ..ผมมีความรู้และปัญญาน้อยนิด ไม่รู้ธรรม ไม่ถึงธรรม ก็ได้แต่เพ้อไปเรื่อยโปรดอย่าถือสาครับ ..สิ่งใดไม่สมควรน่าติเตียนก็ขอทุกท่านโปรดอดโทษให้แก่ผมด้วยครับ(อันนี้ก็เพ้อยาวไปเลยกระทู้นี้ อุปมา อุปไมย ยกตัวอย่างให้นึกภาพออกมากไป แต่สงสััยจะกลายเป็นทำให้งงมากกว่ามั้งครับ 555) ยังไงก็อดโทษให้แก่ผมด้วยนะครับ จะสำรวมระวังในคราวต่อไปครับ |
หน้า 3 จากทั้งหมด 24 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |