วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 02:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2018, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นาถกรณธรรม ธรรมทำที่พึ่ง, ธรรมสร้างที่พึ่ง, คุณธรรมที่ทำให้พึ่งตนได้ มี ๑๐ อย่าง คือ

๑. ศีล - มีความประพฤติดี

๒. พาหุสัจจะ - ได้เล่าเรียนสดับฟังมาก

๓. กัลยาณมิตตตา - มีมิตรดีงาม

๔. โสวจัสสตา - เป็นคนว่าง่าย ฟังเหตุผล

๕. กิงกรณีเยสุ ทักขตา - เอาใจใส่กิจธุระของเพื่อนร่วมหมู่คณะ

๖. ธัมมกามตา - เป็นผู้ใคร่ธรรม

๗. วิริยะ - ขยันหมั่นเพียร

๘. สันตุฏฐี - มีความสันโดษ

๙. สติ - มีสติ

๑๐. ปัญญา - มีปัญญาเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2018, 17:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้ จะได้พูดถึงเรื่อง นาถกรณธรรม

นาถกรณธรรม ธรรมเป็นที่พึ่ง นาถะ แปลว่า ที่พึ่ง กรณะ แปลว่า กระทำ, นาถกรณธรรม คือ ธรรมเป็นข้อปฏิบัติแห่งที่พึง ธรรมะอันกระทำตนให้เป็นที่พึ่ง ถ้าแปลตามตัวก็เช่นนั้น แต่แปลย่อๆว่า ธรรมเป็นที่พึ่ง ๑๐ อย่าง

หลักพระพุทธศาสนาสอนว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” การพึ่งตนก็คือการพึ่งธรรมะนั่นเอง อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเต็มไว้ว่า “จงมีธรรมเป็นเกาะเป็นที่พึ่ง จงมีตนเป็นเกาะเป็นที่พึ่ง” จงมีธรรมเป็นเกาะเป็นที่พึ่ง อันแรกสอนว่า จงมีตนเป็นที่พึ่ง แล้วขยายความว่า จงมีตนเป็นที่พึ่งก็คือให้มีธรรมเป็นที่พึ่งนั่นเอง
การมีธรรมเป็นที่พึ่งก็ให้ประพฤติธรรม เมื่อประพฤติธรรมแล้วพึ่งตนได้ ถ้าไม่ประพฤติธรรมก็พึ่งตนไม่ได้
คนเรามันต้องพึ่งตนเอง ช่วยตนเอง อย่าคอยไปพึ่งคนอื่น อาศัยคนอื่นอยู่ตลอดไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2018, 17:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เด็กๆ เราควรสอนให้รู้จักพึ่งตนเอง ช่วยตัวเอง อย่าไปทำการบ้านให้เขาเสียหมด อย่าไปสอนเขาจนหมดทุกประการ สอนให้เขาคิด แนะแนวให้เขาคิดนึกด้วยตัวเขาเอง ให้เขาเกิดปัญญา
ถ้าเราบอกว่าต้องอย่างนี้แบบนี้ อย่างนี้ มันก็ไม่เกิดปัญญาอะไร มันรู้หมด เราบอกมันชัดเจนเกินไป เราจึงต้องไปคอยบอก ชี้เหตุชี้ผล ตั้งปัญหาให้เขาคิด เช่น อย่างโจทย์เลขนี้เป็นต้น ตั้งปัญหาให้เขาคิด เรื่องอื่นก็ตั้งปัญหาให้เขาคิด ให้เขาคิดเอาเอง แต่เราช่วยแนะแนวทางอย่างนั้น เด็กจะช่วยตัวได้ พึ่งตัวได้


เวลานี้ พ่อแม่เลี้ยงลูกแบบไม่ให้ช่วยตัวเอง ไม่ให้พึ่งตัวเอง ทำอะไรก็ไม่ค่อยเป็น กวาดขยะก็ไม่ค่อยเป็น ล้างถ้วยชามก็ไม่ค่อยเป็น หุงข้าว ต้มแกงก็ไม่ค่อยเป็น
เด็กตามบ้านนอกนั้นช่วยตัวเองมาตั้งแต่ยังเล็กๆ พี่ต้องเลี้ยงน้อง พี่ต้องหุงข้าวให้น้องกิน ต้องป้อนข้าวให้น้อง อาบน้ำให้น้อง เพราะฉะนั้น ครอบครัวในชนบทนั้น พี่น้องรักกันมาก แล้วถือว่าพี่มีบุญคุณต่อน้อง เพราะช่วยเหลือกันนั่นเอง พ่อแม่ออกไปทำนาทำไร่ ลูกอยู่บ้าน
ลูกคนโตต้องดูแลน้อง ต้องหุงข้าวให้น้องกิน อาบน้ำให้น้อง เอาใจใส่ทุกอย่าง ทุกประการ เพราะฉะนั้น เด็กก็ทำอะไรเป็น เด็กอายุ ๔-๕ ขวบ นี่ก็สามารถทำอะไรเป็น ๗ ขวบก็หุงข้าวกินได้แล้ว หุงข้าวสุกแล้ว
แต่ว่าเด็กในกรุงนี่คงหุงข้าวกันไม่เป็น หุงเป็นก็เสียบปลั๊กไฟฟ้า ก็เพราะมันใช้อย่างนั้นสะดวกขึ้น ทีนี้ เราต้องหัดให้เขาช่วยตัวเองเป็นในบางเรื่องบางประการ เพื่อให้เขาประพฤติธรรม คือ หลักการช่วยตัวเอง


ชาติใดที่ประชาชนไม่รู้จักพึ่งตนเอง เอาตัวไม่รอด เมืองไทยนี่จะเอาตัวไม่รอด ถ้าไม่คิดพึ่งตัวเองในแง่ต่างๆ เช่น ในแง่เศรษฐกิจนี่ ต้องหัดคิดพึ่งตัวเองให้มากๆ ต้องใช้ของที่ทำขึ้นในประเทศ อย่าไปเห่อของนอกให้มันวุ่นวายมากไป
แล้วก็อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ควรจะใช้ คนไทยยังไม่คิดกันในแง่นี้ คิดแต่เรื่องสนุกสนาน ใช้จ่ายกันในเรื่องที่สิ้นเปลือง ไม่รู้ว่ากำลังจะเสียหาย เศรษฐกิจกำลังจะตกต่ำ การเงินก็ไม่ค่อยจะดี ไม่รู้ คิดไม่ได้ ไม่คิดนั่นเอง ไม่ใช่คิดไม่ได้ ไม่คิด คิดว่าเรามีสตางค์ใช้ก็ใช้เรื่อยไป แล้วก็เลี้ยงลูกแบบฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย ไม่รู้จักให้พึ่งตนเอง ให้ช่วยตัวเอง อันนี้ลำบาก
เพราะฉะนั้น การฝึกฝนให้รู้จักพึ่งตนเอง ช่วยตัวเองนี่ดี แม้จะลำบาก พึ่งตัวเองให้ได้ ฉะนั้น การพึ่งตัวเองนี่มันต้องประพฤติธรรม ธรรมที่เรียกว่านาถกรณธรรม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2018, 17:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมที่ให้พึ่งตัวเองได้ มีอะไรบ้าง

๑. มีศีล คนมีศีลแล้วพึ่งตัวเองได้ ให้คิดดูเห็นได้ง่ายๆ คนมีระเบียบ แต่งตัวเป็นระเบียบ ทำการงานเป็นระเบียบ พูดจามีระเบียบ กิริยามีระเบียบเรียบร้อย นี่มันศีลทั้งนั้น ศีลอย่าหมายเพียงแต่ศีล ๕ ระเบียบในความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน นี่เรียกว่า ศีล ทั้งนั้น นุ่งห่มเรียบร้อย มันก็เป็น ศีล อยู่ในตัว

คนมาขอทำงานสักคนหนึ่ง แต่งตัวเรียบร้อย เขาให้คะแนนแล้ว แต่งตัวรุ่มร่ามเขาไม่ให้คะแนนดอก จะมาของานแต่ดูท่ายังกับสูบกัญชา เขาไม่อยากจะเอาไว้ในสำนักงาน ถ้าแต่งตัวอย่างนั้น
ร่างกายผ่ายผอมซูบซีด แต่งตัวรุ่มร่ามเหมือนคนสูบเฮโรอีน แล้วมันจะมาของานทำได้อย่างไร เขาไม่ให้ นั่นเขาเรียกว่า มันไม่มีศีลในตัว
ผมไม่เรียบร้อย เสื้อผ้าก็ไม่เรียบร้อย แต่งตัวหลุดๆหลวมๆ นุ่งกางเกงทรงอะไรก็ไม่รู้ ผู้ชายแต่ตัวอุตริเหมือนกับผู้หญิง บางทีมีกำไลเหล็กเหมือนกับผู้หญิง อะไรก็ไม่รู้ ห้อยเหรียญน้อยๆ เห็นแล้วหมั่นไส้
นายห้างไม่อยากเอาไว้ แล้วมันน่าหมั่นไส้มากกว่า ใครจะเอาเข้าทำงาน นี่คนไม่มีศีลละ แต่งตัวไม่มีระเบียบ ไม่เรียบร้อย
แล้วเข้าไปไม่มีกิริยา กิริยาไหว้คนไม่เป็น ไม่เคยฝึกหัดในการไหว้คน ไหว้ก็ไม่ค่อยเรียบร้อย ยกมือไหว้ก็ไหว้ไปอย่างนั้น มันไม่อ่อนน้อม ไหว้คนมันต้องอ่อนน้อม

กิริยามารยาทของคนไทยเรานี่ มันต้องอ่อนน้อม เข้าไปหาผู้หลักผู้ใหญ่นี่ต้องอ่อนน้อมพอสมควร พูดจาเรียบร้อย นั่งเรียบร้อย
ถ้าเขาให้เขียนหนังสือให้ดูสักหน้า ก็ต้องให้ดูเรียบร้อย ศีล ทั้งนั้น เขาดูแล้วพอใช้ ใช้ได้ เขารับเข้าทำงาน นี่ก็เรียกว่าเป็นที่พึ่งได้แล้ว เพราะมีศีลจึงมีระเบียบสำหรับตน สำหรับงาน ระเบียบในการประพฤติ ในการปฏิบัติ ในการปฏิบัติทุกอย่างนั้นเป็นที่พึ่งได้
ไม่มีระเบียบสำหรับงาน สำหรับตน ตัวเรายังช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว คนอื่นเขาจะช่วยเราได้อย่างไร นี่เรียกว่า ศีล ในที่นี้หมายความว่า ความเป็นระเบียบเรียบร้อยทุกแง่ทุกมุม เรียกว่า มีศีลเป็นที่พึ่งได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2018, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๒. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้สดับตรับฟังมาก คงแก่เรียน พาหุสัจจะ หมายความว่า คงแก่เรียน มีความรู้หลายแง่หลายมุม
คนจะไปสมัครงานนี่ เขาต้องมีการสัมภาษณ์ ลองสัมภาษณ์ดูก่อน คนที่มีหน้าที่เรียกบุคคลากร “บุคคลากร” เขาแปลมาจากฝรั่งอะไรก็ไม่รู้
แต่ว่าถ้าพูดตามหลักภาษาบาลีแล้วมันไม่ค่อยได้เรื่องอะไร บ่อเกิดแห่งคน - บุคคลากร หรือจะหมายความว่า เป็นบ่อเกิดแห่งคนงานอะไรก็ไม่รู้ คำว่า บุคคลากร อากร แปลว่า บ่อเกิด บุคคละ แปลว่า บุคคล บ่อเกิดแห่งบุคคลไปได้ แต่ว่าคนคนนี้เห็นจะเป็นคนสร้างคนให้แก่งาน เห็นจะพอไปได้
บุคลากรเขาจะต้องสอบสวนทวนถามเกี่ยวกับเรื่องอะไรต่างๆ ปัญหาในชีวิต ในการงาน เขาถามอะไรหลายเรื่อง ถ้าเป็นคนไม่มีความรู้เขามองเห็นว่าไม่ได้ความ ตอบอะไรชุ่ยๆ จะรับเขามาไว้ในสำนักงานได้อย่างไร เขาไม่เอา เคยคุยกัน บุคลากรบางคน เขาบอกว่าคนมาสมัครงานบางคน ผมลองสอบถามปรากฏว่าไม่ได้เรื่อง เลยบอกว่ารอไปก่อน เขาตอบแบบลิ้นทูต รอไปก่อน เขาไม่เอา ไม่ใช่เรื่องอะไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2018, 07:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้ เขาสอบดูแล้ว ดูท่าทางมีความรู้ มีปัญญา มีไหวพริบดีก็เอา เรื่องสัมภาษณ์นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นการแสดงท่วงทีวาจากิริยาท่าทาง ความรู้ความสามารถที่ตัวมี มันเรื่องกะทันหันทั้งนั้น เขาไม่ได้บอกว่าฉันจะสัมภาษณ์นะ จะได้เตรียมตัว เขาถามเรื่องนั้นเรื่องนี้
ในที่บางแห่งไม่ใช่คนเดียวถามนะ สามคนรุมถามๆๆ คนนั้น ถามอย่างนี้อย่างนั้นจนงง เราต้องเป็นคนมีความรู้ ความเข้าใจ เหตุการณ์ของโลกเป็นอย่างไร
บางทีเขาก็สอบถาม ถามชื่อประธานาธิบดี สมมติว่าขณะนี้ในสหรัฐอเมริกา เขากำลังสมัครประธานาธิบดี เขาจะถามว่าใครเป็นตัวแทนของพรรคดิโมแครต ส่งเข้าสมัครประธานาธิบดี ถ้าตอบไม่ได้ เขาว่านี้ไม่ลืมหูลืมตา ไม่ฟังวิทยุ ไม่อ่านหนังสือพิมพ์จึงไม่รู้เรื่อง ประเทศอเมริกาเป็นประเทศใหญ่ ใครๆก็ต้องรู้ แต่นี่ไม่รู้ ถามแล้วไม่รู้
หรือว่าเขาถามเรื่องอะไรอื่นที่มันเกิดขึ้นในโลกน่ะ มิก ๒๕ นี่มันเป็นอย่างไร อย่างนั้นนะ จะรู้หรือเปล่า มิก ๒๕ ถ้าเราไม่รู้ก็ตอบไม่ถูก ของใครมิก ๒๕ เอฟ ๑๐๑ ของใคร ไม่รู้ตอบไม่ถูก ไม่สนใจ ตอบไม่ถูก
ดูรายการที่เขาตอบถามกันทางโทรทัศน์ บางทีเขาถามเรื่องปัจจุบันนี้ เมื่อไม่รู้ตอบไม่ถูก เลยไม่ได้รางวัล รางวัลตั้ง ๗๐๐ - ๘๐๐ ถ้าตอบถูกนะ ถ้าเป็นคนมีพาหุสัจจะก็เดินยิ้มออกจากสถานีได้เลย ตอบถูกเลยได้รางวัล นี่เรียกว่าเป็นพาหุสัจจะ

เพราะฉะนั้น คนที่จะพึ่งตนเองได้นี้ ต้องเป็นผู้คงแก่การเรียน ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ก็โดยหาความรู้ใส่ตน ให้จำคำไว้สักประโยคหนึ่งว่า “คนโง่ใช้เวลาว่างสำหรับหาของใส่ท้อง คนฉลาดใช้เวลาว่างหาความรู้ใส่สมอง” ดูในรถไฟก็เห็นคนโง่นั่งกินถั่วกินเม็ดแตงโม กินมะขามนั่นแหละโง่ หาแต่เรื่องกินใส่ปาก คนฉลาดเขาหาเวลาอ่านหนังสือหาความรู้ใส่ตัว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2018, 07:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เราไปไหนนี่มันต้องศึกษา มีตาไว้ศึกษา มีหูไว้ศึกษา มีจมูกไว้ศึกษา มีปากไว้ศึกษา มีมือไว้ศึกษา มีสมองไว้ศึกษา ต้องเรียนทั้งนั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่มีไว้สำหรับศึกษา ไม่ใช่มีไว้ดูของอื่นเล่น ดูสนุกๆ ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องศึกษาเรื่อยไป ในเรื่องที่จะเป็นประโยชน์ในหน้าที่การงานของเราต่อไป เราจะทำงานอะไรมันต้องเตรียมศึกษาไว้ในเรื่องนั้นให้มันช่ำชองว่องไว
เด็กหนุ่มส่วนมาก ไม่ค่อยคิดเรื่องนี้ สังเกตดูเด็กๆ เหมือนกับเด็กในวัด หายาก น้อยนักที่จะเอาใจใส่ หลวงพ่อสังเกตดู เพราะฉะนั้น เมื่อเรียนจบแล้วมาบอกให้ช่วยฝากงานให้ด้วย
เลยบอกว่าอย่าให้ฉันฝากเลย ฉันกลัวเสียชื่อ ไม่กล้าพาไปฝาก เพราะดูแล้วมันจะเสียชื่อ มันไม่เอาถ่าน มันไม่เอาใจใส่ ไม่มีนิสัยที่จะเข้าไปอยู่ในสังคมกับเขาได้เลย มันควรจะไปอยู่ป่าอยู่ดงอะไรอย่างนั้น
อ้ายเราก็สอนมันอยู่บ่อยๆ แต่มันไม่เอาเรื่อง ไม่เอาใจใส่ ถ้าไม่ได้จี้มันว่าเอาไอ้นี่ไปล้าง มันไม่ล้างดอก เอาไอ้นี่ไปเก็บ มันเดินเฉย แล้วจะไปฝากงานได้อย่างไร มันไม่รู้จักเข้าสังคมเหมือนเรา คนดีๆมาก็ไม่เข้าใกล้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2018, 07:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เด็กวัดเราดูเอาเถิด เวลาวันไหนคนเอามาเลี้ยงมันหลบหมด มันโง่ เคยว่าพวกเธอนี่ไม่ฉลาดเลย คนที่มาเลี้ยงพระแต่ละคนน่ะเขาเป็นคนสำคัญทั้งนั้น คนมีเงินมีทองเป็นเจ้าของกิจการ มันไม่รู้จักเข้าใกล้คน ไม่รู้จักรับใช้เข้าตีสนิทกับเขาบ้าง มีแต่แอบดูตามต้นสนบ้าง ตรงนั้นตรงนี้บ้าง พอพระฉันเสร็จแอบมาข้างหลังยกไปเลย มันเท่านั้นแหละ มันไม่ฉลาดขึ้นเลย แนะเท่าใดมันไม่เอา มันเลยไม่ได้เรื่อง
เรียนช่างกลจบมาบอกหลวงพ่อช่วยฝากงานให้ด้วย เลยบอกว่าฉันไม่รู้จะไปฝากใคร ขายหน้าฉัน มันเป็นอย่างนั้น มันไม่น่าฝาก ไม่เอางาน ให้ทำงานอะไรก็ทำเหยาะๆแหยะๆ ทำไม่เรียบร้อย ล้างถ้วยก็ไม่เรียบร้อย กวาดขยะก็ไม่เรียบร้อย อย่างนี้ จะเอาไปฝากใครได้ เดี๋ยวเขาว่าเด็กท่านเจ้าคุณปัญญาไม่ไหว เสียชื่อ เอาไปฝากไม่ได้ มันต้องเอาดีถึงจะฝาก เลยบอกว่าเธอต้องฝากตัวเธอเอง อย่าให้ฉันฝาก ต้องฝากเอง

เคยมีเด็กบางคนมาบอกว่า ผมจะไปสอบเข้าโน้นเข้านี่ บอกหลวงพ่อช่วยเขียนจดหมายไปฝากใครๆให้ที บอกว่าไม่ได้ ฉันเขียนไม่ได้ ฉันไม่ทำลายเธอดอก เธอต้องสร้างตัวเอง เธอไปสอบ สอบได้เธอเข้าได้ สอบไม่ได้เธอไม่ต้องเข้า
ฉันไปฝากเท่ากับฉันทำลายเธอให้อ่อนแอ ผิดหลักพระพุทธเจ้า มันจะไปขอให้เขาฝาก มันเองก็ฝากตัวเองได้ คนเก่งน่ะเขาไม่ต้องให้ฝาก เขาวิ่งเขาทำเขาเรียนของเขาเองได้ เขาไปของเขาได้ มันเก่งคนอย่างนี้ มันสนใจหาความรู้ สอบชิงทุนไปเมืองนอกเขาก็สอบได้ ไม่ต้องยุ่งเขาสอบได้ เพราะเขาเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา หูตาเขาเบิกกว้าง มองดูอะไรอยู่ตลอดเวลา เขาเตรียมพร้อม
อ้ายโชคลาภมาเคาะที่ประตู ถ้าเราหลับแล้วมันไม่เข้าไปได้ดอก เรามันต้องคอยเปิดประตู พอเคาะเป๊กเปิดทันที อย่าให้เคาะหลายที นี่เคาะ ๓ ทียังไม่ตื่นเลย โชคมันก็ไม่เอาดอก ไปดีกว่าบ้านนี้

เราต้องเตรียมพร้อม อยู่กับสิ่งไรๆ ต้องเตรียมพร้อม เตรียมความรู้ ความสามารถ เตรียมอะไรๆไว้ให้พร้อม ได้ช่องเมื่อใดแซงเมื่อนั้น แซงทันที พร้อมที่จะแซงขึ้นหน้า
ทีนี้ เราไม่พร้อมมันก็แซงไม่ได้ ชีวิตมันต้องอยู่ที่การแข่งขันกันในโลกนี้ ไม่ใช่แข่งกันในทางเบียดเบียน แข่งขันกันในความก้าวหน้า ในการศึกษา ในการหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อยกระดับตัวเราให้มันขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อให้มันทันเขา ให้ทันเหตุการณ์ คนที่คิดก้าวหน้า มันเก่งทุกคน ไปรอดทุกคน พาหุสัจจะมีเหตุผลดีมากอันนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2018, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๓. กัลยาณมิตตตา ความเป็นผู้มีเพื่อนดีงาม นี่พึ่งตนได้อีก มีเพื่อนดี คนเราถ้ามีเพื่อนดีแล้ว เพื่อนช่วยได้ เราก็ก้าวหน้าได้ ทีนี้เราไปพบเพื่อนชั่ว เสร็จแล้วเราเดินไปกับคนชั่ว คนเขาเห็นเดินกับใคร เดินไปกับนักเลง นักเลงเก้ายอด นักเลงตรงนี้ตรงนั้น เดินไปก็เสียท่าแล้ว เขาจำหน้าได้เคยเดินกับนักเลงพวกหัวไม้พวกเกะกะไม่ได้ ต้องคบเพื่อนดี ในการที่จะพึ่งตนเองนั้นจะต้องมีเพื่อนดีด้วย เพื่อนดีนั้นเป็นคนที่จะคอบอุปถัมภ์ค้ำชูเรา เป็นเพื่อนอุปการะเรา เป็นเพื่อนที่คอยเตือนเรา ช่วยเหลือเราในเรื่องต่างๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2018, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อนแท้มันมีอยู่ ๔ จำพวก เขาเรียกว่า มิตรมีอุปการะ มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ มิตรแนะประโยชน์ให้ มิตรมีความรักใคร่ นี่มิตรแท้

มิตรมีอุปการะ มีลักษณะอย่างใด ? ป้องกันเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ป้องกันทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้ประมาท เมื่อมีภัยเป็นที่พึ่งพำนักได้ เมื่อมีธุระช่วยออกทรัพย์ให้เพิ่มมากกว่าที่ออกปาก นี่เรียกว่า มิตรมีอุปการะ

มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ มีลักษณะ ๔ ขยายความลับของตนแก่เพื่อน ปิดความลับของเพื่อนไม่ให้แพร่งพราย ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ แม้ชีวิตก็อาจสละแทนได้ นี่คือมิตรร่วมสุขร่วมทุกข์

มิตรแนะประโยชน์ให้ มีลักษณะ ๔ ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว แนะนำให้ตั้งอยู่นความดี ให้ฟังในสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง บอกทางสวรรค์ให้ นี่เขาเรียกมิตรแนะประโยชน์

มิตรมีความรักใคร่ มีลักษณะ ๔ ทุกข์ก็ทุกข์ด้วย สุขก็สุขด้วย โต้เถียงคนที่พูดติเตียนเพื่อน รับรองคนที่พูดสรรเสริญเพื่อน นี่คือมิตรมีความรักใคร่

นี่มิตรดีมิตรแท้มี ๔ ชนิด แล้วมีลักษณะอย่างนั้นๆ ดังกล่าวมา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2018, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้มาดูมิตรชั่วกันบ้าง มิตรชั่วมีลักษณะ ๔ เหมือนกัน เรียกว่า มิตรปฏิรูป - คนเทียมมิตร มี ๔ จำพวก มี มิตรปอกลอก คนดีแต่พูด คนหัวประจบ คนชักชวนในทางฉิบหาย คน ๔ จำพวกนี้ ไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร ไม่ควรคบ

คนปอกลอก มีลักษณะอย่างใดรู้ไว้ เอาไปไว้ดูคน เขาเรียกว่า ตำราดูมิตร มิตรที่คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว นี่ประเภทปอกลอก เสียน้อยแต่เอาให้มาก เมื่อมีภัยแก่ตัวจึงรับทำกิจของเพื่อน ทำอะไรให้เพื่อนก็หวังแต่ประโยชน์ทั้งนั้น คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว นี่ลักษณะมิตรปอกลอก

มิตรดีแต่พูด มีลักษณะ ๔ เก็บเอาของล่วงแล้วมาปราศรัย อ้างเอาของที่ยังไม่มีมาปราศรัย สงเคราะห์แต่ในสิ่งที่หาประโยชน์มิได้ ออกปากพึ่งไม่ได้ พอจะออกปากพึ่ง แหม เพื่อน เรากำลังแย่ เพื่อนเอ๊ย ไปเลย ไม่เกี่ยวข้อง

คนหัวประจบ มีลักษณะ ๔ ทำชั่วก็คล้อยตาม ทำดีก็คล้อยตาม ต่อหน้าสรรเสริญ ลับหลังนินทา

คนชักชวนในทางฉิบหาย มีลักษณะ ๔ ชวนให้ดื่มน้ำเมา ชวนให้เที่ยวกลางคืน ชวนให้มัวเมาในการเล่น ชวนให้เล่นการพนัน

นี่เหล่านี้ เรียกว่า มิตตปฏิรูป คนเทียมมิตร ไม่ควรคบ เพราะฉะนั้น คนที่จะพึ่งตนเอง จะต้องคบเพื่อนดี “คบคนดีเป็นศรีแก่ตัว คบคนชั่วเสียหน้าเสียตา” สมัยนี้ เขาบอกว่า คบคนดีไม่อย่างว่านั้นแล้ว มันเป็นอื่นไป เราอย่าไปเปลี่ยน คบคนดีไว้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2018, 14:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๔. โสวจัสสตา ความเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย. คนว่าง่ายสอนง่ายนี้เป็นคนน้ารักน่าเอ็นดู จะเข้าไปสังคมใดไม่มีคนเกลียด คนอ่อนนี่ไม่มีคนเกลียดดอก จำไว้ คนอ่อนนี่ไปไหนยกมือไหว้ มือสิบนิ้วนี่อ่อนไว้ไม่มีคนเกลียดดอก
แต่ถ้าทำแข็งทำโตเบ่งวางก้าม ใครเห็นแหมกูหมั่นไส้ ไม่มีใครชอบคนวางโต เรามันต้องรู้ เวลาอ่อนต้องอ่อน เวลาโตมันต้องโตมั่งเหมือนกัน ดูให้มันเป็น รู้จักกาลเทศะ เวลาไหนควรอ่อน เวลาไหนควรแข็ง เวลาไหนควรจะทำอย่างไร รักษาฐานะของตัว ต้องรู้ แต่ว่าโดยปกติแล้วให้เป็นคนอ่อน สบาย ไม้อ่อนหักยาก ไม้แก่แม้ต้นใหญ่ก็หักง่าย ไม้อ่อนแม้ต้นเล็กก็หักยาก อ่อนลู่ตามสายลม

สมัยญี่ปุ่นมันขึ้นนี่ ถ้าไทยแข็ง ป่านนี้ราบพนาสูญเลย เพราะญี่ปุ่นมันขึ้น ตั้งแต่บางปูจนถึงนราธิวาส มันขึ้นขึ้นเต็มเมืองพร้อมกันหมดเวลาเดียวกัน วันที่ ๘ ธันวาคม มันขึ้นหมดเต็มเมืองเลย ทั่วทั้งประเทศ ขึ้นบางปู บางแสน ขึ้นไปตลอดจนถึงอ่าวไทย ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ปากพนัง ทุกแห่งขึ้นหมด สงขลาขึ้นเต็มไปทั้งเมือง รถเต็มไปทั้งเมือง ถ้าเอารถคนเดียวต้องเคลื่อนหมดทั้งเมือง จึงจะออกได้ เข้าไปเต็มหมด ยึดหมด รัฐบาลไม่ยอมสู้ ครั้งแรกก็สู้นิดๆหน่อยๆ พอได้สร้างอนุสาวรีย์ไว้บ้าง เสร็จแล้วก็บอกว่าเป็นมิตรกัน ขอให้เขาผ่านไป ทำสงครามไปเถอะตามสบาย ญี่ปุ่นก็ขึ้นผ่านๆไปตามเรื่อง ที่สุดญี่ปุ่นแพ้ ไทยไม่แพ้ เพราะไทยเอาตัวรอด ไม่แพ้ขับอาชญากรสงครามจับกันใหญ่ จับไปจับมาตัดสินปล่อย เพราะกฎหมายใช้ย้อนหลังไม่ได้ หัวกฎหมายทำกันเป็นลู่เป็นทางได้ทั้งนั้น ผลที่สุดเอาตัวรอดปลอดภัยมาได้ นี่คือการลู่ไปตามสายลม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2018, 15:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๕. กิงกรณีเยสุ ทักขตา ความขยันหมั่นเอาใจใสในกิจธุระของเพื่อนภิกษุสามเณร นี่สำคัญอยู่บ้านก็ดี อยู่วัดก็ดี อย่าเป็นคนใจจืดใจดำ ให้ขวนขวายช่วยเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง เท่าที่เราสามารถจะช่วยได้ ในกิจต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ นี่เรียกว่า กิงกรณีเยสุ ทักขตา ให้เอาใจใส่ในกิจธุระของเพื่อนภิกษุสามเณร นี่ท่านพูดกับพระเณร พระเณรก็ต้องช่วยกัน มีอะไรช่วยเหลือเจือจุนกันตามฐานะ แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ อยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง
แม้เราไปอยู่บ้านก็อย่างนั้น ช่วยเหลือในกิจการที่ควรช่วยเหลือกันได้ แต่ต้องมีหลักเกณฑ์ว่า ช่วยให้คนรู้จักช่วยตัวเอง ช่วยให้เขาดีขึ้น อย่าช่วยให้เขาเลวลง ช่วยอะไรก็ตามช่วยให้เขามีจิตใจสูงขึ้น อย่าช่วยให้จิตใจเขาต่ำลงเป็นอันขาด นี่เรียกว่า การช่วยเหลือเป็นที่พึ่งได้
คนที่มีจิตใจช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอนั้น พึ่งตัวได้ เพราะมีธุระอะไรก็มีคนช่วย เพราะคนเคยช่วยเขาไว้เยอะแล้ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2018, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๖. ธัมมกามตา ความใคร่ในธรรมที่ชอบ หมายถึงผู้สนใจในธรรมะ สนใจในการปฏิบัติ สนใจในการที่จะเข้าใกล้ผู้รู้ธรรม เป็นที่พึ่งได้

๗. วิริยะ ความเพียรเพื่อจะลดความชั่ว ประพฤติดี อันนี้เห็นง่าย คนเราถ้าละชั่ว ประพฤติดี ก็เป็นที่พึ่งได้

๘. สันโดษ ยินดีด้วยผ้านุ่งห่มอาหารที่นอนที่นั่งและยาตามมีตามได้. นี่สำหรับพระก็สันโดษแบบนี้ ชาวบ้านนั้นสันโดษแบบนั้น

๙. มีสติ

๑๐. มีปัญญา

สิบประการนี้เป็นที่พึ่งได้ ใครที่จะพึ่งตัวต้องจำหลัก ๑๐ ประการนี้ไว้เอาไปใช้ รับรองช่วยตัวได้ อยู่ที่ไหนคนไม่เกลียด อยู่ที่ไหนเจริญที่นั้น เพราะเรามีหลักธรรม ๑๐ ประการนี้เป็นที่พึ่ง เป็นหลักของใจ เหมือนกับพึ่งเสาใหญ่มันไม่ล้ม ก็เกิดความสุขความเจริญความก้าวหน้าในชีวิตสมความปรารถนา.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2018, 05:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นาถกรณธรรม ๑๐ จบ จากหนังสือนี้ http://g-picture2.wunjun.com/6/full/b3a ... s=614x1024 หน้า ๕๕๓

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 41 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร