วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2018, 07:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20181110_050419.jpg
20181110_050419.jpg [ 290.3 KiB | เปิดดู 4073 ครั้ง ]
ชาตินี้กับชาติหน้า ไม่ได้ไกลกันเลยแค่ขณะจิตเดียว
จุติในชาตินี้ก็จะปฏิสนธิใหม่ในชาติหน้าทันที ไม่มีระหว่างขั้น
ไม่มีการล่องลอยหาที่เกิดในภพชาติใหม่
การเกิดขึ้นครั้งแรก จะเป็นในที่ใด ภพภูมิใด เราเรียกว่า ชาติ
เมื่อชาติได้เกิดแล้วก็บ่ายหน้าไปในสิ่ง ที่ไม่น่าปรารถนาเลย
และจะไม่มีบุคคลใดจะปรารถนามันเลยแม้สักคนเดียว

นั่นคือ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อุปายาสะ
ซึ่งเป็นกฏเกณของไตรลักษณ์ คือ ความ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ผู้มีปัญญาเท่านั้น ที่จะมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ โดยธรรมเหล่านี้จะปรากฏ
หรือจะมอบสิ่งดีๆ แก่ผู้มีสติปัญญาคุ้มครอง กาย ใจ เป็นนิตย์

และผู้ที่มีปัญญาเท่านั้นที่จะมองเห็น ชาติ ชรามรณะเหล่านี้
เป็นเพียงนิมิตเครื่องหมาย บ่งบอกถึงความไม่เที่ยง ของชาติ ชรามรณะ
เมื่อว่าความเป็นไตรลักษณ์ปรากฏชัดแก่ผู้มีปัญญา ย่อมละคลาย
ความยึดถือ อุปาทาน โดยปริยาย ชาติ ชรามรณะ ก็เป็นหนทางที่จะดำเนิน
ไปในสังสารวัฏฏ์ก็สั้นลง

แม้หนทางอันที่เป็นไปในสังสารวัฏฏ์นั้นจะยาวไกลอย่างหาที่สุดมิได้
เราเป็นผู้กระทำให้สั้นลงแม้เพียงก้าวเดียว ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐแล้วในชาตินี้
และจะไม่มีอะไรจะประเสริฐไปกว่าการกระทำสังสารวัฏฏ์ให้สั้นลงได้
นอกเหนือไปกว่าผู้เป็นพระอริยบุคคลเท่านั้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2018, 08:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




kunramintra.gif
kunramintra.gif [ 19.04 KiB | เปิดดู 4050 ครั้ง ]
คราวใดเมื่ออารมณ์ใดมากระทำให้จิตที่มีโทสะเกิด
ครานั้นจงเอาสติเข้าไปรู้โทสะเกิดเถิด โทสะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายหรอก
เพราะโทสะนานๆ ที่จะมาแสดงสภาวะปรมัตถ์ ให้รู้ให้ได้เห็น
ความเป็นจริงที่มีอยู่ของโทสะตรงที่กำลังเกิดขึ้น

ข้อควรระวังและสำคัญ เมื่อรู้แล้วมักจะขาดสติเสียก่อน ก่อนที่จะใช้สติเข้าไปสังเกตุการณ์
เข้าไปร่วมปรุงแต่งหรือร่วมแสดงไปกับโทสะด้วย จนทำโทสะที่เกิดเพียงเล็กน้อย
ขยายจนเป็นความใหญ่โตจนเหมือนคลื่นสินามิ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2018, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




TH_2 man 0005.png
TH_2 man 0005.png [ 31.74 KiB | เปิดดู 4051 ครั้ง ]
ทุกคนเมื่อได้เกิดมาแล้วในชาตินี้
ย่อมมีต้นทุนของการเกิดมาแล้วด้วยกันทั้งสิ้น
จะขาดทุนหรือเป็นผู้มีกำไร ย่อมขึ้นอยู่
กับผู้กระทำเอง เมื่อมีกำไรย่อมได้ไปเกิด
ภพภูมิที่มีสุข เมื่อขาดทุนย่อมไปเกิดภพภูมิที่มีทุกข์มาก

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2018, 14:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




1530916808051.jpg
1530916808051.jpg [ 44.84 KiB | เปิดดู 4188 ครั้ง ]
ยกภาพขึ้นมาแสดงด้วยการประหาณสังโยชน์ของมรรคทั้ง ๔
จะเป็นส่วนทำให้เข้าใจเห็นภาพการประหาณสังโยชน์ของแต่มรรคเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ได้ดังนี้
๑. โสดาปัตติมนรคจิต ประหาณ สังโยชน์ได้ ๓ คือ
๑. สักกายทิฏฐิสังโยชน์
๒. วิจิกิจฉาสังโยชน์
๓. สีลัพพตปรามาสสังโยชน์
ดูในภาพ มีโลภะทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต ๔ และในวิจิกิจฉาสัมปยุตจิต ๑
รวมเป็น ๕ ดวงที่โสดาปัตติมรรคประหาณได้เป็นสมุจเฉท
และประหาณกิเลสอย่างหยาบอันจะนำไปสู่อบายได้ ที่ในทิฏฐิคตวิปปยุตจิต ๔ ที่ในโทสะมูลจิต ๒

๒. สกทาคามิมรรคจิต ทำสังโยชน์ที่เหลือให้เบาบางลง (ตรุกรประหาณ)
ในภาพจะเป็นสีเหลือง

๓. อนาคามิมรรคจิต ประหาณ กามราคะสังโยชน์ ที่ในทิฏฐิคตวิปปยุตตจิต ๔
และ ปฏิฆะสังโยชน์ ๒ ดวง เป็นสมุทเฉท สีเหลือง

๔. อรหันตมรรคจิต ประหาณ (สีขาว)

๑. รูปราคะสังโยชน์
๒. อรูปนาคะสังโยชน์
๓. มานาสังโยชน์
๔. อุทธัจจะสังโยชน์
๕ อวิชชาสังโยชน์

ข้อสังเกตุ:- อุทธัจจะ จะไม่มีพระอริยะเบื้องต่ำ ๓ จะต้องไปละหรือประหานเลย เพราะจิตดวงนี้เป็นจิตที่ไม่นำไปปฏิสนธิในภูมิใดเลย เป็นเพียงจะส่งผลในปวัตติกาลเท่านั้น จะมีอรหันตมรรคเป็นผู้ที่ประหาน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ย. 2018, 04:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




พอกันทีกูเหนื่อย.png
พอกันทีกูเหนื่อย.png [ 460.23 KiB | เปิดดู 4049 ครั้ง ]
มานะคือ ความสำคัญตนว่าเป็นอย่างนั้นเป็น อย่างนี้มีอยู่ ๙ ประการดังนี้

๑. เป็นผู้เลิศกว่าเขาสำคัญตนว่าเลิศเขา

๒. เป็นผู้เลิศกว่าเขาสำคัญตนว่าเสมอเขา

ู๓. เป็นผู้เลิศกว่าเขาสำคัญตนว่า เลวกว่าเขา


๔. เป็นผู้เสมอเขาสำคัญตนว่าเลิศ กว่าเขา

๕. เป็นผู้เสมอเขาสำคัญตนว่าเสมอ เขา

๖. เป็นผู้เสมอเขาสำคัญตนว่าเลว กว่า เขา


๗. เป็นผู้เลวกว่าเขาสำคัญตนว่า เลิศกว่าเขา

๘. เป็นผู้เลวกว่าเขาสำคัญตนว่า เสมอเขา

๙. เป็นผู้เลวกว่าเขาสำคัญตนว่า เลวกว่าเขา


พระโสดาบันพึงละได้แล้ว ๖ อย่าง คือ ข้อ ๒.๓.๕.๖.๘.๙.
ที่เหลือข้อที่ ๑.๔.๗. พึงละโดยอรหันตมรรค

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ย. 2018, 05:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




images (2).jpeg
images (2).jpeg [ 39.27 KiB | เปิดดู 4172 ครั้ง ]
อกุศลเจตสิก ๑๔ ดวง มีกิเลสอยู่ ๑๐ ดวง สังเกตุดูในภาพที่แสดง (จะเห็นตัวอักษรสีขาว)

โสดาปัตติมัคค ประหาร กิเลสได้ ๒ ดวง คือ ทิฏฐิ และ วิจิกิจฉา

สกทาคามิมัคค มิได้ประหารกิเลสได้เลย เพียงทำให้กิเลสที่พระโสดาบันละไปแล้วเบาบางลง เพื่อจะทำให้พระอนาคามีทำการประหารกิเลสได้ง่ายขึ้น

อนาคามิมัคค ประหาร กิเลสได้ ๑ ดวง คือ โทสะ

อรหัตตมัคค ประหาร กิเลสที่เหลือคือ โลภะ โมหะ มานะ ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ และอโนตตัปปะ ได้ทั้งหมด

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ย. 2018, 07:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20181110_112959.jpg
20181110_112959.jpg [ 24.96 KiB | เปิดดู 4059 ครั้ง ]
ขณะเมื่อฟังธรรมอยู่นั้น เป็นวิบากดีที่ส่งผลที่เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัย
ทีมาจากอดีตชาติ เมื่อพังธรรมอยู่ในขณะนั้น ก็ได้กระทำกรรมไปด้วยในชาตินี้
ที่เรียกว่าสหชาตกัมมปัจจัย เป็นการสร้างกรรมใหม่รับผลของกรรมเก่า
ไปพร้อมๆกัน จึงเป็นไปพร้อมใน ปุญญาภิสังขาร อปุญภิสังขาร อเนญชาภิสังขารต่อไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ย. 2018, 06:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20181110_132747.jpg
20181110_132747.jpg [ 15.32 KiB | เปิดดู 4059 ครั้ง ]
อนิฏฐผล คือ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อุปายาสะ เป็นอาการของกิเลส
ที่เป็นองค์สุดท้ายในปฏิจจสมุปบาท อาการกิเลสเหล่านี้ก็จะเป็นการสั่งสม เป็น"อาสวะ ๔"
เป็นไปในภพชาติต่อไป อาสวะ ๔ ได้แก่ กามาสวะ. ภวาสวะ. ทิฏฐาสวะ. อวิชชาสวะ.

เมื่อบุคคลที่ได้ฝึกสติมาดี เมื่ออนิฏฐผลได้เกิดขึ้นแล้ว ก็กำหนดอนิฏฐผลนั้นเป็นตัวอารมณ์
เพื่อให้สติเข้าไปตั้งกำหนดรู้ ที่จะเป็นการสั่งสมอาสวะทั้ง ๔ ให้ขาดลงทันที

อนิฏฐผลทั้ง ๕ เหล่านี้ จะปรากฏขึ้นได้นั้นก็อาศัย "ชาติ" ให้เกิดขึ้นได้ อนิฏฐผลทั้ง ๕ เหล่านี้
จึงไม่มีองค์ธรรมโดยเฉพาะ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ย. 2018, 07:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




อินเฟอร์นอส_บุตรแห่งอิคนัส.gif
อินเฟอร์นอส_บุตรแห่งอิคนัส.gif [ 55.19 KiB | เปิดดู 4049 ครั้ง ]
กิเลสที่สั่งสมไว้ตั้งแต่อดีตชาติ เมื่อจะเกิดขึ้น มี ๓ ระดับ

๑.วีติกกมกิเลส ๒.ปริยุฏฐานกิเลส ๓.อนุสัยกิเลส

๑.วีติกกมกิเลส
เครื่องเศร้าหมองที่ก้าวล่วงอย่างยิ่ง หมายถึง กิเลสอย่างหยาบที่มีกำลังซึ่งก้าวล่วงออกมาทางกาย วาจา
เช่น การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การกล่าววาจาทุจริตต่างๆ เป็นต้น ละได้ด้วยกุศลขั้น(ศีล)

๒.ปริยุฏฐานกิเลส
เครื่องเศร้าหมองที่ลุกขึ้นโดยรอบ หมายถึง กิเลสอย่างกลางที่กลุ้มรุมอยู่ในใจ
ยังไม่ได้ก้าวล่วงออกมาทางกายวาจา ละได้ด้วยกุศลขั้นสมาธิ (สมถภาวนา)

๓.อนุสัยกิเลส
เครื่องเศร้าหมองที่นอนเนื่อง หมายถึง กิเลสอย่างละเอียดที่ตามนอนเนื่องอยู่ในจิต
ไม่ปรากฏตัวออกมา หรือเป็นกิเลสที่มีกำลังที่ยังละไม่ได้ จะละได้ด้วยกุศลขั้นปัญญาเท่านั้น
(วิปัสสนาภาวนา) วีติกมกิเลส และ ปริยุฏฐานกิเลส เกิดขึ้นปรากฏได้นั้น ก็เกิดมาจากอนุสัยกิเลสที่นอนเนื่อง

อนุสัยกิเลสพ้นไปจากเกิดขึ้นในทวาร ๖ จึงจะจัดเป็นการเกิดเป็นวิถีจิตไม่ได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ย. 2018, 08:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




af2e1c61b2d5117e11d3ada5a1c4a208.gif
af2e1c61b2d5117e11d3ada5a1c4a208.gif [ 29.68 KiB | เปิดดู 4049 ครั้ง ]
ปริยุฏฐานกิเลส ที่เกิดอยู่ในมโนทวาร จะปรากฏเกิดขึ้นมาใน
ทางทวาร ๕ มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย มารับอารมณ์ ที่เป็น กุศลบ้าง อกุศลบ้าง
ที่เรียกว่าวิติกมกิเลส เมื่อจบกิจทางทวารนั้นแล้ว ขึ้นชวนจิตเสพอารมณ์ จนสิ้นสุดวิถี
ก็จะไปเก็บไว้ในเป็นทวารวิมุต ที่เป็นอนุสัยต่อไปอีก จะวนเวียนไปเรื่อยๆ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2018, 06:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




H043_Daikyou0_pose1.png
H043_Daikyou0_pose1.png [ 218.07 KiB | เปิดดู 4104 ครั้ง ]
คำว่า "อมนุษย์" บางท่านอาจ แปลไปว่า ไม่ใช่มนุษย์ ยังคิดไปไกลถึงสัตว์ทั้งหมดด้วย
อันหมายถึง ภูต ผี ปีศาจ สัตว์ที่ลึกลับมักเป็นที่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็น เป็นต้น
อมนุษย์ในความหมายก็คือ บุคคลที่เหมือนมนุษย์ "อ" แปลว่า "คล้าย" ซึ่งรูปร่างเหมือนมนุษย์
แต่จิตใจไม่เหมือนมนุษย์ทั่วๆไป จึงเรียก อมนุษย์ ซึ่งจะไม่รวมถึงสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย
เพราะ สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย เหล่านี้เขามีชื่อจำเพาะอยู่แล้ว

อมนุษย์ เป็นศัพท์ในบาลี-สันสกฤษ
๑. อมนุษย์ คือ สิ่งที่มีรูปร่าง เค้าโครงคล้ายๆ มนุษย์ แต่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น สัตว์ในป่าหิมพานต์ที่ปรากฏในวรรณคดีของไทย มีทั้ง เงือก คนธรรน์ และ นารีผล ซึ่งมีรูปร่างในบางส่วนใกล้เคียงกับมนุษย์

๒. อมนุษย์ ใช้เป็นคำเปรียบเทียบในแง่ลบ ถึงมนุษย์ด้วยกันเองที่มีนิสัย มีความประพฤติไม่เหมือนทั่วไป อาจเป็นคนที่เลวหรือทำชั่วมากกว่าคนอื่น สามารถพูดได้ว่า คนนี้เป็นอมนุษย์ มีจิตใจโหดร้ายไม่ใช่คน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2018, 06:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




เถรวาด.gif
เถรวาด.gif [ 17.73 KiB | เปิดดู 4049 ครั้ง ]
จิตและเจตสิกไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แต่จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้
เพราะทั้งสองอย่างจะอาศัยกันเกิดขึ้นพร้อมกัน และจะดับไปพร้อมกัน
จิตรับอารมณ์ใด เจตสิกก็รับอารมณ์นั้นด้วย

จะอุปมา จิต เหมือนตัวบ้าน เจตสิก เหมือนกับคนที่อยู่ในบ้าน
คนในบ้านก็จะมีหน้าที่ฐานะที่แตกต่างกันออกไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2018, 09:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




เณรจิ๋ว.gif
เณรจิ๋ว.gif [ 12.47 KiB | เปิดดู 4049 ครั้ง ]
"เลี่ยงบาลี " นั้นหมายความว่าอย่างไรและมันคืออะไรกันแน่

นิยามของ การ เลี่ยงบาลี คืออะไร หมายถึงอะไร การพูดหรือตีความให้ตัวเองได้ประโยชน์หรือไม่เสียประโยชน์จากเรื่องแย่ๆที่ดูร้าย กลายเป็นไม่มีอะไร เลี่ยง คือ ลักษณะอาการที่บ่ายเบี่ยง ออกไปจากแนวเดิม ออกไปไม่พูดถึงเรื่องนั้น

บาลี คือ ภาษาที่ใช้เป็นหลักในพระไตรปิฎก
พอเอามารวมกัน ก็หมายถึง เป็นการบ่ายเบี่ยงหลบหลีกกฎเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
ในเชิงเปรียบเทียบคือ เอาไว้ใช้เลี่ยงความผิดหรือทำให้ตัวเองได้ประโยชน์เป็นเทคนิค
ในการหลบหลีก เรื่องราวที่ผิด หรือต้องการจะช่วยเหลือคนอื่น แต่ก็คือการไม่พูด
ความจริงอยู่ดี เป็นการหาช่องโหว่ของระบบกฏเกณฑ์ต่างๆ

แล้วใช้การเลี่ยงบาลีเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์หรือไม่ผิดในกรณีต่างๆ เช่น นายจอดรถในที่ห้ามจอด
เอ้าแต่ผมแค่หยุดรถแปปนึงไม่ได้จอดซักหน่อยหรือ ผมมาพัฒนาที่นี่เพื่อสร้างความเจริญให้กับ
หมู่บ้านของเรา (แต่ความจริงแล้วกำลัง จะสร้างห้าง สร้างฏรงงานที่กระทบต่อ
ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน)แต่ไม่นำความเหล่านั้นมาบอก

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2018, 10:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20181109_101400.jpg
20181109_101400.jpg [ 234.81 KiB | เปิดดู 4084 ครั้ง ]
อะไรๆที่มันไม่จริงก็พยายามทิ้งๆไปเสียบ้าง ความจริงที่มันของจริง มันจะได้เด่นชัดขึ้น ความจริงเท่านั้นแหละที่จะเป็นสิ่งที่จะนำพาไปในสิ่งที่พ้นทุกข์ได้ เราเป็นผู้โหยหาความจริงอยู่ แต่ไม่พยายามละทิ้งความไม่จริง จะหาความจริงแท้มาจากไหน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2018, 04:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




ebcbeda76a722655656b855b6e99cb06.gif
ebcbeda76a722655656b855b6e99cb06.gif [ 17.71 KiB | เปิดดู 4049 ครั้ง ]
ปัญญาเกิดได้ ๓ ทาง

ปัญญา แปลว่า ความรู้ทั่ว คือรู้ทั่วถึงเหตุถึงผล รู้อย่างชัดเจน, รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ, รู้สิ่งที่ควรทำควรเว้น เป็นต้น เป็นธรรมที่คอยกำกับศรัทธา เพื่อให้เชื่อประกอบด้วยเหตุผล ไม่ให้หลงเชื่ออย่างงมงาย

ในสังคีติสูตร พระสารีบุตรกล่าวว่า ปัญญา ทำให้เกิดได้ ๓ วิธี คือ

๑.โดยการสดับตรับฟัง การศึกษาเล่าเรียน (สุตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการฟัง)
๒.โดยการคิดค้น การตรึกตรอง (จินตามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการคิด)
๓.โดยการอบรมจิต การเจริญภาวนา (ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการอบรม)
ปัญญา ที่เป็นระดับ อธิปัญญา คือปัญญาอย่างสูง
จัดเป็นสิกขาข้อหนึ่งใน สิกขา ๓ หรือ ไตรสิกขา คือ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 47 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร