ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
สงฆ์มี ๒ ประเภท (สมมุติสงฆ์, ทักขิไณยสงฆ์) http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57304 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 13 มี.ค. 2019, 06:57 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | สงฆ์มี ๒ ประเภท (สมมุติสงฆ์, ทักขิไณยสงฆ์) | ||
สงฆ์มี ๒ ประเภท คือ สมมุติสงฆ์ (สงฆ์โดยสมมุติ) และทักขิไณยสงฆ์ (สงฆ์ผู้ควรรับทักษิณา) คำว่า สมมุติ คือ การอุปสมบทกรรมอันสงฆ์พร้อมเพรียงกันทำ สมมุติสงฆ์ คือ ภิกษุสงฆ์ผู้ถึงฐานะของผู้อุปสมบทด้วยสมมุติกรรม สมมุติสงฆ์นัันปรากฏในวินัยกรรม ทักขิไณยสงฆ์ คือ หมู่อริยบุคคล ๘ แม้ทักขิไณยสงฆ์จัดเป็นสมมุติสงฆ์ แต่ก็ได้รับการยกยกย่องโดยประการนั้นๆ แล้วกล่าวไว้โดยเฉพาะ เพื่อกำหนดนาบุญอันประเสริฐในฐานะที่เข้าถึงสรณะ นบไหว้ เคารพ บูชา สักการะ และระลึกถึงเป็นนิตย์ จริงอยู่ สงฆ์ปุถุชนแม้เป็นนาบุญ ก็หาใช่นาบุญอันประเสริฐไม่ (สมมุติสงฆ์ คือ สงฆ์โดยสมมุติ หมายถึง ผู้ที่ได้รับการอุปสมบทตามวินัยกรรม ซึ่งอาจจะเป็นปุถุชนหรือพระอริยบุคคลก็ได้ ส่วนทักขิไณยสงฆ์ คือสงฆ์ผู้ควรรับทักษิณา หมายถึง พระภิกษุผู้เป็นพระอริยบุคคลเท่านั้น) ถามว่า :- เหตุใดสงฆ์ปุถุชนจึงมิใช่นาบุญอันประเสริฐ ตอบว่า :- เพราะมีอนุสัยกิเลสคือสักกายทิฏฐิและวิจิกิจฉา ซึ่งเปรียบเหมือนหญ้าในนาข้าวสาลีที่ทำให้นาเสียหาย การที่ปุถุชนเป็นนาบุญ เรื่องนี้ปริยัติธรรม(ฉันใด)บุคคล ผู้ทรงปริยัติสัทธรรม ย่อมจัดเข้าในพระสงฆ์ผู้ควรนบไหว้(ฉันนั้น)กัลยาณปุถุชน จัดเข้าในเสขบุคคลในอริยสงฆ์(ฉันใด)ปฏิบัติธรรมซึ่งเป็น เหตุแห่งความดีของกัลยาณปุถุชนก็จัดว่าควรนบไหว้(ฉันนั้น) โดยแท้จริงแล้ว กัลยาณปุถุชนแม้จะเป็นปุถุชนก็จัดเข้าในเสขบุคคล ผู้ปฏิบัติเพื่อหยั่งเห็นโสดาปัตติผล เพราะถึงพร้อมด้วยการปฏิบัติธรรม (กิเลสเหมือนหญ้าทำลายนาบุญของผู้ถวายทาน ดังในคัมภีร์ธรรมบทหน้า ๗๙) นามีหญ้าเป็นโทษ มหาชนนี้มีราคะเป็นโทษ ทานที่บุคคลถวายในท่านผู้ปราศจากราคะแล้วจึงมีผลมาก นามีหญ้าเป็นโทษ มหาชนนี้มีโทสะเป็นโทษ ทานที่บุคคลถวายในท่านผู้ปราศจากโทสะแล้วจึงมีผลมาก นามีหญ้าเป็นโทษ มหาชนนี้มีโมหะเป็นโทษ ทานที่บุคคลถวายในท่านผู้ปราศจากโมหะแล้วจึงมีผลมาก
|
เจ้าของ: | Love J. [ 13 มี.ค. 2019, 07:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สงฆ์มี ๒ ประเภท |
ลุงหมาน เขียน: สงฆ์มี ๒ ประเภท คือ สมมุติสงฆ์ (สงฆ์โดยสมมุติ) และทักขิไณยสงฆ์ (สงฆ์ผู้ควรรับทักษิณา) คำว่า สมมุติ คือ การอุปสมบทกรรมอันสงฆ์พร้อมเพรียงกันทำ สมมุติสงฆ์ คือ ภิกษุสงฆ์ผู้ถึงฐานะของผู้อุปสมบทด้วยสมมุติกรรม สมมุติสงฆ์นัันปรากฏในวินัยกรรม ทักขิไณยสงฆ์ คือ หมู่อริยบุคคล ๘ แม้ทักขิไณยสงฆ์จัดเป็นสมมุติสงฆ์ แต่ก็ได้รับการยกยกย่องโดยประการนั้นๆ แล้วกล่าวไว้โดยเฉพาะ เพื่อกำหนดนาบุญอันประเสริฐในฐานะที่เข้าถึงสรณะ นบไหว้ เคารพ บูชา สักการะ และระลึกถึงเป็นนิตย์ จริงอยู่ สงฆ์ปุถุชนแม้เป็นนาบุญ ก็หาใช่นาบุญอันประเสริฐไม่ (สมมุติสงฆ์ คือ สงฆ์โดยสมมุติ หมายถึง ผู้ที่ได้รับการอุปสมบทตามวินัยกรรม ซึ่งอาจจะเป็นปุถุชนหรือพระอริยบุคคลก็ได้ ส่วนทักขิไณยสงฆ์ คือสงฆ์ผู้ควรรับทักษิณา หมายถึง พระภิกษุผู้เป็นพระอริยบุคคลเท่านั้น) ถามว่า :- เหตุใด พระอริยบุคคล ๔ รู้อริยสัจ ๔ ลึกซึ้งแจ่มแจ้งตามลำดับ เมื่อได้รับของทำบุญแล้วย่อมแสดงธรรมตามภูมิ ตามควร การได้ฟังธรรมจากพระอริยบุคคล ๔ จำพวกนั้น ได้ทรงจำ ตรึกตรองพิจารณาตามเป็นบุญอันประเสริฐที่สุดแล้ว |
เจ้าของ: | sssboun [ 17 เม.ย. 2019, 08:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สงฆ์มี ๒ ประเภท (สมมุติสงฆ์, ทักขิไณยสงฆ์) |
ลุงหมาน เขียน: สงฆ์มี ๒ ประเภท คือ สมมุติสงฆ์ (สงฆ์โดยสมมุติ) และทักขิไณยสงฆ์ (สงฆ์ผู้ควรรับทักษิณา) คำว่า สมมุติ คือ การอุปสมบทกรรมอันสงฆ์พร้อมเพรียงกันทำ สมมุติสงฆ์ คือ ภิกษุสงฆ์ผู้ถึงฐานะของผู้อุปสมบทด้วยสมมุติกรรม สมมุติสงฆ์นัันปรากฏในวินัยกรรม ทักขิไณยสงฆ์ คือ หมู่อริยบุคคล ๘ แม้ทักขิไณยสงฆ์จัดเป็นสมมุติสงฆ์ แต่ก็ได้รับการยกยกย่องโดยประการนั้นๆ แล้วกล่าวไว้โดยเฉพาะ เพื่อกำหนดนาบุญอันประเสริฐในฐานะที่เข้าถึงสรณะ นบไหว้ เคารพ บูชา สักการะ และระลึกถึงเป็นนิตย์ จริงอยู่ สงฆ์ปุถุชนแม้เป็นนาบุญ ก็หาใช่นาบุญอันประเสริฐไม่ (สมมุติสงฆ์ คือ สงฆ์โดยสมมุติ หมายถึง ผู้ที่ได้รับการอุปสมบทตามวินัยกรรม ซึ่งอาจจะเป็นปุถุชนหรือพระอริยบุคคลก็ได้ ส่วนทักขิไณยสงฆ์ คือสงฆ์ผู้ควรรับทักษิณา หมายถึง พระภิกษุผู้เป็นพระอริยบุคคลเท่านั้น) ถามว่า :- เหตุใดสงฆ์ปุถุชนจึงมิใช่นาบุญอันประเสริฐ ตอบว่า :- เพราะมีอนุสัยกิเลสคือสักกายทิฏฐิและวิจิกิจฉา ซึ่งเปรียบเหมือนหญ้าในนาข้าวสาลีที่ทำให้นาเสียหาย การที่ปุถุชนเป็นนาบุญ เรื่องนี้ปริยัติธรรม(ฉันใด)บุคคล ผู้ทรงปริยัติสัทธรรม ย่อมจัดเข้าในพระสงฆ์ผู้ควรนบไหว้(ฉันนั้น)กัลยาณปุถุชน จัดเข้าในเสขบุคคลในอริยสงฆ์(ฉันใด)ปฏิบัติธรรมซึ่งเป็น เหตุแห่งความดีของกัลยาณปุถุชนก็จัดว่าควรนบไหว้(ฉันนั้น) โดยแท้จริงแล้ว กัลยาณปุถุชนแม้จะเป็นปุถุชนก็จัดเข้าในเสขบุคคล ผู้ปฏิบัติเพื่อหยั่งเห็นโสดาปัตติผล เพราะถึงพร้อมด้วยการปฏิบัติธรรม (กิเลสเหมือนหญ้าทำลายนาบุญของผู้ถวายทาน ดังในคัมภีร์ธรรมบทหน้า ๗๙) นามีหญ้าเป็นโทษ มหาชนนี้มีราคะเป็นโทษ ทานที่บุคคลถวายในท่านผู้ปราศจากราคะแล้วจึงมีผลมาก นามีหญ้าเป็นโทษ มหาชนนี้มีโทสะเป็นโทษ ทานที่บุคคลถวายในท่านผู้ปราศจากโทสะแล้วจึงมีผลมาก นามีหญ้าเป็นโทษ มหาชนนี้มีโมหะเป็นโทษ ทานที่บุคคลถวายในท่านผู้ปราศจากโมหะแล้วจึงมีผลมาก เมื่อพื้นฐานคือประชาชนดีมีศีล มีธรรมแล้ว เมื่อบวชก็ย่อมจะเป็นพระ สงฆ์ที่ดีได้มากกว่า(โอกาสมีมาก)ที่มาจากพื้นฐานไม่ดีมาจากประชาชน ที่ไร้ศีลธรรมประจำใจครับ |
เจ้าของ: | tongka [ 19 ส.ค. 2019, 11:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สงฆ์มี ๒ ประเภท (สมมุติสงฆ์, ทักขิไณยสงฆ์) |
ตั้งแต่สมัยพุทธกาลมา สงฆ์มีสองฝ่ายเท่านั้น คือ ภิกษุสงฆ์ กับภิกษุณีสงฆ์ สงฆ์สมมุติก็แบ่งเป็นสองฝ่ายเท่านี้ สงฆ์ที่ผ่านสมมุติไปแล้วก็มีสองฝ่ายเท่านี้ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |