วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 14:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2019, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมประจักษ์จิตจิตประจักษ์ธรรม

"...อาตมาไม่ได้ภาวนาที่วัดป่าบ้านตาด เพราะตอนนั้นมีการช่วยชาติ คนเยอะมาก ก็อธิษฐานกับพระคุณแม่จันดี (โลหิตดี) และขอลาตายกับท่าน คุณแม่ก็บอกว่า เอาเลยไปตายเลย ปรากฏว่า สามวันในกุฏิมันลงกันได้ มันปล่อยออกหมดเลย สภาวะจิตคืน ดิน น้ำ ลม ไฟ แก่กัน ความยึดมั่นถือมั่นในส่วนต่างๆ ของกาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันลงหมด เหลือแต่จิตดวงเด่นอย่างเดียว ก็เป็นบ้าอีก มาหาคุณแม่ ท่านหัวเราะ กายมันพังลงไปยังไง นั่งๆ แล้วท่านก็บอกว่า "ธรรมประจักษ์จิต จิตประจักษ์ธรรม เข้าใจไหม"

พระอาจารย์คม อภิวโร
วัดป่าธรรมคีรี (จันดีอนุสรณ์) อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา





นั่งตามสบาย นั่งขัดสมาธิ
ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย
หยุดความรำคาญทางตาและหู ความนึกคิดต่างๆ
คือความรับรู้ได้
ให้ใจอยู่กับกายของเรา
อย่าให้ออกไปทางตาและหู ลิ้น ทางใจ ความรู้สึกของเรา
ให้เราฝึกจิตฝึกใจของเราอยู่กับพุทโธ อยู่กับลมหายใจ
ถ้าใจไม่มีพุทโธ ไม่อยู่กับลมหายใจแล้ว
ใจก็จะล่องลอยไปตามสัญญาอารมณ์
สัญญารูป แสง สี เสียง กลิ่น รส สัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง
ธรรมารมณ์คือ ความรู้สึกนึกคิดในอารมณ์ที่เป็นอดีต
วิธีป้องกันไม่ให้ใจเราไปยุ่งอยู่กับ
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสธรรมารมณ์นั้น
จะต้องภาวนาใช้สติ
ให้ระลึกถึงหายใจเข้า พุท พร้อมกับรู้ พุท
หายใจออก โธ ให้รู้ลมออกและรู้ โธ พร้อมไปด้วย
หายใจเข้า พุท รู้ลมเข้าพร้อมกับ พุท เข้าไปด้วย
หายใจออก โธ กำกับอยู่อย่างนี้
อันนี้แหละเป็นอุบายที่จะรักษาควบคุมใจของเรา
หลวงพ่อทอง จันทสิริ
วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ






อาตมาอยู่วัดปากทางแม่แตง วันหนึ่งตอนกลางวันนั่งฉันน้ำชาอยู่ มีเปรตเด็กน้อยหนุ่มสาว ๔ คน กำลังเป็นสาว ๑๖ – ๑๗ – ๑๘ ปี ตายตกน้ำ เมื่อเดือน ๑๐ ตายไปตกนรกนิดหน่อย พ้นขึ้นมาเป็นเปรตเปลือยกายเสื้อผ้าไม่มี
“ ทำไมสูไม่มีเสื้อผ้า ”
“ เมื่อตอนเป็นมนุษย์ไม่มีความดี ”
“ ตายแล้วทำไมจึงมารู้จักกู แต่ตอนสูมีชีวิตทำไมไม่มาสู่มาหา ”
“ คนเฒ่าคนแก่ห้ามไม่ให้มาหา ไม่ให้มาทำบุญ ไม่พร่ำสอนให้รู้จักทาน ศีล ตายแล้วจึงรู้เพราะพระผู้เป็นเจ้ามีแสงสว่างอุ่นเย็นสบายดี ”
“ แล้วตุ๊หลวงวัดในหมู่บ้านนั้นละสู สูทำไมไม่ไปหา ”
“ จะไปทำไมพวกนั้นมันเป็นเปรตหนักกว่าพวกข้าฯ ”
“ สูมาด้วยเหตุอันใด ”
“ อยากให้ช่วยเหลือ จะได้ไปเกิดแล้ว ”
“ จะเกิดเป็นอะไร ”
“ เป็นสัตว์เพราะไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีศีล ศีล ๕ ไม่ได้ ศีล ๘ ไม่ได้ ไหว้พระสวดมนต์ ไหว้สานะโมไม่เคย ”
“ ดูดุ๊ เอามือออก อย่าปิด ให้ข้าฯดูก่อน ของลับของเปรตอย่างพวกสูยังมีอยู่หรือ ”
เขาก็ไม่ยอมให้ดู ก้มหมูบลง เอามือปิดบนล่าง แล้วเราก็ว่า
“ พวกสูเกิดมาแต่ก่อนเก่าเคยทำบุญ เคยไหว้พระ เคยเข้าวัด เคยบำรุงศาสนา เคยทำดีประการต่างๆ ไหม ”
เขาก็ตอบรับว่าเคย “ ได้พระผู้เป็นเจ้านี้แหละเป็นผู้แนะนำพาทำ ”
“ ทำไมพวกสูลืมไปเสียเล่า ”
“ เพราะเกิดมาในตระกูลไม่ดี ”
“ ก็บาปของพวกสูไม่ใช่หรือ นี่ให้ตั้งใจให้ดี กูจะสอน
เอ้า…ไหว้
เอ้า…กราบ
เอ้า…สมาทานศีล ๕
เอ้า…นึกพุทโธ ” สอนเปรต ๔ ตนนั้นให้ทำตาม เขาตั้งใจดีมาก ใส่ใจทำตาม สุดท้ายเราก็สอนเมตตา ให้เขาตั้งใจรับเมตตา
สพฺเพ สตฺตา สุขิตา โหนฺตุ สพฺเพ สตฺตา อเวรา โหนฺตุ
สพฺเพ สตฺตา อพฺยา ปชฺฌา โหนฺตุ สพฺเพ สตฺตา อนีฆา โหนฺตุ
สพฺเพ สตฺตา สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ
สวดให้เขาอยู่ ๓ รอบ ตั้งใจกำหนดจิตภาวนาช่วยเขาอีกนานเกือบ ๑๐ นาที จึงบอกให้เขาไปได้ พอบอกว่าเอาล่ะอานิสงส์ บุญของสูเจ้ามีแค่นี้แหละ เขาก็พากันกระโดดออกไปวิ่งให้ห่าง ออกไปถึงประตูวัดตีเคาะสังกะสีป่างๆ ให้สัญญาณ หัวเราะคิกคักไปตามกรรมของเขาต่อไป เล่นเขาอยู่นาน ขอดูของลับของเขา เขาก็อายไม่ให้ดู นี่เพราะอะไรไม่มีทาน ไม่มีศีล ไม่มีความดีอันใด เกิดผิดตระกูล ผู้เป็นพ่อแม่ก็ไม่สนใจดีชั่ว ไม่ชอบพอกับพระอีสานธุดงค์ผู้ปู่ย่า ตาอุ้ย ก็ไม่บอกไม่สอน ไม่ให้เขาเข้าวัดเข้าวา ตายไปก็ได้รับผลเป็นเปรตมาจากนรก แต่นี่ค่อยยังชั่ว เพราะได้เกิดเร็วเสวยกรรมไม่เท่าใดก็เกิดใหม่

หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ




ผู้ที่ทำบุญ คือผู้มีบุญ
ผู้มีบุญ จึงจะได้ทำบุญ
บุญทำให้เกิดความสุข
บุญทำให้เกิดความสบายกาย
บุญทำให้เกิดความสบายใจ
ผู้มีบุญจึงเป็นผู้มีความสุข
ทั้งชาตินี้และชาติหน้า

หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร






พบมารดาบนสวรรค์

อาตมาไปสรรค์ เราเห็นปราสาทหลังแรก ได้ปราสาททองคำ อาตมาถามเขาทำบุญอะไร ตอนอยู่เมืองมนุษย์ เขาสร้างโบสถ์เล็ก ๆ ถวายพระ เลยได้ปราสาททองคำ

ไปหลังที่สองก็เป็นปราสาทแก้ว ประตูหน้าต่างนี่ใส่แก้ว ผัวกับเมียก็อยู่ ขนาดเล็กลงมาอีกหน่อย

พอไปหลังที่สามนี่ก็ปราสาททองคำเหมือนกัน แต่มันก็หลังเล็กระดับสาม ก็มีนางเทพธิดาเป็นสาวราวอายุ ๑๖ ปี

พูดว่า " หม่อมมาเยี่ยมแม่บ่ " หม่อมเป็นภาษาอีสาน หม่อมคือเราเป็นลูกเขา เขาเรียก เอ๊..เป็นแม่อาตมาได้ยังไง สาวน้อยๆ อายุ ๑๖ ปีเอง มาเป็นแม่อาตมาได้ยังไง

อาตมาว่า..ต้องเนรนิตกายให้อาตมาดูก่อนสิ ถ้าเป็นแม่อาตมาจริง ๆ

" เขาก็เนรมิตเป็น ใส่ผ้าถุงใส่เสื้อขาว เหมือนอย่างเดิมที่ไปจำศีล เอ้าไม่ต้องกลัวแล้ว " ก็เลยกลับเป็นเทพธิดา คุยกัน เขาบอกว่า ..

" ทำบุญทำกุศลได้แค่นี้แหละ มันยังขี้โลภอยู่ อยากได้ปราสาทใหญ่ ๆ เหมือนกับหลังแรก ที่หม่อมเห็นมา "

นี่ยัง อยากได้ปราสาทใหญ่อยู่นะ เขาเรียกว่ามีกิเลส เข้าใจบ่ แต่มันทำบุญไม่ได้ในเมืองนี้ มันไม่มีอะไรจะทำ ต้องไปจุติเมืองมนุษย์ก่อนถึงจะสร้างความดีได้ อยากจะลงมาเกิดเพื่อทำบุญทำกุศลต่อ มาบำเพ็ญต่อ

บัดนี้พออาตมา ฟังว่า..จะลงมาเกิด ก็ถามว่า.." จะลงมาเกิดกับใคร " " จะลงมาเกิดกับพี่ชาย " โยมสะใภ้ที่แม่เขาติด นั่นคือความยึดมั่นถือมั่น

" จะไปเกิดกับเขาได้ยังงัย ลูกคนสุดท้องเขาอายุ ๑๓ ปีแล้ว " นี่แหล่ะเรื่องการมายึดมั่นถือมั่น อาตมาจึงถือว่า.." โอ๊ย เขาไม่มีลูกหรอก ๑๓ ปีแล้ว เขาไม่มีลูกสักคน " " ไป " ยืนยันอย่างนี้นะ

อาตมาก็เลยออกจากสมาธิตีสองนี่ ก็เลยบันทึกไว้ วันที่ ๑๑ มีนาจะไม่ลืมเลย บัดนี้ ปีนี้ไม่ได้กลับบ้าน ปีหน้าถึงจะกลับ เอ๊า.. มันเป็นยังไงจะมาเกิดจริงเหรอ

ปีหลังนี้ก็เลยกลับ เลยวันที่ ๑๑ เมษาไปนี่กลับไปบ้าน ไปแล้วก็เลยไปจอดรถหน้าบ้าน โยมป้า โยมป้าเดินมา บ้านพี่ชายก็อยู่ข้างในตรงข้ามกัน เข้าไปในซอย รถวิ่งเข้าไปไม่ได้ มันซอยเล็ก โยมป้ามาถึงก็มอง โยมพี่ชายได้ลูกสาว ข๊าวขาว สวยด้วย พึ่งได้เดือนหนึ่งคลอดออกมา " เอาล่ะ..ก็ครบรอบปีพอดี

อาตมาก็เลยสั่งให้เขาดูแลให้ดี ขาวด้วย สวยด้วย เพิ่งเกิดมาเดือนเดียว ก็เลยบอกเขา

" รักษาให้ดีเด้อ มาเกิดด้วย มาติดพวกเธอนี่ ยึดมั่นถือมั่นว่าพวกเธอดี "

บอกพี่ชายพี่สะใภ้ไว้ ตอนสี่ขวบเขายังถามหาเครื่องนุ่งห่ม แม่อาตมาเป็นคนนุ่งแต่ผ้าไหม พอได้ ๑๑ ปี อาตมาพามาที่เชียงใหม่ พาไปชมมหาวิทยาลัย ยังเป็นเด็กไปกับเพื่อน

เขาบอกว่า มาทำไมเป็นที่คลุกคลี เป็นที่ไม่สงบอย่างนี้ เขาว่ากลับวัดดีกว่า

อาตมาพาไปจะไปทดสอบเขา ให้เงิน ๓๐๐ ใบละ ๒๐ ให้ ๓๐๐ ให้เขาถือไปดู เขาเป็นเด็ก

ทีนี้ไปถึงพิพิธภัณฑ์หลวงปู่ฝั้น ทำบุญ ๒๐ บาท พาไปหาหลวงปู่มั่นที่สกลนคร ที่เขาเคยทำบุญ เขาก็ให้ ๑๔๐ บาท

พอไปถึงธาตุพนม จุดใหญ่ที่เขาทำบุญ ชาติก่อนเขาต้องไปนอนเที่ยวละ ๔ คืน ในคืนจันทร์เพ็ญ เอาเงินไปเท่าไหร่เกลี้ยงเท่านั้น ชาตินี้พอไปถึงนั่น ทำบุญเกลี้ยงเลย แบมือใส่อาตมา บ่มีสักบาท เอาไปทำบุญหมด

อ๋อ ..มันไม่ลืม ที่เก่า ของเก่า

จากหนังสือ: พิพิธภัณฑ์ธรรมะเปลี่ยนโลก
โอวาทธรรม หลวงปู่เปลี่ยน






"ทุกคนมีอดีต แต่อย่าไปทุกข์กับอดีต
ทุกข์ไป มันก็แก้ไม่ได้ ของมันผ่านไปแล้ว
ไม่มีประโยชน์

อดีตที่ผิดที่พลาด ที่เสีย ที่หาย
มันทำให้เรามีวันนี้ มีเดี๋ยวนี้
จะไปแก้มันทำไม

โยมจะเป็นอะไรก็ตาม
เราทุกคนล้วนมีกรรม ปรุงให้เกิด
อย่าไปแก้ตอนที่มันส่งมาให้เกิด
ให้แก้จากวันนี้ไป อย่าคิดชั่ว อย่าทำชั่ว
อย่าพูดชั่ว อย่าหนีปัญหา"

หลวงปู่หา สุภโร





"ทำความดีอย่าไปท้อ คนไม่เห็นความดีของเรา
ก็ขอให้เรา เห็นความดีของเรา ก็แล้วกัน
เราทำความดีเพื่อเรา ไม่ได้ทำความดีเพื่อผู้อื่นใด"
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน






"ให้เพียรดูจิตใจ ถ้าบาปครอบงำก็รู้
ถ้าจิตผ่องใสก็รู้ ถ้าใจจะเผลอ สติก็รู้
ก็ระลึกได้

จะโกรธจะว่าใคร สติก็จะคอยเตือน
คอยห้ามและไม่ยึด อโหสิกรรมให้เค้าไป
บาปกิเลส ก็จะเบาบาง

ใจเศร้าหมองขุ่นมัวก็คือทุกข์ คือบาป
ใจผ่องใสเบิกบาน ก็คือบุญ"

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2019, 14:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss :b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 58 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร