วันเวลาปัจจุบัน 17 เม.ย. 2024, 00:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2019, 06:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“จนเพราะขี้เกียจ จะไปตื่นกับเขาทำไมเรามีอยู่มีกินอยู่แล้ว จนเพราะขี้เกียจมักง่าย “ไผ่ขี้คร้านบุญเจ้าเสื่อมลง” มันเห่อกับเขาเห่อเหิมเพราะอยากรวย คนเฮาสิจนได่จังได่สิทุกข์สิยากหยัง มีไร่มีนาอยู่อันนี้มันขี้เกียจขี้คร้าน หลวงปู่มั่นท่านว่าทำนาไปพุทโธไปเกี่ยวข้าวไปพุทโธไปทำงานไปพุทโธไปเพียรพยายามไป หลวงปู่หนองแซงท่านว่าลืมทำนาเลย อันนี้มันพากันขี้ค้านคิดนำทุกข์นาบ่ทำ บ่ต้องไปดูความทุกข์ ดูความขี้เกียจมักง่ายนี้ พุทโธกะบ่เอาหยังคิดแต่สิรวย เห็นแต่สิอยากร่ำสิรวย คนจนฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมแต่งตัวนี้บ่ดูเงินในกระเป๋าจักหน่อย พวกนี้เฒ่าแล้วแต่งตัวว่าแมนสาวสิบห้า บ่เบิ่งเจ้าของใจบ่เฒ่าเด้แต่งโลดบุญกุศล มีแต่กายเฒ่าเด้ บอกลูกหลานอย่าลืมพุทโธ ตื่นมากูเห็นตัวมึงแล้วๆๆ คนกรุงเทพฯมาบอกหลวงปู่ว่าพุทโธมาหนึ่งปีแล้วไม่เห็นไม่เจออะไร แล้วกิเลสคุณกี่กัปร์ ตราบใดพุทโธยังไม่อัศจรรย์อย่าเลิกหา สอนลูกหลานแนพุทโธรีบขวานขวายพุทโธใส่ใจเจ้าของ”
โอวาทธรรม หลวงปู่ทุย




" คนเราหากอวดฉลาด โง่ไม่เป็น มันก็จะโง่อยู่อย่างนั้นแหละ.
อวดฉลาดทำไม ถ้าฉลาดจริงๆ มันก็สำเร็จมรรคผลแล้วซิ.
จะมานั่งโง่อยู่อย่างนี้ทำไม.
ถ้าจะเด็ดเดี่ยวก็ให้เด็ดเดี่ยวให้ถูกทาง ให้ได้อรรถได้ธรรม.
อย่าเด็ดเดี่ยวอย่างไม่เป็นท่า."

หลวงปู่พระมหาบุญมี สิริธโร







มีสติรู้ตัว ตามรู้จิต เมื่อมีสติรู้ลมหายใจอยู่ก็ตามรู้จิต ธรรมชาติของจิตมีความหลุกหลิก กลิ้งกลอก อ่อนไหว ว่องไว คิดเรื่อยเปื่อยไปได้ทั้งดีและชั่ว ต้องใช้สติต่างเชือกมัดจิตไว้กับหลัก คือลมหายใจให้ได้
จิตคิดวิ่งไปที่ไหน ก็ให้สติระลึกรู้ตามไปประคองจิตไว้ ไม่ให้คิดในเรื่องชั่ว อันเป็นบาปทุจริต ประคองจิตไว้ให้คิดในเรื่องดี อันเป็นบุญสุจริต เท่านั้น ความผ่องใสในจิตจะเกิดเพิ่มขึ้น ความทุกข์ก็จะค่อยสิ้นไป

โอวาทธรรม หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร





"มีรักที่ไหน มีทุกข์ที่นั้น
ความรักความใคร่ มันโตขึ้นมาได้
รักน้อยๆ ต่อไปมันก็รักมากเข้าๆ
เมื่อไรจะออกจากกันได้

ถ้าจะออกจากกัน ก็เป็นห่วงเป็นทุกข์
ความผูกความพัน มันเหนียวแน่นมาก
เหนียวแน่นจนลืมตัวเอง"

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร





โลกเจริญ คุณธรรมเสื่อม

“..ยิ่งโลกเจริญ ด้วยวัตถุ มากเท่าไร
ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ก็เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น
เมื่อความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้น คุณธรรมของคนก็จะลดลง
เมื่อคุณธรรมลดน้อยลง ความเบียดเบียนก็มีมากขึ้น
เมื่อความเบียดเบียนมากขึ้น ความทุกข์ก็มากขึ้นตาม
เมื่อความทุกข์มากขึ้นแล้ว ความเสื่อมของสัตว์โลก
ก็ย่อมสิ้นสุด อวสานลง ไปตามลำดับ

พุทธศาสนานี้ เป็นศาสนาคู่บ้านคู่เมือง คู่โลกคู่สงสารมาตลอด กี่กัปกี่กัลป์แล้ว พระพุทธเจ้าของเรา สิ้นพระชนม์ลงไปแล้ว ศาสนาก็ต่อไปอีก ๕,๐๐๐ ปีหมด คำว่าศาสนาหมด คือมนุษย์ทั้งหลายเป็นสัตว์นรกเราดีๆ นี่เอง ไม่รู้ว่าบุญว่าบาปว่าสรรค์นิพพานอะไรๆ ไม่อาจระลึกได้เช่นเดียวกับสัตว์

แต่การทำความชั่วนั้นความอยากพาให้ทำเองไม่มีใครสอน ความอยากความทะเยอทะยานความดิ้นรนของใจนี้ เป็นอำนาจของกิเลสมันผลักมันดันออกไปให้ทำๆ สิ่งที่ทำเหล่านั้นมีแต่บาปกรรม บุญไม่มีเพราะไม่มีครูสอน กิเลสเป็นหลักธรรมชาติไม่มีใครสอนมันก็เป็นไปได้โดยอัตโนมัติของมัน

ตอนที่ศาสนาหมด โลกทั้งหลายนี้ท่านบอกว่าร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่มีสถานที่ใดเป็นที่ปลงที่ว่างเลย นี่เรียกว่า สุญญกัป ในศาสนาแสดงไว้อย่างนี้ สุญญกัปเป็นกัปที่ว่างเปล่าจากคำว่าบาปว่าบุญ ไม่ปรากฎในหัวใจของสัตว์และคำพูดของสัตว์เลย สัตว์นรกเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสาร มองเห็นกันมีแต่จะกัดกัน ฉีกกันถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่มีคำว่าให้อภัย

มองดูเส้นหญ้าก็เป็นดาบไปเลย เพราะจิตใจเป็นฟืนเป็นไฟเป็นหอกเป็นดาบ จึงหาทางระบายออกด้วยการทำลายกัน ไม่มีที่จะทำความดีต่อกัน สุญญกัปนี้เป็นช่วงระยะที่สัตว์โลกร้อนที่สุด ไม่มีกาลใดสมัยไปจะร้อนยิ่งกว่า หลังจากนั้นแล้วก็มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ เช่นต่อจากพระพุทธเจ้าของเรานี้ ก็จะมีพระอริยเมตไตรยท่านมาตรัสรู้

ระหว่างพุทธันดรหรือระหว่างพระพุทธเจ้าองค์นี้ กับองค์นี้จะมาต่อกันท่านเรียกว่าสุญญกัป แล้วอีกนานเท่าไรท่านถึงจะมาตรัสรู้ เราจะมานอนใจได้เหรอ เวลามีชีวิตอยู่ลมหายใจมีอยู่ หัวใจเราระลึกได้อยู่ว่ามีบาปมีบุญอยู่แล้ว ทำไมจึงไม่วิ่งเต้นขวนขวายเสียในเวลาที่ควรนี้ จะไปรออะไรกัปนั้นกัปนี้ ให้เราย่นเข้ามาพิจารณาอย่างนี้ซิ ที่จะตักตวงผลประโยชน์ให้ได้

ในเวลาเรามีชีวิตอยู่ เราก็ทำเสีย กว่าพระอริยเมตไตรยท่านจะมาตรัสรู้ ก็ต้องผ่านสุญญกัปไปเสียก่อน สุญญกัปก็คือกองไฟใหญ่นั้นแหละใครจะกล้าผ่าน เพียงแต่เตาไฟเล็กๆ อยู่ครัวนี้ใครเก่งก็ลองดูซิ สุญญกัปยิ่งเก่งกว่านี้อีก แล้วใครจะไปกล้าหาญผ่านสุญญกัปนี้ เพื่อไปหาพระอริยเมตไตรย มันควรเสี่ยงแล้วเหรอเวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง..”
.............................................................................
ปรารภธรรมคำสอนจากพ่อแม่ครูอาจารย์
(หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน)
วัดป่าบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี






“...รักษาใจของตน กายเรา คำพูดเรา ความคิดเรา อย่าให้คนอื่นมารักษา เราต้องรักษาของเราเอง กายนี้รูปนี้ เกิดมาตายดับไป เกิดดับอยู่เช่นนี้...”
หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ





นิพพาน ไม่ต้องเรียนจบด็อกเตอร์หรอก พิจารณาร่างกายก้อนนี้ ที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เกิด แต่ทุกคนมองข้าม เมื่อพิจารณาจน สติ ปัญญา เพิ่มจนสมบูรณ์เต็มที่แล้ว โลภ โกรธ หลง ออกจากจิตใจ สิ่งสมมติ ต่างๆ ก็จะมลายหายไป เหลือแต่ความจริงแท้ หรือ ธรรมชาติแห่งความเป็นจริง

หลวงปู่ศรี มหาวีโร
พระเทพวิสุทธิมงคล
วัดประชาคมวนาราม(ป่ากุง)
ศรีสมเด็จ ร้อยเอ็ด






บางคนโชคดี ได้พบด้วยตนเอง ว่าผู้ที่ดูมีความสุขนั้น เมื่อหมดความอดกลั้น ระบายความทุกข์ออกมา ก็จะเป็นสิ่งไม่น่าเชื่อ ว่ากิริยาท่าทีของเขาสามารถพรางความเร่าร้อนในหัวอกของเขาไว้ได้มิดชิดเหลือเกิน จนเมื่อพบเห็นแล้วไม่ได้รู้สึกเลยว่าเขาเป็นผู้หนึ่งซึ่งกำลังมีความทุกข์นักหนา ต้องการความเมตตาเห็นใจอย่างยิ่ง เพื่อนร่วมโลกของเราทั้งนั้นเป็นเช่นนี้
.
อย่าคิดว่าคนอื่นมีความสุข ตนเองเท่านั้นที่มีความทุกข์ ความคิดเช่นนั้นผิดแน่นอน เมตตาก็ไม่เกิดจริงเมื่อมีความคิดเช่นนั้น จะเกิดก็แต่เพียงที่ปากว่าเท่านั้น นั่นน่าเสียดายนัก
.
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก





ทำความสงบอยู่กับคำบริกรรม
นี่เรียกว่า สมถกรรมฐาน
แต่ถ้าเห็นอะไรก็ตาม
เอามาคลี่คลายดูให้เห็นตามความเป็นจริง
เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน

หลวงปู่สาคร ธัมมาวุโธ






ภาวนาให้ผลดีต้องโง่มากๆ

การภาวนา ถ้าจะให้ได้ผลดี ต้องโง่มากๆ หน่อย ถ้าขืน ฉลาดแล้วเป็นอุปสรรค์กั้นอยู่นั่น

ตัวอย่างญาติผู้ใหญ่ของหลวงพ่อคนหนึ่ง อ่านหนังสือไม่ออก สวดมนต์ไม่เป็น แกก็มาบ่นว่า

"โอ๊ย...เกิดมาชาตินี้ทำไมโง่นักหนาน้อ"
"มันโง่อย่างไร"
"จะไม่โง่อย่างไร สวดมนต์ก็ไม่เป็น ฟังเทศน์ก็ไม่รู้เรื่อง ท่านเทศน์ภาษาไทย เราเป็นลาว เราก็ฟังภาษาไทยไม่ออก" แกว่า
ถามแกว่า "สวด พุทโธ คำเดียวได้ไหม"
"ได้!"
"เอ้า! ถ้างั้นสวด พุทโธ คำเดียว"

แก็สวดของแกอยู่นั่นทั้งกลางวันกลางคืน ตื่นเวลาไหนแกก็สวด บางทีแกบอกว่านอนหลับแล้วก็ยังสวดพุทโธอยู่

อยู่มาวันหนึ่ง หลวงพ่อกำลังจะลงทำวัตรเช้าตอนตี ๔ แกบุกขึ้นไปบนกุฏิ พอเห็นแกโผล่ขึ้นไป

"อ้าว! โยม มาทำไมล่ะ ผู้หญิงยิงเรือมาหาพระสงฆ์ เวลาค่ำคืนไม่งามนะ"
"โอ๊ย! มันทนไ่ม่ไหว"
"ทำไมทนไม่ไหว"
"ทำไมหัวใจคนมันจึงลุุกเป็นไฟได้"

เราก็รู้ทันทีว่าจิตของแกสงบเป็นสมาธิ

ถามว่า "มันลุกเป็นไฟแล้วมันร้อนหรือเปล่า"
"ม่ร้อน มันเย็นสบาย เกิดมาไม่เคยพบกับความสุขอย่างนี้เลย เดี๋ยวนี้มันก็ยังลุกอยู่นะ"

ภายหลัง ถามทีไรๆ
"หัวใจมันยังลุกเป็นไฟอยู่หรือเปล่า"
"เดี๋ยวนี้มันยิ่งลุกแรง บางทีจนตกใจว่านั่งอยู่ในศาลา ความสว่างไสวมันเต็มศาลาไปหมด"

อันนั้นจิตแกเป็นสมาธิ แล้วถามว่า
"จิตมันลุกเป็นไฟแล้ว มันยังท่องพุทโธอยู่หรือเปล่า"
"มันไม่ท่อง มันหยุด หยุดนิ่ง แล้วก็รู้...มีความสุขหาที่ไม่ได้เลย เกิดมาไม่เคยเจอความสุขอย่างนี้สักที"

จนกระทั่งแกตาย เวลาจวนจะตาย ไปถามแก
"เดี๋ยวนี้หัวใจมันยังลุกเป็นไฟอยู่หรือเปล่า"
"เดี๋ยวนี้มันยิ่งลุกแรง มันไม่ได้ไปไหน"
"แล้วพิจารณาดูอายุขัยหรือยัง มันหมดหรือยัง"
"หมดไปนานแล้ว คอยฟังคำสั่งเท่านั้น"
"อ้าว! จะให้ฉันสั่งให้ตายหรือ"
"ก็อย่างนั้นสิ ใครเป็นผู้้รับผิดชอบ คนน้้นต้องสั่ง"
"ถ้าแกแน่ใจว่าอายุขัยแกหมดแล้ว เอ้า! ฉันสั่งน่ะ แต่ว่า ไม่ใช่วันนี้นะ ให้งานเสร็จก่อน"
วันนั้นเป็นงานบูรพาจารย์ วันที่ ๒ ธันวาคม พองานเราเสร็จคืนวันที่ ๓ แกตื่นเช้ามาวันที่ ๔ แกก็ไป

พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)





ในทางโลก การได้มามากๆเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา
แต่ในทางธรรม การสละสิ่งที่มีมากๆ ให้หมดไป
แม้แต่สิ่งละเอียดอ่อนภายในใจได้ ท่านว่าประเสริฐสุด
หลวงปู่จันทร์ศรี จันนทีโป


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 22 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร