ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
พระพุทธศาสนาเถรวาท http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57914 |
หน้า 12 จากทั้งหมด 12 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 25 พ.ย. 2019, 16:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
กรัชกาย เขียน: ปัญญา ความรู้ทั่ว, ปรีชาหยั่งรู้เหตุผล, ความรู้เข้าใจชัดเจน, ความรู้เข้าใจหยั่งแยกได้ในเหตุผล ดีชั่ว คุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ เป็นต้น และรู้ที่จะจัดแจง จัดสรร จัดการ ดำเนินการ ทำให้ลุผล ล่วงพ้นปัญหา, ความรอบรู้ในกองสังขารมองเห็นตามเป็นจริง (เห็นตามที่มันเป็นของมัน) ปัญญา ๓ คือ ๑. จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิดพิจารณา (ปัญญาจากโยนิโสมนสิการที่ตั้งขึ้นในตนเอง) ๒. สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการสดับเล่าเรียน (ปัญญาจากปรโตโฆสะ) ๓. ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติบำเพ็ญ (ญาณอันเกิดขึ้นแก่ผู้อาศัยจินตามยปัญญา หรือทั้งสุตมยปัญญา และจินตามยปัญญานั่นแหละ ขมักเขม้นมนสิการในสภาวธรรมทั้งหลาย) ตาม ที่พูดกัน มักเรียงสุตมยปัญญาเป็นข้อแรก แต่ในที่นี้ เรียงลำดับตามพระบาลีในพระไตรปิฏก ทั้งในพระสูตร (ที.ปา.11/228/231) และอภิธรรม (อภิ.วิ.35/797/422) เรียงจินตามยปัญญาเป็นข้อแรก การที่ท่านเรียงจินตามยปัญญาก่อน หรือสุตมยปัญญาก่อนนั้น พอจับได้ว่า ท่านมองที่บุคคลเป็นหลัก คือ ท่านเริ่มที่บุคคลพิเศษประเภทมหาบุรุษก่อนว่า พระพุทธเจ้า (และพระปัจเจกพุทธเจ้า) ผู้ค้นพบและเปิดเผยความจริงขึ้นนั้น มิได้อาศัยปรโตโฆสะ คือ การฟังจากผู้อื่น แต่รู้จักโยนิโสมนสิการด้วยตนเอง ก็สามารถเรียงต่อไล่ตามประสบการณ์ทั้งหลายอย่างถึงทันทั่วรอบทะลุตลอดหยั่งเห็นความจริงได้ ท่านจึงเริ่มด้วยจินตามยปัญญา แล้วต่อเข้าภาวนามยปัญญไปเลย แต่เมื่อมองที่บุคคลทั่วไป ท่านเริ่มด้วยสุตมยปัญญาเป็นข้อแรก โดยมีคำอธิบายตามลำดับว่า บุคคลเล่าเรียนสดับฟังธรรมแล้วเกิดศรัทธา นำไปใคร่ครวญตรวจสอบพิจารณา เกิดเป็นสุตมยีปัญญา อาศัยสิ่งที่ได้เรียนสดับนั้นเป็นฐาน เขาตรวจสอบชั่งตรองเพ่งพินิจขบคิดลึกชัดลงไป เกิดเป็นจินตามยีปัญญา เมื่อเขาใช้ปัญญาทั้งสองนั้นขะมักเขม้นมนสิการในสภาวธรรมทั้งหลาย แล้วเกิดญาณเป็นมรรคที่จะให้เกิดผลขึ้น ก็เป็นภาวนามยีปัญญา, คุณโรสศิษย์คุณแม่สุจินว่า ต้องฟังก่อน ว่า ปัญญาเกิดไปตามลำดับ ว่า พอมาเห็นการเรียงอย่างนี้เข้าไปหงายหลังตกเก้าอี้เลย (ดีนะที่หัวไม่ฟาดพื้น) แปลว่าอะไร แปลว่า ตนไปยึดการเรียงเอาสุตมยปัญญาขึ้นก่อน ก็เลยมโนร่วมไปอย่างนั้น แล้วความรู้หรือปัญญาเป็นคำกลางมีหลายระดับ ตย. เช่น เดิมทีเดียวตนขี่จักรยานไม่เป็น แล้วก็ฝึกก็หัดแรกๆก็ล้มบ้างอะไรบ้างหัวเข่าถลอกเลือดไหล แต่ก็ไม่ท้อฝึกหัดต่อไป จนกระทั่งขี่จักรยานได้ นี่ก็เรียกว่าปัญญา พัฒนาต่อไป จนถีบจักรยานปล่อยมือได้ นี่ก็ปัญญา ต่อไปอีก สามารถถีบจักรยานล้อเดียวได้ นี่ก็ปัญญา หรือคุณโรสจะเถียง |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 25 พ.ย. 2019, 17:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
สุตะ “สิ่งสดับ” สิ่งที่ได้ฟังมา, สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง, ความรู้จากการเล่าเรียน หรือรับถ่ายทอดจากผู้อื่น, ข้อมูลความรู้จากการอ่าน การฟัง บอกเล่า ถ่ายทอด, สำหรับผู้ศึกษาปฏิบัติ “สุตะ” หมายถึง ความรู้ที่ได้เล่าเรียนสดับฟังธรรม ความรู้ในพระธรรมวินัย ความรู้คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า นวังคสัตถุศาสน์ หรือปริยัติ, สุตะเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของผู้ที่จะเจริญงอกงาม ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต โดยเป็นเหตุปัจจัยให้ได้ปัญญา ที่เป็นเบื้องต้น หรือเป็นฐานของพรหมจริยะ และเป็นเครื่องเจริญปัญญาให้พัฒนาจนไพบูลย์บริบูรณ์ (ที.ปา.11/444/316) พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เป็นผู้มีสุตะมาก (เป็นพหูสูตหรือมีพาหุสัจจะ) และเป็นผู้เข้าถึงสุตะ (องฺ.จตุกฺก 21/6/9) สดับ (สะ) ก. เงี่ยหูฟัง, ตั้งใจฟัง สดับตรับฟัง ก. ฟังด้วยความเอาใจใส่ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 25 พ.ย. 2019, 19:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
กรัชกาย เขียน: ที่วัดนาสีนวล ต.นาสีนวล อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม เกษตรกร 4 หมู่บ้าน พากันนำข้าวที่เก็บเกี่ยวเสร็จแล้วมาตากภายในลานวัด ภายหลังจากที่มีการสั่งห้ามไม่ให้นำข้าวเปลือกตากบนถนน หวั่นเกิดอันตรายจากอุบัติเหตุ และป้องกันมิจฉาชีพมาขโมยข้าว ชาวนาบ้านนาสีนวล หมู่17 ต.นาสีนวล อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม กล่าวว่า ที่วัดแห่งนี้มีชาวบ้าน 4 หมู่บ้านที่มาทำบุญร่วมกัน คือ หมู่ 1 หมู่ 14 หมู่ 17 และหมู่ 18 ซึ่งจะมีการเข้าคิวกันตากข้าว ตนเองมีนาข้าว 6 ไร่ ที่ผ่านมาพายุโพดุล สร้างความเสียหายให้กับนาข้าว จากนาข้าว 6 ไร่ เหลือเพียง 4 ไร่ ซึ่งตอนนี้เก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว หากจะนำข้าวสดไปขายโรงสี ก็จะถูกโรงสีกดราคา จึงนำข้าวมาตากไว้ที่ลานวัด https://www.one31.net/uploads/news/pict ... 105207.jpg https://www.one31.net/news/detail/16266 ... Y.facebook ข้าวล้นตลาด กดชาวนาเหลือ 10 บาทต่อกิโลกรัม อ้างข้าวล้นตลาดโรงสีรับซื้อ “ข้าวเปลือกหอมมะลิ” ตันละ 10,000 – 10,500 บาท ชาวนาพิจิตรจำต้องขายเพราะไม่มียุ้งฉากเก็บข้าว พื้นที่ตำบลบ้านบุ่ง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร ถือว่าเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิ แหล่งใหญ่ของจังหวัดพิจิตร ชาวนาต้องเร่งเก็บเกี่ยวข้าวหอมมะลิที่มีอายุครบตามวาระการเก็บเกี่ยว และจำเป็นต้องขายให้กับโรงสีหรือนายทุนที่รับซื้อข้าวในทันที เพราะไม่มียุ้งข้าวที่จะเก็บข้าวเปลือกไว้ ในขณะที่โรงสีรับซื้อข้าวเปลือกหอมมะลิในราคา 10,000-10,500 บาทต่อตัน หรือตกราคากิโลกรัมละประมาณ 10 บาท โดยให้เหตุผลเป็นเพราะข้าวล้นตลาด นางสมคิด คล้ายนุช ชาวนาตำบลบ้านบุ่งเล่าว่า ปลูกข้าวหอมมะลิ 45 ไร่ และได้เวลาเก็บเกี่ยวแต่ราคาข้าวมาตกต่ำ โดยโรงสีปรับราคารับซื้อลดลง เหลือแค่ 10,000-10,500 บาท ต่อตัน แต่ก็ต้องยอมขายเพราะเก็บเกี่ยวมาแล้ว ถ้าชะลอการเก็บเกี่ยวเพื่อรอราคา ข้าวก็จะแห้งจะกรอบและราคาจะถูกลงไปอีก ซึ่งการรับซื้อในราคานี้ ถือว่าต่ำกว่าที่รัฐบาลกำหนด https://candle999.blogspot.com/2019/11/ ... lpvnqxqBtk โรงสีนายทุนทำลานตากข้าวเปลือก (ไม่มีข้าวสักเมล็ด) ทำโกดังเก็บข้าวเปลือก ตั้งราคารับซื้อเอง ส่วนชาวนาทำนาปลูกข้าว แต่ไม่มีลานสำหรับตากข้าว ไม่มียุ้งฉางเก็บ ราคาแล้วแต่เขาจะให้ แต่พอเขานำข้าวเปลือกไปสีเป็นข้าวสาร เขาตั้งราคาให้ ชาวบ้านชาวไร่ชาวนาจ่ายเงินตามราคาที่ติดไว้ข้างถุง |
เจ้าของ: | Rosarin [ 25 พ.ย. 2019, 23:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
กรัชกาย เขียน: กรัชกาย เขียน: ปัญญา ความรู้ทั่ว, ปรีชาหยั่งรู้เหตุผล, ความรู้เข้าใจชัดเจน, ความรู้เข้าใจหยั่งแยกได้ในเหตุผล ดีชั่ว คุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ เป็นต้น และรู้ที่จะจัดแจง จัดสรร จัดการ ดำเนินการ ทำให้ลุผล ล่วงพ้นปัญหา, ความรอบรู้ในกองสังขารมองเห็นตามเป็นจริง (เห็นตามที่มันเป็นของมัน) ปัญญา ๓ คือ ๑. จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิดพิจารณา (ปัญญาจากโยนิโสมนสิการที่ตั้งขึ้นในตนเอง) ๒. สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการสดับเล่าเรียน (ปัญญาจากปรโตโฆสะ) ๓. ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติบำเพ็ญ (ญาณอันเกิดขึ้นแก่ผู้อาศัยจินตามยปัญญา หรือทั้งสุตมยปัญญา และจินตามยปัญญานั่นแหละ ขมักเขม้นมนสิการในสภาวธรรมทั้งหลาย) ตาม ที่พูดกัน มักเรียงสุตมยปัญญาเป็นข้อแรก แต่ในที่นี้ เรียงลำดับตามพระบาลีในพระไตรปิฏก ทั้งในพระสูตร (ที.ปา.11/228/231) และอภิธรรม (อภิ.วิ.35/797/422) เรียงจินตามยปัญญาเป็นข้อแรก การที่ท่านเรียงจินตามยปัญญาก่อน หรือสุตมยปัญญาก่อนนั้น พอจับได้ว่า ท่านมองที่บุคคลเป็นหลัก คือ ท่านเริ่มที่บุคคลพิเศษประเภทมหาบุรุษก่อนว่า พระพุทธเจ้า (และพระปัจเจกพุทธเจ้า) ผู้ค้นพบและเปิดเผยความจริงขึ้นนั้น มิได้อาศัยปรโตโฆสะ คือ การฟังจากผู้อื่น แต่รู้จักโยนิโสมนสิการด้วยตนเอง ก็สามารถเรียงต่อไล่ตามประสบการณ์ทั้งหลายอย่างถึงทันทั่วรอบทะลุตลอดหยั่งเห็นความจริงได้ ท่านจึงเริ่มด้วยจินตามยปัญญา แล้วต่อเข้าภาวนามยปัญญไปเลย แต่เมื่อมองที่บุคคลทั่วไป ท่านเริ่มด้วยสุตมยปัญญาเป็นข้อแรก โดยมีคำอธิบายตามลำดับว่า บุคคลเล่าเรียนสดับฟังธรรมแล้วเกิดศรัทธา นำไปใคร่ครวญตรวจสอบพิจารณา เกิดเป็นสุตมยีปัญญา อาศัยสิ่งที่ได้เรียนสดับนั้นเป็นฐาน เขาตรวจสอบชั่งตรองเพ่งพินิจขบคิดลึกชัดลงไป เกิดเป็นจินตามยีปัญญา เมื่อเขาใช้ปัญญาทั้งสองนั้นขะมักเขม้นมนสิการในสภาวธรรมทั้งหลาย แล้วเกิดญาณเป็นมรรคที่จะให้เกิดผลขึ้น ก็เป็นภาวนามยีปัญญา, คุณโรสศิษย์คุณแม่สุจินว่า ต้องฟังก่อน ว่า ปัญญาเกิดไปตามลำดับ ว่า พอมาเห็นการเรียงอย่างนี้เข้าไปหงายหลังตกเก้าอี้เลย (ดีนะที่หัวไม่ฟาดพื้น) แปลว่าอะไร แปลว่า ตนไปยึดการเรียงเอาสุตมยปัญญาขึ้นก่อน ก็เลยมโนร่วมไปอย่างนั้น แล้วความรู้หรือปัญญาเป็นคำกลางมีหลายระดับ ตย. เช่น เดิมทีเดียวตนขี่จักรยานไม่เป็น แล้วก็ฝึกก็หัดแรกๆก็ล้มบ้างอะไรบ้างหัวเข่าถลอกเลือดไหล แต่ก็ไม่ท้อฝึกหัดต่อไป จนกระทั่งขี่จักรยานได้ นี่ก็เรียกว่าปัญญา พัฒนาต่อไป จนถีบจักรยานปล่อยมือได้ นี่ก็ปัญญา ต่อไปอีก สามารถถีบจักรยานล้อเดียวได้ นี่ก็ปัญญา หรือคุณโรสจะเถียง เรียงลำดับปัญญายังเรียงไม่ตามลำดับเลยค่ะ อยู่ๆจะเอาตัวตนไปทำก่อนฟังอิอิอิเรียงให้ถูกค่ะ คนสมัยพุทธกาลทำมาก่อนฟังทั้งนั้นจนเหาะได้ สุตมยปัญญา-จินตามยปัญญา-ภาวนามยปัญญา เวลาท่องจำเนี่ยเรียงจังแต่เวลาทำไม่ทำตามลำดับ ปริยัติ-ปฏิบัติ-ปฎิเวธ...เรียงลำดับตามลำดับตถาคตเรียงไว้ ถ้าตถาคตไม่ตรัสแสดงความจริงให้ได้ยินจะมีใครรู้ตามไหมคะ เหมือนกันเลยคนสมัยนี้ไม่ฟังคนอื่นกล่าวตามคำตถาคตให้ฟังจะเกิดปัญญาได้อย่างไรคะ https://youtu.be/KR9s2VDu5gA |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 26 พ.ย. 2019, 09:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: กรัชกาย เขียน: ปัญญา ความรู้ทั่ว, ปรีชาหยั่งรู้เหตุผล, ความรู้เข้าใจชัดเจน, ความรู้เข้าใจหยั่งแยกได้ในเหตุผล ดีชั่ว คุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ เป็นต้น และรู้ที่จะจัดแจง จัดสรร จัดการ ดำเนินการ ทำให้ลุผล ล่วงพ้นปัญหา, ความรอบรู้ในกองสังขารมองเห็นตามเป็นจริง (เห็นตามที่มันเป็นของมัน) ปัญญา ๓ คือ ๑. จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิดพิจารณา (ปัญญาจากโยนิโสมนสิการที่ตั้งขึ้นในตนเอง) ๒. สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการสดับเล่าเรียน (ปัญญาจากปรโตโฆสะ) ๓. ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติบำเพ็ญ (ญาณอันเกิดขึ้นแก่ผู้อาศัยจินตามยปัญญา หรือทั้งสุตมยปัญญา และจินตามยปัญญานั่นแหละ ขมักเขม้นมนสิการในสภาวธรรมทั้งหลาย) ตาม ที่พูดกัน มักเรียงสุตมยปัญญาเป็นข้อแรก แต่ในที่นี้ เรียงลำดับตามพระบาลีในพระไตรปิฏก ทั้งในพระสูตร (ที.ปา.11/228/231) และอภิธรรม (อภิ.วิ.35/797/422) เรียงจินตามยปัญญาเป็นข้อแรก การที่ท่านเรียงจินตามยปัญญาก่อน หรือสุตมยปัญญาก่อนนั้น พอจับได้ว่า ท่านมองที่บุคคลเป็นหลัก คือ ท่านเริ่มที่บุคคลพิเศษประเภทมหาบุรุษก่อนว่า พระพุทธเจ้า (และพระปัจเจกพุทธเจ้า) ผู้ค้นพบและเปิดเผยความจริงขึ้นนั้น มิได้อาศัยปรโตโฆสะ คือ การฟังจากผู้อื่น แต่รู้จักโยนิโสมนสิการด้วยตนเอง ก็สามารถเรียงต่อไล่ตามประสบการณ์ทั้งหลายอย่างถึงทันทั่วรอบทะลุตลอดหยั่งเห็นความจริงได้ ท่านจึงเริ่มด้วยจินตามยปัญญา แล้วต่อเข้าภาวนามยปัญญไปเลย แต่เมื่อมองที่บุคคลทั่วไป ท่านเริ่มด้วยสุตมยปัญญาเป็นข้อแรก โดยมีคำอธิบายตามลำดับว่า บุคคลเล่าเรียนสดับฟังธรรมแล้วเกิดศรัทธา นำไปใคร่ครวญตรวจสอบพิจารณา เกิดเป็นสุตมยีปัญญา อาศัยสิ่งที่ได้เรียนสดับนั้นเป็นฐาน เขาตรวจสอบชั่งตรองเพ่งพินิจขบคิดลึกชัดลงไป เกิดเป็นจินตามยีปัญญา เมื่อเขาใช้ปัญญาทั้งสองนั้นขะมักเขม้นมนสิการในสภาวธรรมทั้งหลาย แล้วเกิดญาณเป็นมรรคที่จะให้เกิดผลขึ้น ก็เป็นภาวนามยีปัญญา, คุณโรสศิษย์คุณแม่สุจินว่า ต้องฟังก่อน ว่า ปัญญาเกิดไปตามลำดับ ว่า พอมาเห็นการเรียงอย่างนี้เข้าไปหงายหลังตกเก้าอี้เลย (ดีนะที่หัวไม่ฟาดพื้น) แปลว่าอะไร แปลว่า ตนไปยึดการเรียงเอาสุตมยปัญญาขึ้นก่อน ก็เลยมโนร่วมไปอย่างนั้น แล้วความรู้หรือปัญญาเป็นคำกลางมีหลายระดับ ตย. เช่น เดิมทีเดียวตนขี่จักรยานไม่เป็น แล้วก็ฝึกก็หัดแรกๆก็ล้มบ้างอะไรบ้างหัวเข่าถลอกเลือดไหล แต่ก็ไม่ท้อฝึกหัดต่อไป จนกระทั่งขี่จักรยานได้ นี่ก็เรียกว่าปัญญา พัฒนาต่อไป จนถีบจักรยานปล่อยมือได้ นี่ก็ปัญญา ต่อไปอีก สามารถถีบจักรยานล้อเดียวได้ นี่ก็ปัญญา หรือคุณโรสจะเถียง เรียงลำดับปัญญายังเรียงไม่ตามลำดับเลยค่ะ อยู่ๆจะเอาตัวตนไปทำก่อนฟังอิอิอิเรียงให้ถูกค่ะ คนสมัยพุทธกาลทำมาก่อนฟังทั้งนั้นจนเหาะได้ สุตมยปัญญา-จินตามยปัญญา-ภาวนามยปัญญา เวลาท่องจำเนี่ยเรียงจังแต่เวลาทำไม่ทำตามลำดับ ปริยัติ-ปฏิบัติ-ปฎิเวธ...เรียงลำดับตามลำดับตถาคตเรียงไว้ ถ้าตถาคตไม่ตรัสแสดงความจริงให้ได้ยินจะมีใครรู้ตามไหมคะ เหมือนกันเลยคนสมัยนี้ไม่ฟังคนอื่นกล่าวตามคำตถาคตให้ฟังจะเกิดปัญญาได้อย่างไรคะ https://youtu.be/KR9s2VDu5gA การเรียงอะไรก่อนหลัง มีเหตุผลยังไง พูด เขียน ถึงขนาดนั้น คุณโรสยังไม่หันกลับหลังเลยนะน่า ไปไกลสุดกู่จริงๆ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 26 พ.ย. 2019, 16:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: กรัชกาย เขียน: ปัญญา ความรู้ทั่ว, ปรีชาหยั่งรู้เหตุผล, ความรู้เข้าใจชัดเจน, ความรู้เข้าใจหยั่งแยกได้ในเหตุผล ดีชั่ว คุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ เป็นต้น และรู้ที่จะจัดแจง จัดสรร จัดการ ดำเนินการ ทำให้ลุผล ล่วงพ้นปัญหา, ความรอบรู้ในกองสังขารมองเห็นตามเป็นจริง (เห็นตามที่มันเป็นของมัน) ปัญญา ๓ คือ ๑. จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิดพิจารณา (ปัญญาจากโยนิโสมนสิการที่ตั้งขึ้นในตนเอง) ๒. สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการสดับเล่าเรียน (ปัญญาจากปรโตโฆสะ) ๓. ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติบำเพ็ญ (ญาณอันเกิดขึ้นแก่ผู้อาศัยจินตามยปัญญา หรือทั้งสุตมยปัญญา และจินตามยปัญญานั่นแหละ ขมักเขม้นมนสิการในสภาวธรรมทั้งหลาย) ตาม ที่พูดกัน มักเรียงสุตมยปัญญาเป็นข้อแรก แต่ในที่นี้ เรียงลำดับตามพระบาลีในพระไตรปิฏก ทั้งในพระสูตร (ที.ปา.11/228/231) และอภิธรรม (อภิ.วิ.35/797/422) เรียงจินตามยปัญญาเป็นข้อแรก การที่ท่านเรียงจินตามยปัญญาก่อน หรือสุตมยปัญญาก่อนนั้น พอจับได้ว่า ท่านมองที่บุคคลเป็นหลัก คือ ท่านเริ่มที่บุคคลพิเศษประเภทมหาบุรุษก่อนว่า พระพุทธเจ้า (และพระปัจเจกพุทธเจ้า) ผู้ค้นพบและเปิดเผยความจริงขึ้นนั้น มิได้อาศัยปรโตโฆสะ คือ การฟังจากผู้อื่น แต่รู้จักโยนิโสมนสิการด้วยตนเอง ก็สามารถเรียงต่อไล่ตามประสบการณ์ทั้งหลายอย่างถึงทันทั่วรอบทะลุตลอดหยั่งเห็นความจริงได้ ท่านจึงเริ่มด้วยจินตามยปัญญา แล้วต่อเข้าภาวนามยปัญญไปเลย แต่เมื่อมองที่บุคคลทั่วไป ท่านเริ่มด้วยสุตมยปัญญาเป็นข้อแรก โดยมีคำอธิบายตามลำดับว่า บุคคลเล่าเรียนสดับฟังธรรมแล้วเกิดศรัทธา นำไปใคร่ครวญตรวจสอบพิจารณา เกิดเป็นสุตมยีปัญญา อาศัยสิ่งที่ได้เรียนสดับนั้นเป็นฐาน เขาตรวจสอบชั่งตรองเพ่งพินิจขบคิดลึกชัดลงไป เกิดเป็นจินตามยีปัญญา เมื่อเขาใช้ปัญญาทั้งสองนั้นขะมักเขม้นมนสิการในสภาวธรรมทั้งหลาย แล้วเกิดญาณเป็นมรรคที่จะให้เกิดผลขึ้น ก็เป็นภาวนามยีปัญญา, คุณโรสศิษย์คุณแม่สุจินว่า ต้องฟังก่อน ว่า ปัญญาเกิดไปตามลำดับ ว่า พอมาเห็นการเรียงอย่างนี้เข้าไปหงายหลังตกเก้าอี้เลย (ดีนะที่หัวไม่ฟาดพื้น) แปลว่าอะไร แปลว่า ตนไปยึดการเรียงเอาสุตมยปัญญาขึ้นก่อน ก็เลยมโนร่วมไปอย่างนั้น แล้วความรู้หรือปัญญาเป็นคำกลางมีหลายระดับ ตย. เช่น เดิมทีเดียวตนขี่จักรยานไม่เป็น แล้วก็ฝึกก็หัดแรกๆก็ล้มบ้างอะไรบ้างหัวเข่าถลอกเลือดไหล แต่ก็ไม่ท้อฝึกหัดต่อไป จนกระทั่งขี่จักรยานได้ นี่ก็เรียกว่าปัญญา พัฒนาต่อไป จนถีบจักรยานปล่อยมือได้ นี่ก็ปัญญา ต่อไปอีก สามารถถีบจักรยานล้อเดียวได้ นี่ก็ปัญญา หรือคุณโรสจะเถียง เรียงลำดับปัญญายังเรียงไม่ตามลำดับเลยค่ะ อยู่ๆจะเอาตัวตนไปทำก่อนฟังอิอิอิเรียงให้ถูกค่ะ คนสมัยพุทธกาลทำมาก่อนฟังทั้งนั้นจนเหาะได้ สุตมยปัญญา-จินตามยปัญญา-ภาวนามยปัญญา เวลาท่องจำเนี่ยเรียงจังแต่เวลาทำไม่ทำตามลำดับ ปริยัติ-ปฏิบัติ-ปฎิเวธ...เรียงลำดับตามลำดับตถาคตเรียงไว้ ถ้าตถาคตไม่ตรัสแสดงความจริงให้ได้ยินจะมีใครรู้ตามไหมคะ เหมือนกันเลยคนสมัยนี้ไม่ฟังคนอื่นกล่าวตามคำตถาคตให้ฟังจะเกิดปัญญาได้อย่างไรคะ https://youtu.be/KR9s2VDu5gA การเรียงอะไรก่อนหลัง มีเหตุผลยังไง พูด เขียน ถึงขนาดนั้น คุณโรสยังไม่หันกลับหลังเลยนะน่า ไปไกลสุดกู่จริงๆ พระพุทธเจ้าเป็นผู้สิ้นกิเลสแล้วก่อนแสดงพระธรรม พระองค์จะแสดงกับคนที่อยากและตั้งใจฟังเท่านั้น คนที่ไม่อยากฟังเนี่ยไม่เสด็จไปโปรดหรอกค่ะ เพราะเขาเชื่อแต่ตัวเองและเชื่อตาเนื้อกิเลส ไม่มีวาสนาที่จะคิดพิจารณาความจริงเลย ทรงแสดงความจริงให้คิดเห็นถูกตามได้ ตอนที่กำลังฟังดับคิดเห็นผิดๆทันทีเลย ทรงกล่าวถึงสิ่งที่มีแล้วแต่ไม่รู้สึกตัว ไม่ได้กล่าวสิ่งที่ไม่ได้กำลังมีที่ตัว ถามหน่อยสิมีตาไว้ดูเฉยหรือคะ ลืมตาเห็นเนี่ยไม่เป็นกุศลเลย พระภิกษุเห็นเงินเป็นผลบุญเก่า พอเห็นปุ๊บรับปั๊บตกรนกทันทีแล้ว กุศลไม่เกิดเมื่อเห็นสิ่งที่น่าพอใจ555 พอใจอยากได้เงินมากใช่ไหมถึงรับนั้นน่ะ คิดไม่ได้เลยว่าบวชแล้วรับเงินไม่ได้นั้นน่า ไม่ลืมตาดูหรือคะบวชแล้วซื้อขายแลกเปลี่ยนไม่ได้บอกให้คิดตามแล้วจะได้หยุดทำผิดๆได้งัยคะ ต้องละอายแก่ใจเกรงกลัวบาปรู้สึกตัวว่ามีชีวิตอยู่อย่างผู้ของัยคะคิดเองจะคิดถูกไหมบวชรับเงินไม่ได้ค่ะ เชื่อตามๆกันทำตามๆกันไม่มีกาลามสูตร10และบอกไม่ฟังรู้ไหมเห็นไม่มีกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วยคร่าาาาาา ต้องอาศัยจิตได้ยินนำทางจิตทางอื่นๆออกจากกิเลสฟังเพื่อดับเห็นผิดเมื่อไหร่จะเริ่มทำปัญญาให้ตรงทางไม่ฟังกันเลย |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 26 พ.ย. 2019, 16:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
Rosarin เขียน: พระพุทธเจ้าเป็นผู้สิ้นกิเลสแล้วก่อนแสดงพระธรรม พระองค์จะแสดงกับคนที่อยากและตั้งใจฟังเท่านั้น คนที่ไม่อยากฟังเนี่ยไม่เสด็จไปโปรดหรอกค่ะ เพราะเขาเชื่อแต่ตัวเองและเชื่อตาเนื้อกิเลส ไม่มีวาสนาที่จะคิดพิจารณาความจริงเลย ทรงแสดงความจริงให้คิดเห็นถูกตามได้ ตอนที่กำลังฟังดับคิดเห็นผิดๆทันทีเลย ทรงกล่าวถึงสิ่งที่มีแล้วแต่ไม่รู้สึกตัว ไม่ได้กล่าวสิ่งที่ไม่ได้กำลังมีที่ตัว ถามหน่อยสิมีตาไว้ดูเฉยหรือคะ ลืมตาเห็นเนี่ยไม่เป็นกุศลเลย พระภิกษุเห็นเงินเป็นผลบุญเก่า พอเห็นปุ๊บรับปั๊บตกรนกทันทีแล้ว กุศลไม่เกิดเมื่อเห็นสิ่งที่น่าพอใจ555 พอใจอยากได้เงินมากใช่ไหมถึงรับนั้นน่ะ คิดไม่ได้เลยว่าบวชแล้วรับเงินไม่ได้นั้นน่า ไม่ลืมตาดูหรือคะบวชแล้วซื้อขายแลกเปลี่ยนไม่ได้บอกให้คิดตามแล้วจะได้หยุดทำผิดๆได้งัยคะ ต้องละอายแก่ใจเกรงกลัวบาปรู้สึกตัวว่ามีชีวิตอยู่อย่างผู้ของัยคะคิดเองจะคิดถูกไหมบวชรับเงินไม่ได้ค่ะ เชื่อตามๆกันทำตามๆกันไม่มีกาลามสูตร10และบอกไม่ฟังรู้ไหมเห็นไม่มีกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วยคร่าาาาาา ต้องอาศัยจิตได้ยินนำทางจิตทางอื่นๆออกจากกิเลสฟังเพื่อดับเห็นผิดเมื่อไหร่จะเริ่มทำปัญญาให้ตรงทางไม่ฟังกันเลย วนไปวนมาเลอะเทอะ กิเลส คือ อะไร จะชำระด้วยวิธีใด ไหนลองว่าสิเอ้า |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 28 พ.ย. 2019, 20:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
Rosarin เขียน: cool อ้อ...มาคุยกันเรื่องกฐินกันหน่อยค่ะคุณกรัชกาย อ้างคำพูด: คุณโรสพูดเกินภูมิ เอาเรื่องง่ายๆ เรื่องทอดกฐินเหอะ แปลคำว่า กฐิน ให้เข้าใจตรงกันก่อนนะคะ กฐิน เป็นอุปกรณ์ขึงผ้า ในภาษาบาลี ภาษาไทย เรียกว่า สะดึงขึงผ้าค่ะ สมัยพุทธกาลพระภิกษุเก็บผ้าที่เขาทิ้งแล้วในป่าช้ามาเย็บต่อกันเป็นผืนเพื่อให้แก่ผู้สมควรได้รับผ้าจีวรผืนใหม่ ถามว่าทอดกฐินคืออะไรตรงกะครั้งพุทธกาลไหม เพี๊ยนจนกลายเป็นเรื่องหาเงินมายุ่งกับญาติโยม เรื่องการใช้สะดึงขึงผ้าตัดเย็บต่อกันเป็นกิจของภิกษุสงฆ์ที่ร่วมทำเฉพาะกิจไม่เกี่ยวข้องกับญาติโยม ตอบมาสิที่ทำๆกันอยู่ทุกวันนี้...ทำด้วยความไม่รู้แถมเอากิเลสไปเพิ่มให้พระสงฆ์ถวายเงินนั้นน่ะ555 ปัจจุบัน มีคนทอเป็นสักกี่คน ตอบสิ เมื่อเหตุการณ์มันเป็นยังงี้ พุทธศาสนิกชนก็นำผ้าที่เขาเย็บเป็นผืนแล้วไปถวายวัดนั้นๆเลย เรื่องเงินพุทธบริษัทก็นำไปมอบไว้ใช้จ่ายในวัดเช่นเป็นค่าใช้่จ่ายในวัด เป็นการช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของพุทธบริษัท นี่จะให้ทำให้ตรงเด่แบบมานั่งขึงผ้าทอผ้ากันเองเป็นเดือนเป็นปีก็ทำไม่ได้ เพราะทำไม่เป็น |
หน้า 12 จากทั้งหมด 12 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |