วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 21:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2019, 03:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


คนเกิดมาเป็นร้อยเป็นพัน เป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้าน แต่ไม่เหมือนกัน ถึงจะเป็นแฝด ถ้าเรามองผิวเผินก็เหมือนกัน แต่พอมองให้ชัดเจนเข้าไปแล้วไม่เหมือนกัน กิริยามารยาท นิสัยใจคอ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดมาแล้วแตกต่างกัน ครูบาอาจารย์ท่านจึงสอนไม่ให้ไปดูคนอื่น ให้ดูใจตัวเองให้มาก

ศึกษาธรรมะก็คือศึกษาใจของตัวเอง ให้มองดูใจเจ้าของ เดี๋ยวนี้เราคิดยังไง ขาดตกบกพร่องอย่างไรบ้าง เราต้องพยายามฝึดหัดปรับปรุงแก้ไขกายวาจาใจของเราให้ดี

(โอวาทธรรม หลวงพ่ออินทร์ถวาย)





การที่พวกเรามาฝึกฝนอบรมอยู่ในที่สงบอย่างนี้ก็คือ
ให้เป็นที่เงียบ ที่สงบ ที่สงัด
เพื่อจะได้ดูจิตใจของพวกเรานี้ได้ง่าย
อยู่ที่สงัด ที่สงบที่สงัด
ถ้ามีเสียงอะไรดังเกิดขึ้น
เราจะเห็นจิตของเรานั้นวิ่งไปหาเสียงนั้น
โอ้! นี่มันตัวจิต ตัวอย่างนี้ ตัวนี้เอง
มันวิ่งอยู่ มันไม่สงบ นี่มันก็จะเห็นชัด
บัดนี้เมื่ออยู่สงบแล้ว เราก็จะได้เข้าใจว่า
เอาจิตของเรามาอยู่กับข้อธรรมกรรมฐาน
และอยู่กับตนกับตัวไม่ให้คิดไปไหน
เดี๋ยวนี้ อยู่ที่นี่ ก็คิดอยู่ที่นี้
ไม่ต้องคิดไปถึงบ้านถึงช่อง ไม่ต้องคิดถึงใคร
เราก็จะได้เห็นจิตใจของพวกเราได้ง่าย
ก็เรียกว่าแสวงหาในที่สงบ
ความสงบคือความสุข

หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป





ผู้เห็นคุณค่าของตัว จึงเห็นคุณค่าของผู้อื่น ว่ามีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ไม่เบียดเบียนทำลายกัน ผู้มีศีลสัตย์เมื่อทำลายขันธ์ไปในสุคติในโลกสวรรค์ ไม่ตกต่ำเพราะอำนาจศีลคุ้มครองรักษาและสนับสนุน จึงควรอย่างยิ่งที่จะพากันรักษาให้บริบูรณ์ ธรรมก็สั่งสอนแล้วควรจดจำให้ดี ปฏิบัติให้มั่นคง จะเป็นผู้ทรงคุณสมบัติทุกอย่างแน่นอน

โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์
องค์หลวงตายอย ธัมมธโร
วัดป่าโนนนิเวศน์ จ.อุดรธานี





พระหลวงตาให้อุบาย

เช้าวันหนึ่งพระหลวงตาไปรับบิณฑบาตในหมู่บ้าน ท่านได้ถาม “ภาวนา เป็นยังไง”

คุณแม่จันดีกราบเรียนว่า...“ฝันแปลกมาก ฝันว่าพระหลวงปู่มั่น ชวนให้ไปกับท่าน แต่ในฝันเป็นห่วงลูกคนเล็ก จึงขอไปดูลูกก่อน จะตามไปทีหลัง”

พระหลวงตาให้อุบาย “เอ้า ให้มึงคิดตัดสินใจเอา ถ้าห่วงลูก ก็ตามพระหลวงปู่มั่นไปไม่ได้”

คำพูดของพระหลวงตา ทำให้ต้องตั้งถามตัวเองว่า...“พระหลวงปู่มั่นมาโปรดแท้ๆ คนแปลความฝันก็เป็นพระหลวงตา เราติดคาอะไร ห่วงอะไร-อาลัยอะไร” นั่นทำให้ท่านคิดและตัดสินใจได้เร็วขึ้น

ท่านจึงขออนุญาตสามีและลูกๆทุกคน เพื่อออกมาปฏิบัติ ถือศีลภาวนา อยู่วัดป่าบ้านตาด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ โดยอาศัยที่กระท่อมน้อยในป่าทึบ ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นเงาร่มครึ้ม พื้นเบื้องล่างเต็มไปด้วยต้นข้าว สารหนาแน่น

ท่านได้ถือศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ท่านกล่าวไว้ว่า...“ท่านบวชใจแทนศีล คือใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนา งดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนาทำความถูกต้อง ศีลเป็นอันเดียวกับใจ ใจรักษาศีล ดูศีลดูใจตัวเอง ศีลเป็นใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความชั่วทั้งปวง ดูศีลดูใจ สำรวจความผิดที่เกิดจากใจของตัวเองแล้วอบอุ่น หนักแน่น มั่นคง มั่นใจ ไม่มีที่ต้องติตัวเองเรื่องศีล”

คุณแม่จันดี ท่านบอกช่วงนั้นคุณยายแก้ว แห่งสำนักชีห้วยทรายได้มาพำนัก อยู่วัดป่าบ้านตาดท่านเมตตาถามคุณแม่จันดี ถึงการปฏิบัติภาวนาอยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านถามว่า “จันดีจิตของลูกแยกส่วนแบ่งส่วนหรือยัง”

คุณแม่จันดี เรียนตอบว่า “แยกแล้วแบ่งแล้ว และกราบเรียนต่อว่า ขณะนี้เป็นอย่างนี้” คุณยายฟัง และบอกท่านว่า “เออดีแล้ว จิตถ้าแยกส่วนแบ่งส่วนแล้ว จิตก็มีแต่จะเจริญ”

ต่อมาอีกคุณยายแก้ว ถามท่านว่า จันดีลูกกราบเรียนการปฏิบัติกับญาท่าน (พระหลวงตามหาบัว) ว่าอย่างไรบ้าง เห็นพระในวัดท่านเข้ามาถามแม่ว่า (คือคุณยายแก้ว) ว่าคุณแม่รู้ไหมโยมใครกันที่อยู่ในหมู่บ้าน มีเทวดา พระอินทร์ พระพรหม มาอนุโมทนากับเขาพ่อแม่ครูอาจารย์

หลวงตาพูดในที่ประชุมสงฆ์ “ทำไหมเขาภาวนาทั้งที่มีลูกน้อย ทั้งทำนา ครองเรือนอยู่ เห็นเทพเทวดา”

คุณยายจึงเรียนพระไปว่า “จะเป็นใครนอกจากนางจันดี (น้องสาวของญาท่าน)”

พอได้โอกาสคุณแม่จันดี มาวัด ท่านจึงเล่าให้ฟัง และถามว่า “เป็นความจริงไหม” เพราะแม่ (คุณยาย) ตอบพระไปก่อนจะถามเจ้าแล้ว

ท่านจึงกราบเรียนคุณยายแก้วว่า “ลูกได้กราบเรียน การปฏิบัติของลูกให้พระหลวงตาทราบในทุกๆเรื่อง เพราะไม่พึ่งพระหลวงตาท่านช่วย ลูกคงติดในแต่ละจุด และช้าเวลาต้องให้ท่านช่วยตี ช่วยขนาบ เพราะท่านจะบอกลูกว่าเวลานี้ท่านมีชีวิตอยู่ติดขัดอะไรให้ถาม ถ้าเราพิจารณาเองอาจช้า เสียเวลา มีครูบาอาจารย์ช่วยแนะเรามีหน้าที่ทำตาม ปฏิบัติตามท่าน

คุณแม่จันดี เล่าว่า...“การปฏิบัติภาวนา ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ช่วยแนะสอนจะช้าได้เพราะ ช่วงปฏิบัติภาวนา เรารู้เห็นอะไร มันก็ชวนให้หลงให้ติดเพราะเป็นความอัศจรรย์ ที่เราเกิดมาไม่เคยพบ-เห็นในชีวิต และไม่มีแสดงอยู่ที่ไหนในโลก นอกจากผู้ภาวนาแต่ละรายจะรู้เองเห็นเองจากการปฏิบัติของตัวเอง รู้ขึ้นในใจของตัวเองเป็นสันทิฏฐิโกประกาศป้างขึ้นที่หัวใจ ไม่ต้องถามใคร...ไม่ต้องให้ใครมาโกหก เราได้ พิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง ไม่ลี้ลับ ไม่ปิดบัง เปิดเผยเสมอ มีอยู่ตลอดกาล...ธรรมความจริง ธรรมไม่ตาย เปิดเผยสง่างามอยู่ทุกกาล ทุกสมัยตลอดมา และตลอดไป เป็นแต่ผู้คนจะมีจิตยินดีและต้องการหรือไม่”

ท่านให้คำแนะนำเรื่องการปฏิบัติภาวนา ได้ถูกต้องแม่นยำ ไม่ผิดเพี้ยนจากหลักความจริงตามธรรมคำสอนของพระหลวงตามหาบัวทุกอย่าง ท่านเมตตาเล่าถึงการปฏิบัติของท่านที่ยากลำบากแม้จะไม่ได้ขึ้นภูเขา เข้าป่า แต่ธรรมที่ท่านได้มาก็แลกด้วยชีวิต ความตอนหนึ่ง ได้ประกาศขึ้นในจิตท่านว่า...“ให้เอาชีวิตแลกธรรม” ตอนนั้นเอง พระหลวงตาก็บอกให้ท่านเร่ง “มึงอย่าเสียดายชีวิตนะ เร่งเลย เร่งเลย...”

ท่านจะพูดเสมอว่า “พระหลวงตาสอนให้แม่ปฏิบัติมาอย่างนี้ ถ้าเป็นคำพูดของพระหลวงตาแล้ว ยิ่งการปฏิบัติภาวนา จะคลาดเคลื่อนไปไม่ได้เลย...”

ในคืนวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๕ เวลา ๕ ทุ่มครึ่ง เป็นคืนที่ ฟ้าครึ้ม และลมพัดแรงมาก ท่านกราบพระแล้วนั่งภาวนาข้อธรรมได้ผุดขึ้นในจิตว่า...“อายะตะนะนั้นมีอยู่ แต่ไม่มีดิน-น้ำ-ไฟ-ลม ไม่มีจุติเคลื่อน ไม่มีที่ไป ไม่มีที่มา ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ นั้นแหละคือที่สุดแห่งทุกข์”

จิตตอนนั้นจ่อเฉยๆ เหมือนไม่พิจารณาอะไร เสียงต้นขนุนใหญ่ที่แห้งตาย อยู่ข้างกุฏิ สั่นไหวเสียงดังลั่นเพราะลมแรง ท่านคิดว่าคงหักทับกุฏิ และท่านก็คงตายพร้อมๆ กัน อวิชชาขาดกระเด็นออกจากจิต ขณะนั้นรู้ว่า อวิชชาเหนียวแน่นมาก พร้อมกับก้นกระแทกพื้นสูง ๑ ศอก โลกธาตุหวั่นไหว แผ่นดินสะเทือน เสียงดังสนั่น ถึด.. ถึด.. ถึด.. ถึด.. แผ่นฟ้าม้วนกลับลงมา พันกันกับแผ่นดิน ม้วนรวมกัน แล้วจึงแยกออกจากกัน โลกธาตุหวั่นไหว พร้อมกับเสียงอนุโมทนาสาธุการ จากสวรรค์ทุกๆ ชั้น ชั้นพรหมทุกๆ ชั้น ลงถึงพื้นบาดาล ขวาซ้ายสถานกลาง ร่วมอนุโมทนา สาธุการ เสียงปี่พาทย์ บรรเลงขับกล่อม กระหึ่มก้องเสียงประกาศก้องขึ้นที่จิต “ว่าง-วางเป็นจิตพุทธะ > จิตบริสุทธิ > จิตเป็นธรรมชาติ” ขณะที่อวิชชาขาดออกจากจิต พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกทุกๆ พระองค์ โดยเฉพาะพระหลวงตาได้ช่วยหนุนจิตท่าน ทุกๆ พระองค์ ทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ไม่มีอะไรก่อน ไม่มีอะไรหลัง มีอะไรอีกมากที่ไม่สามารถพูดให้ฟังได้หมดเพราะของเหนือโลก เจอแล้วจะรู้เอง

ท่านบอกว่า...ไม่เหลือวิสัย มีอยู่ในใจของทุกคน อย่ากลัวตาย กิเลสมันกลัวตาย รอดตายจึงได้ธรรม มันไม่ตายหรอก คนกล้าตาย ไม่กลัวตาย มีแต่กิเลสนั่นหละจะตายจากหัวใจ

...คืนนั้น ท่านกราบน้อมถึงคุณพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ถึงคุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ โดยเฉพาะพระหลวงตา ทั้งเป็นครูอาจารย์ เป็นพ่อ เป็นพี่ชายในสายโลหิตเดียวกันในชาติปัจจุบัน คืนนั้น ท่านไม่นอนทั้งคืน...

เมื่อพบพระหลวงตาอีกครั้ง จึงได้กราบเรียนท่านถึงสภาวะธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้น...พอกล่าวจบ พระหลวงตาพูดขึ้นว่า...“ อ้าย (พี่) หมดห่วงแล้ว...”

คุณแม่จันดี โลหิตดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2019, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: :b20:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 29 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร