เดินจงกรมก็เดินตามปรกติ
การเดินจงกรมก็ฝึกให้มีสติ
พุท-โธ พุท-โธ ไปทุกก้าวนั่นแหละ
เพื่อจะทำให้เกิดสมาธินั่นเอง
ถ้าจิตสงบเวลาเดินจงกรมท่านว่า
มันจะสงบอยู่ได้นาน ๗ วัน
ถ้าจิตสงบเวลาเดินจงกรมนี่
ไม่เหมือนนั่ง ไม่เหมือนนอน
จิตจะสงบได้นานท่านว่า
จะเดินกี่ก้าว แล้วแต่จะกำหนดเอง
ไม่ได้ว่าจะเดินไปไหนอย่างไรก็ได้
ถ้าตามปรกติก็เดินไปพอประมาณ
เดินกลับไปกลับมา เดินตามปรกติ
ไม่ใช่เดินเอาเท้าต่อกันเหมือนเขาทำกันทุกวันนี้นะ
บางแห่งเขาจะเดินเอาเท้าต่อกันไป
โอ้ย มันจะหกล้มตายนะ
ให้เดินไปตามปรกติ
เดินช้าเดินเร็วไม่สำคัญ
ให้มีสติของเจ้าของอยู่
มันก็ง่ายถ้าทำอย่างนั้นได้
มันจะเดินช้าเดินเร็ว มันไม่จำเป็น
มันจะเดินเร็วเกินไป เดินช้าเกินไป
เดินให้มันพอดี ปรกติของเรานั่นแหละ
มันจึงจะสบาย
ถ้าเราเดินตามปรกติ
เราเดินกำหนดขาซ้าย-ขาขวา ไปนี่
พุท-โธ พุท-โธ ไปอย่างนั้นก็ได้
นี่วิธีเดิน วิธีฝึกตัวเองนั่น
รู้แล้วอยู่ที่ไหนก็ได้
ถ้าจิตรวมเวลาเดินนี่
มันจะสงบได้นาน ไม่วุ่นวาย

หลวงปู่คำบ่อ ฐิตปัญโญ





การทำความดีเพื่อให้คนรัก ที่สำคัญมี 2 ทาง คือ
1. ทำความดีภายนอก
2. ทำความดีภายใน

การทำความดีภายนอกได้แก่ การทำบุญให้ทานรักษาศีล ตั้งใจสู้งานเพื่อครอบครัว ขยันทำงาน เพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ฯลฯ

การทำความดีภายในได้แก่ การเจริญสติบารมี การเจริญปัญญาบารมี ให้เด็ดขาดเกรียงไกร เพื่อก้าวขึ้นสู่บารมีธรรมที่สูง ๆ ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

นี้คือคุณงามความดีที่ลูกหลานควรทำ เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ตนเองและครอบครัว และพ่อแม่พี่น้อง ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

หลวงปู่ไม อินทสิริ








ทุกข์ควรกำหนดรู้ ท่านไม่ได้ว่าทุกข์ควรขจัดอย่าให้มันเกิด ท่านไม่ได้ว่าใช่มั๊ยละ ให้มันรู้ทุกข์มากๆ ปวดมากๆ ร้อนมากๆ เย็นมากๆ ถ้าผู้ใดเห็นทุกข์เหมือนกับไฟไหม้ศีรษะตัวเองอยู่ตลอดเวลา ผู้นั้นละจะพ้นทุกข์ มันก็พ้นไปจากทุกข์นี่ละ ทุกข์มันอยู่ที่ไหน เมื่อทุกข์มันสงบลงไป ทุกข์ดับลงไป ก็แปลว่ามันพ้น มันไม่เกิดขึ้นมาถ้าจิตมันรู้ "..ทุกข์ก็คือทุกข์ จิตก็คือจิต.." ถ้ามันแยกกันได้ มันก็จบตรงนี้แหล่ะ..

คติธรรมหลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
วัดป่าสีห์พนม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร






จิตทุกดวง วิญญาณทุกดวงนะ ที่เป็นเทวดานางฟ้า เวลาจุติลงมาจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ตั้งใจไว้ว่า เมื่อได้เกิดแล้วจะสร้างบุญสร้างกุศล สร้างคุณความดีให้ดีกว่าเดิม เพื่อจะให้ดีกว่าเดิมดังที่เป็นอยู่

แต่พอได้เกิดแล้ว ส่วนมากลืม ลืมในสิ่งที่ตนเองตั้งใจไว้ ลืมหมด เพราะหลง แทนที่จะสร้างบุญสร้างคุณความดีกันต่อ กลับไปสร้างบาปสร้างกรรมเสียแล้ว ทำให้ชีวิตตนเองตกต่ำเข้าไปอีก นี่แหละคนเรา มนุษย์เรา มีจำพวกเดียวที่ไม่หลงในชีวิต คือจำพวกที่เป็นพระอริยบุคคล ชั้นพระโสดาบัน ที่ลงมาเกิด นอกนั้นหลงหมดลืมหมด...

หลวงพ่อพระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป
วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่






“อย่าเพิ่งลาออกจากโรงเรียนกลางครันก็แล้วกัน คุณเชื่อเถอะว่า ถนนเส้นนี้ ผู้ปฏิบัติ ล้วนผ่านมาแล้วทุกคน
คุณเอ้ย...โลกมันสอนเรา
บางทีก็ สนุกสำราญ
บางทีก็ เศร้าโศก
บางทีก็ ทารุณโหดร้าย

คุณต้องเรียนได้ทุกบท
คุณจะบอกว่า ไม่ชอบวิชานี้ ไม่เรียน มันไม่ได้
เราชอบสุข เกลียดทุกข์
แต่เราก็ต้องเรียนทั้งสองอย่าง

เมื่อคุณผ่านการสอบ หนึ่งครั้ง
คุณจะพัฒนา ไปอีกขั้น
บทเรียน บางบท มันอาจจะแพงไปสักหน่อย
ต้องแลกมาด้วย เงินทอง อวัยวะ
หรือแม้แต่ชีวิต

แต่..คุณอย่าลืมนะ วิชาดี ราคามันต้องแพง
โลก สอนให้คุณรู้จักโลก ในทุกรูปแบบ
ทุกรสชาติ
คุณจะได้เบื่อโลก หน่ายโลก อย่างแท้จริง
นิพพานของคุณก็จะเป็นนิพพานจริงๆ

อย่าเพิ่งลาออกจากโรงเรียนกลางครันก็แล้วกัน
คุณเชื่อเถอะ ว่าถนนเส้นนี้
ผู้ปฏิบัติ ล้วนผ่านมาแล้วทุกคน
ท่านเหล่านั้น ก็เคยทุกข์อย่างคุณ
ท่านยังผ่านไปได้

ให้เชื่อมั่น
ในคุณพระพุทธเจ้าพระธรรมคำสั่งสอน
และพระอริยสงฆ์ ที่ท่านผ่านไปก่อน
ให้เชื่อว่าท่านเหล่านั้น ไม่หลอกเราแน่
เข้าใจนะ...


โอวาทธรรม หลวงปู่ไดโนเสาร์
(จากหนังสือ ตามรอยหลวงปู่ภูกุ้มข้าว




ถือศีลข้อเดียวก็บรรลุธรรมได้คือ ไม่เห็นแก่ตัว

โอวาทธรรม ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ






" เวลาตาย เวทนาดับ สัญญาดับ สังขารดับ วิญญาณก็ดับ แต่ธรรมชาติที่เป็นจิตไม่ได้ดับ.
เวทนาเกิดจากจิต สัญญา สังขาร วิญญาณเกิดจากจิต จิตอันนั้นเป็นสถานที่เกิด.
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นขันธ์.
แต่เวลาตายขันธ์ทั้งหลายดับ แต่ธรรมชาติจิตยังมีอยู่.
พระพุทธเจ้าทรงเข้าถึงธรรมที่ไม่ตาย.
พระสาวกของพระพุทธเจ้าเข้าถึงธรรมอันไม่ตาย.
ขันธ์ทั้งหลายดับไปหมด แต่ธรรมชาติจิตที่พ้นจากขันธ์นั้นปล่อยวางขันธ์.
หลุดจากขันธ์ด้วยประการทั้งปวง...จิตนั้นยังอยู่."

หลวงปู่แบน ธนากโร








"ธาตุมีอยู่สอง หรือมีสองธาตุ คือเป็นธาตุที่ไม่มีความรู้ อีกธาตุหนึ่งเป็นธาตุที่มีความรู้

ธาตุอย่างหนึ่งคือธาตุที่ไม่มีความรู้อะไร ไม่มีความรู้เลย เขาจะเอาไปเผาก็สบายมาก นอนเฉย อันนี้ธาตุไม่มีความรู้ ธาตุไม่มีความรู้คือร่างกายของเรา คนเราสัตว์โลกมีกายมีจิต กายเป็นของที่เจริญเติบโต เจริญเติบโตขึ้นมาอย่างเราก็เห็นกันอยู่ สิ่งที่เจริญเติบโตก็เอาสิ่งที่มีในโลกนี่เอามาเป็นเครื่องเจริญเติบโต

ส่วนจิตนี้เป็นของที่มีอยู่อย่างนี้ เป็นธรรมชาติที่มีอยู่อย่างนี้ เป็นธรรมชาติที่มีแต่ธาตุรู้ ไม่มีตัวไม่มีตน ไม่มีวัตถุเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ที่จะไปจับไปส่องให้รู้ให้เห็น แต่ธาตุรู้คือจิตนี้สามารถที่จะเอาจิตที่สว่างส่องให้เห็นชัดได้ จิตที่มีความสว่างไสวส่องเข้ามาดูจิต สามารถที่จะเห็นจิตชัดได้ จิตเป็นของมีอยู่ จิตดวงนี้เป็นสิ่งที่ไม่เสียหาย เป็นสิ่งที่ไม่ตายเป็น เพราะเป็นธรรมชาติที่มีอยู่แต่ไหนแต่ไรไม่ใช่ของเกิด

พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีธรรม ก็ทรงบำเพ็ญใส่จิตดวงนี้ จิตดวงนี้ได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า เป็นจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสตัณหาเจือปน ก็จิตดวงนี้ เรียกว่า จิตเข้าถึงพระนิพพาน คือดับกิเลสตัณหาทั้งหมดก็จิตดวงนี้ล่ะ ดวงที่รู้ๆนี่ล่ะ จิตพระพุทธเจ้าก็ทรงเป็นอย่างนี้ จิตเราก็เป็นอย่างนี้ จิตทั่วโลกธาตุเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น..."

หลวงปู่แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร




“ พิจารณารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ก็พิจารณาเพื่อให้เห็นตามความเป็นจริง
ความเป็นจริงของเขา เป็นของไม่เที่ยงอยู่แล้ว
ความเป็นจริงของเขา มันเป็นทุกข์อยู่แล้ว
ความเป็นจริงของเขา มันหาอะไรที่จะเป็นตัวเป็นตนไม่มี
ไม่ใช่พิจารณาให้เขาเป็น
พิจารณาให้เห็น ให้รู้ตามความเป็นจริงของเขา
เมื่อรู้เห็นตามความเป็นจริงของเขาแล้ว
จะหาอะไรเป็นที่ยึดว่าเป็นตัวเป็นตนไม่มี
ไม่มีอะไรที่จะไปยึดว่าเป็นตัวเป็นตน หาตรงไหนจะยึดก็ไม่ได้
เพราะไปยึดของไม่มี มันจะไปยึดได้ยังไง”

หลวงปู่แบน ธนากโร