วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 19:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2019, 07:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


โลกนี้เป็นโลกแห่งถังขยะ ความทุกข์มากแสนสาหัสกว่า ความสุขที่มีไว้เป็นเครื่องล่อสัตว์ สุขมี มันหากมีเป็นเครื่องล่อๆ เท่านั้น ไม่ได้มีเพื่อเป็นความสุขความเจริญจริงๆ เหมือนความสุขในธรรม ในธรรมนั้นสุขขึ้นไปเรื่อยๆ หนุนขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีเครื่องล่ออันนี้ พากันจำเอานะ

นี่ละเรื่องมรรคผลนิพพานสมบูรณ์แบบ มีตลอดไปเลย ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติดีอยู่ ผลจะมีตลอดไปอย่างนี้ล่ะ ถ้าไม่มีผู้ปฏิบัติก็ไม่มีความหมายอะไร กิเลสก็เหมือนกัน เมื่อไม่มีผู้สั่งสมมัน มันก็ไม่เจริญในหัวใจของผู้ปฏิบัติที่ตั้งใจจะฆ่ากิเลส กิเลสจะไม่เจริญนะ มีแต่ธรรมจะเจริญขึ้นๆ กิเลสค่อยเหือดแห้งไปๆ อับเฉาไปเรื่อยๆ เพราะธรรมตีเข้าไปๆ ส่งเสริมแต่ธรรม ไม่ได้ส่งเสริมกิเลส ระมัดระวังก็ระวังกิเลสไม่ให้เกิดนั่นเอง เกิดแล้วก็ตีกันทันทีเลย ทีนี้กิเลสมันก็ไม่เกิด ค่อยหมดไปเหือดแห้งไปๆ ธรรมะสูงขึ้นๆ เอากันเรียบไปเลย นั่น ทางไหนมีกำลังมากเพราะการบำรุงรักษา ทางนั้นผลก็แสดงขึ้นเต็มเหนี่ยว ทางด้านธรรมะเกิดขึ้นเต็มเหนี่ยว ทางกิเลสก็เกิดขึ้นเต็มเหนี่ยว ถ้าเราสั่งสมทางไหน ให้ยึดอันนี้เป็นหลักไว้นะ

ศาสนาพุทธของเราเรียกว่าธรรมะนี้ คือเป็นอกาลิโก ไม่มีกาลมีเวลา บำเพ็ญเมื่อไรเป็นธรรมเมื่อนั้น ทำบุญเป็นบุญตลอดเวลา ทีนี้ทางกิเลสก็เหมือนกัน อกาลิโก ทำบาปเมื่อไรเป็นบาป ทำให้เกิดกิเลสเมื่อไรเกิดตลอดเช่นเดียวกัน ให้จำอันนี้เอาไว้นะ ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากันระหว่างกิเลสกับธรรม มันยิ่งหย่อนสำหรับผู้ปฏิบัติเท่านั้นเองจะสั่งสมทางไหนมาก ส่วนมากมันสั่งสมตั้งแต่กิเลสนั่นละ ถึงได้มีแต่ความทุกข์ร้อนยุ่งเหยิงวุ่นวายไปทั่วดินแดน

โอวาทธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน




"ถ้าเรามองดู “เงื่อนต้น” คือ ความเกิด กับ “เงื่อนปลาย” คือความตาย ยังไม่เห็นชัดเจนแล้ว ก็เข้าใจว่า ทั้งสองเงื่อนนี้จะทำให้เกิดความเพลิดเพลิน และความเศร้าโศกได้ไม่มีสิ้นสุดจุดหมายปลายทางเลย ความจริง เด็กรอดตายแล้วถึงจะเป็นมนุษย์ขึ้นมา ถ้าไม่รอดก็ต้องตายไปในขณะนั้น เช่นตายในท้องก็มี ตายขณะที่ตกคลอดออกมาก็มี ก็เพราะความทุกข์ถึงขนาดตาย มันถึงตายได้คนเรา

การเกิดขึ้นมาเป็นคน อายุมากน้อยเพียงใด มันก็ทุกข์ถึงตายมันจึงตายได้ ความทุกข์นี้มีมาตั้งแต่ขณะแรกเกิด แต่เราไม่ได้พิจารณาว่าเป็นทุกข์ คือสัจธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเห็นโทษเห็นภัย เป็นความขยะแขยง เพื่อจะกำจัดปัดเป่าให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยความพากเพียรของเรา มีสติปัญญาเป็นสำคัญ เมื่อเรามีความเพลิดเพลินพอใจในตอนต้น แต่ไม่พอใจในตอนปลาย เช่น ความเกิดเราพอใจ แต่ความตายเราไม่พอใจ มันก็ขัดแย้งกันอยู่วันยังค่ำ ความขัดแย้งกันมันเป็นความสุขที่ไหนในหัวใจคนเรา ต้องเป็นความทุกข์อยู่โดยดี

เพราะฉะนั้นเพื่อให้ต้นกับปลายตรงกัน จึงต้องพิจารณาไปตั้งแต่ “ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ” ตลอดสายไปเลย เพราะเป็นเรื่องของกองทุกข์ และเป็นทางแห่งความทุกข์เดินทั้งนั้น ไม่ใช่ทางมรรคผลนิพพานอะไรจะเดินได้ ถ้าไม่พิจารณาให้เป็น พิจารณารอบรู้ในสิ่งทั้งหลายนี้แล้วก็ว่า “ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส” ทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด นั่น! เมื่อไม่เกิดแล้วมันจะมีทุกข์ที่ไหนกัน เพราะเชื้อให้เกิดไม่มี คือเชื้อแห่งความทุกข์ไม่มีนั่นเอง ทุกข์ก็ไม่มีในหัวใจ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ท่านจึงไม่มีทุกขเวทนาภายในใจ เวทนาทางใจนี้ท่านไม่มี คือสุขเวทนาก็ดี ทุกขเวทนาก็ดี อุเบกขาเวทนาก็ดี ภายในใจของพระอรหันต์ท่านไม่มี"

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙





"..โลกสมัยปัจจุบันเขาว่ามันเจริญ ทางธรรมเฮามันเสื่อม มันเบิ๊ดพากันรักษาไว้เด้อ เรื่องข้อวัตรปฏิบัติของครูบาอาจารย์ พากันดึงไว้แนมันสิเบิ๊ดอิหลีเด้ พวกเฮาบ่ดึงไว้มันสิเบิ๊ด อีกอย่างหนึ่งกะพวกแม่ออกนิละสำคัญ ย้านแต่ครูบาอดตาย ตื่นขึ้นมากะหอบไปโลด หอบนม ปาท่องโก๋ กาแฟ มันไปทำลายข้อวัตร ทำลายบุญ ทำลายข้อวัตร ย้านแต่เพิ่นตาย แทนทีสิรักษาช่วยกันบ่รักษา ครูบากะบ่บอก อยากแต่ฉลองศรัทธาญาติโยม บุญแบบนี้เลยสิเป็นบาป บาปบอนใด๋วะติบาปมันฮ้อนมันอยู่บ่ได้ อยากให้พวกเฮาทั้งหลายได้พิจารณาให้ดีว่า อันใดสมควร อันใดถูกกับธรรมกับวินัย จึงจะไม่เป็นบาปเป็นกรรม เพื่อรักษาไว้ซึ่งข้อวัตรปฏิบัติอันดีอันงาม ตามครูบาอาจารย์เพิ่นสั่งเพิ่นสอน.."

คติธรรมหลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
วัดป่าสีห์พนม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร







เรื่อง "อย่าเชื่อหมอดู ให้เชื่อเรื่องของกรรม"

อย่าไปเชื่อคำทำนาย ทุกวันนี้หมอดูหมอเดา หมอเกาขี้กลากมากขึ้นเรื่อยๆ พอเขาโกหกเท่านั้นล่ะ อ้าปากหวอฟังเขา ใครๆก็เป็นหมอดูหมด เพราะอ่านหนังสือสาม สี่ ห้า หน้า ก็โกหกไปเรื่อยอันนั้นมีมาก หมอดูหมอเดาทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นพวกเราอย่าไปเชื่อนะ ให้เชื่อการกระทำของตนเองดีกว่ากรรมคือการกระทำ ถ้าเราเชื่อกรรม เชื่อการกระทำของตนเอง นั้นล่ะเลิศประเสริฐกว่านะ ถ้าเราไปเชื่อหมอดูหมอเดา บางคนก็ว่า บวชเข้ามาแล้ว ต้องสึกตามเวลานั้นเท่านั้นเท่านี้ เราจะไปเชื่อทำไมพราหมณ์ เราเป็นพุทธศาสนิกชน ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าสิ พระพุทธเจ้าบอกว่าทำดี เวลาใด ครู่ใด ขณะใด เวลาใดครู่นั้นแล ขณะนั้นแล เวลานั้นแล เป็นเวลาดี เพราะเราทำดี จะไปเลวได้ยังไงใช่ไหม แต่ถ้าหากว่าเราทำชั่วทีนี่ กาลเวลาไหนก็ตามถ้าเราทำชั่วกาลนั้นแล เวลานั้นแล ปีนั้นแล
เดือนนั้นแล ชั่วหมด เพราะเราทำชั่วเพราะฉะนั้นให้เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม อย่าไปเชื่อหมดดู อย่าไปเชื่อหมอเดา อย่าไปเชื่อคำทำนาย ถึงเขาจะทำนายเป็นฝ่ายชนะขนาดไหนก็เถอะ แต่ถ้าตัวเองประมาท เอาเถอะ ข้าจะสอบได้อยู่แล้วล่ะ ข้าไม่ต้องอ่านหนังสือก็ได้ โหรเขาบอกว่าแล้วข้าจะต้องสอบได้ ไม่ต้องเตรียมการเที่ยวสนุกสนานกินเหล้าเมายา เอาเถอะ ฉลองไว้ก่อนเลย ข้าจะสอบได้อยู่แล้วล่ะ แล้วทีนี้เป็นยังไงพอไปสอบเข้ามา เมาเหล้าก็ยังไม่สร่าง ผลที่สุดไม่รู้ คิดอะไรก็ไม่ออก จะเป็นผู้สอบได้ ได้อย่างไร เพราะเหตุไรเพราะเป็นผู้ประมาท นี้ล่ะ ความประมาทเหมือนคนตายแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเราทุกท่านนะ ใครอยู่ในระดับไหน อย่าเป็นผู้ประมาท ให้เป็นผู้เตรียมพร้อมอยู่เสมอ เป็นผู้ตื่นตัวอยู่เสมอ ถ้าเป็นคนตื่นตัวอยู่เสมอ จะเป็นผู้ชนะได้ทุกแห่งทุกหนในการเป็นอยู่


โอวาทธรรม หลวงพ่ออินทร์ถวาย





เรื่อง "โลกวัตถุเจริญ ธรรมในจิตเสื่อม"

โลกสมัยปัจจุบันเขาว่ามันเจริญ ทางธรรมเฮามันเสื่อม มันเบิ๊ด พากันรักษาไว้เด้อ เรื่องข้อวัตรปฏิบัติของครูบาอาจารย์ พากันดึงไว้แน มันสิเบิ๊ดอิหลีเด้ พวกเฮาบ่ดึงไว้มันสิเบิ๊ด อีกอย่างหนึ่งกะพวกแม่ออกนิละสำคัญ ย้านแต่ครูบาอดตาย ตื่นขึ้นมากะหอบไปโลด หอบนม ปาท่องโก๋ กาแฟ มันไปทำลายข้อวัตร ทำลายบุญ ทำลายข้อวัตร ย้านแต่เพิ่นตาย แทนที่สิรักษาช่วยกันบ่รักษา ครูบากะบ่บอก อยากแต่ฉลองศรัทธาญาติโยม บุญแบบนี้เลยสิเป็นบาป บาปบอนใด๋วะติ บาปมันฮ้อนมันอยู่บ่ได้ อยากให้พวกเฮาทั้งหลายได้พิจารณาให้ดีว่า อันใดสมควร อันใดถูกกับธรรมกับวินัย จึงจะไม่เป็นบาปเป็นกรรม เพื่อรักษาไว้ซึ่งข้อวัตรปฏิบัติอันดีอันงาม ตามครูบาอาจารย์เพิ่นสั่งเพิ่นสอน

โอวาทธรรม หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม






จงอย่าสนใจในจริยาของบุคคลอื่น และการเจริญสมาธิตงอย่าทำเพื่อโอ้อวด การเจริญสมาธิที่จะทำให้ได้ดี ให้ถือใจความพระพุทธเจ้าว่า ใครเขาจะกินมาก ใครเขาจะกินน้อย ใครเขาอ้วนมาก ใครเขาอ้วนน้อย ใครเขาจะมีสาวกมาก ใครเขาจะมีสาวกน้อย คนนั้นมีสมบัติมาก คนนั้นมีสมบัติน้อย คนนั้นเจริญสมาธิจิตวิปัสสนาญาณยังแต่งตัวสวย ยังผัดหน้า ยังทาแป้ง ใครเขาจะดีจะชั่วอย่างไรเป็นเรื่องของเขา จงอย่าไปสนใจ เราจะนั่งสมาธิก็จงอย่านั่งให้บุคคลอื่นเห็น ถ้าหากไปทำอย่างนั้นพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ยังมีอุปกิเลสอยู่มาก

((คัดจากคำสอนที่สายลมเดือนสิงหาคม ๒๕๒๒))


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 62 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร