วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2019, 05:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าประมาท
กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ

หลอกคนอื่นได้
แต่หลอกตนเองไม่ได้
จะผ่านไปกี่ปี กี่ชาติก็ตาม
รอให้ถึงเวลา ถึงเหตุปัจจัยเถอะ
ต้องได้รับผลเต็มๆ อย่างสาสมแน่นอน

บัญชีกรรมไม่ได้คิดแค่ต้นทุนเท่านั้นนะ
มันยังมีดอกเบี้ยกรรม
ติดตามมาให้ต้องชดใช้ด้วย

โอวาทธรรม : พระอาจารย์คม อภิวโร





การที่บุคคลยึดมั่นในบุญและบาป ย่อมปฏิบัติแต่สิ่งดี
การทำสิ่งไม่ดี ก็เป็นบาป
การทำบุญนั้นควรทำทั้งที่ลับและที่แจ้ง
คนที่ใฝ่บุญกุศลนั้นไม่เป็นเพียงเฉพาะต่อพระสงฆ์
หรือพระธรรมคำสั่งสอนเท่านั้น
แต่ควรมีเมตตากรุณาต่อบุคคลที่อยู่ใกล้เคียงต่อบุคคลอื่น
เมื่อเห็นเขาลำบาก ถ้าพอช่วยได้ก็ควรช่วย
โดยคำนึงถึงฐานะความเป็นอยู่ของเรา
ช่วยแล้วต้องช่วยให้เราอยู่ได้
ไม่ใช่ช่วยแล้วเราอดหรือไม่มี สิ่งที่ช่วยไปก็ไม่ได้บุญ
กล่าวคือ คำนึงถึงฐานะของตนเองด้วย
เมื่อบุคคลที่อยู่ในสังคมประเทศชาติ
มีความเอื้ออาทร ห่วงใย ช่วยเหลือกัน
ก็เป็นทางหนึ่งที่ทำให้ประเทศชาติดำรงอยู่ได้

หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ





ถูกหวย 9 ล้านบาท เขาทำบุญอย่างไร?

ผู้ถาม : พอดีพูดถึงเรื่องถูกหวยไป เมื่อเดือนที่แล้วมีคนถูกถึง 9 ล้านบาท ลูกหลานถามมาว่า ทำบุญอะไรนะ ถูกตั้ง 9 ล้านบาท ทำบุญกับหลวงพ่อเยอะแยะไม่ถูกสักล้าน

หลวงพ่อ : ก็ทำไม่ถึง 9 ล้านนี่

ผู้ถาม : โอ้โฮ ! ยังงั้นต้องเริ่มตั้งต้นใหม่แล้ว

หลวงพ่อ : นั่นหมายถึงชาติก่อนของเขา การถูกหวยรวยโป อ้อ รวยโปไม่เกี่ยวนะ การพนันทุกอย่างไม่เป็น ยอมรับว่าโง่ การพนันกับน้ำเมา 2 อย่างนี่โง่แน่ โง่ 100 เปอร์เซ็นต์

ผู้ถาม : แล้วก็เรื่องผู้หญิงก็โง่หรือเปล่าครับ ?

หลวงพ่อ : เรื่องผู้หญิงก็โง่ เวลานี้ไม่รู้เรื่องเลย

ผู้ถาม : แหม…….หลวงพ่อเข้าใจเลี่ยง

หลวงพ่อ : ไม่ใช่เลี่ยง อย่าลืมนะ ฉันเป็นพระ ต้องพูดตรงไปตรงมานะ ” เวลานี้ ” นะ ไปทำอะไรเขาได้ละเป็นอันว่าคนที่พูดเมื่อกี้นี้เมื่อชาติก่อนเขาทำบุญโดยไม่ตั้งใจ ทำบุญไม่ได้เตรียมการไว้ก่อน จึงถูกหวย เรียกว่า ” ลาภลอย ” คือว่าเรื่องนี้ก็เคยคิดเมื่อตอนหนุ่มๆว่าการร่ำรวยอย่างอื่นพระพุทธเจ้า ตรัสไว้ แต่ว่าการถูกหวยทำไมไม่ตรัสไว้ ก็พอดีวันหนึ่งนั่งกรรมฐาน ไปพบท่าน
ท่านถามว่า ” สงสัยเรื่องนั้นหรือ ”
ก็บอกท่านว่า ” สงสัยครับ ”
ท่านบอกว่า ” พวกนี้ทำบุญไม่มีการเตรียมการ เจอะปุ๊บปั้บก็ทำเลย ”
ทำแล้วถูกมากแบบนี้เขาอาจจะไม่ทำมากก็ได้ อย่างสมมุติว่าไปเจอะเขาถวายสังฆทาน เรามีสลึงเดียวก็ร่วมถวายกับเขา อย่างพระสิวลี ผึ้งรวงเดียว เกิดมาชาติหลังลาภมหาศาล ต้องดูเขตของบุญ การลงทุนมากแต่ได้อานิสงส์น้อยก็มีอยู่ ให้ทานหรือทำทานแจกคนที่ไร้ศีลไร้ธรรม หรือบกพร่องในศึลในธรรม อย่างนี้ลงทุนมากแต่แต่ได้อานิสงส์น้อย ถ้าลงทุนน้อยแต่ได้อานิสงส์มาก เช่น ให้ทานกับคนที่มีศีลบริสุทธิ์บ้าง ทรงฌานบ้าง เป็นพระอริยเจ้าบ้าง เป็นพระพุทธเจ้าบ้าง โดยเฉพาะสังฆทานยอดอย่างยิ่ง สูงมาก ฉะนั้นเวลาไปเจอะเขาถวายสังฆทานที่ไหนควักเลย บาทครึ่งบาท ทำเลย อย่างนี้ก็รอชาติหน้า แต่ถ้าทำบ่อยๆ ชาตินี้ก็ได้นะ แต่ไม่ต้องทำมาก อย่าให้เดือดร้อนนะ แค่นิดหน่อยพอที่เราไม่เดือดร้อน ถ้าเจอะเมื่อไรทำเมื่อนั้น ถ้าทำบ่อยๆ ได้ผลชาตินี้

ผู้ถาม : แหม…ถ้างวดหน้าก็ดีแน่เลย

หลวงพ่อ : ขอยืนยันว่างวดหน้าดีแน่ แต่ใครจะถูกหวยหรือไม่ถูกหวย ฉันไม่ทราบ

โอวาทธรรมหลวงพ่อฤาษีลิงดำ








นั่งสมาธิปวดขา

ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกปฏิบัติพระกรรมฐานตามแนวของหลวงพ่อทุกประการ ที่แก้ไม่ตกมีอยู่อย่างเดียวนั่นคือ นั่งไปไม่ถึง ๒-๓ นาที จะมีความรู้สึกปวดที่ขาทันที ลองเปลี่ยนแล้วมันก็เป็นอย่างนี้อีก ลูกอยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า การกำหนดจิตไม่ให้ปวด การกำหนดจิตไม่ให้มีเวทนา เพื่อจะได้นั่งนาน ๆ เหมือนหลวงพ่อ จะทำอย่างไรดีขอรับ?

หลวงพ่อ ก็ไม่เป็นไร บีบจมูกสักหนึ่งชั่วโมง หายเอง… ตาย… ไม่เจ็บไม่ป่วยถ้ามันมีเวทนาอย่างนั้น ก็ใช้วิปัสสนาญาณช่วยซิ เกิดมาเป็นทุกข์อย่างนี้ จะเล่นแต่สมถะ ที่ว่าทำตามทุกอย่างนั้นไม่จริง …. ไม่จริง ฉันเล่นทุกอย่าง ถ้าป่วยขึ้นมาฉันเล่น วิปัสสนาญาณช่วย ฉันว่าทั้งสองอย่างนะ แต่นี่ล่อสมถะอย่างเดียว ไม่ใช้ปัญญาเข้าช่วย ในเมื่อนั่งมันเมื่อยก็ลุกขึ้นยืน ยืนเหมื่อยก็เดิน เดินเมื่อยก็นอน นอนเมื่อยก็นั่ง นั่งเมื่อยก็เดิน นั่งเรียบ ๆ ไม่ดี ก็นั่งเก้าอี้ก็ได้

ผู้ถาม กรรมฐานนั่งเก้าอี้ได้หรือครับ…หลวงพ่อ?

หลวงพ่อ โอ้ย…นั่งบนตอไม้ยังได้เลย นั่งยอดไม้ก็ได้ ที่ไหนก็ได้ มันอยู่ที่ใจ ให้ร่างกายสบายก็แล้วกัน

ผู้ถาม ก็ตกลงว่าเปลี่ยนเสียนะ อิริยาบถใดมันไม่ไหวก็…อ๋อ…ต้องใช้วิปัสสนาญาณช่วยจะได้ประโยชน์มาก

หลวงพ่อ ใช่ ๆ ๆ มีความจำเป็น


โอวาทธรรม พระราชพรหมยานเถระ




“พระพุทธศาสนา” คือเรื่องของ “ธรรมชาติ”

“ลักษณะอย่างหนึ่งของพระพุทธศาสนา ก็คือ พระพุทธศาสนานี้ตัวหลักแท้ๆพูดตามภาษาสมัยใหม่ก็คือ เรื่องของ “ธรรมชาติ” หรือสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมดาของมัน เริ่มตั้งแต่หลักการใหญ่ของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าจะตรัสให้เห็นสาระอันนี้ เช่น เรื่อง “ไตรลักษณ์” ก็จะตรัสว่า ตถาคตคือพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะอุบัติขึ้นหรือไม่ก็ตาม มันก็เป็นตัวหลักตัวกฎธรรมดาอยู่แล้วว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

หรือแม้“ปฏิจจสมุปบาท”ก็เช่นเดียวกัน ก็ตรัสว่า ตถาคตทั้งหลายจะอุบัติขึ้นหรือไม่ก็ตาม ความจริงก็ดำรงอยู่ของมันอย่างนั้นว่า
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดสังขาร
สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ฯลฯ
นี้เป็นการแสดงหลักการใหญ่ของพระพุทธศาสนา คือแสดงความจริงที่มีอยู่เองตามธรรมดาของธรรมชาติ ตามเหตุปัจจัย ฐานะของพระศาสดาก็คือเป็นผู้ค้นพบความจริงนั้นแล้วอาศัยปัญญาความสามารถ นำมาอธิบายสั่งสอนแจกแจงให้เข้าใจได้ง่าย

ในเมื่อตัวแท้ของพุทธศาสนาคือ ตัวความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดาตามกฎธรรมชาติแล้ว เพราะฉะนั้น การที่จะเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ ก็คือ การนำความรู้ในกฎธรรมชาตินั่นเองมาใช้ให้เป็นประโยชน์ การปฏิบัติหรือระบบอะไรต่างๆ ในทางพระพุทธศาสนาก็คือ การนำความรู้ในกฎธรรมชาตินี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ ในเมื่อความรู้ในกฎธรรมชาติหรือการรู้ความจริงนี้ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้น ปัญญาจึงเป็นธรรมสำคัญในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “สพฺเพ ธมฺมา ปญฺญุตฺตรา ธรรมทั้งปวงมีปัญญาเป็นเยี่ยม” เพราะฉะนั้น ปัญญาจึงเป็นหลักธรรมสำคัญตั้งแต่ต้น พระพุทธศาสนาจึงสอนคนเริ่มตั้งแต่ให้มีโยนิโสมนสิการ แม้แต่องค์ประกอบสำคัญ ๒ ประการ คือ ปรโตโฆษะที่ดี กับ โยนิโสมนสิการ ปรโตโฆษะนั้นเพื่ออะไร ก็เพื่อมาชักนำให้คนมีโยนิโสมนสิการ ให้เขารู้จักคิด คิดเป็น เพราะคนบางคนนั้นคิดไม่ค่อยเป็น ต้องมีกัลยาณมิตรมาช่วย เมื่อเขามีโยนิโสมนสิการแล้ว เขาก็เกิดสัมมาทิฏฐิ ก็ก้าวหน้าไปในมรรคได้

เพราะฉะนั้น เริ่มต้นก็ต้องปลุกเร้านำเข้าสู่ปัญญา แล้วปัญญาก็เป็นองค์ธรรมสำคัญเรื่อยไปในทางพระพุทธศาสนา แต่ในเมื่อเราไปอาศัยปรโตโฆษะหรือกัลยาณมิตร ก็จึงมีหลักขึ้นมาอีกอันหนึ่งคือ “ศรัทธา” ปรโตโฆษะนี้เป็นตัวทำให้เกิดศรัทธา เมื่อมีศรัทธาแล้ว ปรโตโฆษะจะอาศัยศรัทธานั้นสร้างโยนิโสมนสิการ ทำให้คนเกิดสัมมาทิฏฐิ เพราะฉะนั้น แม้แต่ถ้าเราจะมีศรัทธาเราก็บอกว่านี่เพราะอะไร ก็เพื่อเชื่อมตัวปรโตโฆษะหรือกัลยาณมิตรเข้ากับโยนิโสมนสิการ เพื่อให้เกิดสัมมาทิฏฐิต่อไป แล้วศรัทธาก็เป็นเพื่อปัญญานั้นอีก นี้ก็เป็นลักษณะอีกอย่างหนึ่งของพุทธศาสนา"

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากธรรมบรรยาย เรื่อง "หลักทั่วไปของพุทธศาสตร์"





“พุทโธ” คาถาไล่ผี
ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
ตอนที่บวชใหม่ๆ ตอนพรรษาแรกอยู่กับหลวงพ่อปาน คือ วันหนึ่งลุกขึ้นมาเช้ามืด เจริญพระกรรมฐานเช้ามืดตอนตีสอง ก่อนหน้าตีสองนิดหนึ่ง ต้องตื่นแบบนั้นทุกวัน เวลานี้ก็ยังตื่นแบบนั้นเป็นปกติ เพราะชินกับเวลาตื่นเวลาตีสอง ก่อนหน้าตีสองประมาณครึ่งชั่วโมงตื่น ก็เรียกว่าตีหนึ่งครึ่ง ก็เกินไปบ้าง ล้างหน้าล้างตาเสร็จ ทำวัตรสวดมนต์เสร็จ ถึงเวลาตีสองตรง ลุกขึ้นเจริญพระกรรม
ฐาน คือการนั่งกรรมฐาน ภาวนาตามอัธยาศัย

มาวันหนึ่งพอตื่นขึ้นมาเปิดหน้าต่างล้างหน้า เห็นผีไม่มีหัว มันโดดเสียไม่มีละ โอ้โฮ เยอะแยะ จำนวนสักสองร้อยคนกว่า โดดที่ชานตึงตัง ก็มองดูอะไรกันแน่ เห็นว่าผีไม่มีหัวเท่านั้นแหละ ก็เลยสงสัย (ตอนนั้นความกลัวก็ไม่เกิดขึ้น) ว่าไอ้พวกนี้ไม่มีหัวทำไมโดดได้ เลิกล้างหน้า มาสวดมนต์ มาไหว้พระสวดมนต์ มันก็ตามมาโดดในกุฏิ นั่งกรรมฐานมันก็โดดใกล้ๆ ก็ช่างมันใจสบาย พอถึงตีสี่เลิก เพราะพระลุกขึ้นสวดมนต์ ตอนนั้นไปนอน เจ้าผีตนหนึ่งโดดเข้ามาคร่อมอก ก็ตั้งใจจะเอามือขวาหยิบหวายตีผีตีมัน มันก็กดมือขวาไว้ พอจะเอามือซ้ายหยิบ มันก็กดมือซ้ายไว้ กดแขนซ้ายไว้ จะว่ายังไงมันก็ว่าตาม พอว่าคาถาขับผีจบ มันบอกว่า “กูไม่กลัว” ว่าอีกบทหนึ่ง มันบอกว่า “บทนี้มึงได้ครึ่งเดียว” มันก็เลยว่าต่ออีกครึ่ง แสดงว่าผีตัวนี้เรียนมามาก

ต่อไปก็หมดท่า ไม่รู้จะทำแบบไหน ก็เลยนึกในใจว่า โอหนอ โลกนี้ไม่มีใครดีกว่าพระพุทธเจ้า มนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าทั้งหมด ไม่มีใครเหนือท่าน นึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้า ขอให้ช่วยกำจัดผีตัวนั้น และนึกภาวนาว่าในใจว่า “พุทโธ” แล้วเป่าพรวดเดียว เจ้าผีก็โดดหกคะเมนเคนเก้ โดดวิ่งหนีไปเลย

บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)








อสุภกรรมฐาน
อสุภ แปลว่า ไม่สวย ไม่งาม กรรมฐาน แปลว่า ตั้งอารมณ์ไว้ให้เป็นการเป็นงาน รวมความแล้วได้ว่า ตั้งอารมณ์เป็นการเป็นงานในอารมณ์ที่เห็นว่า ไม่มีอะไรสวยสดงดงาม มีแต่สกปรกโสโครก น่าเกลียดน่าสะอิดสะเอียน

กำลังสมาธิของอสุภกรรมฐาน
อสุภกรรมฐาน ทั้ง ๑๐ อย่างนี้ มีกำลังสมาธิเพียง ปฐมฌาน เป็นอย่างสูง ไม่สามารถจะทรงฌานให้มีกำลังสูงกว่านั้นได้ เพราะเป็นกรรมฐานที่มีอารมณ์ด้านพิจารณามากกว่าการเพ่ง ใช้อารมณ์จิตใคร่ครวญพิจารณาอยู่เป็นปกติ จึงทรงสมาธิได้อย่างสูงเพียงปฐมฌาน เป็นกรรมฐานที่มีอารมณ์คล้ายคลึงกับ วิปัสสนาญาณ มาก นักปฏิบัติที่พิจารณาอสุภกรรมฐานจนทรงปฐมฌานได้ดีแล้ว พิจารณาวิปัสสนาญาณ ควบคู่กันไป จะบังเกิดผลรู้แจ้งเห็นจริงในอารมณ์วิปัสสนาญาณได้อย่างไม่ยากนัก

สำหรับอสุภกรรมฐานนี้เป็นสมถกรรมฐานที่ให้ผลในทางกำจัด ราคจริต เหมือนกันทั้ง ๑๐ กอง คือค้นคว้าหาความจริงจากวัตถุที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต ที่นิยมชมชอบกันว่าสวยสดงดงามที่บรรดามวลชนทั้งหลายพากันมัวเมาหลงใหลใฝ่ฝันว่าสวยสดงดงามจนเป็นเหตุให้เกิดภยันตรายแก่ตน ลืมชีวิตความเป็นอยู่ของตน มอบหมายความรักความปรารถนาให้แก่วัตถุที่ตนรัก เป็นการประพฤติที่ฝืนต่อกฏของความจริง เป็นเหตุของความทุกข์ที่ไม่รู้จบสิ้น

กรรมฐานนี้จะค้นคว้าหาความจริงจากสรรพวัตถุต่างๆ ที่เห็นว่าสวยสดงดงาม เอามาตีแผ่ให้เห็นผลว่า สิ่งที่สัตว์และคนหลงใหลใฝ่ฝันนั้น ความจริงไม่มีอะไรสวย ไม่มีอะไรงาม เป็นของน่าเกลียดโสโครกทั้งสิ้น กรรมฐานในหมวดอสุภกรรมฐานมีความหมายในรูปนี้ จึงเป็นกรรมฐานที่ระงับดับอารมณ์ที่ใคร่อยู่ในกามารมณ์เสียได้ ท่านที่เจริญกรรมฐานหมวดอสุภกรรมฐานนี้ชำนาญเป็นพื้นฐานแล้ว ต่อไปเจริญวิปัสสนาญาณ จะเข้าถึงการบรรลุเป็นพระอนาคามีผลไม่ยากนัก เพราะพระอนาคามีผลเป็นพระอริยบุคคลที่มีความสงบระงับความรู้สึกในกามารมณ์ได้เด็ดขาด

ท่านที่เจริญกรรมฐานหมวดอสุภนี้ ก็เป็นการเริ่มต้นในการเจริญฌานด้านที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกามารมณ์ ฉะนั้น นักปฏิบัติกรรมฐาน ที่มีความชำนาญในอสุภกรรมฐาน จึงเป็นของง่ายในการเจริญวิปัสสนาญาณ เพื่อให้บรรลุเป็นอนาคามีผลและอรหัตตผล

การพิจารณาอสุภทั้ง ๑๐ นี้ ท่านสอนให้พิจารณาเพื่อถือเอานิมิตโดยอาการ ๖ อย่างดังต่อไปนี้

๑. พิจารณาโดยสี คือให้กำหนดว่า ซากศพนี้เป็นร่างกายของคนดำหรือคนขาว หรือเป็นร่างกายของคนที่มีผิวด่างพร้อย คือผิวไม่เกลี้ยงเกลา

๒. พิจารณาโดยเพศอย่ากำหนดว่า ร่างกายนี้เป็นหญิงหรือชาย พึงพิจารณาว่า ซากศพนี้เป็นร่างกายของคนที่มีอายุน้อย มีอายุกลางคน หรือเป็นคนแก่

๓.กำหนดพิจารณาโดยสัณฐาน คือกำหนดพิจารณาว่า นี่เป็นคอ เป็นศีรษะ เป็นท้อง เป็นเอว เป็นขา เป็นเท้า เป็นแขน เป็นมือ ดังนี้เป็นต้น

๔.กำหนดโดยทิศ ทิศนี้ท่านหมายเอาสองทิศ คือ ทิศเบื้องบน ได้แก่ทางด้านศีรษะ ทิศเบื้องต่ำ ได้แก่ทางด้านปลายเท้าของซากศพ ท่านมิได้หมายถึงทิศเหนือทิศใต้ ตามที่นิยมกัน ท่านให้สังเกตว่า ที่เห็นอยู่นั้นเป็นทางด้านศีรษะ หรือด้านปลายเท้า

๕. กำหนดพิจารณาโดยที่ตั้ง ท่านให้พิจารณากำหนดจดจำว่า ซากศพนี้ศีรษะวางอยู่ที่ตรงนี้ มือวางอยู่ตรงนี้ เท้าวางอยู่ตรงนี้ ตัวเราเอง เวลาที่พิจารณาอสุภนี้ เรายืนอยู่ตรงนี้

๖. กำหนดพิจารณาโดยกำหนดรู้ หมายถึงการกำหนดรู้ว่า ร่างกายสัตว์ และมนุษย์นี้ มีอาการ ๓๒ เป็นที่สุด ไม่มีอะไรสวยสดงดงามจริง ตามที่ชาวโลกผู้มัวเมาไปด้วยกิเลสหลงใหลใฝ่ฝันอยู่ ความจริงแล้วก็เป็นของน่าเกลียดโสโครก มีกลิ่นเหม็นคลุ้งมีสภาพขึ้นอืดพอง มีน้ำเลือดน้ำหนองเต็มร่างกายที่พอจะมองเห็นว่าสวยสดงดงาม พอที่จะอวดได้ก็มีนิดเดียว คือหนังกำพร้าที่ปกปิดอวัยวะภายใน ทำให้มองไม่เห็นสิ่งโสโครก คือ น้ำเลือด น้ำหนอง ดี เสลด ไขมัน อุจจาระ ปัสสาวะ ที่ปรากฏอยู่ภายใน แต่ทว่า หนังกำพร้าใช่ว่าจะสวยสดงดงามจริงเสมอไปก็หาไม่ ถ้าไม่คอยขัดถูแล้วไ่ม่นาน เท่าใดคือไม่เกินสองวันที่ไม่ได้อาบน้ำชำระร่างกาย หนังที่สดใสก็กลายเป็นสิ่งโสโครกเหม็นสาบเหม็นสาง ตัวเองก็รังเกียจตัวเอง

เมื่อมีชีวิตอยู่ก็เอาดีไม่ได้ พอตายแล้วยิ่งโสโครกใหญ่ ร่างกายที่เคยผ่องใส ก็เป็นซากศพที่ขึ้นอืดพอง น้ำเหลือไหลมีกลิ่นเหม็นตลบไปทั่วบริเวณ คนที่เคยรักกันปานจะกลืน พอสิ้นลมปราณลงไปในทันทีก็พลันเกลียดกัน แม้แต่จะเอามือเข้ามาแตะ ต้องก็ไม่ต้องการ บางรายแม้แต่มองก็ไม่อยากมอง มีความรังเกียจซากศพ ซ้ำร้ายกว่านั้น เมื่ออยู่รัก และหวงแหน จะไปสังคมสมาคมกับใครอื่นไม่ได้ ทราบเข้าเมื่อไรเป็นมีเรื่อง

แต่พอตายจากกันวันเดียวก็มองเห็นคนที่แสนรักกลายเป็นศัตรู กลัววิญญาณคนตายจะมาหลอกหลอนเกรงคนที่แสนรักจะมาทำอันตราย ความเลวร้ายของสังขารร่างกายเป็นอย่างนี้ เมื่อพิจารณากำหนดทราบเห็นแล้ว ก็น้อมนึกถึงสิ่งที่ตนรัก คือคนที่รัก ที่ปรารถนา ที่เราเห็นว่าเขาสวยสดงดงาม เอาความจริงจากซากอสุภเข้าไปเปรียบเทียบ พิจารณาว่า คนที่เรารักแสนรัก ที่เห็นว่าเขาสวยสดงดงามนั้นเขากับซากศพนี้มีอะไรแตกต่างกันบ้าง

เดิมซากศพนี้ก็มีชีวิตเหมือนเขา พูดได้ เดินได้ ทำงานได้ แสดงความรักได้ เอาอกเอาใจได้ แต่งตัวสวยสดงดงามได้ ทำอะไร ๆ ได้ทุกอย่าง ตามที่คนรักของเราทำ แต่บัดนี้เขาเป็นอย่างนี้ คนรักของเราก็เป็นอย่างเขาเราจะมานั่งหลอกตนเองว่า เขาสวย เขางาม น่ารัก น่าปรารถนาอยู่เพื่อเหตุใด แม้แต่ตัวเราเองสิ่งที่เรามัวเมากายมัวเมาชีวิต หลงใหลว่าร่างกายเราสวยสดงดงามวิไลไม่ว่าอะไรน่ารักน่าชมไปหมด ผิวที่เต็มไปด้วยเหงื่อไคลเราก็เอาน้ำมาล้าง เอาสบู่มาฟอก นำแป้งมาทา เอาน้ำหอมมาพรม

แล้วก็เอาผ้าที่เต็มไปด้วยสีหุ้มห่อ เอาวัตถุมีสีต่างๆ มาห้อยมาคล้องมองดูคล้ายบ้าหอบฟางแล้วก็ชมตัวเองว่าสวยสดงดงาม ลืมคิดถึงสภาพความเป็นจริง ที่เราเองก็หอบเอาความโสโครกเข้าไว้พอแรง เราเองเรารู้ว่าในกายเราสะอาดหรือสกปรก ปากที่เราว่าปากสวย ในปากเต็มไปด้วยเสลดน้ำลาย น้ำลายของเราเองเมื่ออยู่ในปากอมได้ กลืนได้ แต่พอบ้วนออกมาแล้ว กลับรังเกียจไม่กล้าแม้แต่จะเอามือแตะ นี่เป็นสิ่งสกปรกที่เรามีหนึ่งอย่างละ

ต่อไปก็อุจจาระ ปัสสาวะ เลือด น้ำเหลือง ที่หลั่งไหลอยู่ในร่างกาย พอไหลออกมานอกกายเราก็รังเกียจทั้งๆ ที่เป็นตัวของเราเอง นี้ก็เป็นสิ่งโสโครกที่เป็นสมบัติของเราเองอีก

น้ำเลือดน้ำเหลืองของซากศพที่เรามองเห็นนั้น ซากศพนั้นมีสภาพอย่างไรเมื่อตายไปแล้วจากความเป็นคนหรือสัตว์ เราเรียกกันว่าผีตาย เขามีสภาพอย่างไร คือตายแล้วมีน้ำเลือดน้ำเหลือง หลั่งไหลออกจากร่างกายฉันใด เราแม้ยังไม่ตาย สิ่งเหล่านั้นก็มีครบแล้ว คนที่เราคิดว่าสวยสดงดงามตามที่นิยมกัน ก็เต็มไปด้วยความโสโครกที่น่ารังเกียจเหมือนกัน เอาอะไรมาเป็นของน่ารักน่าปรารถนา เรารักคนก็มีสภาพเท่ารักศพ ศพนี้น่าเกลียดน่าชังเพียงใด คนรักที่เรารักก็มีสภาพอย่างนั้น

พยายามพิจารณา ใคร่ครวญให้เห็นติดอกติดใจ จนกระทั่งเห็นสภาพของผู้ใดก็ตาม ที่เขานิยมกันว่า น่ารัก น่าชม นั้น เห็นแล้วมีความรู้สึกว่าเป็นซากศพทันที มีความรังเกียจสะอิดสะเอียนขึ้นมาทันทีทันใด เห็นคนหรือสัตว์มีสภาพเป็นซากศพไปหมด เต็มไปด้วยความรังเกียจที่จะสัมผัสถูกต้องรังเกียจที่จะคิดว่าร่ารักน่าดู เพราะความสวยสดงดงาม เห็นผิวกายนอกก็มองเห็นภายใน คือเห็นเป็นสภาพถุงน้ำเลือด น้ำหนอง ถุงอุจจาระ ปัสสาวะ ที่เคลื่อนที่ได้

พูดด้วยสนทนาด้วย ก็เห็นสภาพผู้ที่พูดจาสนทนาด้วย เป็นถุงอุจจาระ ปัสสาวะ และ ถุงน้ำเลือด น้ำหนอง มาพูดคุยด้วยคิดว่าขณะนี้เขามีสภาพเป็นถุง น้ำเลือด น้ำหนอง มาสนทนาปราศรัยกับเรา ต่อไปเขาก็จะกลายเป็นซากศพที่มีร่างกายอืดพอง น้ำเหลืองไหล ต่อไปกายก็จะขาดจากกันเป็นท่อนน้อย และท่อนใหญ่ สัตว์จะกัดกิน และในที่สุดก็จะเหลือแต่กระดูกกระจัดกระจายไป เขานี่เป็นผีตายชัดๆ เราก็เช่นเดียวกัน เขามีสภาพเช่นไร เราก็มีสภาพเช่นนั้น กายนี้ล้วนแต่เป็น อนิจจัง หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้เลย

แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่สะสมของโสโครกแล้ว แต่ถ้าจะยังยืนคู่ฟ้าคู่ดินก็ยังพอที่จะทนรักทนชอบได้บ้าง แต่เปล่าเลย ท่านหลงว่าสวยสดงดงามนั้นก็เป็นสิ่งหลอกลวง เต็มไปด้วยความโสโครกเท่านั้นยังไม่พอกลับหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้อีก ดิ้นรนกลับกลอกทรุดโทรมลงทุกวัน ทุกเวลา เคลื่อนเข้าไปหาความแก่ทุกวัน ทุกนาที ยิ่งมากวัน ความเสื่อมโทรมของร่างกายก็ทวีมากขึ้น จากความเป็นเด็กตัวเล็กๆ มาเป็นคนหนุ่ม คนสาว จากความเป็นคนหนุ่ม คนสาว มาเป็น คนแก่

การเคลื่อนไปนั้นมิใช่เคลื่อนเปล่ายังนำเอาโรคภัยไข้เจ็บมาทับถมให้ไม่เว้นแต่ละวัน ปวดที่โน่น ปวดที่นี่ โรคแน่น โรคจุกเสียด ปวดร้าว มีตลอดเวลา อวัยวะที่เคยใช้คล่องแคล่วสมบรูณ์บริบรูณ์ด้วยกำลัง ก็ง่อนแง่นคลอนแคลน กำลังวังชาหมดไป ทำอะไรไม่ได้สะดวก หูก็หนัก ตาก็ฟาง ได้ยินเห็นอะไรไม่ถนัด เต็มไปด้วยทุกข์ จะห้ามปรามรักษาด้วยหมอวิเศษท่านใด ก็ไม่สามารถจะยับยั้งความเคลื่อน ความทรุดโทรมนี้ได้ ในที่สุดก็พังทลาย กลายเป็นซากศพ ที่ชาวโลกรังเกียจอย่างนี้

อัตภาพนี้เป็นสภาพโสโครกอย่างนี้ เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงอย่างนี้ เป็นทุกขัง ความทุกข์อันเกิดแต่ความเคลื่อนไหวไปหาความเสื่อมอย่างนี้ เป็น อนัตตา เพราะเราจะบังคับบัญชาควบคุมไม่ให้เคลื่อนไปไม่ได้ ต้องเป็นไปตามกฏธรรมดา พิจารณาเห็นโทษอันเกิดแต่ร่างกาย เกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายในร่างกายของตนเองและร่างกายผู้อื่น เห็นสภาพร่างกายของตนเองและของผู้อื่นเป็นซากศพ หมดความพิสมัยรักใคร่ โดยเห็นว่าไม่มีอะไรสวยงาม เห็นเมื่อไรเบื่อหน่ายหมดความพอใจเมื่อนั้น เห็นคนมีสภาพเป็นศพทุกขณะที่เห็น อย่างนี้ท่านเรียกว่าได้อสุภกรรมฐานในส่วนของสมถภาวนา
เห็นร่างกายเป็นซากศพ เบื่อในร่างกาย และเห็นว่าร่างกายนี้เต็มไปด้วยความไม่เที่ยง สกปรกโสมมแล้วยังหาความแน่นอนไม่ได้อีก เคลื่อนไปหาความแก่ตายทุกวันทุกเวลา ขณะที่เคลื่อนไปก็เต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะต้องได้รับทุกข์จากโรค รับทุกข์จากการบริหารร่างกาย มีการประกอบการงานเป็นต้น ทุกข์เพราะ มีลาภ แล้ว ลาภหมดไป มียศ แล้ว ยศสิ้นไป มีสุข แล้ว ทุกข์ มาทับถม เดี๋ยวมีคำ สรรเสริญ มาป้อยอ แต่ไม่นานก็ถูก นินทา เป็นเหตุให้ใจเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะความเสื่อมโทรมของร่างกาย มีอวัยวะทุพพลภาพ หูหนัก ตาฟาง ฟันหัก ร่างกายร่วงโรย ความจำเสื่อม ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนของความทุกข์ทั้งสิ้น

เห็นร่างกายเป็นทุกข์แล้วก็เห็นความดื้อด้านของสังขารร่างกายที่บังคับบัญชาไม่ได้ คือเห็นว่าความเสื่อมโทรมอย่างนี้เราไม่ต้องการ ก็บังคับไม่ได้ ไม่ต้องการให้ปวดเจ็บเมื่อยล้า แต่มันก็จะเป็น ไม่มีใครห้ามได้ ไม่ต้องการให้ระบบประสาทเสื่อมมันก็จะเสื่อมใครก็ห้ามไม่ได้ ไม่ต้องการตาย มันก็ตาย ไม่มีใครห้ามได้ สิ่งที่ห้ามไม่ได้นี้ ท่านเรียกว่า อนัตตา แปลว่าเป็นสิ่งเหลือวิสัยที่จะบังคับ ที่ท่านแปลอนัตตาว่า ไม่ใช่ตัวตนนั่นเอง เพราะถ้าเป็นตัวตนของเราจริงแล้ว เราก็บังคับได้ ถ้าบังคับไม่ได้ก็ไม่ใช่ตัวตนของเราแน่

อารมณ์ที่เห็นว่าร่างกายนอกจากจะโสโครกน่าสะอิดสะเอียนเป็นซากศพแล้ว ยังไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เกิดความเบื่อหน่ายในการทรงสังขารร่างกาย เบื่อที่จะเกิดต่อไป เพราะถ้าเกิดมีร่างกายในภพใด ร่างกายก็จะมีสภาพโสโครกสกปรกเป็นซากศพและไม่เที่ยง เป็นทุกข์บังคับบัญชาไม่ได้อย่างนี้อีก ความเบื่อหน่ายในร่างกาย เบื่อในการเกิด เป็นนิพพิทาญาณในวิปัสสนาญาณ ถ้าท่านคิดใคร่ครวญ ในรูปสมถะให้เห็นซากศพอยู่เสมอ และใคร่ครวญหากฎธรรมดาควบคู่กันไป

คือเมื่อเกิดความทุกข์อันเกิดแต่การป่วยไข้ หรืออารมณ์ที่ไม่พอใจ หรือความแก่เฒ่าเข้ารบกวน ท่านก็วางใจเฉยเสียไม่ดิ้นรนกระเสือกกระสน โดยคิดว่านี่เป็นเรื่องของธรรมดา เกิดมามันก็ต้องเจ็บไข้ไม่สบาย มีลาภแล้วลาภมันก็เสื่อมได้ มียศแล้วยศมันก็สิ้นได้ มีสุขแล้วทุกข์มันก็มีได้ มีคนสรรเสริญแล้วคนนินทาก็มีได้ เกิดแล้วก็ต้องตายได้ ทุกอย่างมันธรรมดาแท้ๆ จนจิตชินต่ออารมณ์ มีอะไรที่เป็นทุกข์เกิดขึ้น ก็รู้สึกว่าเป็นปกติ ไม่ดิ้นรนหวั่นไหวอย่างนี้ ท่านเรียกว่าได้สังขารุเปกขาญาณในวิปัสสนาญาณ เป็นคุณธรรมที่ใกล้ความเป็นผู้บรรลุพระโสดาบันแล้ว

หมั่นคิดนึกไปเสมอๆ ถึงร่างกายที่มีสภาพเป็นซากศพ ร่างกายที่ไม่มีอะไรแน่นอน จนจิตคิดเป็นปกติว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ไม่หวั่นไหวต่อมรณภัย มีจิตใจศรัทธาเชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จิตว่างจากกรรมชั่วครู่ คือรักษาศีล ๕ ได้เป็นปกติ มีอารมณ์รักพระนิพพานเป็นปกติ คือใคร่ครวญปรารถนาแต่พระนิพพาน ไม่ต้องการความเกิดต่อไปอีก อย่างนี้ท่านว่าทรงคุณได้ในระดับพระโสดาบัน

ฉะนั้น ขอให้นักปฏิบัติที่ปฏิบัติในอสุภกรรมฐาน จงอุตส่าห์พยายามกำหนดพิจารณาให้ขึ้นใจ จนได้ปฏิภาคนิมิตในที่สุด แล้วรักษานิมิตนั้นไว้อย่าให้เสื่อม ต่อไปก็ยกเอานิมิตนั้นขึ้นสู่อารมณ์วิปัสสนาญาณ ท่านจะเข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ภายในไม่ช้าเลย การพิจารณาอย่างนี้ เรียกว่าพิจารณากำหนดรู้

บันทึกพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 39 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร