วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 00:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2019, 05:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


คนโง่ คือ คนที่ฉลาด คนที่ฉลาดเเล้ว ไปอยู่กับครูบาอาจารย์ ใครจะอยากสอน ถ้ารู้มากก็ไม่มีใครอยากสอน

คนโง่ นั้นแหละคือ คนฉลาด มีอะไรๆ ใครๆ ก็อยากสอนอยากบอก ลองดูซิ ถ้าเรามีเรื่องอะไร เราอยากจะบอก
คนโง่ หรือ คนฉลาด ก็ต้องเลือกคนโง่สิ มีอะไรใครเขาก็เลือกบอกคนโง่

คนที่โง่เป็น ก็คือคนที่ฉลาด

โอวาทธรรม

ท่านพ่อไพบูลย์ สุมังคโล






" ร่างกาย...
เปรียบเหมือนบ้านหลังหนึ่ง ๆ เท่านั้น
ส่วนใจ เปรียบเหมือนเจ้าของบ้าน
กายแตกสลาย เปรียบเหมือนบ้านปรักหักพัง
เจ้าของบ้านคือ...ใจ
ก็ออกจากร่าง ไปก่อร่างใหม่ ซึ่งเทียบ
กับเจ้าของบ้าน ไปปลูกสร้างบ้านหลังใหม่

ถ้าเจ้าของบ้านฉลาด และมีทรัพย์มาก
ก็ปลูกสร้างบ้านหลังใหม่ ได้อย่างมั่นคง
และ สวยงาม
ถ้าไม่มีทรัพย์มากพอ จะปลูกได้ตามใจหวัง
ก็เป็นหน้าที่ของตัว จะตะเกียกตะกายหา
ที่อยู่อาศัยใหม่ ตามกฏของความจำเป็นบังคับ

ถ้าหาไม่(ถ้าไม่ได้บำเพ็ญคุณงาม ความดี
อะไรไว้บ้างเลย)ก็ย่อม ทนทุกข์ลำบากเอง
ไม่มี...ใครช่วยได้

จิต...
ที่ออกจากร่างเก่า ไปสู่ร่างใหม่
ก็ขึ้นอยู่กับทรัพย์ภายใน คือ...บุญ-กุศล
ถ้าบุญ-กุศลมีมาก ร่างที่จิตไปก่อภพใหม่
ก็สดสวยงดงาม อายุก็ ยืนนาน
ความสุขเป็นเครื่องเสวย ก็มี ไม่อับจน
ในภพชาตินั้น ๆ

ถ้าหาไม่(ถ้าไม่ได้สั่งสมบุญ-กุศลแล้ว)ก็ลด
ภพชาติ และฐานะให้ต่ำลงมาตามลำดับ
และ อาจลดลงมาเป็นภพ-ชาติแห่งสัตว์ตัว
อาภัพ ก็ได้ ไม่มี ประมาณ

ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าขยาด อย่างยิ่ง
สำหรับมนุษย์ ผู้มีวิจารณญาณ
จึงไม่ควรนอนใจ
เมื่อ...อยู่ในฐานะที่ยังพอแก้ไข ได้อยู่
ยัง...ไม่สายเกินไป."
_______________________________________
(องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แสดง
ในโอกาสบำเพ็ญกุศลสตมวาร และบรรจุศพ
นางทิพย์ พงศ์พิพัฒน์ ณ.วัดเทพศิรินทราวาส)






“กรรมทางวาจานี้ ร้ายแรงมาก
การที่เราพูดใส่ร้าย หรือพูดไม่ดี
จนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน และเสียใจ
หรือพูดไปทำลายความหวังต่างๆ ของเขา
ถ้ารู้ตัวให้หยุดเสีย ถ้าไม่หยุด ก็เลิกทำเสีย
กรรมไม่สนองแต่ในชาตินี้ พอตายลงไป
ยังต้องไปใช้กรรมยังนรก ตามขุมต่างๆ อีก”

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ






"... สมัยก่อนเราไม่ค่อยสุงสิงกับใคร​ ใครมาวัดถ้าไม่มีอะไรก็ไล่กลับ​ ไม่ค่อยรับคนเท่าไหร่​ จะว่าดุก็ดุน่ะแหละ​ เราค่อนข้างจริงจังในสมัยก่อน​ ทำอะไรเล่นๆไม่ได้​ ต่างกับสมัยนี้​เบาขึ้นเยอะแล้ว​ ดุเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้​ แก่แล้ว​ เดี๋ยวคนดูแลหายหมด​ (ท่านหัวเราะ)​ แต่เราก็รู้ว่าเราทำอะไรอยู่​... ​
.
คนเข้ามาหาเรามากในตอนนี้​ จะให้ดีทั้งหมดทุกคนก็คงเป็นไปไม่ได้​ มากันหลากหลายรูปแบบ มันมีทั้งที่ดีและไม่ดี​ หวังอะไร​ จิตเป็นยังไง​ ใจเป็นอย่างไร​ ไม่ใช่เราไม่รู้​ เราผ่านอะไรมาพอควร​ เราแค่ไม่พูด
.
แต่จะให้เราเลือกศิษย์น่ะหรือ​ เราทำไม่ได้หรอก​ พุทธเจ้าท่านก็ไม่เคยเลือกศิษย์​ มือหนึ่งอุ้มพระราชามหากษัตริย์​ มือหนึ่งอุ้มยาจกวณิพกเข็ญใจ​ เราเลือกศิษย์ไม่ได้​
.
แต่เธอเลือกกันได้​ เลือกอะไร​ เลืิอกว่าจะทำอะไรในสิ่งที่อยู่ข้างหน้านั่นไง​ ​ ว่าจะทำดีหรือทำชั่ว​ เธอเลือกกันได้​ จะทำบาปทำกรรม​ หรือทำความดี​ เธอเลือกกันได้ในสิ่งนี้​ ใครทำยังไงมันก็ได้กันอย่างนั้น​ ไม่มีวันเลี่ยงได้​ ฝืนอะไรกันไม่ได้​ ​
.
ทำดีกันให้มากๆ​ ซื่อสัตย์กับความจริง​ ละอายใจกับสิ่งที่มันไม่ดี​ คนมีคุณธรรมน่ะทำยังไงก็ไม่มีวันตกระกำลำบากหรอก​ ทุกข์ยากก็เพียงไม่นาน​ เดี๋ยวมันก็ผ่านพ้นไป​ เป็นการทดสอบบารมี​ แต่คนทำอะไรไม่ดีน่ะหรอ​ ชีวิตจะหาความเจริญได้ยาก​
.
เราทำอะไรกันอยู่​ เรารู้ดีอยู่แก่ใจ​ พึงระลึกกันไว้เสมอ​ ไม่มีทางที่ความชั่วจะชนะความดี​ ฉะนั้นทำดีกันให้มากๆ​ ทำกันชาตินี้​ เดี๋ยวนี้นี่แหละ​ ส่วนกรรมชั่วรู้สึกตัวกันก็ให้หยุดกัน​ หันมาทำความดีกัน​ นั่นแหละทางเจริญที่แท้จริงของชีวิต​... "

หลวงปู่บุญส่ง​ ฐิตสาโร
วัดสันติวนาราม​ จ.จันทบุรี






"วิธีภาวนาคือรวมใจ"

" .. ใจคนเราตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยรวมอยู่ในจุดเดียวสักที "หัดภาวนาก็คือรวมใจให้อยู่ในจุดเดียว" คนเราเกิดขึ้นมาวุ่น "คิดนึกตลอดวันยังค่ำไม่มีพักผ่อนเลย" เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราพักใจบ้าง

กายกับใจมีลักษณะคล้ายกัน "กายถ้าเราทำงานตลอดเวลาไม่มีการพักผ่อนนอนก็เหน็ดเหนื่อย ใจของเราถ้าหากมีแต่คิดปรุงแต่งส่งส่ายตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน" นานเข้าก็เรียกว่า "โรคเส้นประสาทกลายเป็นบ้าไป" หากไม่รู้จักสำรวมใจ

พระพุทธเจ้า "สอนให้เรารู้จักสำรวมใจ สงบอารมณ์ให้อยู่ในจุดเดียว" ให้กำหนดลมหายใจเข้า ออก หรือมิฉะนั้นก็ให้กำหนดเอา "พุทโธไว้ที่ใจ" เอาสติคุมให้อยู่ในอารมณ์อันเดียวกันนั้น "ใจคือผู้นึกว่า พุทโธ แล้วเอาสติตามกำหนด" คือตามรักษาคุมอันนั้นไว้ไม่ไห้หนีจากนั้น

"ถ้าหากมันหนีไปจากนั้นก็เอามารวมกันไว้ไม่ให้หนี" นาน ๆ เข้ามันก็ค่อยซาค่อยอ่อนกำลังลงไป ในที่สุดมันก็จะมารวมอยู่ในจุดเดียว "เปรียบเหมือนกับสัตว์ที่เราจับมาจากป่า เอามาทีแรกมันก็พยายามดิ้นรนเสียจนหมดเรี่ยวแรง อีกหน่อยมันก็ค่อยอยู่" ใจของเราก็เช่นเดียวกัน .."

"ถามตอบ ต่างประเทศ ๕"
โดยหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี






"ออกจากภพนี้เข้าภพนั้น ท่านจึงว่าจิตนี้คือนักท่องเที่ยว ท่องเที่ยวอยู่ไม่หยุดไม่ถอย ท่องเที่ยวแบบหลับหูหลับตาไป เราเกิดมาได้พบพุทธศาสนา เรียกว่าเลิศเลอสุดยอดแล้วนะ อย่าเหยียบย่ำทำลายวาสนาของตนที่มีมามากน้อย ให้สร้างให้สั่งสมขึ้น ส่งเสริมขึ้นให้ดี นี้เรายอมรับพระพุทธเจ้าแล้ว ยอมรับทุกอย่างเลยหาที่ค้านไม่ได้ เวลาปฏิบัติภายในใจถึงเวลาที่รู้แล้วอะไรปิดไม่อยู่ มีกิเลสเท่านั้นปิด พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปมันจ้าเต็มภูมิของตัวเอง เต็มนิสัยวาสนาของตัวเองที่จะควรรู้หนักเบามากน้อยเพียงไร กว้างขวางลึกซึ้งขนาดไหนจะเต็มภูมิของตัวเองแต่ละรายๆ ปิดไม่อยู่ สุดท้ายก็รวมมาเป็นพยานพระพุทธเจ้าได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์

นี่ก็ได้ยอมรับทุกอย่างเต็มหัวใจโดยไม่คาดไม่ฝัน ที่พระพุทธเจ้าว่าบาปบุญนรกสวรรค์พรหมโลกนิพพาน ตลอดถึงเปรตผีประเภทต่างๆ มี พระพุทธเจ้าว่ามี ยอมราบเลย แล้วจะมาพูดให้โลกเห็น โลกตาบอดก็ยิ่งจะเพิ่มความตาบอดของมันเข้าไป จึงยังไม่บอกอันนั้น บอกแต่ส่วนใหญ่ไว้ว่า บาปบุญ นรกสวรรค์ นิพพาน มี เอาเพียงเท่านั้น ให้มันดำเนินเข้าไป ดำเนินตามทางพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนเอาไว้ ก็ค่อยรู้ค่อยเห็นแล้วลงเอง พอรู้ตรงไหนยอมรับๆ รู้เองเห็นเองตามธรรมพระพุทธเจ้าสอนนี้ มันจะลงในตัวของมันเอง ยอมรับๆ จ้าขึ้นมายอมรับหมดเลย ไม่ต้องมีใครมาบอกบังคับ จ้าขึ้นมารู้เลย

นี่ละธรรม พุทธศาสนาเป็นศาสนาชั้นเอก ในสามแดนโลกธาตุมีศาสนาเดียว พูดให้มันชัดๆ เราจวนจะตายแล้ว นอกนั้นไม่เป็นศาสนา คำสอนของธรรมก็มี คำสอนของกิเลสก็มี คนที่มีกิเลสเป็นหัวหน้าขึ้นมาหรือเป็นเจ้าของศาสนา ก็คือเจ้าของคลังกิเลส นั่น ไม่ใช่เจ้าของคลังแห่งธรรม ก็สอนไปตามแถวแนวของกิเลส ผู้ดำเนินก็ดำเนินไปตามแถวของกิเลส ก็ผิดๆ พลาดๆ ล้มลุกคลุกคลานตกหลุมตกบ่อไปเช่นเดียวกันไปหมด แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพุทธศาสนา ขอให้ปฏิบัติตามนี้แล้วจะดีดขึ้นๆ เพราะเป็นทางที่ถูกต้องแม่นยำ สายทางสายนี้ตรงแน่วไปนี้ ถ้าเราไม่คลาดเคลื่อนจากทางนี้แล้วตรงแน่วถึงที่สุด"


หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๘




นับแต่ตื่นจากหลับนอน
ครูตากระทบรูป แม่ได้เรียน
ครูหูกระทบเสียง แม่ได้เรียน
ครูจมูกกระทบกลิ่น แม่ได้เรียน
ครูปากลิ้นกระทบรสชาติ แม่ได้เรียน
ครูกายได้สัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง นุ่มนวล แม่ได้เรียน
ครูใจกระทบอารมณ์ แม่ได้เรียน
แม่จึงว่า แม่ได้เรียนธรรมอยู่ตลอดทั้งวัน ไม่มีเวลาพัก
ต่างครูก็ต่างหน้าที่ตามปกติของเขาไป
เป็นแต่ใจของเรานี้เองจะเกาะเกี่ยวอย่างใด
อย่างชอบหรืออย่างไม่ชอบ
แต่แม่เรียนรู้อย่างรู้เท่ารู้ทัน
ครูบาอาจารย์ท่านบอกท่านสอนมาอย่างนี้
แต่ก่อนเคยมีผู้ถามอัญญาท่านมั่นว่า
"พระธุดงค์พระป่าเรียนหนังสืออย่างไรกัน"
เพิ่นตอบว่า "เรียนด้วยการหลับตา แต่ตื่นใจ"

คุณย่าชีแก้ว เสียงล้ำ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 32 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร