วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 12:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2019, 05:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"ความชั่วไม่มีในที่ลับที่แจ้ง"
เราไปทำในที่ลับ ทำความชั่ว มันก็บาปอยู่นั่นเท่าเดิม
เราไปทำในที่แจ้ง ที่คนเห็น มันก็บาปอยู่เท่าเดิม...

หลวงพ่อพระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป






พวกเราอย่าพากลัวกันเลย
ไม่เป็นอะไรดอก ไม่ต้องกลัว
ให้พากันตั้งใจน้อมนึกระลึกถึง
คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์
เอามาเป็นที่พึ่งที่นับถือ
แล้วให้บริกรรมภาวนาว่า
พุทโธ ธัมโม สังโฆ
พุทโธ ธัมโม สังโฆ
พุทโธ ธัมโม สังโฆ ๓จบ
แล้วให้ระลึก พุทโธ พุทโธ พุทโธ คำเดียว
ให้ระลึกนึกในใจตลอดไป
ทุกวันทุกคืน ยืน เดิน นั่ง นอน ดังนี้
ทำดังนี้แล้ว ผีเจ้าพ่อ ผีปู่ตา ผีโหงผีห่า
จะมาทำอะไรเราไม่ได้ดอก
กลัวทำไม เราได้คุณพระมาเป็นที่พึ่งแล้ว

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร







เรื่อง "นิพพานอยู่ฟากตาย ทำเหตุให้ถึง"

หลวงปู่ไหนดังดัง ไปหมดเลย ไปเฝ้าหมดทุกองค์เลย ฟังเทศน์หมดเลย มีแต่ให้ปฏิบัติ ท่านว่าปฏิบัติไม่ถึงไม่มีเห็น ผู้ที่บอกอาตมา คือ
หลวงปู่ขาว อนาลโย
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ท่านบอก บอกอาตมาต้องทำให้ถึงนะลูกหลาน ทำยากจริงๆ ท่านว่าไม่มีองค์ไหนพูดว่าง่ายง่ายเลยทีเดียว ทำยากจริงๆ นะ อยู่เหนือตาย ท่านว่า แต่ของนั้นมีอยู่ ต้องทำจริงๆ จึงจะเห็นของจริง ทำจริงๆ เราทำมาตั้งแต่เล็ก ๕๐ กว่าปีแล้ว จึงพอส่องเห็นหนทางได้ คุมหนทางได้ รู้จักหนทางไป ถ้ามันถึง เราก็คือหมดความอยากเมื่อนั้น เราจะรู้จักด้วยตนเอง ท่านว่าเราไม่บอกให้ ขอให้หมดความอยากก็จะสิ้นตรงนั้นก็จะเห็นตรงนั้น บัดนี้อาตมาก็เลยถามหลวงปู่เทสก์
“หลวงปู่เมืองนิพพานนั้นมันอยู่ที่ไหน” อาตมาถามดื้อดื้อไปเฉยเฉยนี่แหละ
“เพราะไม่มีตัวมีตน อยู่ที่ไหนก็ได้ ได้หมดในโลก อยู่ได้หมด” ท่านว่า
หลวงปู่แหวนก็เหมือนกัน
“ทำให้หมด ก็หมดความอยาก”
ไม่ไปทางไหนเหมือนกัน
ฟังเทศน์หลวงปู่ชอบ มันก็สุดยอดอยู่
“มีแต่เกิดกับดับ มันไม่มีอะไร”
ท่านก็หยุดนิ่งอย่างนี้


หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป






ภาพนิมิตในสมาธิบอกระดับจิต
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เคยพูดถึงเรื่องพระหมา พระแมว พระควาย ฯลฯ ว่าเป็นเพราะจิตใจตกต่ำเหมือนสัตว์อย่างนั้น จึงแสดงออกมาให้เห็นสัตว์ต่างๆ พระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป ได้ขอให้หลวงปู่อธิบายถึงนิมิตแปลกๆ เช่น เห็นคนเดินมาแล้วเปลี่ยนเป็นสุนัข จากสุนัขเป็นแมว เมื่อเข้ามาใกล้ก็กลับกลายเป็นคนเช่นเดิมนั้น เป็นเพราะจิตมีหลายระดับ แทรกกันเข้ามาตามลำดับ และได้อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมอีกคือ

- นิมิตเห็นคนธรรมดา นุ่งห่มด้วยสีเหลือง แสดงว่าจิตของผู้นั้นเป็นผู้มีสมาธิ มีใจเป็นพระ
- คนนุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าขาว แสดงว่าจิตของผู้นั้นเป็นผู้ที่มีศีลห้าเป็นปกติ มีใจเป็นเทพ
- คนนุ่งห่มด้วยชุดดำ แสดงว่าเป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์
- ถ้าชุดดำและเป็นเครื่องนุ่งห่มที่ขาด แสดงว่าจิตต่ำลงไปกว่าความเป็นคน

นิมิตที่แสดงว่าต่ำไปเรื่อยๆ ก็คือมาในรูปของควาย สุนัข ถ้าเป็นงูแสดงว่าต่ำหยาบช้าที่สุด มีนิมิตของผู้เป็นพระในลักษณะต่างๆ ที่ท่านพบมาดังนี้

- นุ่งสบง คลุมจีวร พาดสังฆาฏิ แสดงว่ามีศีลสมาธิและปัญญาดี เรียกว่าเป็นพระที่สมบูรณ์
- คลุมแต่จีวรมา แสดงว่ามีสมาธิดี นุ่งสบงใส่อังสะ แสดงว่ามีศีลบริสุทธิ์
- คลุมด้วยจีวรขาด แสดงว่าสมาธิที่เคยมีเสื่อมถอย
- ใส่กางเกง แสดงว่ามีศีลขาด ศีลทะลุ ศีลด่างพร้อย

ขณะที่พระอาจารย์เปลี่ยนอยู่วัดอรัญญวิเวก บ้านปง หากได้รับนิมิตพระดังกล่าวแล้ว ท่านมีเวลาว่างจะไปพบพระผู้นั้นเพื่อตักเตือนให้ประพฤติปฏิบัติดีขึ้น แม้จะอยู่คนละวัดก็ตาม...

คัดจากบางส่วนใน :
ประวัติและปฎิปทา
หลวงพ่อพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป





“ครูบาอาจารย์ชั้นยอด”
หลวงปู่ไหนดังดัง ไปหมดเลย ไปเฝ้าหมดทุกองค์เลย ฟังเทศน์หมดเลย มีแต่ให้ปฏิบัติ ท่านว่าปฏิบัติไม่ถึงไม่มีเห็น ผู้ที่บอกอาตมาคือ หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่เทสก์ ท่านบอก บอกอาตมาต้องทำให้ถึงนะลูกหลาน ทำยากจริงๆ ท่านว่าไม่มีองค์ไหนพูดว่าง่ายง่ายเลยทีเดียว ทำยากจริงๆ นะ อยู่เหนือตาย ท่านว่า แต่ของนั้นมีอยู่ ต้องทำจริงๆ จึงจะเห็นของจริง ทำจริงๆ เราทำมาตั้งแต่เล็ก ๕๐ กว่าปีแล้ว จึงพอส่องเห็นหนทางได้ คุมหนทางได้ รู้จักหนทางไป ถ้ามันถึง เราก็คือหมดความอยากเมื่อนั้น เราจะรู้จักด้วยตนเอง ท่านว่าเราไม่บอกให้ ขอให้หมดความอยากก็จะสิ้นตรงนั้นก็จะเห็นตรงนั้น บัดนี้อาตมาก็เลยถามหลวงปู่เทสก์
“หลวงปู่เมืองนิพพานนั้นมันอยู่ที่ไหน” อาตมาถามดื้อดื้อไปเฉยเฉยนี่แหละ
“เพราะไม่มีตัวมีตน อยู่ที่ไหนก็ได้ ได้หมดในโลก อยู่ได้หมด” ท่านว่า
หลวงปู่แหวนก็เหมือนกัน
“ทำให้หมด ก็หมดความอยาก” ไม่ไปทางไหนเหมือนกัน
ฟังเทศน์หลวงปู่ชอบมันก็สุดยอดอยู่
“มีแต่เกิดกับดับ มันไม่มีอะไร” ท่านก็หยุดนิ่งอย่างนี้


หลวงพ่อพระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป







ให้พากันทำความดี ความไม่ดีอย่าพากันทำนะ ให้พากันขี้เกียจทำความชั่ว
เวลาตายเราจะได้ไปกับความดี ความดีพาไปสวรรค์ไปนิพพานนะ ไม่เหมือนความชั่วพาไปนรก
ขยันภาวนานะ อย่าขี้เกียจ อย่าคิดมาก เรื่องที่ผ่านมานั้นมันเป็นอดีต ให้คิดเรื่องปัจจุบัน อยู่กับกายกับใจเรา
ให้ถามมันดูว่า คิดมากแล้วได้อะไร? คิดมาตั้งนานแล้ว อย่าไปคาดไปหมาย ไปปรุงไปแต่งมันนะ ให้เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แล้วค่อยคิดแก้มันว่าเหตุมันเกิดมาจากอะไร
ความคาดความหมายนั่น เมื่อก่อนผมก็เป็นเหมือนกัน เราต้องรู้วิธีตัดมันด้วยวิธีภาวนา ให้มันเห็นว่าเหตุนั้นเกิดมาจากไหน มันจึงมีผล ถ้าไม่มีเหตุผลก็ไม่เกิด เวลาเกิดขึ้นแล้วโดยมากพวกเราไม่ค่อยนึกถึงเหตุ
พระนักบวชทุกวันนี้ ไม่ค่อยเอาเรื่องภาวนา ไม่รู้ทำอะไรไปทั่ว
ดูแต่วันงานพ่อแม่ครูอาจารย์ (หลวงตามหาบัว ญาณสฺมปนฺโน) ที่บ้านตาด ท่านทำบุญเฉยๆ ให้แม่ของท่าน แต่ว่าพระก็มากันมาก มีห้ามาห้ามีสิบมาสิบ มาเอาอะไร ทำไมไม่อยู่วัดภาวนา พระทุกวันนี้น๊า...บวชมาหาเล่นหากินเฉย ๆ มากันเต็มหมดบ้านตาด ดูเห็นแต่งบริขารแต่งบาตรมาพร้อม มาทำอะไร
เมื่องานปู่โสม (หลวงปู่จันทร์โสม กิตฺติกาโร วัดป่านาสีดา จังหวัดอุดรธานี) ก็เหมือนกัน พระ-เณรก็มาก ไม่รู้มาเอาอะไร ผมไม่ชอบนะ เมื่อก่อนนี้ถ้าเขาไม่นิมนต์ งานไม่สำคัญ ไม่รู้จะไปทำอะไร มันเหนื่อย ผู้คนก็มาก นั่งก็ยาก ลุกก็ยาก ดูไปทางไหนก็มีแต่คน โอ่ย...มันยุ่งมาก
แต่พระผู้ที่ไม่ชอบภาวนาท่านชอบนะ..
พวกเราอยู่วัดสบายกว่า ทำความเพียรได้ทั้งวันทั้งคืน งานก็ไม่มีอะไร จะนั่งจะเดินก็ได้หมดทั้งคืนทั้งวัน ให้พากันทำ.. บวชนี่มันยากนะ ถ้าไม่ใช่ผู้เคยมีนิสัย แต่ถ้าผู้มีนิสัยเคยสร้างเคยทำมาก่อน มันก็ง่าย แต่พระทุกวันนี้ไม่ค่อยทำนะ เดินจงกรมนั่งสมาธิ มันพูดยาก ทำอะไรก็ไม่พิจารณา เรื่องการกินการอยู่ก็ไม่ค่อยพิจารณา
วันนี้โยมเอาทุเรียน เงาะ แล้วก็อะไรอีก? มาจากจันทบุรี เอาลงไว้โน่น มากอยู่นะ
ความศรัทธานั้นเกิดกับผู้มีศีลมีธรรม การภาวนาต้องทำใจให้ดี
เมื่อใจดีแล้ว ศรัทธาก็ไหลมาเองหรอก รักษาศีลภาวนาดีมันก็มาเองหรอก
"กลิ่นของศีล"นั้นไปไกลนะ ไม่เหมือนความชั่ว ใครรู้ก็ไม่ชอบ
พระเราถ้าไม่ภาวนารักษาศีล มันก็ไม่ดีละเว่ย..ญาติโยมก็ไม่อยากเข้าใกล้
ภาวนาก็ให้ดูกายดูใจของเรานั่นแหละ
กายปวด กายเมื่อย กายเจ็บ ใจไม่ได้เจ็บด้วยก็ไม่มีอะไร มันขึ้นอยู่กับใจตัวเดียว
ถ้าว่าแบบปริยัติแล้ว ก็ว่ามรรคมีองค์ ๘ คือ ศีล-สมาธิ-ปัญญา แล้วก็มาสำรวมกาย วา ใจ พูดไปหลายอย่าง พูดแบบปฏิบัติ มันก็ไม่มีอะไร ให้ดูกายดูวาจาใจของเรานั่นล่ะ
ดูกายดูวาจาใจมันก็ไม่เท่าไหร่ เพราะทุกอย่างนั้นออกมาจากใจ
ถ้าใจดีกายก็ดี วาจามันก็ดี มันขึ้นอยู่กับใจตัวเดียว
ไม่ต้องพูดให้มันยาก พวกเราก็เหมือนกัน ให้พากันเพียรพากันทำ ดูกายดูใจของเรานั่นแหละ
ดูให้มันชัด ๆ ว่ามันคิดอะไร ให้มันคิดแต่เรื่องดี ๆ เรื่องไม่ดีอย่าไปคิด
ให้พากันตั้งใจภาวนา บวชเข้ามาแล้ว งานการก็ไม่มีอะไร ทำทั้งวันทั้งคืนเลยก็ได้
เอาล่ะ..พากันไปหาภาวนาซะ..

โอวาทธรรม หลวงปู่เพียร วิริโย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 33 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร