ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

ทรัพย์ภายใน
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=58092
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  รสมน [ 25 ก.ย. 2019, 05:22 ]
หัวข้อกระทู้:  ทรัพย์ภายใน

" ผู้ที่กำลังจะเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาตินั้น
ถ้าเกิดมีอุปาทานก็ไปอยู่ที่นั่นแหละ
ก็ไปอยู่กับลูก ไปเกิดกับลูกตัวเองอีก
เปลี่ยนกันเป็นลูกเป็นพ่อเป็นแม่อยู่อย่างนั้นแหละ
อุปาทานตัวนี้ มันทำให้ไม่ออกไปจากนี้
ใครจะไม่รักตระกูลตัวเอง ไม่มีหรอก
ติดตระกูลอยู่อย่างนั้นแหละ
ติดว่าหลานกูลูกกูอยู่อย่างนั้น
เพราะอุปาทานตัวนี้แหละ
เพราะเคยเป็นพ่อเป็นแม่กันมา
ก็ด่ากันอยู่อย่างนั้นแหละลูกหลาน
เพราะสับเปลี่ยนกันเลี้ยงกันอยู่อย่างนั้น
ถ้าทำกุศลไว้ก็ยังดีอยู่
ถ้าทำบาปไว้มากก็ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน
เป็นควายเป็นวัวให้เขาใช้งานอยู่นั่นแหละ "

หลวงปู่ลี กุสลธโร






วิธีดำเนินในทางสมถะคือ
อุบายวิธีให้เป็นไปเพื่อความสงบ
ตัวอย่างผู้ที่ทำสมาธิง่าย
ต้องอาศัยการกำหนดลมหายใจเข้าออก
ให้รับรู้อยู่เฉพาะลมหายใจเข้าออก
หาทางบังคับจิตดุจเดียวกับพวกฤาษีเพ่งกสิน
ของเราไม่ใช่เพ่ง เพียงรับรู้อยู่เฉยๆ
และไม่ต้องแต่งลม ให้ปล่อยตามสภาพของลม
ขอให้ถือว่าลมเป็นเพียงนิมิตเครื่องหมาย
เมื่อเห็นว่าสติมีพลังเหนือจิตแล้ว
จะได้นำสติเข้าไปแต่งจิตดูใจ
ตัวอย่างเบื้องต้นโน้น นี้เป็นวิธีเจริญสมถะ
แต่บางคนเมื่อจิตไม่อยู่ ฟุ้งซ่านรุนแรง
ควรใช้คำบริกรรมเป็นเครื่องผูกด้วย
จะบริกรรมว่า เกิด ตาย หรือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ
อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
อย่างนี้เรียกว่า บริกรรมภาวนา เพิ่มในองค์ของสมถะ

หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย







“ทรัพย์ภายใน”

มาบำเพ็ญมาสร้างทรัพย์ภายในกัน ทรัพย์ภายในนี้เป็นทรัพย์ที่ติดอยู่กับใจไปกับใจ เราสามารถเอาติดตัวไปกับเราได้ ไม่เหมือนทรัพย์ภายนอก ทรัพย์ที่ติดอยู่กับร่างกาย เวลาร่างกายหมดสภาพไป ทรัพย์ภายนอกก็กลายเป็นของคนอื่นไป แต่ทรัพย์ภายในนี้เป็นของเราโดยตลอดทั้งในขณะที่เรามีร่างกายอยู่ และหลังจากที่ร่างกายของเรานี้หมดไปแล้ว ทรัพย์ภายในก็ยังเป็นของเราอยู่เช่นเดิม ทรัพย์ภายในนี้ก็มีอยู่ ๒ ระดับด้วยกัน ระดับที่เป็นโลกียะกับระดับที่เป็นโลกุตระ

ระดับโกลียะนี้ยังมีการเสื่อมได้ ส่วนระดับโลกุตระนี้ไม่เสื่อม ระดับโลกุตระก็คืออริยทรัพย์ เช่นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อันนี้เรียกว่าอริยทรัพย์ ทรัพย์เหล่านี้เมื่อได้มาแล้วจะไม่เสื่อมหมดไป ส่วนโลกียทรัพย์ ก็คือเทวทรัพย์กับพรหมทรัพย์อันนี้ยังเสื่อมได้ ยังต้องกลับมาเจริญใหม่ ถ้าอยากจะได้ทรัพย์เหล่านั้นคืนมา แต่ในเบื้องต้น ก่อนที่เราจะเข้าสู่อริยทรัพย์ได้ เราก็ต้องผ่านโลกียทรัพย์ คือผ่านเทวทรัพย์ ผ่านพรหมทรัพย์ไปก่อนแล้วเราถึงจะเข้าไปสู่อริยทรัพย์ได้ เทวทรัพย์นี้เกิดจากอะไร ก็เกิดจากการทำทานแล้วรักษาศีล คือศีล ๕ ถ้าทำทานรักษาศีล ๕ ได้เราก็จะได้เทวทรัพย์ ถ้าทำทานเพียงอย่างเดียว ไม่รักษาศีล เราก็จะไม่ได้เทวทรัพย์แต่จะได้มนุษยทรัพย์ แต่ก่อนที่จะได้ก็ต้องไปใช้กรรมในอบายก่อน เช่นทำทาน แต่ไม่รักษาศีล ตายไปก็จะไปเกิดเป็นเดรัจฉาน แต่เป็นเดรัจฉานที่มีรูปร่างหน้าตาน่ารักสวยงามก็จะเป็นที่รักของผู้อื่นก็จะมีผู้อื่นเอาไปเลี้ยงดูให้อยู่กินอย่างดี เช่นสุนัขสวยๆ บางคนถึงกับเอาไปเลี้ยงเป็นลูก เพราะว่าตนไม่มีลูกก็เลยรักสุนัขเหมือนลูกเอาไปอยู่ในบ้านด้วย นอนในห้องนอนเดียวกัน รับประทานอาหารพร้อมกัน ตายก็ทำงานศพให้ด้วย นี่ก็เป็นอานิสงส์ที่เกิดจากการทำทานอย่างเดียว แต่ไม่รักษาศีล ๕ คือยังฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปด เสพสุรายาเมาอยู่ แต่หลังจากที่ใช้กรรมของบาปที่ได้ทำหมดไปแล้ว ก็จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม เพราะเป็นอานิสงส์ของทานที่ได้ทำไว้ กลับมาก็จะมีเงินมีทองมีทรัพย์สมบัติ ข้าวของเงินทองพร้อมบริบูรณ์

อันนีก็เป็นเรื่องของการทำทานเพียงอย่างเดียว ถ้าไม่รักษาศีล ซึ่งรู้สึกว่าจะเป็นประเพณีของชาวพุทธเราเสียส่วนใหญ่ ทุกวันนี้ จะชอบทำทานกัน ชอบทำบุญ แต่ไม่ชอบรักษาศีล เพราะมีความเข้าใจผิดคิดว่า ทำทานแล้วจะไปสวรรค์ได้ การที่จะไปสวรรค์ได้นี้ ต้องปิดประตูอบายก่อน ประตูอบายนี้ก็ต้องใช้ศีลเป็นเครื่องปิด ถ้าไม่ทำบาปไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดประเวณีไม่พูดปดไม่เสพสุรายาเมา อย่างนี้ก็จะป้องกันไม่ให้ต้องไปเกิดในอบายได้ แล้วก็จะให้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นเทพ ได้ไปเสพรูปเสียงกลิ่นรสที่ละเอียดที่เรียกว่า รูปทิพย์เสียงทิพย์เป็นต้น อันนี้ต้องทำทั้งทาน และรักษาศีล ก็เหมือนกับได้เงินไปท่องเที่ยวมีเงินทอง ที่จะซื้อตั๋วเครื่องบินไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ แต่หลังจากที่ใช้เงินหมดแล้วก็ต้องกลับมาทำงานใหม่ หลังจากที่ได้รับอานิสงส์ไปเกิดเป็นเทพไปเสพรูปเสียงกลิ่นรสแล้ว ก็ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ มาสร้างทรัพย์ใหม่ อันนี้คือโลกียทรัพย์ระดับเทวทรัพย์ ระดับเทวโลก ทำบุญ ทำทาน รักษาศีลก็จะส่งให้ไปถึงแค่เทวโลก ถ้าอยากจะขึ้นไปสูงกว่านั้น คือไปสู่พรหมโลกก็ต้องรักษาศีลเพิ่มจากศีล ๕เป็นศีล ๘ เพราะว่าการที่จะเข้าสู่พรหมโลกได้นี้ จะต้องตัดความยินดีในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ก็จะไม่หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย เช่นไม่ร่วมหลับนอนกับใคร ไม่หาความสุขจากการรับประทานอาหาร จากการดื่มเครื่องดื่มต่างๆ รับประทานอาหารพอประมาณ พอให้ร่างกายอยู่ได้ก็พอ เช่นถือศีล ๘ ก็จะไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว แล้วก็จะไม่หาความสุขจากเครื่องบันเทิงต่างๆ ไม่ดู ไม่ฟัง ไม่ดื่ม ไม่รับประทานเพื่อความสุข ถ้าจะดื่มรับประทานก็ต้องดื่มรับประทานเพื่อร่างกาย ก็ต้องดื่มรับประทานก่อนเที่ยงวันไป หลังจากเที่ยงวันไปแล้วก็งดหมด งานเลี้ยงต่างๆ งานวันเกิด งานแต่งงาน งานบันเทิงต่างๆ อันนี้ไม่หาความสุขจากเรื่องราวเหล่านี้ แล้วก็ไม่หาความสุขจากการเสริมสวย แต่งกายแต่งหน้าทาปาก แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สีสันสดใสวิจิตรพิศดาร เป็นความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่ต้องการที่จะเสียเวลาไปกับการหาความสุขเหล่านี้ เพราะต้องการที่จะหาความสุขที่เกิดจากความสงบ แล้วก็เวลานอนก็ไม่นอนบนฟูกหนาๆ ไม่ต้องการหาความสุขจากการหลับนอนมากจนเกินไป หลับนอนเพื่อพักผ่อนร่างกาย

วิธีที่จะหลับนอนไม่มากจนเกินไปก็ต้องนอนบนพื้นเเข็งๆ นอนบนพื้นไม้ ปูด้วยเสื่อปูด้วยผ้า เวลาร่างกายเหนื่อยเพลีย อยากจะพักก็หลับได้อย่างสบาย พอได้พักพอแล้วก็จะตื่นขึ้นมา พอตื่นขึ้นมาก็จะไม่อยากจะนอนต่อ เพราะไม่สบายเหมือนกับนอนบนฟูกหนาๆ ก็จะลุกขึ้นมาสร้างความสงบทางใจต่อไป ผู้ที่จะได้ความสงบทางใจก็ต้องปฏิบัติธรรมอีกขั้นหนึ่งคือ สมาธิ ทำทานแล้วรักษาศีล ๘ แล้ว ก็ต้องมานั่งสมาธิ ทำใจให้สงบ ถ้าใจสงบแล้วใจก็จะเป็นพรหม ตายไปก็จะได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นพรหม แต่ก็ยังเป็นสวรรค์ที่เป็นโลกียะอยู่ ยังมีการเสื่อมได้อยู่ จากชั้นพรหมก็จะเสื่อมลงมาสู่ชั้นเทพ จากชั้นเทพก็จะเสื่อมลงมากลับมาเป็นมนุษย์ แล้วก็กลับมาทำเหมือนเดิมต่อไป กลับมาทำทาน มารักษาศีล ๘ มานั่งสมาธิต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้พบกับพระพุทธศาสนา ถึงจะได้เจริญธรรมขั้นอริยะเจ้า ขั้นอริยทรัพย์ได้ เพราะว่าไม่มีคำในศาสนาใด ที่จะสอนให้ได้อริยทรัพย์ มีคำของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ จะสอนให้ได้อริยทรัพย์ขั้นต่างๆ เช่นขั้นโสดาบัน ขั้นสกิทาคามี ขั้นอนาคามี ขั้นอรหันต์กัน แล้วก็ถ้าได้อริยทรัพย์แล้วก็จะไม่มีวันเสื่อม มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นไปตามลำดับของการปฏิบัติ จนถึงอรยทรัพย์ขั้นสมบูรณ์ คือพระอรหันต์ก็จะได้ทรัพย์ที่ถาวร คือปรมังสุขัง เป็นความสุขที่ถาวร ที่ยิ่งใหญ่กว่าความสุขทั้งหลาย เพราะเป็นความสุขที่ไม่มีวันเสื่อมไม่มีวันหมดไป

ถ้ายังไม่ได้พบกับพระพุทธศาสนาก็จะได้แต่ขั้นพรหมทรัพย์ ขั้นเทวทรัพย์ อย่างพระอาจารย์ ๒ รูปของพระพุทธจ้าที่ตายไปก่อนที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ๒ รูปนี้ท่านก็ได้พรหมทรัพย์ ท่านออกบวชสละทรัพย์หมด ทำทานหมด รักษาศีล ๘ แล้วก็เจริญสมาธิได้ฌาณขั้นต่างๆ ได้รูปฌาณ ได้อรูปฌาณ ก็ได้ไปเกิดเป็นอรูปพรหม กับรูปพรหม แต่ไม่ได้พบกับพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า น่าเสียดาย เพราะว่าถ้าอยู่ต่อไปอีกสักหน่อยพระพุทธเจ้าจะทรงไปโปรด สอนความรู้ที่จะทำให้บรรลุอริยทรัพย์ได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่พอไม่ได้พบกับพระพุทธศาสนา ตายไปก่อนก็จะไปเกิดในพรหมโลก แล้วหลังจากนั้นก็จะเสื่อมลงมาเทวโลก สู่มนุษยโลกต่อไป แล้วก็กลับมาบำเพ็ญทาน ศีล สมาธิต่อไป เพราะจะติดเป็นนิสัยไป

ผู้ใดได้ทำทาน ได้รักษาศีล ได้นั่งสมาธิเป็นประจำ ก็จะมีนิสัยเหล่านี้ฝังอยู่ในใจของตน เวลาที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะทำทานใหม่ รักษาศีล ๕ รักษาศีล ๘ใหม่ นั่งสมาธิใหม่ก็จะวนอยู่อย่างนี้ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในโลกียทรัพย์เหล่านี้แต่จะไม่สามารถขึ้นไปสู่ระดับอริยทรัพย์ได้ จะไม่สามารถเล็ดรอดออกจากโลกียะ แห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้ จะต้องรอให้พบกับพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่จะมีคำสอน หรือถ้าเป็นการเดินทาง ก็เป็นเหมือนแผนที่หรือผู้นำทาง ที่จะนำพาให้เข้าสู่อริยทรัพย์ เข้าสู่ทรัพย์ที่ถาวรเข้าสู่การสิ้นสุด เเห่งการเวียนว่ายตายเกิด เข้าสู่การดับทุกข์ที่ถาวรได้เท่านั้น.

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๖

“ทรัพย์ภายใน”

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต






พระอาจารย์ทูล เล่าถึงสมัยเกิดเป็นรุกขเทวดา

การไปเกิดบนสวรรค์ชั้นสูง โอกาสที่จะได้สร้างบารมีนั้นยากมาก วันคืนผ่านไปๆ ไม่ได้นึกถึงบุญกุศลอย่างใด มีแต่เสพสุขในกามคุณที่เป็นทิพย์เท่านั้น มนุษย์เขาทำบุญให้ทานรักษาศีลภาวนาอย่างไรก็ไม่เคยรู้เรื่อง ถึงเมืองมนุษย์จะร้องกล่าวบทชุมนุมเทวดาให้มาร่วมบุญกุศล เทวดาขั้นสูงเขาก็ไม่ได้มาร่วมงานด้วย ที่มานั้นเป็นเทวดาชั้นต่ำๆ ที่เรียกว่า รุกขเทวดาและภุมเทวดา นั่นเอง หลวงปู่(หลวงปู่ขาว อนาลโย) พูดว่า ไหนลองเล่ามาให้ฟังซิว่าเขามากันอย่างไร จึงได้เล่าต่อไปว่า

ในสมัยหนึ่งกระผมเป็นหัวหน้าอุบาสกอุบาสิกาอยู่ในเมืองมนุษย์ ได้พาคณะศรัทธาทั้งหลายไปบำเพ็ญกุศลตามวัดต่างๆ และทำประโยชน์ในสาธารณกุศลทั่วไป มีวัดหนึ่งเป็นถ้ำใหญ่ มีพระเป็นจำนวนมาก กระผมได้พาหมู่คณะไปบำเพ็ญกุศลในวัดนี้เป็นประจำ และทำไปจนตราบเท่าอายุขัย เมื่อกระผมตายไป จงได้ไปเกิดเป็นรุกขเทพบุตร ได้ไปอาศัยตันรังใหญ่ต้นหนึ่งในป่าใหญ่แห่งนั้น กระผมสามารถเนรมิตให้ต้นรังใหญ่กลายเป็นปราสาทได้อย่างสวยงาม และได้เป็นใหญ่ในหมู่รุกขเทวดาทั้งหลาย ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วัน ๘ ค่ำ วัน ๑๔ หรือ ๑๕ ค่ำ กระผมจะพาหมู่เทวดาทั้งหลายไปบำเพ็ญกุศลตามวัดต่างๆ โดยจะออกเดินทางในช่วงตี ๓-๕ ก่อนที่มนุษย์เขาจะไปถึง สำหรับพาหนะที่ใช้เดินทางนั้นไม่เหมือนกัน บางกลุ่มเขาก็เนรมิตเป็นปราสาทนั่งอยู่ในนั้น แล้วพากันลอยไปเป็นกลุ่มๆ ดูแล้วสวยงามมาก ระดับความสูงที่ลอยไปนั้น สูงกว่าปลายไม้ไปไม่กี่เมตร บางกลุ่มก็แยกไปที่ต่างๆ ตามต้องการ แต่ใครจะไปที่ไหนต้องมารายงานตัวต่อกระผมทุกครั้งไป

อีกงานหนึ่งเรียกว่างานรับเชิญ นั่นคืองานบุญกุศล พวกเทพเหล่านี้จะได้ไปในงานนี้บ่อยครั้งทีเดียว เพราะมนุษย์เวลาทำบุญได้อัญเชิญเทวดา คำอัญเชิญเทวดานั้น มีความหมายแปลว่าอย่างไรก็ให้ไปถามท่านนักปราชญ์เอาเอง และมีเทวดาอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า เคหเทวดา คือ เทวดาที่อาศัยอยู่ตามบ้านเรือนของมนุษย์ เทวดากลุ่มนี้ไม่ต้องเชิญเขาก็รู้หน้าที่กันเอง เพราะเขาถือว่าเป็นเจ้าของบ้านดูแลรักษาบ้านนั้นอยู่ เมื่อเจ้าของบ้านจะทำบุญเขาก็ส่งข่าวให้รุกขเทวดาให้มาร่วมบุญนี้เหมือนกัน บ้านที่เทวดากลุ่มนี้อยู่เจ้าของบ้านต้องมีคุณธรรม มีการบำเพ็ญกุศลอยู่เสมอ เช่น เทวดาที่อาศัยบ้านของโยมแม่ของพระโสณกุฏิกัณณะที่ร้องทำนองสรภัญญะให้พระพุทธเจ้าฟัง เมื่อร้องจบพระพุทธก็อนุโมทนาสาธุ เทวดาของโยมแม่ของพระโสณะ ก็ได้สาธุด้วยเช่นกัน ฉะนั้น รุกขเทวดา ภุมเทวดา หรือเคหเทวดา จึงได้เปรียบกว่าหมู่เทวดาชั้นสูง เพราะได้บำเพ็ญบารมีกับหมู่มนุษย์เป็นประจำ เรื่องของเทวดานั้นยาวมาก จะไม่นำมาเขียนไว้ในที่นี้ทั้งหมด

เมื่อเล่าเรื่องเทวดาทั้งหมดให้หลวงปู่(หลวงปู่ขาว อนาลโย)ฟัง หลวงปู่ก็ยอมรับว่าความจริงเป็นอย่างนั้น แล้วหลวงปู่ก็ได้อธิบายต่อไปว่า การเป็นเทวดาอยู่ในระดับต่ำนี้มีกำไร เพราะได้บำเพ็ญบุญกุศลร่วมกันกับหมู่มนุษย์มิได้ขาด ได้อนุโมทนาส่วนบุญที่มนุษย์ได้ทำแล้ว การไปอยู่บนสวรรค์ชั้นสูงๆ นั้นก็เหมือนอย่างที่ท่านว่านั้นแหละ ถึงจะไปอยู่ก็อยู่ได้ไม่ตลอด เมื่อบุญกุศลหมดเมื่อไรก็ต้องลงมาเกิดในเมืองมนุษย์อีก เพราะการทำบุญกุศลนั้นต้องกระทำอยู่ในเมืองมนุษย์นี้ ผู้จะเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระอริยเจ้าทั้งหลาย ก็ต้องมาสร้างบารมีอยู่ที่เมืองมนุษย์นี้ทั้งนั้น

ฉะนั้น เมืองมนุษย์นี้เป็นสถานที่สร้างบารมี ถ้าผู้มีความประมาทลืมตัว ก็เอาเมืองมนุษย์นี้เป็นสถานที่ทำบาปอีก น่าเสียดายที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ตัวเอง ส่วนใหญ่จะทำเพื่อเสียประโยชน์ให้ตัวเองทั้งนั้น คำว่าเสียประโยชน์นั้น คือเราทำในสิ่งที่ไม่ดีนั่นเอง เมื่อทำไปแล้วผลที่ไม่ดีก็ต้องได้รับเอง

พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ
ที่มา อัตโนประวัติ พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ
วัดป่าบ้านค้อ ตำบนเขือน้ำ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี






"ความกลัวทุกอย่างจะหายหมดไป
ถ้าเราตัดสินใจอย่างใดแล้ว คือเราต้องเป็นคนมีจุดมุ่งหมาย อย่างหลวงตานับตั้งแต่บวชมา ได้ตัดสินใจปฏิบัติธรรมะอย่างจริงจังจนทุกวันนี้ ไม่เคยลดละและท้อถอยเลย"

โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม
วัดอรัญญวิเวก (บ้านข่า) จ.นครพนม

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/